คุณเป็นใคร
ผู้ที่นำการประชุมทางไกลผ่านจอภาพกล่าวว่า “สวัสดีตอนเช้า” ผมตอบกลับไปว่า “สวัสดีครับ” แต่ตาผมไม่ได้มองที่เขา ผมเสียสมาธิกับภาพของตัวเองบนหน้าจอ นี่สารรูปของผมหรือนี่? ผมมองใบหน้ายิ้มแย้มของคนอื่นๆในหน้าจอ นั่นเป็นใบหน้าของพวกเขาจริงๆ แสดงว่าภาพที่เห็นอยู่คือตัวผมแน่ๆ ผมควรจะลดน้ำหนัก และไปตัดผม
ฟาโรห์คิดว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์เป็นเหมือน “สิงห์หนุ่มท่ามกลางประชาชาติ...เหมือนมังกรในทะเลทั้งหลาย” (อสค.32:2) แต่แล้วในชั่วขณะหนึ่งพระองค์มองเห็นตัวเองจากมุมมองของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่าฟาโรห์กำลังพบปัญหาและพระองค์จะทรงให้ซากศพของฟาโรห์แก่บรรดาสัตว์ป่า ทำให้ “ชนชาติทั้งหลายเป็นอันมากแลตะลึงที่ท่านและกษัตริย์ของเขาทั้งหลายจะสะทกสะท้านเพราะท่าน” (ข้อ 10) ฟาโรห์ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระองค์คิด
เราอาจคิดว่าตัวเอง “ดูดีฝ่ายวิญญาณ” จนกระทั่งเราเห็นบาปของเราเหมือนที่พระเจ้าทรงเห็น เมื่อเทียบกับมาตรฐานบริสุทธิ์ของพระองค์ แม้แต่ “การกระทำอันชอบธรรมของข้าพระองค์ทั้งสิ้น เหมือนเสื้อผ้าที่สกปรก” (อสย.64:6) แต่พระเจ้ายังทรงเห็นอีกสิ่งหนึ่งที่เที่ยงแท้ยิ่งกว่านั่นคือ ทรงเห็นพระเยซู และพระเจ้าทรงเห็นเราในพระเยซู
คุณกำลังรู้สึกแย่กับสภาพที่ตัวเองเป็นหรือเปล่า จำไว้ว่านี่ไม่ใช่ตัวคุณ หากคุณวางใจในพระเยซูคุณก็อยู่ในพระองค์ และความบริสุทธิ์ของพระองค์ปกคลุมอยู่เหนือคุณ คุณงดงามกว่าที่คุณคิด
เขตความตาย
ในปี 2019 นักปีนเขาคนหนึ่งมองดูดวงอาทิตย์ตกเป็นครั้งสุดท้ายจากยอดเขาเอเวอเรสต์ เขารอดจากการปีนขึ้นที่อันตราย แต่ความสูงบีบรัดหัวใจของเขาและเขาเสียชีวิตระหว่างการเดินลง ผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์คนหนึ่งเตือนนักปีนเขาไม่ให้คิดว่าการเดินทางจบลงที่ยอดเขา พวกเขาต้องทั้งเดินขึ้นและลงด้วยความว่องไวโดยไม่ลืมว่า “พวกเขาอยู่ในเขตความตาย”
ดาวิดเอาชีวิตรอดจากการปีนขึ้นสู่จุดสูงสุดที่แสนอันตราย ท่านฆ่าสิงโตและหมี สังหารโกลิอัท หลบพ้นหอกของซาอูลและศัตรูที่ไล่ล่า และเอาชนะคนฟีลิสเตียและอัมโมนจนได้เป็นกษัตริย์แห่งขุนเขา
แต่ดาวิดลืมว่าตัวเองอยู่ในเขตความตาย ณ จุดสูงสุดในความสำเร็จของท่าน เมื่อ “พระเจ้าทรงประทานชัยชนะแก่ดาวิดไม่ว่าจะไปรบ ณ ที่ใดๆ” (2 ซมอ.8:6) ท่านทำการล่วงประเวณีและฆาตกรรม ความผิดพลาดแรกเริ่มของท่านคือท่านอ้อยอิ่งอยู่บนยอดเขา เมื่อกองทัพของท่านออกรบครั้งใหม่ ท่าน “ประทับที่เยรูซาเล็ม” (11:1) ดาวิดผู้เคยอาสาไปสู้กับโกลิอัทตอนนี้กลับผ่อนคลายอยู่ในเกียรติยศแห่งชัยชนะ
เป็นเรื่องยากที่จะไม่ลืมตัวเมื่อทุกคนรวมถึงพระเจ้าบอกว่าเราเป็นคนพิเศษ (7:11-16) แต่เราต้องไม่ลืมตัว เมื่อเราประสบความสำเร็จ เราเฉลิมฉลองและตอบรับคำกล่าวแสดงความยินดีได้ตามสมควร แต่เราต้องดำเนินต่อไป เราอยู่ในเขตความตาย จงลงมาจากยอดเขาและรับใช้ผู้อื่นที่อยู่ด้านล่าง ทูลขอให้พระเจ้าปกป้องจิตใจและย่างก้าวของคุณ
เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง
ชายที่อยู่ข้างหน้าฉันตรงที่ล้างรถกำลังทำภารกิจ เขาตั้งใจเดินไปท้ายรถกระบะเพื่อปลดตะขอลากจูงไม่ให้เกี่ยวไปโดนแปรงหมุนทำความสะอาดแรงสูง เขาจ่ายเงินให้พนักงานและนำรถเข้ารางอัตโนมัติโดยใส่เกียร์เดินหน้าไว้ พนักงานตะโกนไล่หลังว่า “เกียร์ว่าง! เกียร์ว่าง!” แต่กระจกหน้าต่างรถปิดเขาจึงไม่ได้ยิน เขาพุ่งผ่านที่ล้างรถภายในสี่วินาที รถแทบจะไม่เปียกน้ำเลย
เอลียาห์มีภารกิจเช่นกัน ท่านยุ่งกับการรับใช้พระเจ้าในงานใหญ่ๆ ท่านเพิ่งเอาชนะพวกผู้เผยพระวจนะของพระบาอัลในการต่อสู้อย่างเหนือธรรมชาติ ซึ่งทำให้ท่านอ่อนล้า (ดู 1 พกษ.18:16-39) ท่านต้องการเวลาในการปลดเกียร์ว่าง พระเจ้านำเอลียาห์ไปยังภูเขาโฮเรบ ที่ซึ่งพระองค์เคยปรากฏแก่โมเสสเมื่อนานมาแล้ว อีกครั้งที่พระเจ้าทรงทำให้ภูเขาสะเทือน แต่พระองค์ไม่ได้ทรงอยู่ในลมที่ทำให้หินแตกเป็นเสี่ยงๆ ในแผ่นดินไหวหรือไฟที่โหมกระหน่ำ แต่พระเจ้าทรงมาพบเอลียาห์ด้วยเสียงอันแผ่วเบา “เมื่อเอลียาห์ได้ยินท่านก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้ ออกไปยืนอยู่ที่ปากถ้ำ” เพื่อพบพระเจ้า (1 พกษ.19:13)
คุณและผมก็มีภารกิจ เราใส่เกียร์เดินหน้าให้กับชีวิตของเราเพื่อทำสิ่งใหญ่ให้องค์พระผู้ช่วยให้รอด แต่ถ้าเราไม่เคยเปลี่ยนมาเป็นเกียร์ว่าง เราอาจพุ่งทะยานผ่านชีวิตไปอย่างเร็วและพลาดการเทลงมาขององค์พระวิญญาณ พระเจ้าทรงตรัสกระซิบว่า “จงนิ่งเสีย และรู้เถอะว่า เราคือพระเจ้า” (สดด.46:10) อย่าลืมปลดเกียร์ว่าง!
หน้าต่าง
ที่เชิงเขาหิมาลัย นักท่องเที่ยวสังเกตเห็นบ้านที่ไม่มีหน้าต่างตั้งเรียงราย ไกด์นำเที่ยวอธิบายว่าชาวบ้านบางคนกลัวปีศาจจะแอบเข้ามาในบ้านตอนหลับ พวกเขาจึงสร้างเป็นกำแพงทึบ คุณจะบอกได้เลยว่าเจ้าของบ้านหลังไหนมาเชื่อพระเยซูเพราะพวกเขาจะเจาะหน้าต่างเพื่อให้แสงสว่างส่องเข้ามา
เรื่องนี้อาจเกิดกับเราโดยที่เราไม่รู้ตัว เรามีชีวิตอยู่ในยุคที่น่ากลัวและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ซาตานและวิญญาณชั่วยุยงให้โกรธเกรี้ยวไม่ลงรอยกันทำให้ครอบครัวและเพื่อนฝูงแตกแยก ผมมักรู้สึกเหมือนแอบอยู่หลังกำแพงของตนเอง แต่พระเยซูทรงต้องการให้ผมเจาะหน้าต่าง
อิสราเอลแสวงหาที่ลี้ภัยหลังกำแพงสูง แต่พระเจ้าตรัสว่าความมั่นคงของพวกเขาอยู่ในพระองค์ พระองค์ทรงครอบครองจากฟ้าสวรรค์ และพระดำรัสพระองค์กำหนดระบบระเบียบของทุกสรรพสิ่ง (อสย.55:10-11) ถ้าอิสราเอลหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะทรง “กรุณาเขา” (ข้อ 7) และจะทรงให้พวกเขากลับเป็นประชากรของพระองค์เพื่อเป็นพรแก่โลก (ปฐก.12:1-3) พระองค์จะทรงยกชูเขาขึ้น และนำหน้าพวกเขาไปในขบวนแห่แห่งชัยชนะ การเฉลิมฉลองของพวกเขาจะ “เป็นอนุสรณ์เพื่อเป็นหมายสำคัญนิรันดร์ซึ่งจะไม่ตัดออกเลย” (อสย.55:13)
บางครั้งกำแพงก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่กำแพงที่มีหน้าต่างนั้นดีที่สุด เพื่อโลกจะได้เห็นว่าเราวางอนาคตของเราไว้กับพระเจ้า ความกลัวของเรานั้นเป็นเรื่องจริงแต่พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่า หน้าต่างเปิดให้เราไปสู่พระเยซูผู้ทรงเป็น “ความสว่างของโลก” (ยน.8:12) และไปสู่ผู้คนที่ต้องการพระองค์
ได้จมูกแล้ว
“ทำไมจมูกของรูปปั้นถึงแตก” นั่นเป็นคำถามยอดนิยมอันดับหนึ่งที่นักท่องเที่ยวถามเอ็ดเวิร์ด บลายเบิร์ก ภัณฑารักษ์ผู้ดูแลศิลปะอิยิปต์ที่พิพิธภัณฑ์บรู๊คลิน
บลายเบิร์กไม่อาจโทษได้ว่าเป็นการเสื่อมสลายตามปกติ เพราะแม้แต่ภาพวาดสองมิติของรูปปั้นเหล่านี้ก็ไม่มีจมูก เขาสันนิษฐานว่าความเสียหายเกิดขึ้นอย่างตั้งใจ ศัตรูตั้งใจที่จะทำลายล้างเทพเจ้าของอียิปต์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเล่นเกม “ได้จมูกแล้ว” กัน กองทัพที่เข้ามารุกรานทำลายจมูกของรูปปั้นเหล่านี้เพื่อทำให้มันไม่สามารถหายใจได้
จริงหรือ แค่นั้นเองหรือ หากเทพเจ้าเป็นเช่นนี้ ฟาโรห์ควรจะรู้ว่าพระองค์กำลังมีปัญหา แน่นอนว่าฟาโรห์มีกองทัพและได้รับความจงรักภักดีของประชาชนทั้งประเทศ ส่วนพวกฮีบรูเป็นทาสที่เหนื่อยล้านำโดยผู้ลี้ภัยขี้อายที่ชื่อโมเสสแต่ชนชาติอิสราเอลมีพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ส่วนพระของฟาโรห์เป็นพระปลอม หลังประสบภัยพิบัติสิบประการ ชีวิตที่พวกเขาวาดฝันไว้ก็สูญสลายไป
ชนชาติอิสราเอลฉลองชัยชนะด้วยเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ ในเทศกาลพวกเขากินขนมปังที่ไม่ใส่ยีสต์ (เชื้อ) ตลอดสัปดาห์ (อพย.12:17;13:7-9) ยีสต์เป็นสัญลักษณ์ของความบาป และพระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์จดจำว่า ชีวิตที่ได้รับการช่วยกู้ของพวกเขามาจากพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น
พระบิดาของเราตรัสกับรูปเคารพเหล่านั้นว่า “ได้จมูกเจ้าแล้ว” และตรัสกับลูกๆของพระองค์ว่า “ได้ชีวิตของเจ้าแล้ว” จงรับใช้พระเจ้าผู้ทรงประทานลมหายใจให้กับคุณ และพักสงบในอ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์
สวมความกล้าหาญ
แอนดริวอยู่ในประเทศที่ปิดกั้นข่าวประเสริฐ เมื่อผมถามว่าเขาเก็บความเชื่อเป็นความลับได้อย่างไร เขาตอบว่าเขาไม่เคยปิดบัง เขาติดกระดุมที่โฆษณาคริสตจักรของเขา และเมื่อใดก็ตามที่ถูกจับ เขาบอกตำรวจว่า “พวกเขาต้องการพระเยซูเช่นกัน” แอนดริวมีความกล้า เพราะเขารู้ว่าใครอยู่ข้างเขา
เอลียาห์ไม่ยอมถูกข่มขู่ แม้พระราชาแห่งอิสราเอลส่งทหารห้าสิบคนไปจับท่าน (2 พกษ.1:9) ผู้เผยพระวจนะรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย และท่านขอไฟลงมาเผาทหาร พระราชาจึงส่งทหารมาเพิ่ม และเอลียาห์ก็ทำแบบเดิม (ข้อ 12) พระราชาส่งทหารมาอีก แต่ทหารกลุ่มที่สามได้ยินเรื่องที่เกิดกับพวกของตน นายของพวกเขาจึงวิงวอนขอชีวิตของเหล่าทหารจากเอลียาห์ พวกเขากลัวท่านยิ่งกว่าที่ท่านกลัวพวกเขา ทูตของพระเจ้าจึงกล่าวแก่เอลียาห์ว่าปลอดภัยที่จะไปกับพวกเขา (ข้อ13-15)
พระเยซูไม่ได้ต้องการให้เราขอไฟลงมาเผาผลาญศัตรูของเรา เมื่อเหล่าสาวกถามว่าพวกเขาจะขอไฟลงมาเผาหมู่บ้านชาวสะมาเรียได้ไหม พระเยซู
ทรงตำหนิพวกเขา (ลก.9:51-55) เราอยู่ในยุคที่ต่างกัน แต่พระเยซูทรงต้องการให้เรามีความกล้าหาญเหมือนเอลียาห์ คือพร้อมที่จะบอกทุกคนเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดที่สิ้นพระชนม์เพื่อพวกเขา อาจดูเหมือนว่าคนคนหนึ่งสู้กับคนห้าสิบคน แต่ที่จริงแล้วคือพระองค์ผู้เดียวที่สู้กับห้าสิบคน พระเยซูทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราต้องการเพื่อจะรักและเข้าหาผู้อื่นอย่างกล้าหาญ
ใครต้องการฉัน
ขณะอยู่บนเที่ยวบินกลางคืนไปวอชิงตันดีซี อาเธอร์ บรูคส์นักเขียนคอลัมน์วิจารณ์แอบได้ยินหญิงชราคนหนึ่งกระซิบกับสามีว่า “ไม่จริงเลยที่ว่าไม่มีใครต้องการคุณ” สามีพึมพำว่าเขาน่าจะตายได้แล้วและภรรยาตอบว่า “หยุดพูดอย่างนั้นได้แล้ว” เมื่อเครื่องบินลงจอด บรูคส์หันไปและจำชายคนนั้นได้ทันที เขาเป็นวีรบุรุษที่ดังไปทั่วโลก ผู้โดยสารคนอื่นจับมือเขาและนักบินประกาศขอบคุณที่เขาได้แสดงความกล้าหาญเมื่อหลายสิบปีก่อน บุรุษผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้จมอยู่ในความสิ้นหวังได้อย่างไร
ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ปราบผู้เผยพระวจนะของพระบาอัล 450 คนอย่างกล้าหาญด้วยตัวคนเดียว ซึ่งท่านคิดว่าอย่างนั้น (1 พกษ.18) แต่แท้จริงท่านไม่ได้ทำตามลำพัง พระเจ้าทรงอยู่ด้วยตลอด! แต่ต่อมาเมื่อรู้สึกโดดเดี่ยว ท่านขอให้พระเจ้าพรากชีวิตท่านไปเสีย
พระเจ้าทรงชูใจเอลียาห์ด้วยการนำท่านไปอยู่ต่อหน้าพระองค์และประทานประชาชนกลุ่มใหม่ให้ท่านรับใช้ ท่านต้องไป “เจิมฮาซาเอลไว้ให้เป็นกษัตริย์เหนือประเทศซีเรีย” เยฮูให้เป็น “กษัตริย์เหนืออิสราเอล” และเอลีชา “ให้เป็นผู้เผยพระวจนะแทนเจ้า” (19:15-16) เอลียาห์มีกำลังขึ้นด้วยเป้าหมายใหม่ ท่านพบและสั่งสอนผู้ที่จะมารับช่วงต่อจากท่าน
ชัยชนะยิ่งใหญ่ของคุณอาจอยู่ในอดีต คุณอาจรู้สึกว่าชีวิตผ่านจุดสูงสุดมาแล้วหรือไม่เคยถึงจุดนั้นเลย นั่นไม่เป็นไร ลองมองไปรอบๆ สนามรบอาจดูเล็กลง ผลที่ได้อาจไม่ยิ่งใหญ่แต่ก็ยังมีคนที่ต้องการคุณ ขอให้รับใช้พวกเขาอย่างดีเพื่อพระเยซูและมันจะมีความหมาย นั่นคือเป้าหมายของคุณและเหตุผลที่คุณยังอยู่ที่นี่
คุณสวมใครอยู่
ทีมบาสเก็ตบอลหญิงของอาร์เจนตินามาร่วมการแข่งขันโดยใส่ชุดลงแข่งผิด ชุดทีมของพวกเขาสีกรมท่าคล้ายกับชุดสีน้ำเงินเข้มของทีมโคลัมเบียมากเกินไป และในฐานะทีมเยือนพวกเขาควรต้องใส่ชุดสีขาว พวกเขาไม่มีเวลาหาชุดมาเปลี่ยนได้ทันจึงต้องสละสิทธิ์ในการแข่งขัน ต่อจากนี้ไปอาร์เจนตินาจะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังสวมชุดอะไร
ในสมัยผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์ พระเจ้าทรงให้ท่านเห็นนิมิตที่มหาปุโรหิตโยชูวาเข้าเฝ้าพระเจ้าในชุดที่เหม็นและสกปรก ซาตานชี้และเย้ยหยัน ท่านถูกตัดสิทธิ์! จบเกม! แต่ยังมีเวลาให้เปลี่ยน พระเจ้าตำหนิซาตานและสั่งให้ทูตสวรรค์เปลี่ยนเครื่องแต่งกายเก่าๆของท่าน พระองค์ตรัสกับโยชูวาว่า “ดูเถิด เราได้เอาความผิดบาปออกไปเสียจากเจ้าแล้ว และเราจะประดับตัวเจ้าด้วยเสื้อผ้าอันสะอาด” (ศคย.3:4)
เราเข้ามาในโลกพร้อมด้วยกลิ่นเหม็นจากความบาปของอาดัม ซึ่งเราสวมทับด้วยความบาปของเราเอง หากเรายังสวมชุดสกปรกของเราอยู่ เราจะต้องพ่ายแพ้เกมแห่งชีวิต แต่ถ้าเรารังเกียจบาปของเราและหันมาหาพระเยซู พระองค์จะทรงสวมพระองค์เองและความชอบธรรมของพระองค์ให้เราตั้งแต่หัวจรดเท้า ถึงเวลาสำรวจแล้วว่า เรากำลังสวมใครอยู่
ท่อนสุดท้ายของเพลงนมัสการ “ความหวังของข้า” อธิบายว่าเราจะมีชัยชนะได้อย่างไร “เมื่อพระเยซูเสด็จลงมา แตรลั่นท้องฟ้า ข้าแสนยินดี สวมเสื้อชอบธรรม สง่าราศี ข้าคอยต้อนรับองค์พระภูมี”
ผ่อนคลายอย่างมีวัตถุประสงค์
ราเมชรักที่จะบอกคนอื่นเกี่ยวกับพระเยซู เขาพูดอย่างกล้าหาญกับเพื่อนร่วมงาน และกลับไปที่หมู่บ้านของเขาเพื่อประกาศตามบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์เดือนละครั้ง ความกระตือรือร้นของเขาเป็นโรคติดต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเรียนรู้คุณค่าของการให้เวลาในการพักผ่อนและผ่อนคลาย
ราเมชเคยใช้วันหยุดทั้งหมดและช่วงค่ำเกือบทุกวันในการประกาศข่าวประเสริฐ ภรรยาและลูกๆคิดถึงเขาเมื่อเขาออกไป แต่เมื่ออยู่กับครอบครัวเขามักจะเหนื่อยล้า เขาต้องการให้ทุกนาทีและทุกบทสนทนามีความหมาย เขาไม่สามารถสนุกกับเกมหรือการคุยเล่น ราเมชผูกมัดตัวเองแน่นเกินไป
เขาถูกปลุกจากชีวิตที่ไม่สมดุลนี้ด้วยคำพูดที่ตรงไปตรงมาของภรรยา คำปรึกษาของเพื่อนๆและข้อพระคัมภีร์บางข้อที่ความหมายคลุมเครือ พระธรรมสุภาษิต 30 กล่าวถึงสิ่งเล็กๆเช่น มด พ่อไก่และตั๊กแตน น่าประหลาดใจที่ “ตุ๊กแกนั้น เจ้าเอามือจับได้แต่มันอยู่ในพระราชวัง” (ข้อ 28)
ราเมชสงสัยว่าสิ่งที่ไม่น่าสนใจถูกบันทึกในพระคัมภีร์ได้อย่างไร การสังเกตตุ๊กแกต้องใช้เวลาที่ว่างมาก บางคนคิดว่าการที่ตุ๊กแกวิ่งไปมาในพระราชวังเป็นเรื่องน่าสนใจจึงหยุดดูต่อ บางทีการที่พระเจ้าทรงใส่สิ่งเหล่านี้ในพระคำของพระองค์ก็เพื่อเตือนให้เรารักษาสมดุลของการทำงานและการพักผ่อน เราต้องการเวลาเพื่อฝันกลางวันเกี่ยวกับตุ๊กแก ไล่จับมันกับลูกๆและพักผ่อนอยู่กับครอบครัวและเพื่อนๆ ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้เรารู้ว่าเมื่อไรควรทำงาน รับใช้ และผ่อนคลาย!