เสรีภาพในพระวิญญาณ
ทั้งวิลเบอร์และออวิลล์ ไรท์ไม่มีใบอนุญาตนักบิน และไม่เคยเรียนวิทยาลัย พวกเขาเป็นช่างจักรยานที่มีความฝันและกล้าที่จะบิน ในวันที่ 17 ธันวาคม ค.ศ. 1903 พวกเขาผลัดกันขับเครื่องบินไรท์ฟลายเออร์ของตนเองสี่ครั้ง ครั้งที่บินได้นานที่สุดคือเพียงนาทีเดียว แต่มันเปลี่ยนโลกของเราไปตลอดกาล
ทั้งเปโตรและยอห์นต่างก็ไม่มีใบอนุญาตในการเทศนา และไม่เคยเข้าเรียนวิทยาลัยพระคริสตธรรม พวกท่านเป็นชาวประมงซึ่งเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเยซู โดยประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญว่า “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กจ.4:12)
เพื่อนบ้านของพี่น้องตระกูลไรท์ไม่ได้ชื่นชมความสำเร็จของพวกเขาในทันที หนังสือพิมพ์ในบ้านเกิดไม่เชื่อเรื่องราวของพวกเขา และกล่าวว่าแม้จะเป็นความจริง แต่เที่ยวบินนั้นสั้นเกินกว่าจะมีนัยสำคัญ ต้องใช้เวลาอีกหลายปีจึงจะบินได้และปรับปรุงเครื่องบินให้ดีขึ้น ก่อนที่สาธารณชนจะรู้ว่าพวกเขาได้ทำอะไรจริงๆ
พวกผู้นำศาสนาไม่ชอบเปโตรและยอห์น พวกเขาสั่งให้ท่านหยุดเล่าเรื่องพระเยซูให้คนอื่นฟัง เปโตรบอกว่า ไม่ได้อย่างแน่นอน “ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่เห็นและได้ยินนั้นก็ไม่ได้” (ข้อ 20)
คุณอาจไม่อยู่ในรายชื่อที่ได้รับการอนุญาต บางทีคุณอาจถูกดูหมิ่นโดยคนเหล่านั้น ไม่เป็นไร หากคุณมีพระวิญญาณของพระเยซู คุณก็มีเสรีภาพที่จะดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญเพื่อพระองค์!
กองถ่านที่ลุกโพลงเหนือศัตรู
ทุกวันแดนต้องทนรับการเฆี่ยนตีจากผู้คุมคนเดิม เขารู้สึกว่าพระเยซูอยากให้เขารักชายคนนี้ ดังนั้นในเช้าวันหนึ่งก่อนจะถูกเฆี่ยน แดนพูดว่า “ท่านครับ ถ้าผมจะต้องพบกับท่านทุกๆวันตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของผม ให้เรามาเป็นเพื่อนกันเถอะ” ผู้คุมบอกว่า “ไม่ เราไม่มีวันเป็นเพื่อนกันได้” แดนยืนยันและยื่นมือออกไป ผู้คุมยืนตัวแข็ง ตัวของเขาเริ่มสั่น แล้วเขาก็คว้ามือของแดนไว้และไม่ยอมปล่อย น้ำตาไหลอาบใบหน้าของเขาขณะพูดว่า “แดน ผมชื่อโรซ็อก ผมอยากเป็นเพื่อนกับคุณ” วันนั้นผู้คุมไม่ได้เฆี่ยนแดน และไม่เฆี่ยนอีกเลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
พระวจนะบอกเราว่า “ถ้าศัตรูของเจ้าหิว จงให้อาหารเขารับประทาน และถ้าเขากระหาย จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะเจ้าจะกองถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา และพระเจ้าจะทรงให้บำเหน็จแก่เจ้า” (สภษ.25:21-22) ภาพเปรียบเทียบของ “ถ่าน” อาจสื่อให้เห็นถึงพิธีกรรมของชาวอียิปต์ ที่คนซึ่งมีความผิดจะแสดงออกถึงการกลับใจโดยถือชามใส่ถ่านร้อนๆไว้บนศีรษะของเขา ในทำนองเดียวกันที่ความเมตตาของเราอาจทำให้ศัตรูรู้สึกอับอายจนหน้าแดง และอาจนำเขาสู่การกลับใจได้
ใครคือศัตรูของคุณ คุณไม่ชอบใคร แดนค้นพบว่าพระเมตตาของพระเยซูมีอำนาจมากพอที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจ ทั้งของศัตรูของเขาและตัวเขาเอง เราเองก็ทำได้เช่นกัน
มันว่างเปล่าแล้ว
พวกพี่ชายและครอบครัวของเราใช้เวลาทั้งวันในการย้ายข้าวของของพ่อแม่ออกจากบ้านสมัยเด็กของเรา พอบ่ายแก่ๆเรากลับไปเพื่อขนย้ายครั้งสุดท้าย โดยรู้ว่านี่จะเป็นเวลาครั้งสุดท้ายในบ้านของครอบครัวเรา เราร่วมกันถ่ายรูปที่ระเบียงหลังบ้าน ผมกำลังกลั้นน้ำตาเมื่อแม่หันมาพูดกับผมว่า“ตอนนี้มันว่างเปล่าแล้ว” นั่นทำให้ผมกลั้นน้ำตาไม่อยู่ บ้านที่เก็บความทรงจำไว้ห้าสิบสี่ปีว่างเปล่าลงแล้ว ผมพยายามไม่คิดถึงมัน
ความเจ็บปวดในใจของผมสะท้อนอยู่ในถ้อยคำแรกของเยเรมีย์ในเพลงคร่ำครวญ “กรุงที่คับคั่งด้วยพลเมือง มาอ้างว้างอยู่ได้หนอ” (1:1) จุดแตกต่างที่สำคัญคือกรุงเยรูซาเล็มนั้นร้างเปล่า “เพราะความทรยศอันมหันต์ของเธอ” (ข้อ 5) พระเจ้าทรงเนรเทศประชากรของพระองค์ไปยังกรุงบาบิโลนเพราะพวกเขากบฏต่อพระองค์และปฏิเสธที่จะกลับใจ (ข้อ 18) พ่อแม่ของผมไม่ได้ย้ายบ้านเพราะความบาป อย่างน้อยก็ไม่ใช่โดยตรง แต่ตั้งแต่ที่อาดัมทำบาปในสวนเอเดน สภาพร่างกายของแต่ละคนจึงเสื่อมถอยไปตามช่วงวัย เมื่อเราอายุมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะต้องการบ้านที่เล็กลงเพื่อง่ายต่อการดูแล
ผมขอบคุณความทรงจำต่างๆที่ทำให้บ้านธรรมดาของเรามีความพิเศษ ความเจ็บปวดคือราคาของความรัก ผมรู้ว่าการบอกลาครั้งต่อไปจะไม่ใช่กับบ้านของพ่อแม่แต่เป็นตัวพวกท่านเอง ผมจึงคร่ำครวญร้องขอให้พระเยซูเสด็จมาเพื่อยุติการบอกลาและฟื้นฟูทุกสิ่งขึ้นใหม่ ความหวังของผมอยู่ในพระองค์
พระเยซูเป็นคำตอบ
มีเรื่องเล่าว่าในระหว่างที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เดินสายเพื่อบรรยายทางวิชาการนั้น หลังจากเสร็จสิ้นการบรรยายในอีกที่หนึ่งคนขับรถพูดขึ้นว่า เขาฟังการบรรยายมามากพอจนเขาบรรยายเองได้แล้ว ไอน์สไตน์เสนอว่าพวกเขาจะสลับตำแหน่งกันที่วิทยาลัยถัดไป เนื่องจากไม่มีใครเคยเห็นรูปของท่าน คนขับรถตกลงและบรรยายได้อย่างดี แล้วก็มาถึงช่วงตอบคำถาม คนขับรถตอบผู้ถามที่อวดดีคนหนึ่งว่า “ผมเห็นว่าคุณเป็นศาสตราจารย์ที่หลักแหลมมาก แต่ผมแปลกใจที่คุณถามคำถามง่ายๆที่แม้แต่คนขับรถของผมก็ตอบได้” แล้ว “คนขับรถ” คืออัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เองได้เป็นผู้ตอบคำถามนั้น! เรื่องราวที่ถูกจัดฉากขึ้นอย่างสนุกสนานนี้จึงจบลง
สหายผู้กล้าสามคนของดาเนียลอยู่ในตำแหน่งที่ต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ขู่ว่าจะโยนพวกเขาเข้าไปในเตาไฟที่ลุกอยู่ หากพวกเขาไม่กราบลงนมัสการปฏิมากรของพระองค์ โดยตรัสว่า “ผู้ใดเล่าจะเป็นพระที่จะช่วยกู้ให้เจ้าพ้นจากมือของเราได้” (ดนล.3:15) สหายนั้นยังคงปฏิเสธที่จะกราบนมัสการ ดังนั้นกษัตริย์จึงรับสั่งให้เร่งเตาไฟให้ร้อนขึ้นอีกเจ็ดเท่า แล้วโยนพวกเขาเข้าไป
พวกเขาไม่ได้เข้าไปลำพัง มี “ทูตสวรรค์” องค์หนึ่ง (ข้อ 28) ซึ่งอาจเป็นพระเยซูเองอยู่กับพวกเขาในนั้น ทรงปกป้องพวกเขาจากอันตรายและประทานคำตอบที่ปฏิเสธไม่ได้ต่อคำถามของกษัตริย์ (ข้อ 24-25) เนบูคัดเนสซาร์จึงถวายสาธุการแด่ “พระเจ้าของชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก” และยอมรับว่า “ไม่มีพระองค์อื่นอีกที่จะสามารถช่วยกู้ในทางนี้ได้” (ข้อ 28-29)
บางครั้งเราอาจรู้สึกท่วมท้นจากสิ่งต่างๆจนเกินจะรับไหว แต่พระเยซูประทับอยู่เคียงข้างผู้ที่ปรนนิบัติพระองค์ พระองค์จะทรงอุ้มชูเราไว้
ปล่อยวาง
หนังสืออัตชีวประวัติของออกัสตินเรื่องคำสารภาพ บรรยายถึงการเดินทางอันยาวนานและคดเคี้ยวกว่าที่เขาจะพบพระเยซู ครั้งหนึ่งเขากำลังเดินทางไปยังพระราชวังเพื่อกล่าวคำปราศรัยยกย่องต่อองค์จักรพรรดิ เขารู้สึกกังวลกับเสียงปรบมือที่ไม่จริงใจในระหว่างทาง จนเมื่อเขาสังเกตเห็นขอทานขี้เมาคนหนึ่ง “ล้อเล่นและหัวเราะ” เขาก็คิดขึ้นได้ว่าคนเมาคนนั้นได้มีความสุขชั่วขณะในอาชีพที่ต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมของเขาแล้ว โดยใช้แค่ความพยายามเพียงเล็กน้อย ดังนั้นออกัสตินจึงเลิกดิ้นรนเพื่อความสำเร็จฝ่ายโลก
แต่เขายังคงเป็นทาสของตัณหา เขารู้ว่าไม่สามารถหันไปหาพระเยซูได้โดยไม่หันหลังจากบาป และเขายังคงต่อสู้กับความผิดทางเพศ ดังนั้นเขาจึงอธิษฐานว่า “ขอโปรดประทานความบริสุทธิ์ให้แก่ข้าพระองค์... แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้”ออกัสตินยังคงสะดุดล้มระหว่างความรอดและความบาป จนในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าพอแล้ว เมื่อได้รับแรงบันดาลใจจากคนอื่นๆที่หันไปหาพระเยซู เขาจึงเปิดพระธรรมโรม 13:13-14 ที่บันทึกไว้ว่า “เราจงประพฤติตัวให้เหมาะสม...มิใช่เลี้ยงเสพสุราเมามาย มิใช่หยาบโลนลามก...แต่ท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูคริสตเจ้า และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอตัณหาของเนื้อหนัง”
เท่านั้นแหละ พระเจ้าทรงใช้ถ้อยคำที่ได้รับการดลใจให้หักโซ่ตรวนแห่งตัณหาของออกัสตินและนำเขา “มาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตร...ในพระบุตรนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการทรงโปรดยกบาปทั้งหลายของเรา” (คส.1:13-14) ออกัสตินได้กลายเป็นหัวหน้าบาทหลวงผู้ที่ยังคงถูกล่อลวงด้วยชื่อเสียงและตัณหา แต่บัดนี้เขารู้แล้วว่าเมื่อทำบาปเขาจะต้องไปหาใคร เขาหันไปหาพระเยซู คุณล่ะหันไปหาพระเยซูแล้วหรือยัง
เราไม่ได้อยู่ลำพัง
ในเรื่องสั้นแนวระทึกขวัญของเฟรดริก บราวน์ชื่อ “เคาะ” เขาเขียนไว้ว่า “มนุษย์คนสุดท้ายบนโลกนั่งอยู่คนเดียวในห้อง ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตู” เอ๊ะ! ใครกันและพวกเขาต้องการอะไร สิ่งมีชีวิตลึกลับใดที่มาหาเขา ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ลำพัง เราเองก็เช่นกัน
คริสตจักรเมืองเลาดีเซียได้ยินเสียงเคาะที่ประตูของพวกเขา (วว.3:20) ผู้ใดกันที่มีฤทธิ์เดชเหนือธรรมชาติที่ได้มาหาพวกเขา นามของพระองค์คือพระเยซูผู้ทรง “เป็นเบื้องต้นและเป็นเบื้องปลาย...เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่” (1:17-18) พระเนตรของพระองค์ดุจเปลวเพลิง และพระพักตร์ของพระองค์ “ดุจดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงกล้า” (ข้อ 16) เมื่อยอห์นสหายสนิทได้เห็นพระสิริของพระองค์ ท่านก็ “ล้มลงแทบพระบาทของพระองค์เหมือนกับคนที่ตายแล้ว” (ข้อ 17) ความเชื่อในพระคริสต์นั้นเริ่มต้นด้วยความยำเกรงพระเจ้า
เราไม่ได้อยู่ลำพัง และสิ่งนี้ก็ปลอบโยนเราด้วย พระเยซูทรง “เป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์” (ฮบ.1:3) แต่กระนั้นพระคริสต์ไม่ได้ทรงใช้ฤทธิ์อำนาจนั้นประหัตประหารเรา แต่เพื่อที่จะรักเรา ให้เราฟังคำเชิญของพระองค์ “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วว.3:20) ความเชื่อของเราเริ่มต้นด้วยความเกรงกลัวว่ามีใครบางคนอยู่ที่ประตู แล้วจบลงด้วยการต้อนรับและอ้อมกอดอันเข้มแข็ง พระเยซูทรงสัญญาว่าจะอยู่กับเราเสมอ แม้ว่าเราจะเป็นคนสุดท้ายในโลกนี้ ขอบคุณพระเจ้าที่เราไม่ได้อยู่ลำพัง
คุณชื่ออะไร
เจนแต่งงานใหม่หลังจากสามีคนแรกของเธอเสียชีวิต ลูกๆของสามีใหม่ไม่เคยยอมรับเธอ และในตอนนี้ที่เขาก็เสียชีวิตลงอีกคน พวกเขาเกลียดที่เธอยังอยู่ในบ้านสมัยเด็กของพวกเขา สามีได้ทิ้งสมบัติไว้เพื่อดูแลเธอ พวกลูกๆบอกว่าเธอขโมยมรดกของพวกเขา เจนกำลังท้อแท้ซึ่งก็เข้าใจได้ และเธอเริ่มขมขื่น
สามีของนาโอมีย้ายครอบครัวไปโมอับ ที่ซึ่งเขาและลูกชายสองคนเสียชีวิตลง หลายปีต่อมานาโอมีกลับมายังเบธเลเฮมโดยไม่เหลืออะไร เหลือเพียงรูธลูกสะใภ้ ชาวเมืองแตกตื่นและถามว่า “นี่น่ะหรือ นางนาโอมี” (นรธ.1:19) เธอกล่าวว่าพวกเขาไม่ควรเรียกชื่อนั้นที่แปลว่า “สุขสบาย” แต่ควรเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่า “ขมขื่น” เพราะ “เมื่อฉันจากเมืองนี้ไปฉันมีทุกอย่างครบบริบูรณ์ พระเจ้าทรงพาฉันกลับมาตัวเปล่า” (ข้อ 20-21)
มีสถานการณ์ใดที่ทำให้ชื่อของคุณแปลว่าขมขื่นหรือไม่ คุณอาจกำลังผิดหวังกับเพื่อน ครอบครัว หรือสุขภาพที่แย่ลง คุณคู่ควรกับสิ่งที่ดีกว่านี้ แต่คุณไม่ได้รับมัน ในตอนนี้คุณจึงขมขื่น
นาโอมีกลับสู่เบธเลเฮมอย่างขมขื่น แต่เธอก็กลับมา คุณก็กลับบ้านได้เช่นกัน กลับมาหาพระเยซู พระองค์เป็นผู้สืบเชื้อสายของนางรูธซึ่งบังเกิดที่เมืองเบธเลเฮม และพักสงบในความรักของพระองค์
เมื่อถึงเวลา พระเจ้าทรงแทนที่ความขมขื่นของนาโอมีด้วยความชื่นชมยินดีแห่งแผนการที่สำเร็จสมบูรณ์ (4:13-22) พระองค์ทรงแทนที่ความขมขื่นของคุณได้เช่นเดียวกัน จงกลับบ้านมาหาพระองค์
เลือกความยินดี
คีธรู้สึกหดหู่ขณะเดินอย่างอิดโรยไปตามทางเดินของแผนกผักและผลไม้สด มือของเขาสั่นเทิ้มอันเป็นหนึ่งในสัญญาณแรกของโรคพาร์กินสัน อีกนานแค่ไหนนะที่คุณภาพชีวิตของเขาจะเริ่มถดถอย ภรรยาและลูกๆของเขาจะเป็นอย่างไร ความเศร้าของคีธมลายลงด้วยเสียงหัวเราะ ตรงข้างที่วางมันฝรั่ง ชายคนหนึ่งเข็นเด็กชายที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่บนรถเข็นวีลแชร์ เขาโน้มตัวลงไปกระซิบบางอย่างกับลูกชายที่เอาแต่ยิ้มกว้าง สภาพของเด็กคนนั้นดูแย่กว่าคีธอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาและพ่อกำลังมีความสุขในขณะที่ยังทำได้
ขณะรอผลการพิจารณาคดี อัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายจากในคุกหรือการถูกคุมขังในบ้าน ดูแล้วท่านไม่น่าจะมีความยินดีได้ (ฟป.1:12-13) ขณะนั้นจักรพรรดิคือเนโรผู้ชั่วร้ายและขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องความรุนแรงและโหดเหี้ยม เปาโลจึงน่าจะวิตกกังวล ท่านยังรู้อีกด้วยว่ามีบางคนฉวยโอกาสตอนที่ท่านไม่อยู่เทศนาสั่งสอนเพื่อชื่อเสียงของตนเอง พวกเขาคิดว่าจะ “เพิ่มความทุกข์ลำบาก” แก่เปาโลขณะที่ถูกคุมขังอยู่ได้ (ข้อ 17)
แต่กระนั้นเปาโลยังเลือกที่จะชื่นชมยินดี (ข้อ 18-21) และได้บอกชาวเมืองฟีลิปปีให้ทำตามอย่างท่าน คือ “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (4:4) สถานการณ์ของเราอาจดูสิ้นหวัง แต่พระเยซูทรงอยู่กับเราในขณะนี้ และทรงรับประกันว่าเราจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ พระคริสต์ผู้ทรงเดินออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ จะเสด็จกลับมาชุบชีวิตผู้เชื่อในพระองค์ให้เป็นขึ้นเพื่ออยู่ร่วมกับพระองค์ ในขณะที่เราเริ่มต้นปีใหม่นี้ ขอให้เราชื่นชมยินดี!
ในพระหัตถ์ของพระองค์
วิลเลี่ยมแชทเนอร์รับบทเป็นกัปตันเคิร์กในซีรีส์ทางโทรทัศน์เรื่องสตาร์เทรค แต่เขาไม่รู้ตัวว่าจะต้องพบอะไรบ้างในการเดินทางจริงไปยังอวกาศ เขาเรียกเที่ยวบินระยะสั้นที่บินเป็นทางตรงขึ้นไปในอวกาศก่อนจะวกกลับสู่โลกด้วยระยะเวลา 11 นาทีนี้ว่าเป็น “ประสบการณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมจะจินตนาการได้” เขาก้าวออกจากจรวดและตกตะลึงที่ “ได้เห็นแสงสีฟ้าผ่านไปตรงหน้า และตอนนี้คุณกำลังจ้องเข้าไปยังความมืด นี่แหละมันเป็นอย่างนั้น” คุณ “มองลงไปเห็น (โลก)สีฟ้า นั้นอยู่ด้านล่าง ส่วนข้างบนเป็นสีดำ” เขาเพิ่มเติมอีกว่า “สีฟ้านั้นช่างสวยงามและบางมากจนคุณผ่านมันไปได้อย่างรวดเร็ว”
โลกของเราเป็นจุดสีฟ้าที่ล้อมรอบด้วยความมืดมิด มันเป็นภาพที่รบกวนจิตใจ แชทเนอร์บอกว่าการบินจากท้องฟ้าสีฟ้าเข้าไปสู่ความมืดดำนั้นเหมือนการบินเข้าไปสู่ความตาย “ในชั่วขณะเดียวเท่านั้น แล้วคุณก็เข้าไปเลย ‘โอ้โห นั่นคือความตาย!’ นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น มันมีผลกับจิตใจผมมาก ประสบการณ์นี้เป็นอะไรที่เหลือเชื่อจริงๆ”
เที่ยวบินที่น่าตื่นตะลึงของแชทเนอร์ทำให้เราเห็นชีวิตได้ชัดเจนขึ้น เราเป็นเพียงวัตถุเล็กๆในจักรวาล แต่เราเป็นที่รักของพระผู้ทรงสร้างความสว่างและแยกความสว่างออกจากความมืด (ปฐก.1:3-4) พระบิดาของเราทรงรู้ว่าความมืดอยู่ที่ไหนและเส้นทางใดนำไปสู่เขตแดนของมัน (โยบ 38:19-20) พระองค์ทรง “วางรากฐานของแผ่นดินโลก...เมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญและบรรดาบุตรพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน” (ข้อ 4-7)
ให้เราฝากชีวิตเล็กๆของเราไว้กับพระเจ้า ผู้ทรงควบคุมจักรวาลทั้งหมดไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์