ผู้เชื่อที่เกิดผลในพระคริสต์
ซินดี้ตื่นเต้นกับงานใหม่ของเธอในบริษัทที่ไม่แสวงผลกำไร นี่เป็นโอกาสที่จะได้สร้างความเปลี่ยนแปลง! แต่ไม่นานเธอก็พบว่าเพื่อนร่วมงานไม่ได้กระตือรือร้นเหมือนกับเธอ พวกเขาดูแคลนเป้าหมายของบริษัทและหาข้อแก้ตัวให้กับการทำงานอันย่ำแย่ของตน ในขณะที่มองหาตำแหน่งงานที่ทำรายได้มากกว่าจากที่อื่น ซินดี้ได้แต่คิดว่าไม่ควรสมัครงานนี้เลย สิ่งที่ดูดีเมื่อมองอยู่ไกลๆช่างน่าผิดหวังเมื่อเข้ามาใกล้
นี่เป็นปัญหาเดียวกับที่พระเยซูได้พบจากต้นมะเดื่อที่กล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ วันนี้ (มก.11:13) ขณะนั้นเป็นช่วงต้นฤดู แต่ใบของต้นมะเดื่อส่งสัญญาณว่าอาจจะมีผลออกแล้ว แต่ไม่เป็นเช่นนั้น ต้นไม้ผลิใบแต่ยังไม่ออกผล พระเยซูทรงสาปต้นไม้ด้วยความผิดหวังว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” (ข้อ 14) เช้าวันรุ่งขึ้นต้นไม้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปจนถึงราก (ข้อ 20)
ครั้งหนึ่งพระคริสต์ทรงเคยอดอาหารสี่สิบวัน ดังนั้นพระองค์ทรงรู้ว่าจะอยู่โดยไม่มีอาหารได้อย่างไร การสาปแช่งต้นไม้ไม่ได้เกิดจากที่ทรงหิว แต่เป็นการสอนด้วยตัวอย่าง ต้นไม้เป็นตัวแทนคนอิสราเอลที่ยึดติดกับศาสนาแท้จนหลงประเด็น พวกเขากำลังจะประหารพระเมสสิยาห์พระบุตรของพระเจ้า พวกเขาจะไม่เกิดผลไปอีกนานเท่าใด
เราอาจมองดูดีจากที่ไกลๆ แต่พระเยซูทรงเข้ามาใกล้เพื่อมองหาผลที่มีเพียงพระวิญญาณของพระองค์เท่านั้นที่ทำให้เกิดขึ้นได้ ผลของเราไม่จำเป็นต้องน่าประทับใจ แต่ควรจะเกิดขึ้นอย่างเหนือธรรมชาติ เช่น ความรัก ความชื่นชมยินดี และสันติสุขในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (กท.5:22) เราสามารถเกิดผลเพื่อพระเยซูมากขึ้นได้โดยการพึ่งพาในองค์พระวิญญาณ
ความรักอันเหลือเฟือ
ผู้โดยสารที่นั่งข้างผมบนเที่ยวบินบอกว่าเธอไม่มีศาสนา และเธอได้อพยพมาอยู่ในเมืองซึ่งมีคริสเตียนจำนวนมาก เมื่อเธอเล่าว่าเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ของเธอไปโบสถ์ ผมจึงถามถึงประสบการณ์ของเธอ เธอบอกว่าเธอคงไม่สามารถตอบแทนความมีน้ำใจของพวกเขาได้ เมื่อเธอพาพ่อที่พิการมายังประเทศใหม่นี้ พวกเพื่อนบ้านมาช่วยสร้างทางลาดที่บ้านของเธอและบริจาคเตียงสำหรับผู้ป่วยรวมถึงอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ เธอบอกว่า “ถ้าการเป็นคริสเตียนทำให้คนจิตใจดีเช่นนี้ ทุกคนก็ควรเป็นคริสเตียน”
สิ่งที่เธอพูดตรงกับสิ่งที่พระเยซูทรงคาดหวัง! พระองค์ตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (มธ.5:16) เปโตรได้ยินพระบัญชาของพระคริสต์และถ่ายทอดต่อ “จงรักษาความประพฤติอันดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติชั่ว เขาจะได้เห็นการดีของท่าน และเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า” (1 ปต.2:12)
เพื่อนบ้านของเราที่ไม่ได้เชื่อพระเยซูอาจไม่เข้าใจในสิ่งที่เราเชื่อและทำไมเราจึงเชื่อเช่นนั้น อย่าวิตกในเรื่องนี้ เพราะจะยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจ นั่นคือความรักอันเหลือเฟือของเรา เพื่อนร่วมทางของผมประหลาดใจที่เพื่อนบ้านคริสเตียนของเธอยังคงเอาใจใส่เธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เป็น “หนึ่งในพวกเขา” (ตามคำพูดของเธอ) เธอรู้ว่าเธอได้รับความรักเพราะพวกเขาเห็นแก่พระเยซู และเธอขอบคุณพระเจ้า เธออาจจะยังไม่เชื่อในพระองค์ แต่เธอรู้สึกขอบคุณที่คนอื่นๆเหล่านั้นเชื่อในพระองค์
ต้อนรับคนแปลกหน้า
ในหนังสือชื่อเรื่องเศร้าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ความจริง แดเนียล นาเยรีเล่าถึงการเดินทางอันน่าสะเทือนใจของเขากับแม่และน้องสาวจากการข่มเหงทารุณผ่านค่ายผู้ลี้ภัยจนกระทั่งปลอดภัยในสหรัฐอเมริกา สามีภรรยาสูงอายุคู่หนึ่งตกลงที่จะอุปการะพวกเขาแม้ทั้งคู่จะไม่รู้จักพวกเขาเลยก็ตาม หลายปีต่อมาแดเนียลยังคงไม่อาจลืมได้ เขาเขียนว่า “คุณเชื่อไหม พวกเขาทำอย่างนั้นโดยไม่เคยพบเราด้วยซ้ำ และถ้าเรากลายเป็นผู้ร้าย พวกเขาคงจะเสียหาย นั่นแทบจะเป็นความกล้าหาญ ความกรุณาและบ้าบิ่นอย่างที่สุดเท่าที่ผมคิดว่าจะมีใครเป็นได้”
กระนั้นก็ตามพระเจ้าทรงปรารถนาให้เราห่วงใยผู้อื่นในระดับนั้น พระองค์ตรัสกับคนอิสราเอลให้มีใจกรุณาต่อคนต่างด้าว “จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง เพราะว่าเจ้าเคยเป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์” (ลนต.19:34) พระองค์ทรงเตือนคนต่างชาติที่เชื่อในพระเยซูซึ่งก็คือพวกเราจำนวนมาก ว่าครั้งหนึ่งเรา “แยกจากพระคริสต์...และเป็นคนต่างด้าวอยู่นอกพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ ไม่มีความหวังและอยู่ในโลกโดยปราศจากพระเจ้า” (อฟ.2:12 TNCV) พระองค์จึงทรงบัญชาเราทุกคนที่เคยเป็นคนต่างด้าว ทั้งคนยิวและคนต่างชาติว่า “อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า” (ฮบ.13:2)
เวลานี้แดเนียลเป็นผู้ใหญ่และมีครอบครัวของตัวเองแล้ว เขากล่าวยกย่องจิมและจีน ดอว์สัน “ผู้เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เพราะว่าพวกเขาได้ให้ครอบครัวผู้ลี้ภัยมาอาศัยอยู่ด้วยจนกว่าคนเหล่านั้นจะหาบ้านได้”
พระเจ้าทรงต้อนรับคนแปลกหน้าและทรงปรารถนาให้เราต้อนรับพวกเขาด้วยเช่นกัน
บทเรียนจากรอยแผลเป็น
เฟย์สัมผัสรอยแผลเป็นหลายแห่งบนหน้าท้องของเธอ เธอต้องทนกับการผ่าตัดอีกครั้งเพื่อเอามะเร็งหลอดอาหารในช่องท้องออกไป ครั้งนี้แพทย์ได้ผ่าหน้าท้องและทิ้งรอยแผลเป็นขรุขระซึ่งเผยให้เห็นถึงขนาดของการผ่าตัด เธอบอกสามีว่า “แผลเป็นแสดงให้เห็นความเจ็บปวดจากมะเร็งหรืออีกด้านคือการเริ่มต้นของการรักษา แต่ฉันเลือกให้รอยแผลเป็นเหล่านี้เป็นเครื่องหมายของการรักษา”
ยาโคบเผชิญทางเลือกที่คล้ายกันหลังจากปล้ำสู้กับพระเจ้าตลอดคืน ผู้จู่โจมจากสวรรค์ได้ถูกต้องข้อต่อสะโพกของยาโคบจนเคล็ด ท่านจึงหมดแรงและเดินโขยกเขยกอย่างเห็นได้ชัด หลายเดือนต่อมาเมื่อท่านนวดกล้ามเนื้อสะโพกของตนนั้น ฉันสงสัยว่าท่านจะนึกถึงอะไร
ท่านจะเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจกับการหลอกลวงตลอดหลายปีของตนซึ่งบังคับให้เข้าสู่การปล้ำสู้ที่ส่งผลกระทบยาวไกลนี้หรือไม่ ผู้ส่งสารของพระเจ้าต่อสู้เพื่อเอาความจริงจากยาโคบ โดยปฏิเสธที่จะอวยพรท่านจนกว่าท่านจะยอมรับว่าตัวท่านเองเป็นใคร ท่านสารภาพว่าตนคือยาโคบผู้ที่ “จับส้นเท้า” (ดูปฐก.25:26) ท่านใช้เล่ห์เหลี่ยมกับเอซาวพี่ชายและลาบันพ่อตา ทำให้คนเหล่านั้นพลาดเพื่อตนจะได้เปรียบ บุรุษจากพระเจ้าบอกแก่ยาโคบว่าชื่อใหม่ของท่านคือ “อิสราเอล เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์ และได้ชัยชนะ” (32:28)
ขาที่เขยกของยาโคบแสดงถึงความตายของชีวิตเก่าที่หลอกลวงและการเริ่มต้นชีวิตใหม่กับพระเจ้า เป็นจุดจบของยาโคบและการเริ่มต้นของอิสราเอล ขาที่ทำให้ท่านต้องพึ่งพาพระเจ้าผู้ซึ่งบัดนี้ได้เคลื่อนไหวด้วยฤทธิ์เดชภายในท่านและผ่านตัวท่าน
มีพระเจ้าก็เกินพอ
เอลเลนมีรายได้จำกัด เธอจึงดีใจที่ได้รับเงินโบนัสสำหรับคริสต์มาส ซึ่งนั่นก็น่าจะเพียงพอ แต่เมื่อเธอนำเงินไปฝากก็มีเรื่องให้ประหลาดใจอีก เจ้าหน้าที่บอกว่าธนาคารได้มอบของขวัญคริสต์มาสโดยฝากเงินค่าจำนองบ้านของเดือนมกราคมเข้าในบัญชีของเธอ ตอนนี้เธอกับเทรย์จึงสามารถจ่ายบิลต่างๆ และอวยพรผู้อื่นด้วยของขวัญคริสต์มาสชิ้นพิเศษได้! พระเจ้าทรงมีวิธีอวยพรเราเกินกว่าที่เราจะคาดคิด นาโอมีขมขื่นและใจสลายจากการเสียชีวิตของสามีและพวกลูกชาย (นรธ.1:20-21) สถานการณ์สิ้นหวังของนางได้รับการกอบกู้โดยโบอาส ญาติซึ่งแต่งงานกับนางรูธลูกสะใภ้ของนางและได้จัดหาบ้านให้พวกเธอ (4:10)
นั่นอาจเป็นทั้งหมดที่นาโอมีตั้งความหวังไว้ แต่แล้วพระเจ้ายังทรงอวยพรรูธและโบอาสให้มีบุตรชายหนึ่งคน ตอนนี้นาโอมีมีหลานชายที่จะช่วย “ชุบชีวิตของ[นาง]และเลี้ยงดู[นาง]เมื่อชรา” (ข้อ 15) นั่นก็น่าจะพอแล้ว เช่นที่หญิงชาวเบ็ธเลเฮ็มพูดว่า “มีบุตรชายคนหนึ่งเกิดให้แก่นาโอมี” (ข้อ 17) โอเบดน้อยเติบโตขึ้นและได้กลายเป็น “บิดาของเจสซี ซึ่งเป็นบิดาของดาวิด” (ข้อ 17) ครอบครัวของนาโอมีให้กำเนิดเชื้อสายกษัตริย์ของอิสราเอล ซึ่งเป็นราชวงศ์ที่มีความสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์! นั่นก็น่าจะพอแล้ว แต่ทว่าดาวิดยังได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของ...พระเยซู
ถ้าเราเชื่อในพระคริสต์ เราก็อยู่ในสถานะเดียวกับนาโอมี เราไม่มีอะไรเลยจนกระทั่งพระองค์ทรงไถ่เรา ตอนนี้เราได้รับการยอมรับอย่างเต็มที่จากพระบิดาผู้ทรงอวยพรเราเพื่อให้เราเป็นพรแก่ผู้อื่น ซึ่งนั่นก็มากเกินพอแล้ว
ต้อนรับกลับบ้านโดยพระเจ้า
หลังจากที่เชอร์แมน สมิธ รับดีแลนด์ แม็คคัลโลว์เข้าทีมเพื่อเล่นอเมริกันฟุตบอลให้มหาวิทยาลัยไมอามี่ เขาเริ่มรักเด็กคนนี้และกลายเป็นเหมือนพ่อที่ดีแลนด์ไม่เคยมี ดีแลนด์ชื่นชมในตัวเชอร์แมนมากและตั้งใจว่าจะเป็นเหมือนเขาในวันหนึ่ง สิบกว่าปีต่อมาเมื่อดีแลนด์ตามหาแม่ผู้ให้กำเนิดเขา เธอทำให้เขาตกใจมากเมื่อบอกกับเขาว่า “พ่อของลูกชื่อ เชอร์แมน สมิธ” ใช่แล้ว เชอร์แมน สมิธคนนั้นนั่นเอง โค้ชสมิธตกใจที่รู้ว่าเขามีลูกชาย และดีแลนด์เองก็ตกใจที่คนซึ่งเขาเทิดทูนเหมือนพ่อนั้นคือพ่อเขาจริงๆ!
ครั้งต่อมาที่พวกเขาพบกัน เชอร์แมนกอดดีแลนด์และพูดว่า “ลูกชายของพ่อ” ดีแลนด์ไม่เคยได้ยินคำนี้จากพ่อมาก่อน เขารู้ว่าเชอร์แมน “พูดด้วยความรู้สึกว่า ‘ฉันภูมิใจ นี่ลูกชายฉัน’” และเขาตื้นตันใจมาก
เราเองก็ควรรู้สึกตื้นตันใจในความรักอันสมบูรณ์ของพระบิดาในสวรรค์ของเรา ยอห์นบันทึกไว้ว่า “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” (1 ยน.3:1) เราเองก็ตกตะลึงไม่แพ้ดีแลนด์ผู้ซึ่งไม่เคยคิดว่าเชอร์แมนจะเป็นพ่อของเขา นี่เป็นเรื่องจริงหรือนี่ ยอห์นยืนยันว่าจริง “และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น” (ข้อ 1)
ถ้าคุณเชื่อในพระเยซู พระบิดาของพระองค์ก็คือบิดาของคุณ คุณอาจรู้สึกว่าคุณกำพร้า โดดเดี่ยวในโลกนี้ แต่ความจริงคือคุณมีพ่อ พระองค์ผู้เดียวที่สมบูรณ์แบบ และพระองค์ทรงภูมิใจที่ได้เรียกคุณว่าเป็นลูกของพระองค์
กษัตริย์สามพระองค์
ในละครเพลงยอดนิยมเรื่อง แฮมิลตัน พระเจ้าจอร์จที่ 3 กษัตริย์แห่งอังกฤษถูกนำเสนอในแนวขบขันว่าเป็นวายร้ายที่ฟั่นเฟือน อย่างไรก็ตามชีวประวัติใหม่ของพระเจ้าจอร์จบอกว่าพระองค์ไม่ใช่ทรราชย์ที่บรรยายไว้ใน คำประกาศอิสรภาพของแฮมิลตันหรือของอเมริกา หากพระเจ้าจอร์จเป็นเผด็จการที่โหดร้ายอย่างที่ชาวอเมริกันกล่าวว่าพระองค์เป็น พระองค์คงหยุดการเรียกร้องเอกราชของพวกเขาด้วยมาตรการทางทหารที่หนักหน่วงเพื่อหวังทำลายทุกสิ่ง แต่ก็ทรงยับยั้งไว้ด้วยภาวะจิตใจอย่างผู้ที่ “มีอารยธรรม นิสัยดี”
ไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าจอร์จทรงสิ้นพระชนม์ไปด้วยความเสียใจไหม รัชกาลของพระองค์อาจประสบความสำเร็จมากกว่านี้หรือไม่หากทรงแข็งกร้าวต่อประชาชนของพระองค์
นั่นไม่จำเป็นเลย ในพระคัมภีร์เราอ่านเรื่องกษัตริย์เยโฮรัมผู้ซึ่งสถาปนาบัลลังก์ของพระองค์ให้มั่นคงโดย “ประหารพระอนุชาของพระองค์เสียหมดด้วยดาบ ทั้งเจ้านายบางคนของยูดาห์ด้วย” (2พศด.21:4) กษัตริย์เยโฮรัม “กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า” (ข้อ 6) การปกครองที่โหดเหี้ยมทำให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน ผู้ซึ่งมิได้ร่ำไห้ต่อการสิ้นพระชนม์อันน่าสยดสยองของพระองค์ และมิได้ “ก่อเพลิงถวายเกียรติแก่พระองค์” (ข้อ 19)
นักประวัติศาสตร์อาจถกเถียงกันว่าพระเจ้าจอร์จผ่อนปรนเกินไปหรือไม่ แต่กษัตริย์เยโฮรัมรุนแรงเกินไปอย่างแน่นอน วิธีที่ดีกว่าคือวิธีของพระเยซูองค์กษัตริย์ผู้ “บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน.1:14) ความคาดหวังของพระคริสต์นั้นเด็ดขาด (ทรงเรียกร้องความจริง) ทว่าพระองค์ทรงโอบกอดผู้ที่ล้มเหลว (ประทานพระคุณ) พระเยซูทรงเรียกเราที่เชื่อในพระองค์ให้ทำตามการทรงนำจากนั้นพระองค์ประทานกำลังให้เราทำได้โดยการนำขององค์พระวิญญาณ
พระเจ้าทรงเรียกชื่อคุณ
นาตาเลียไปอยู่ประเทศอื่นพร้อมกับคำสัญญาว่าจะได้รับการศึกษา แต่ไม่นานผู้เป็นพ่อในบ้านหลังใหม่นั้นก็เริ่มทำร้ายร่างกายและล่วงละเมิดทางเพศเธอ เขาบังคับให้เธอดูแลบ้านและลูกๆของเขาโดยไม่ได้รับค่าจ้าง เขาไม่ยอมให้เธอออกไปข้างนอกหรือใช้โทรศัพท์ เธอกลายเป็นทาสของเขา
ฮาการ์เป็นหญิงคนใช้ชาวอียิปต์ของอับรามและนางซาราย ไม่มีใครเรียกชื่อของเธอ พวกเขาเรียกเธอว่า “หญิงคนใช้ของฉัน” หรือ “หญิงคนใช้ของเจ้า” (ปฐก.16:2, 5-6) พวกเขาเพียงต้องการใช้เธอเพื่อตนเองจะมีทายาท
ช่างแตกต่างกับพระเจ้าอย่างมาก! ทูตของพระเจ้าปรากฏตัวครั้งแรกในพระคัมภีร์เมื่อท่านพูดกับนางฮาการ์ที่ตั้งครรภ์ในถิ่นทุรกันดาร ทูตสวรรค์คือผู้ส่งสารของพระเจ้าหรือคือพระเจ้าเอง นางฮาการ์เชื่อว่าทูตองค์นั้นเป็นพระเจ้า เพราะเธอกล่าวว่า “บัดนี้ฉันได้เห็นพระองค์ผู้ทรงเห็นฉัน” (ข้อ 13 TNCV) ถ้าทูตสวรรค์คือพระเจ้า ทูตนั้นอาจจะเป็นพระบุตรผู้ทรงสำแดงพระเจ้าแก่เราโดยทรงมาปรากฏก่อนการเสด็จมาบังเกิด ท่านผู้นั้นเรียกชื่อนางว่า “ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย เจ้ามาจากไหนและเจ้าจะไปไหน” (ข้อ 8)
พระเจ้าทรงเห็นนาตาเลียและนำผู้คนที่ห่วงใยเข้ามาสู่ชีวิตของเธอผู้ซึ่งช่วยชีวิตเธอ เวลานี้เธอกำลังเรียนเพื่อเป็นพยาบาล พระเจ้าทรงเห็นนางฮาการ์และทรงเรียกชื่อนาง และพระเจ้าทรงเห็นคุณ คุณอาจถูกมองข้ามหรือแย่กว่านั้นคือถูกทำร้าย แต่พระเยซูทรงเรียกคุณด้วยชื่อของคุณ จงเข้าไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระองค์
ผู้ให้ที่ลี้ภัย
ฟิลและแซนดี้รู้สึกประทับใจกับเรื่องราวของเด็กๆที่เป็นผู้ลี้ภัย พวกเขาเปิดใจและเปิดบ้านรับเลี้ยงเด็กสองคน หลังจากไปรับเด็กๆที่สนามบินแล้ว ในความเงียบนั้นพวกเขาขับรถกลับบ้านด้วยความรู้สึกกังวล พวกเขาจะพร้อมรับสิ่งที่ต้องเจอไหม พวกเขามีความแตกต่างทั้งทางวัฒนธรรม ภาษา และศาสนา แต่ตอนนี้พวกเขาได้กลายมาเป็นผู้ให้ที่ลี้ภัยแก่เด็กที่มีค่าสองคนนี้แล้ว
โบอาสประทับใจกับเรื่องราวของนางรูธ เขาได้ยินว่าเธอจากญาติพี่น้องของเธอมาเพื่อช่วยเหลือนางนาโอมี และเมื่อนางรูธมาเก็บข้าวในนาของเขา เขาจึงได้อธิษฐานอวยพรเธอว่า “ขอพระเจ้าทรงตอบแทนความดีของเจ้าตามที่เจ้าได้กระทำมาแล้วนั้นเถิด และขอให้พระเจ้าของชนชาติอิสราเอล ซึ่งเจ้าเข้ามาพึ่งใต้ร่มบารมี [ปีก]ของพระองค์นั้น จงทรงปูนบำเหน็จอันบริบูรณ์แก่เจ้า” (นางรูธ 2:12)
นางรูธเตือนให้โบอาสคิดถึงคำอวยพรของเขาตอนที่เธอเข้ามาขัดจังหวะการนอนของเขาในคืนหนึ่ง โบอาสรู้สึกตัวตื่นเมื่อมีความเคลื่อนไหวอยู่ที่ปลายเท้า เขาจึงถามว่า “เจ้าเป็นใคร” นางตอบว่า “ดิฉันคือรูธคนใช้ของท่านค่ะ ขอให้ท่านกางชายเสื้อของท่านห่มคนใช้ของท่านด้วย เพราะท่านเป็นญาติสนิทถัดมา” (3:9)
ในภาษาฮีบรู คำว่าชายเสื้อและปีก[ร่มบารมี]เป็นคำเดียวกัน โบอาสจึงให้ที่ลี้ภัยแก่นางรูธด้วยการแต่งงานกับเธอ และเหลนของพวกเขาคือดาวิดผู้ได้สะท้อนเรื่องราวนี้ในคำสรรเสริญพระเจ้าของชาวอิสราเอลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ประเสริฐสักเท่าใด ลูกหลานของมนุษย์เข้าลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์” (สดด.36:7)