ห้องว่างสำหรับพระเยซู
ผมมีความสุขกับวันหยุดสุดสัปดาห์ในรัฐนิวออร์ลีนส์ จากการที่ได้ชมขบวนพาเหรดในย่านเฟรนซ์ควอเตอร์ เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์สงครามโลกครั้งที่ 2 และได้ลองชิมหอยนางรมย่าง แต่ขณะที่ผมกำลังจะหลับไปในห้องพักที่บ้านเพื่อน ผมก็คิดถึงภรรยาและลูกๆ ผมชอบที่ได้มีโอกาสไปเทศนาที่เมืองอื่น แต่ผมชอบอยู่บ้านมากที่สุด
ด้านหนึ่งของชีวิตพระเยซูที่มักถูกมองข้ามคือเหตุการณ์สำคัญที่สุดหลายครั้งของพระองค์นั้นเกิดขึ้นในขณะเดินทาง พระบุตรของพระเจ้าเสด็จเข้ามาในโลกของเราที่เมืองเบธเลเฮม ซึ่งมีระยะทางไกลจากบ้านบนสวรรค์ของพระองค์เกินกว่าจะคำนวณได้ และห่างไกลจากนาซาเร็ธบ้านเกิดของครอบครัวพระองค์ เมืองเบธเลเฮมเต็มไปด้วยญาติพี่น้องที่พากันมาจดทะเบียนสำมะโนครัว ลูกาจึงบอกว่าไม่มีแม้แต่ ห้องคาทาลูมา หรือ “ห้องพักสำหรับแขก” ว่างอยู่เลย (ลก.2:7)
สิ่งที่ขาดหายไปตอนพระเยซูประสูตินั้นปรากฏขึ้นในตอนสิ้นพระชนม์ ขณะที่พระเยซูทรงนำเหล่าสาวกเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์บอกเปโตรและยอห์นให้เตรียมมื้อปัสกา ให้พวกเขาตามชายที่ทูนหม้อน้ำไปที่เรือนของเขาและขอเจ้าของเรือนสำหรับคาทาลูมา ซึ่งเป็นห้องรับรองแขกที่พระคริสต์และเหล่าสาวกของพระองค์จะได้รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย (22:10-12) ที่นั่นในพื้นที่ที่ขอยืมมา พระเยซูทรงเป็นผู้เริ่มต้นพิธีซึ่งปัจจุบันนี้เรียกว่าศีลมหาสนิท ที่เป็นการบอกล่วงหน้าว่าการถูกตรึงที่กางเขนของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว (ข้อ 17-20)
เรารักบ้านของเรา แต่ถ้าเราเดินทางไปโดยมีพระวิญญาณของพระเยซู แม้แต่ห้องพักสำหรับแขกก็จะกลายเป็นสถานที่แห่งการสามัคคีธรรมกับพระองค์ได้
ตัวตนที่เปลี่ยนไป
ครอบครัวมารวมตัวกันรอบเตียงของโดมินิค บูอูร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไวยากรณ์แห่งศตวรรษที่ 17 ที่กำลังจะสิ้นใจ เล่ากันว่าขณะที่เขาหายใจเฮือกสุดท้าย เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าใกล้จะ หรือกำลังจะตาย คำพูดทั้งสองนี้ถูกต้อง” ใครจะไปสนใจเรื่องไวยากรณ์ขณะที่ตัวเองกำลังนอนใกล้ตายอยู่บนเตียง จะมีก็เพียงคนที่ใส่ใจในเรื่องไวยากรณ์มาตลอดชีวิตเท่านั้น
เมื่อเข้าสู่วัยชราคนเราก็มีวิถีชีวิตที่เป็นตัวของตัวเองแล้วเป็นส่วนใหญ่ เราใช้เวลาทั้งชีวิตในการตัดสินใจเรื่องต่างๆจนพัฒนามาเป็นนิสัยที่กลายมาเป็นตัวตนของเราทั้งในแบบที่ดีและแย่ เราเป็นคนเลือกเองว่าจะเป็นคนแบบไหน
การพัฒนานิสัยในทางของพระเจ้านั้นเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าในขณะที่ตัวตนของเรายังเยาว์วัยและปรับเปลี่ยนได้ เปโตรเรียกร้องว่า “จงอุตส่าห์จนสุดกำลังที่จะเอาคุณธรรมเพิ่มความเชื่อ เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม เอาความเหนี่ยวรั้งตนเพิ่มความรู้ เอาขันตีเพิ่มความเหนี่ยวรั้งตน และเอาธรรมเพิ่มขันตี เอาความรักฉันพี่น้องเพิ่มธรรม และเอาความรักคนทั่วไปเพิ่มความรักฉันพี่น้อง” (2 ปต.1:5-7) จงฝึกฝนคุณธรรมเหล่านี้ และ “ท่านทั้งหลายจะมีสิทธิสมบูรณ์ ที่จะเข้าในอาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูคริสตเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (ข้อ 11)
จากบรรดาสิ่งที่เปโตรกล่าวไว้มีข้อใดที่อยู่ในตัวคุณมากที่สุด และคุณสมบัติในข้อใดบ้างที่ยังต้องปรับปรุง เราไม่สามารถเปลี่ยนตัวเราเองได้อย่างแท้จริง แต่พระเยซูทรงทำได้ จงขอให้พระองค์เปลี่ยนแปลงและเสริมกำลังคุณ นี่อาจเป็นขั้นตอนที่ช้าและยากลำบาก แต่พระเยซูทรงเชี่ยวชาญในการจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ตามความจำเป็นของเรา จงขอให้พระองค์เปลี่ยนตัวตนของคุณเพื่อคุณจะเป็นเหมือนพระองค์มากยิ่งขึ้น
บทเรียนในความอดทน
บ๊อบ ซาเล็มรักษาสถิติความเร็วในการกลิ้งถั่วลิสงขึ้นสู่ยอดเขาไพค์ พีค โดยใช้จมูกหรือช้อนที่แนบติดอยู่กับใบหน้าของเขา เขาใช้เวลาเจ็ดวันและเลือกลำเลียงในตอนกลางคืนเพื่อหลีกเลี่ยงการรบกวนจากนักท่องเที่ยว บ๊อบเป็นคนที่สี่ที่ประสบความสำเร็จในการแสดงที่ผาดโผนนี้ ซึ่งหมายความว่ามีอีกสามคนซึ่งมีความอดทนสูงที่เคยผ่านการทำเช่นนี้มาแล้ว
เราอาจจะพูดว่า การที่พวกเขาต้องอดทนนั้นเหมือนเป็นการลงโทษตัวเอง แต่บ่อยครั้งชีวิตจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เราจำเป็นต้องมีความอดทน ซึ่งเป็นผลของพระวิญญาณประการหนึ่ง (กท.5:22) และเป็นคุณธรรมสำคัญสำหรับการเป็น “คนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ยก.1:4) คนที่อดทนจะยืนหยัดขณะที่คนรอบข้างพากันตื่นตระหนก พวกเขาอยากให้สถานการณ์เปลี่ยนแต่มันไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน พวกเขาสามารถเดินหน้าต่อไปและวางใจในพระเจ้าสำหรับสติปัญญาที่จะกระทำการอย่างชาญฉลาด (ข้อ 5)
ปัญหาในเรื่องความอดทนคือ มีแค่ทางเดียวที่เราจะเรียนรู้จักมันได้ ยากอบกล่าวว่า “การทดสอบความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความทรหดอดทน” (ข้อ 3 THSV11) การทดสอบที่เข้ามานั้นมีทั้งเล็กและใหญ่ ผมเขียนบทความนี้ขณะกำลังรอขึ้นเครื่องที่สนามบิน เที่ยวบินของผมเวลา 23:00 น.ถูกเลื่อนไปเป็น 02:00 น. จากนั้นก็มีประกาศยกเลิกเที่ยวบิน หลังจากไม่ได้นอนมาทั้งคืน ผมดื่มกาแฟและหวังว่าจะได้กลับบ้านในไม่ช้า ผมไม่ชอบเสียเวลาอยู่ที่สนามบินทั้งวัน แต่พระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักกำลังสอนผมให้อดทน
ผมอธิษฐานขอให้บทเรียนนี้จบลงในวันนี้ แต่ใครจะรู้ได้ ถึงเวลาต้องตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารที่รอการยืนยันสำหรับเที่ยวบินถัดไปแล้ว
ยิ่งกว่าครอบครัว
จอนได้รับการแต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์อย่างเป็นทางการในวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เดวิดพี่ชายของเขาดีใจ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อจอนตามประสาพี่น้องว่า เขาเคยคว่ำจอนลงกับพื้นตอนเล่นมวยปล้ำด้วยกันสมัยเป็นเด็ก ชีวิตของจอนประสบความสำเร็จอย่างสูง แต่เขายังคงเป็นน้องชายของเดวิดเสมอ
การทำให้ครอบครัวประทับใจนั้นเป็นเรื่องยาก แม้คุณจะเป็นพระเมสสิยาห์ก็ตาม พระเยซูทรงเติบโตขึ้นท่ามกลางคนนาซาเร็ธ พวกเขาจึงยากจะเชื่อว่าพระองค์เป็นบุคคลพิเศษ แต่พวกเขาก็ยังประหลาดใจในพระองค์ “การมหัศจรรย์อย่างนี้สำเร็จได้ด้วยมือของเขาเองหนอ คนนี้เป็นช่างไม้ บุตรนางมารีย์มิใช่หรือ” (มก.6:2-3) พระเยซูตรัสว่า “ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในเมืองของตน ท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในวงศ์วานของตน” (ข้อ 4) คนเหล่านี้รู้จักพระเยซูดี แต่พวกเขาไม่อาจเชื่อได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า
บางทีคุณอาจเติบโตมาในครอบครัวที่รักพระเจ้า ส่วนหนึ่งในความทรงจำแรกๆของคุณคือการไปโบสถ์และร้องเพลงสรรเสริญ พระเยซูทรงเป็นเหมือนคนในครอบครัวมาตลอด หากคุณเชื่อและติดตามพระองค์ พระเยซูก็คือครอบครัวของคุณ พระองค์ “ไม่ทรงละอายที่จะทรงเรียก[เรา]ว่าเป็นพี่น้องกัน” (ฮบ.2:11) พระเยซูทรงเป็นพี่ชายคนโตของเราในครอบครัวของพระเจ้า (รม.8:29) นี่เป็นเอกสิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ แต่การที่ทรงใกล้ชิดกับเราอาจทำให้พระองค์ดูธรรมดา เพียงเพราะบางคนเป็นคนในครอบครัวไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่พิเศษ
คุณไม่ดีใจหรือที่พระเยซูทรงเป็นครอบครัวและเป็นยิ่งกว่าครอบครัว ขอให้พระองค์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและพิเศษมากยิ่งขึ้นเมื่อคุณติดตามพระองค์ในวันนี้
ฉันเป็นส่วนหนึ่งไหม
ในที่สุดแซลลี่ ฟิลด์นักแสดงหญิงก็รู้สึกในสิ่งที่เป็นความปรารถนาของหลายคน เมื่อเธอได้รับรางวัลออสการ์เป็นครั้งที่สองในปี ค.ศ. 1985 เธอขึ้นกล่าวหลังจากที่ได้รับรางวัลว่า “สิ่งที่ฉันต้องการมากกว่าสิ่งใดคือความนับถือจากพวกคุณ ครั้งแรกฉันไม่รู้สึกอะไร แต่ครั้งนี้ฉันรู้สึกได้ และฉันไม่อาจปฏิเสธความจริงที่ว่า คุณชอบฉัน ตอนนี้คุณชอบฉัน”
ขันทีชาวเอธิโอเปียก็รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับการยอมรับ ในฐานะคนต่างชาติและในฐานะขันที เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าไปยังลานชั้นในของพระวิหาร (ดู อฟ.2:11-12; ฉธบ.23:1) แต่เขาปรารถนาที่จะเป็นส่วนหนึ่ง ฟีลิปพบเขาขณะที่เขากำลังกลับจากกรุงเยรูซาเล็มที่ซึ่งเขามักจะเดินทางไปนมัสการ แต่กลับไม่เคยรู้สึกอิ่มใจ (กจ.8:27)
ชายชาวเอธิโอเปียกำลังอ่านพระธรรมอิสยาห์ ซึ่งสัญญาว่าขันทีทั้งหลายผู้ “ยึดพันธสัญญาของเราไว้มั่น” จะได้รับ “อนุสาวรีย์และ...ชื่อนิรันดร์แก่เขาทั้งหลาย” (อสย.56:4-5) สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร ฟีลิปจึง “ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู” และชายคนนั้นก็ตอบสนอง โดยบอกว่า “นี่แน่ะ มีน้ำ มีอะไรขัดข้องไม่ให้ข้าพเจ้ารับบัพติศมา” (กจ.8:35-36)
เขากำลังถามว่า ฉันได้รับอนุญาตให้เข้าไปจริงๆหรือ ฉันเป็นส่วนหนึ่งแล้วใช่ไหม ฟีลิปให้บัพติศมาเขาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่บอกว่าพระเยซูทรงรื้อกำแพงทุกอย่างลง (อฟ.2:14) พระเยซูทรงโอบกอดและทำให้ทุกคนที่หันหลังให้บาปและวางใจในพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน ขันทีผู้นั้นจึง “เดินทางต่อไปด้วยความพอใจ” (กจ.8:39) ในที่สุดเขาจึงได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งอย่างสมบูรณ์
ร้องเรียกพระบิดาในสวรรค์
ไม่กี่นาทีหลังจากที่ประธานาธิบดีแฮร์รี่ ทรูแมนแห่งสหรัฐอเมริกาประกาศยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นในบ้านหลังเล็กที่ทำจากไม้กระดานในเมืองแกรนด์วิว รัฐมิสซูรี่ หญิงวัยเก้าสิบสองปีขอตัวออกไปรับสาย แขกของเธอได้ยินเธอพูดว่า “สวัสดีจ้ะ...ใช่ แม่ไม่เป็นไร แม่กำลังฟังวิทยุอยู่...ถ้าเป็นได้ ลูกกลับมาหาแม่ตอนนี้เลยนะ...สวัสดีจ้ะ” หญิงชรากลับไปหาแขกของเธอ “แฮร์รี่ [ลูกชายฉัน] โทรมาน่ะ แฮร์รี่เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยม...ฉันรู้ว่าเขาจะโทรมา เขาจะโทรหาฉันเสมอเวลาที่เหตุการณ์บางอย่างจบลง”
ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรืออายุมากแค่ไหน เราก็ยังอยากโทรหาพ่อแม่เพื่อฟังคำยืนยันของพวกเขาที่ว่า “ลูกทำได้ดีมาก!” ไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จมากเพียงใด เราก็ยังคงเป็นลูกชายหรือลูกสาวของพวกเขาเสมอ
น่าเศร้าที่ไม่ใช่ทุกคนจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบนี้กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด แต่โดยทางพระเยซู เราทุกคนมีพระเจ้าเป็นพระบิดาได้ ผู้ที่ติดตามพระคริสต์จะถูกนำเข้ามาสู่ครอบครัวของพระเจ้า เพราะ “ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตร” (รม.8:15) และตอนนี้เราก็เป็น “ทายาทร่วมกับพระคริสต์” (ข้อ 17) เราไม่ต้องพูดกับพระเจ้าในฐานะทาส เพราะบัดนี้เรามีเสรีภาพที่จะเรียกพระเจ้าอย่างสนิทสนมว่า “อับบา คือพระบิดา” (ข้อ 15; ดู มก.14:36 ด้วย) เหมือนที่พระเยซูทรงเรียกหาพระเจ้าในยามที่ทรงต้องการพระองค์มากที่สุด
คุณมีข่าวอะไรที่อยากจะบอก หรือมีความต้องการอะไรไหม จงร้องหาพระองค์ผู้ทรงเป็นบ้านอันนิรันดร์ของคุณ
นิเวศแห่งการนมัสการ
เมื่อมีการทิ้งระเบิดใส่สภาผู้แทนราษฎรของอังกฤษในสงครามโลกครั้งที่ 2 นายกรัฐมนตรีวินสตัน เชอร์ชิลล์บอกกับรัฐสภาว่าพวกเขาจะต้องสร้างสภาแห่งนี้ขึ้นใหม่ตามแบบเดิม ห้องประชุมจะต้องมีขนาดเล็กเพื่อให้การโต้แย้งยังคงเป็นไปอย่างใกล้ชิด และห้องจะต้องมีลักษณะยาวแทนที่จะเป็นแบบครึ่งวงกลมเพื่อนักการเมืองจะสามารถ “เคลื่อนไปรอบๆศูนย์กลางได้” การทำเช่นนี้เพื่อคงไว้ซึ่งระบบพรรคการเมืองแบบอังกฤษ ที่พรรคฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาหันหน้าเข้าหากันจากคนละฝั่งของห้อง ทำให้ต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะย้ายข้าง เชอร์ชิลล์สรุปว่า “เรากำหนดลักษณะอาคารของเรา และหลังจากนั้นอาคารจะกำหนดลักษณะของเรา”
พระเจ้าทรงดูเหมือนจะเห็นด้วย โดยเจ็ดบทในหนังสืออพยพ (บทที่ 25-31) เป็นคำสั่งเกี่ยวกับการสร้างพลับพลา และอีกหกบท (บทที่ 35-40) บรรยายว่าอิสราเอลได้ทำอย่างไร พระเจ้าทรงใส่พระทัยเรื่องการนมัสการของพวกเขา เมื่อผู้คนเข้าไปในลานพลับพลา แสงสีทองวาววับของผ้าม่านหลากสีของพลับพลา (26:1, 31-37) ทำให้พวกเขาตื่นตาตื่นใจ แท่นเครื่องเผาบูชา (27:1-8) และขันน้ำ (30:17-21) เตือนใจให้คิดถึงราคาของการอภัยโทษบาปของพวกเขา ในพลับพลามีคันประทีป (25:31-40) โต๊ะขนมปัง (25:23-30) แท่นเครื่องหอม (30:1-6) และหีบพระโอวาท (25:10-22) สิ่งของแต่ละอย่างล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
พระเจ้าไม่ได้ทรงมีคำสั่งโดยละเอียดเรื่องสถานที่นมัสการของเราเหมือนดังที่ทรงสั่งชนชาติอิสราเอล แต่การนมัสการของเราก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ตัวของเราจะต้องเป็นพลับพลาที่แยกไว้เพื่อพระองค์จะประทับอยู่ภายใน ขอให้ทุกสิ่งที่เราทำนั้นย้ำเตือนว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใดและทรงกระทำสิ่งใด
รูปเคารพ
บรรดาผู้ชายในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์มีอายุเกือบจะแปดสิบปีกันแล้ว ผมจึงแปลกใจที่รู้ว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับความต้องการทางเพศ การต่อสู้ที่เริ่มต้นในตอนที่พวกเขาเป็นวัยรุ่นนั้นยังคงมีอยู่เรื่อยมา ทุกวันพวกเขาต้องให้คำมั่นว่าจะเชื่อฟังพระเยซูในเรื่องนี้และขอการอภัยในเวลาที่พวกเขาล้มเหลว
เราอาจประหลาดใจที่ชายผู้รักพระเจ้าเหล่านี้ยังคงต่อสู้กับการล่อลวงอันเลวร้ายแม้ในช่วงบั้นปลายของชีวิต แต่บางทีอาจไม่ควรเป็นเช่นนี้ รูปเคารพคือสิ่งใดก็ตามที่คุกคามเข้ามาแทนที่พระเจ้าในชีวิตของเรา และสิ่งนั้นสามารถปรากฏขึ้นได้อีกหลังจากที่เราคิดว่ามันหายไปนานแล้ว
ในพระคัมภีร์ ยาโคบได้รับการช่วยเหลือให้รอดพ้นจากลุงของท่านคือลาบันและพี่ชายคือเอซาว ยาโคบกำลังกลับไปที่เบธเอลเพื่อนมัสการพระเจ้าและเฉลิมฉลองพระพรมากมาย แต่ครอบครัวของท่านยังเก็บพระต่างด้าวที่ยาโคบต้องนำไปฝังไว้ (ปฐก.35:2-4) ในตอนท้ายของพระธรรมโยชูวา หลังจากที่อิสราเอลมีชัยเหนือศัตรูและได้ตั้งรกรากในคานาอัน โยชูวายังต้องกระตุ้นเตือนพวกเขาให้ “ทิ้งพระอื่นซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้นเสีย และโน้มจิตใจของท่านเข้าหาพระเยโฮวาห์” (ยชว.24:23) ส่วนมีคาลภรรยาของดาวิดก็ได้เก็บรูปเคารพเอาไว้ เพราะเธอนำรูปเคารพนั้นมาวางไว้บนเตียงเพื่อหลอกพวกทหารที่จะมาฆ่าดาวิด (1 ซมอ.19:11-16)
การมีรูปเคารพนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าที่เราคิด และพระเจ้าก็ทรงอดทนกับเรามากกว่าที่เราสมควรได้รับ การล่อลวงให้เราหันไปหารูปเคารพเหล่านั้นจะเกิดขึ้นกับเรา แต่การให้อภัยของพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่า ขอให้เราเป็นผู้ที่ถูกแยกไว้เพื่อพระเยซู คือหันหลังให้กับบาปของเราและพบการอภัยในพระองค์
รักษาความเหนือกว่าฝ่ายวิญญาณ
ภาพยนตร์เรื่องร็อคกี้ เล่าถึงเรื่องของนักมวยไร้ประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยความตั้งใจที่ไม่มีวันยอมแพ้ เขาเอาชนะพละกำลังที่เหนือกว่าอย่างไม่น่าเป็นไปได้ และกลายเป็นแชมป์รุ่นเฮฟวี่เวท ในร็อคกี้ภาค 3 ร็อคกี้ที่เวลานี้ประสบความสำเร็จแล้วและฝังใจอยู่กับผลสำเร็จของตน การให้สัมภาษณ์ทางโทรทัศน์รบกวนเวลาของเขาในโรงยิม แชมป์เปี้ยนเริ่มอ่อนกำลังและถูกผู้ท้าชิงเอาชนะน็อก ส่วนที่เหลือในหนังคือการที่ร็อคกี้พยายามจะฟื้นคืนความเหนือกว่าของตน
ในแง่ฝ่ายวิญญาณ กษัตริย์อาสาแห่งยูดาห์ได้สูญเสียความเหนือกว่า ในช่วงต้นรัชสมัยพระองค์พึ่งพาในพระเจ้าเมื่อต้องเผชิญกับกำลังที่เหนือกว่าอย่างน่ากลัว เมื่อกองทัพใหญ่ของคนคูชเตรียมโจมตี อาสาอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอทรงช่วยพวกข้าพระองค์ เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายพึ่งพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายมาต่อสู้กับชนหมู่ใหญ่นี้ในพระนามของพระองค์” (2 พศด.14:11) พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระองค์ และยูดาห์เข้าสู้รบและทำให้ศัตรูแตกพ่ายไป (ข้อ 12-15)
หลายปีต่อมายูดาห์ถูกคุกคามอีกครั้ง ครั้งนี้อาสาผู้พึงพอใจไม่สนใจพระเจ้าและหันไปขอความช่วยเหลือจากกษัตริย์ของคนอารัม (16:2-3) ดูเหมือนว่าจะได้ผล แต่พระเจ้าไม่พอพระทัย ผู้เผยพระวจนะฮานานีทูลอาสาว่าเพราะพระองค์ไม่ทรงวางใจในพระเจ้าแล้ว (ข้อ 7-8)ทำไมพระองค์ไม่พึ่งพระเจ้าในตอนนี้เหมือนกับตอนนั้นเล่า
พระเจ้าของเราทรงพึ่งพาได้เสมอ “เพราะว่าพระเนตรของพระเจ้าไปมาอยู่เหนือแผ่นดินโลกทั้งสิ้น เพื่อสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์โดยเห็นแก่ผู้เหล่านั้นที่มีใจจริงต่อพระองค์” (ข้อ 9) เมื่อเรารักษาความเหนือกว่าฝ่ายวิญญาณของเรา คือพึ่งพาในพระเจ้าอย่างเต็มที่ เราจะสัมผัสได้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์