ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Mike Wittmer

รักพระเยซูมากที่สุด

สมาชิกถามขึ้นว่าทำไมคริสตจักรของพวกเขาจึงซื้อหลังคาโบสถ์ นี่เป็นการใช้ทรัพยากรของพระเจ้าอย่างดีที่สุดแล้วหรือไม่ แล้วเรื่องการให้อาหารคนยากจนล่ะ ศิษยาภิบาลตอบว่าเงินนี้มาจากผู้ถวายและจำเป็นต้องใช้ตามความตั้งใจของพวกเขา “และอีกอย่าง” เขายกคำพูดของพระเยซูมาว่า “มีคนจนอยู่กับท่านเสมอ” (ยน.12:8)

ศิษยาภิบาลรีบขอโทษต่อการพูดล้อเล่นนอกบริบทของเขา ซึ่งทำให้ผมนึกสงสัยว่า บริบทของพระเยซูคืออะไร หกวันก่อนสิ้นพระชนม์หญิงคนหนึ่งชโลมพระองค์ด้วยน้ำมันหอมราคาแพง เหล่าสาวกไม่พอใจ ทำไมน้ำหอมไม่ถูกขายไปเพื่อช่วยคนยากจน แต่พระเยซูทรงตอบโดยกพระธรรม เฉลยธรรมบัญญัติ 15:11 “มีคนจนอยู่กับท่านเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอ” (ยน.12:8)

พระเยซูทรงกล่าวถึงเฉลยธรรมบัญญัติอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นพระองค์จึงรู้ว่าประโยคก่อนหน้านั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร “จะไม่มีคนยากจนในหมู่พวกท่านทั้งหลาย เพราะว่าพระเจ้าจะทรงอำนวยพระพรแก่ท่านในแผ่นดิน ซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านประทานให้ท่าน...ถ้าท่านเพียงแต่กระทำตามพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์ พระเจ้าของท่าน” (ฉธบ.15:4-5) นี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งในการที่พระเยซูทรงกล่าวคำตำหนิ คนยากจนมีอยู่เพียงเพราะอิสราเอลไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า และตอนนี้คนยากจนถูกใช้เป็นสิ่งดึงความสนใจไปจากพระเยซู ผู้ทรงเป็นคนอิสราเอลแท้ที่จะเชื่อฟังอย่างเต็มที่จนถึงที่สุด

เราไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างพระเยซูและคนยากจน เรารักคนอื่นได้ดีที่สุดโดยการรักพระองค์มากที่สุด และการรักพระองค์มากที่สุดจะจุดประกายให้เรารักคนอื่นอย่างดีที่สุด

สิ่งที่พระบิดาต้องการ

สตีฟคว้าเลื่อยไฟฟ้าแล้วมุ่งหน้าเข้าไปในป่า นั่นคือตอนที่เขาได้ยินเสียงออกัสลูกชายวัยห้าขวบร้องว่า “พ่อครับ รอผมด้วย! ผมอยากไปด้วย!” ออกัสคว้าของเล่นที่เป็นเลื่อยไฟฟ้า ถุงมือทำงานและที่ปิดหู แล้วเดินตามสตีฟออกไปที่ประตู สตีฟเตรียมไม้ฟืนสองสามท่อนโดยวางให้เขาห่างออกไปในระยะที่ปลอดภัย หลังจากผ่านไปสิบนาทีออกัสก็หมดแรง การตัดไม้ด้วยเลื่อยไฟฟ้าปลอมเป็นงานหนักมาก! แต่เขามีความสุขที่ได้ “ช่วย” พ่อของเขา และพ่อก็ดีใจที่ได้ใช้เวลาอยู่กับลูกชาย

เรากับพระบิดาในสวรรค์ก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ เรานึกว่าเรากำลังช่วยพระองค์ “พระบิดาเจ้า รอลูกด้วย! ลูกต้องไปหยิบเลื่อยของลูกก่อน!” แต่เลื่อยไฟฟ้านั้นมีความสำคัญน้อยที่สุด เราไม่ได้ช่วยมากเท่าที่เราคิด พระเจ้าทรงสนพระทัยในส่วนแรกมากกว่าคือ “พระบิดาเจ้า รอลูกด้วย!” พระองค์ไม่ทรงต้องการผลงานของเรา

ถ้าหากคุณรักพระเยซูพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าก็ได้ทรงรับคุณเข้าสู่ครอบครัวของพระองค์แล้ว และได้ประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่คุณ “ท่านไม่ได้รับวิญญาณซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทำให้ท่านเป็นบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 15 TNCV) คุณไม่ใช่ผู้รับใช้ที่ได้รับตำแหน่งของตนจากการทำงานหนัก แต่คุณเป็นบุตรที่ได้รับความรักจากพระบิดาของคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรักแก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า!” (1ยน.3:1)

พระบิดาของเราในสวรรค์ทรงชื่นบานเมื่อเรารับใช้พระองค์ แต่พระองค์ไม่จำเป็นที่จะต้องมีเรา พระองค์เพียงแค่ต้องการเรา

รักความจริง

แจ็คเกลียดการไปโรงเรียน ชั้นเรียนพีชคณิต ไวยากรณ์ และตารางธาตุทำให้เขาเบื่อ แต่เขาชอบสร้างบ้าน พ่อพาเขาไปทำงานในช่วงฤดูร้อนและ
แจ็คอยากจะกลับไปอีก เขาอายุแค่สิบหกปีแต่เขารู้เรื่องซีเมนต์ กระเบื้องมุงหลังคา และวิธีก่อผนัง ความแตกต่างระหว่างโรงเรียนกับการก่อสร้างคืออะไร คือความรักที่มีต่อสิ่งนั้น แจ็ครักอย่างหนึ่งแต่ไม่รักอีกอย่าง ความรักของเขากระตุ้นให้เกิดความรู้

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราต้อง “รักความจริง” (2 ธส.2:10) เปาโลบอกว่าคนของซาตานจะใช้ “​หมาย​สำคัญ และ​การ​อัศจรรย์​” (ข้อ 9) เพื่อหลอกลวง “คน​เหล่า​นั้น​ที่​จะต้อง​พินาศ” (ข้อ 10) ทำไมพวกเขาจึงจะพินาศ “เขา​ทั้ง​หลาย​ไม่ได้​รัก​ความ​จริง​เพื่อ​จะ​รอด​ได้​” (ข้อ 10) การที่พวกเขาไม่รักความจริงทำให้พวกเขามองไม่เห็นความจริง พวกเขาจะถูกหลอก (ข้อ 11)

แล้วเรารู้อะไรบ้าง คำถามสำคัญนี้มาจากคำถามพื้นฐานที่ว่า เรารักอะไร ความรักอันร้อนรนจะโน้มน้าวจิตใจและชี้นำความคิดของเรา เราใส่ใจในสิ่งที่
เรารัก เราจะปกป้องมันและเสาะแสวงหา ถ้าเรารักความจริงและปัญญา เราจะเสาะหาทั้งสองสิ่งนั้นเหมือนทองคำอันมีค่า (สภษ.3:13-14; 4:7-9) แล้วความจริงและปัญญาจะปกป้องเรา “อย่า​ทอดทิ้ง​เธอ และ​เธอ​จะ​รักษา​เจ้า​ไว้ จง​รัก​ปัญญา และ​ปัญญา​จะ​ระแวดระวัง​เจ้า” (4:6)

สติปัญญาที่แท้นั้นคืออะไร พระเยซูตรัสว่าคือพระองค์เอง “เรา​เป็น​ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง​และ​เป็น​ชีวิต” (ยน.14:6) คำถามที่สำคัญที่สุดคือว่าเรารักใคร จง…

ความโศกเศร้าที่แสนหวาน

ชายคนหนึ่งชื่อฮิเดะซาบุโระ อูเอโนะสอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวอิมพีเรียลในช่วงทศวรรษ 1920 ทุกวันเขากลับบ้านโดยรถไฟเที่ยวบ่ายสามโมงซึ่งฮาจิโกะสุนัขของเขาจะมารอรับ วันหนึ่งศาสตราจารย์อูเอโนะมีภาวะเส้นเลือดในสมองแตกระหว่างการสอนและเสียชีวิต เมื่อเขาไม่ได้ออกมาจากรถไฟเที่ยวบ่าย ฮาจิโกะวนเวียนรออยู่สักพักแล้วกลับบ้านไป วันต่อมาสุนัขกลับมารอเวลาบ่ายสามโมงเช่นเดิม และวันถัดๆไปเป็นเวลาสิบปี ความจงรักภักดีของฮาจิิโกะเป็นที่ประทับใจของคนญี่ปุ่นจำนวนมากซึ่งแวะเวียนมานั่งรอเป็นเพื่อนมัน

เอลีชาอุทิศตัวให้กับเอลียาห์เจ้านายของท่านเช่นกัน ในวันที่เอลีชารู้ว่าจะสูญเสียเอลียาห์ไป ท่านไม่ยอมให้เอลียาห์คลาดสายตา เมื่อรถเพลิงมารับเอลี-ยาห์ขึ้นสู่สวรรค์ เอลีชาตะโกนบอกสิ่งที่ท่านเห็น “คุณพ่อของข้าพเจ้า คุณพ่อของข้าพเจ้า ดูรถรบของอิสราเอลและพลม้าประจำ” (2 พกษ.2:12) ท่านหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิทธิอำนาจของผู้เผยพระวจนะที่ก่อนหน้านั้นได้ใช้แยกแม่น้ำจอร์แดนออกจากกัน (ข้อ 8) และท่านถามว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งเอลียาห์ทรงสถิตที่ใด” (ข้อ 14) ท่านฟาดเสื้อคลุมลงไปที่แม่น้ำและน้ำก็แยกจากกันเช่นเดียวกับเจ้านายของท่าน ช่างเป็นวันแห่งความโศกเศร้าที่แสนหวาน!

คุณเคยสูญเสียคนที่รักไปหรือไม่ ไม่มีคำพูดใดที่จะบรรยายความเจ็บปวดของคุณได้ ทุกการร้องไห้รื้อฟื้นความทรงจำถึงความรักที่คุณมีร่วมกัน คุณเจ็บปวดในส่วนลึกเพราะคุณรักอย่างลึกซึ้ง ช่างเป็นความโศกเศร้าที่แสนหวาน! ขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับคนที่คุณรัก และการที่คุณสามารถมีความรัก เอลีชาหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ขึ้นมา แล้วคุณล่ะจะทำสิ่งใด

วันที่ 2 - เลวเกินไป สายเกินไปหรือไม่


ลูกา 23:43

ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

คริสโตเฟอร์ ฮิตเชนส์ คือชายผู้ต่อต้านพระเจ้าที่มีชื่อเสียง เขาขึ้นโต้วาทีกับผู้เชื่อพระคริสต์อย่างดุเดือด ขณะใกล้จะเสียชีวิตลงจากโรคมะเร็ง เขาประกาศว่าหากใครได้ยินว่าเขากลับใจมาเชื่อพระเยซูก่อนสิ้นใจ ก็ให้ถือเป็นหลักฐานว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว คู่โต้วาทีและเพื่อนกล่าวว่า ฮิตเชนส์ได้เตือนผู้ติดตามของเขาเอาไว้ล่วงหน้า เพราะเขารู้ว่าเมื่อประจันหน้ากับความตายจริงๆ เขาอาจจะสิ้นหวังและหันไปหาพระคริสต์ได้ ใครจะรู้ล่ะครับ เขาอาจจะทำเช่นนั้นก็เป็นได้ คนหนึ่งที่ต่อต้านพระเจ้ามาตลอดทั้งชีวิต แต่ยังคงได้รับความรอดด้วยพระเมตตาในไม่กี่วินาทีสุดท้าย สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

โจรบนไม้กางเขนใช้ชีวิตอย่างชั่วช้า เขาบอกกับผู้ร้ายร่วมกางเขนว่า “เราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้หาได้กระทำผิดประการใดไม่” (ลูกา 23:41) โจรผู้นี้เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายที่เจ็บปวดแสนสาหัส ซึ่งความเจ็บปวดทางกายอาจบดบังความต้องการทางฝ่ายจิตวิญญาณที่สำคัญกว่ามากได้

ในตอนแรก เขาเองได้ทิ้งนาทีอันมีค่าไปด้วยการร่วมเยาะเย้ย หมิ่นประมาทพระเยซู (มาระโก 15:32) แต่ขณะถูกตรึงอยู่บนกางเขน โหยหาความตายเนื่องจากความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น เขาหันไปมองพระผู้เป็นโอกาสสุดท้ายของเขา และทูลว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในแผ่นดินของพระองค์” (ลูกา 23:42)

พระเจ้าทรงพอพระทัยในการช่วยผู้คนให้รอด รวมถึงคนที่อยู่ในวาระสุดท้ายด้วย แทนที่จะเพ่งดูในสิ่งที่เรากระทำผิด ให้เราเพ่งดูที่พระเยซู

ไมค์ วิทเมอร์

ใคร่ครวญ : คุณเสียใจกับสิ่งใดมากที่สุด อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณไม่สมควรได้รับการอภัย
อธิษฐาน : พระเยซูที่รัก ข้าพระองค์มองไปยังพระองค์ ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว เพราะพระองค์เท่านั้นที่ช่วยข้าพระองค์ให้รอดได้อย่างแท้จริง…

วันที่ 7 - คำพูดสุดท้าย

ลูกา 23:46

พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์

ขณะที่มาร์ติน ลูเธอร์กำลังจะสิ้นใจ บาทหลวงคนหนึ่งปลุกท่านขึ้นและถามว่า "คุณพ่อที่เคารพ ท่านจะจากไปอย่างมั่นคงในพระคริสต์ ตามหลักข้อเชื่อที่ท่านสั่งสอนไว้หรือไม่" ลูเธอร์ตอบว่า "ใช่" แล้วจึงหลับลงเป็นครั้งสุดท้าย ช่างเป็นการจากไปที่ยิ่งใหญ่ ผมหวังว่าคำพูดสุดท้ายของผมจะมีความหมายมากเช่นนั้นด้วย ผมไม่อยากจากไปกลางประโยค จบชีวิตด้วยคำพูดที่ไม่สำคัญ ผมอยากจากไปเหมือนลูเธอร์ ด้วยการยืนยันถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างมั่นใจ

คำพูดสุดท้ายของพระเยซูเป็นอย่างไร พระธรรมมาระโกกล่าวว่า "ฝ่ายพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ " (15:37) พระธรรมมัทธิวก็กล่าวเช่นเดียวกัน "ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์" (27:50) การร้องครั้งสุดท้ายนี้คืออะไร เป็นการตะโกนด้วยชัยชนะหรือความสิ้นหวัง นี่คือจุดต่ำสุดในการทนทุกข์ของพระเยซู หรือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะของพระองค์

เราไม่จำเป็นต้องเดา เพราะลูกาได้ให้คำตอบไว้แล้ว “พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์

" (23:46) ยอห์นเสริมดังนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว!” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (19:30)

เสียงร้องครั้งสุดท้ายที่แสนเจ็บปวดของพระเยซูเป็นเสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า และเพราะคำพูดสุดท้ายของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ นั่นจึงไม่ใช่คำพูดสุดท้ายของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงให้พระเยซู พระบุตรผู้ล้ำค่าของพระองค์ ได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยชัยชนะ และในวันหนึ่งพระองค์จะทรงให้ทุกคนที่รักษาความเชื่อในพระคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน

ไมค์ วิทเมอร์

ใคร่ครวญ : คุณอยากให้คำพูดสุดท้ายของคุณเป็นอย่างไร ลองเขียนออกมาเพื่อคนที่คุณรักจะได้อ่านหลังจากที่คุณจากไปแล้ว และในวันนี้คุณได้สะท้อนคำพูดสุดท้ายนี้อย่างไร…

วันที่ 7 - คำพูดสุดท้าย

ลูกา 23:46

พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์

ขณะที่มาร์ติน ลูเธอร์กำลังจะสิ้นใจ บาทหลวงคนหนึ่งปลุกท่านขึ้นและถามว่า "คุณพ่อที่เคารพ ท่านจะจากไปอย่างมั่นคงในพระคริสต์ ตามหลักข้อเชื่อที่ท่านสั่งสอนไว้หรือไม่" ลูเธอร์ตอบว่า "ใช่" แล้วจึงหลับลงเป็นครั้งสุดท้าย ช่างเป็นการจากไปที่ยิ่งใหญ่ ผมหวังว่าคำพูดสุดท้ายของผมจะมีความหมายมากเช่นนั้นด้วย ผมไม่อยากจากไปกลางประโยค จบชีวิตด้วยคำพูดที่ไม่สำคัญ ผมอยากจากไปเหมือนลูเธอร์ ด้วยการยืนยันถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างมั่นใจ

คำพูดสุดท้ายของพระเยซูเป็นอย่างไร พระธรรมมาระโกกล่าวว่า "ฝ่ายพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ " (15:37) พระธรรมมัทธิวก็กล่าวเช่นเดียวกัน "ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์" (27:50) การร้องครั้งสุดท้ายนี้คืออะไร เป็นการตะโกนด้วยชัยชนะหรือความสิ้นหวัง นี่คือจุดต่ำสุดในการทนทุกข์ของพระเยซู หรือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งชัยชนะของพระองค์

เราไม่จำเป็นต้องเดา เพราะลูกาได้ให้คำตอบไว้แล้ว “พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้วก็สิ้นพระชนม์

" (23:46) ยอห์นเสริมดังนี้ พระองค์ทรงตรัสว่า “สำเร็จแล้ว!” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์ (19:30)

เสียงร้องครั้งสุดท้ายที่แสนเจ็บปวดของพระเยซูเป็นเสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความไว้วางใจในพระเจ้า และเพราะคำพูดสุดท้ายของพระองค์เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ นั่นจึงไม่ใช่คำพูดสุดท้ายของพระองค์ เพราะพระเจ้าทรงให้พระเยซู พระบุตรผู้ล้ำค่าของพระองค์ ได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยชัยชนะ และในวันหนึ่งพระองค์จะทรงให้ทุกคนที่รักษาความเชื่อในพระคริสต์เป็นขึ้นมาใหม่เช่นเดียวกัน

ไมค์ วิทเมอร์

ใคร่ครวญ : คุณอยากให้คำพูดสุดท้ายของคุณเป็นอย่างไร ลองเขียนออกมาเพื่อคนที่คุณรักจะได้อ่านหลังจากที่คุณจากไปแล้ว และในวันนี้คุณได้สะท้อนคำพูดสุดท้ายนี้อย่างไร…

วันที่ 2 - เลวเกินไป สายเกินไปหรือไม่


ลูกา 23:43

ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม”

คริสโตเฟอร์ ฮิตเชนส์ คือชายผู้ต่อต้านพระเจ้าที่มีชื่อเสียง เขาขึ้นโต้วาทีกับผู้เชื่อพระคริสต์อย่างดุเดือด ขณะใกล้จะเสียชีวิตลงจากโรคมะเร็ง เขาประกาศว่าหากใครได้ยินว่าเขากลับใจมาเชื่อพระเยซูก่อนสิ้นใจ ก็ให้ถือเป็นหลักฐานว่าเขาได้เสียสติไปแล้ว คู่โต้วาทีและเพื่อนกล่าวว่า ฮิตเชนส์ได้เตือนผู้ติดตามของเขาเอาไว้ล่วงหน้า เพราะเขารู้ว่าเมื่อประจันหน้ากับความตายจริงๆ เขาอาจจะสิ้นหวังและหันไปหาพระคริสต์ได้ ใครจะรู้ล่ะครับ เขาอาจจะทำเช่นนั้นก็เป็นได้ คนหนึ่งที่ต่อต้านพระเจ้ามาตลอดทั้งชีวิต แต่ยังคงได้รับความรอดด้วยพระเมตตาในไม่กี่วินาทีสุดท้าย สิ่งนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว

โจรบนไม้กางเขนใช้ชีวิตอย่างชั่วช้า เขาบอกกับผู้ร้ายร่วมกางเขนว่า “เราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้หาได้กระทำผิดประการใดไม่” (ลูกา 23:41) โจรผู้นี้เหลือเวลาไม่กี่ชั่วโมงสุดท้ายที่เจ็บปวดแสนสาหัส ซึ่งความเจ็บปวดทางกายอาจบดบังความต้องการทางฝ่ายจิตวิญญาณที่สำคัญกว่ามากได้

ในตอนแรก เขาเองได้ทิ้งนาทีอันมีค่าไปด้วยการร่วมเยาะเย้ย หมิ่นประมาทพระเยซู (มาระโก 15:32) แต่ขณะถูกตรึงอยู่บนกางเขน โหยหาความตายเนื่องจากความเจ็บปวดแสนสาหัสนั้น เขาหันไปมองพระผู้เป็นโอกาสสุดท้ายของเขา และทูลว่า “พระเยซูเจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในแผ่นดินของพระองค์” (ลูกา 23:42)

พระเจ้าทรงพอพระทัยในการช่วยผู้คนให้รอด รวมถึงคนที่อยู่ในวาระสุดท้ายด้วย แทนที่จะเพ่งดูในสิ่งที่เรากระทำผิด ให้เราเพ่งดูที่พระเยซู

ไมค์ วิทเมอร์

ใคร่ครวญ : คุณเสียใจกับสิ่งใดมากที่สุด อะไรทำให้คุณคิดว่าคุณไม่สมควรได้รับการอภัย
อธิษฐาน : พระเยซูที่รัก ข้าพระองค์มองไปยังพระองค์ ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว เพราะพระองค์เท่านั้นที่ช่วยข้าพระองค์ให้รอดได้อย่างแท้จริง…

อธิษฐานอย่างไร เมื่อรู้สึกผิดหวังกับพระเจ้า

บางครั้ง ปัญหาในชีวิตก็ถาโถมเข้าใส่เรา จนเรารู้สึกว่ามันยากที่จะมองเห็นหรือสัมผัสได้ถึงหลักฐานแห่งความรักของพระเจ้า ในช่วงเวลามืดมนเช่นนั้น เราจะหันหน้าไปทางไหน

ยอห์น 3:16 บอกเราว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรัก (loved) โลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์“ สังเกตว่ายอห์นกล่าวว่าพระเจ้าทรง “รัก (loved)“ เรา ไม่ใช่พระเจ้าทรงรัก (loves) เรา วิธีการเล่าเรื่องในอดีต (past tense) ของยอห์นในจุดนี้ ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงรักเราแล้วในวันนี้ พระองค์ทรงรักเรา! แต่มันเป็นการเน้นย้ำว่าหลักฐานแห่งความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราซึ่งไม่สามารถปฏิเสธหรือเปลี่ยนแปลงได้ อยู่ในของขวัญที่พระองค์ได้ประทานให้แก่เราแล้ว คือพระบุตรของพระองค์ที่ทรงช่วยให้เรารอดพ้นจากบาปของเรา ด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง เราสามารถมองย้อนกลับไปที่การช่วยให้รอดอันแสนประเสริฐและรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา

สดุดี 77 ถ่ายทอดบทเรียนที่คล้ายคลึงกัน ในจุดนี้ผู้เขียนสดุดีตกอยู่ในความรวดร้าวที่เจ็บลึก เขาทำในสิ่งที่ถูกต้องด้วยการหันไปหาพระเจ้า แต่นี่ยิ่งทำให้ความทุกข์ทรมานของเขาเพิ่มขึ้น เพราะพระเจ้ามิได้ทรงปลอบประโลมใจเขา (ข้อ 2)

เขาทนทุกข์ในค่ำคืนที่หลับไม่ลงมานานหลายคืน จนถึงจุดที่เขาไม่สามารถสรรหาคำพูดหรือคำอธิษฐานได้ (ข้อ 4) เขาหวนคิดถึงบทเพลงแห่งความชื่นชมยินดีที่เคยติดอยู่ที่ริมฝีปากในค่ำคืนก่อนหน้านั้น (ข้อ 5-6) แต่ความทรงจำนี้ยิ่งทำให้ความเจ็บปวดในปัจจุบันของเขาย่ำแย่ลง

ผู้เขียนสดุดีตั้งคำถามกับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง (ข้อ 7-9) เขาย้ำเตือนพระเจ้าว่าพระองค์ได้ทรงสัญญาที่จะสำแดงความโปรดปราน ความเมตตากรุณา และความเห็นอกเห็นใจต่อบรรดาประชากรของพระองค์ ผู้เขียนสดุดีตั้งความหวังว่าคำถามเหล่านี้จะกระตุ้นเตือนให้พระเจ้าทรงช่วยเขา

ข้อ 10 เป็นจุดพลิกผันของบทสดุดี มาจนถึงตอนนี้ ความคิดทั้งหมดของผู้เขียนล้วนเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาของตัวเขาเอง…

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา