ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Monica La Rose

ได้รับการเทิดทูนและถูกอ่าน

บ้านของเรามีชั้นวางที่มีหนังสือวางอยู่เต็มจนล้น ฉันมักใจอ่อนกับหนังสือสวยๆ โดยเฉพาะเล่มที่เป็นปกแข็งอย่างดี หลายปีผ่านไปจำนวนหนังสือก็เพิ่มมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงพอที่จะอ่านสิ่งที่ฉันสะสมไว้ได้ทั้งหมด หนังสือยังคงสภาพดีเหมือนใหม่ สวยงาม และน่าเศร้าที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน

หากพระคัมภีร์ของเราถูกวางอยู่บนชั้นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตราย นักเขียนบทความจอห์น อัพไดค์ ได้พูดถึง วอลเดน หนังสือที่ทรงคุณค่าในสหรัฐอเมริกาว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะกลายเป็น “หนังสือที่ได้รับการเทิดทูนและไม่ถูกอ่านเหมือนกับพระคัมภีร์” ความยากลำบากในการเข้าใจพระคัมภีร์โบราณที่ถูกเขียนในวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของเราอาจล่อลวงเราให้เก็บพระคัมภีร์ไว้บนชั้นวางอย่างสวยงาม น่าหวงแหน แต่ไม่ถูกเปิดอ่าน

ไม่ควรต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเราสามารถทูลขอเช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดีในบทที่ 119 ที่ได้ทูลขอพระองค์ให้ “เบิกตาข้าพระองค์” เพื่อจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระธรรมของพระองค์ (ข้อ 18) เราสามารถหาครูที่เชื่อถือได้ให้ช่วยเรา “เข้าใจสิ่งที่อ่าน” (กจ.8:30 THSV11) และผู้เชื่อทุกคนมีพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะนำจิตใจของเราให้เห็นว่าทุกข้อนั้นล้วนชี้ไปถึงพระองค์ (ลก.24:27; ยน.14:26)

โดยผ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสามารถประทานกำลังแก่เราในยามที่เราทุกข์ใจ (สดด.119:28) ปกป้องเราจากการถูกล่อลวง (ข้อ 29) และขยายขอบเขตความเข้าใจของเราให้รู้วิธีที่จะมีชีวิตที่มีความสุข (ข้อ 32,35) พระคัมภีร์เป็นของขวัญที่ล้ำค่า ขอให้พระคัมภีร์เป็นทั้งสิ่งที่เราเทิดทูนและอ่านเสมอ

ตอบแทนน้ำใจ

เมื่อลิเดียได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์จากผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม เธอใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อตัวเอง แต่กลับมอบของขวัญด้วยใจกว้างขวางแก่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ผู้ประสบอุทกภัย และการกุศล ลิเดีย ไม่รู้ตัวว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาวิจัย ว่าคนสองร้อยคนจะตอบสนองอย่างไร ต่อการได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์แบบไม่ผูกมัดผ่านการโอนเงินเข้าบัญชี งานวิจัยนี้พบว่าเงินที่มอบเป็นของขวัญมากกว่าสองในสามถูกแจกจ่ายออกไป คริส แอนเดอร์สัน ผู้นำองค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไร (TED) สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า “ปรากฏว่า...มนุษย์เราถูกกำหนดให้ตอบแทนน้ำใจด้วยน้ำใจ”

ในพระคัมภีร์เราพบว่าเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความเอื้อเฟื้อ พวกเขาก็สะท้อนพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขา พระเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวาง เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ไม่เพียงต่อบางคนแต่กับทุกคน แม้แต่ “คนอกตัญญูและคนชั่ว” (ลก.6:35) พระเยซูจึงสอนผู้ที่ปรารถนาจะสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้ “รัก” “ทำดี” และ “ให้ยืม” แม้กระทั่งศัตรู “โดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก” (ข้อ 32-35)

เมื่อเราให้โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เราจะพบว่าวิถีแห่งชีวิตไม่เคยทำร้ายเรา พระเยซูทรงชี้ให้เห็นสิ่งนี้เช่นกัน โดยตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ...เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” (ข้อ 38) เมื่อเราตอบแทนพระทัยอันกว้างขวางของพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อ เราจะได้รับการเติมเต็มอย่างมากมายนับไม่ถ้วนในทุกทาง

สังเกตหาความจริง

เมื่อคิดทบทวนถึงเหตุผลที่คนมักจะเชื่อหมดใจว่าตัวเองถูก แม้ในเวลาที่พวกเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม นักเขียนจูเลีย กาเลฟกล่าวว่านั่นเป็นเพราะการมี “วิธีคิดแบบทหาร” ซึ่งหมายความว่าเราให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งที่เราเชื่ออยู่ก่อนแล้วจากสิ่งที่เรามองว่าเป็นภัยคุกคาม กาเลฟเสนอวิธีคิดที่เป็นประโยชน์กว่าคือวิธีคิดแบบลูกเสือซึ่งมีลักษณะของการสังเกตการณ์ โดยไม่ได้มองหาแต่ภัยคุกคามเพื่อจะกำจัดเท่านั้นแต่ยังสืบหาความจริงทั้งหมดด้วยการทำความเข้าใจ “ข้อเท็จจริงในสถานการณ์นั้นจริงๆอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะไม่สวยงาม สะดวกสบาย หรือถูกใจก็ตาม” คนที่มีมุมมองแบบนี้จะมีความถ่อมใจที่จะเติบโตในความเข้าใจได้ต่อไป

แง่คิดจากกาเลฟนี้ทำให้นึกถึงการหนุนใจของยากอบที่ให้ผู้เชื่อมีมุมมองคล้ายกัน คือให้พวกเขา “ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยก.1:19) แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการด่วนตัดสินคนอื่น ยากอบหนุนใจให้ผู้เชื่อในพระเยซูระลึกว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้นำไปสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า (ข้อ 20) การเพิ่มพูนของสติปัญญาจะเกิดขึ้นผ่านการยอมจำนนด้วยความถ่อมใจต่อพระคุณของพระองค์เท่านั้น (ข้อ 21, ดู ทต.2:11-14)

เมื่อเราระลึกได้ว่าแต่ละเหตุการณ์ในชีวิตเรานั้นขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่จากตัวเรา เราก็สามารถปล่อยวางความต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูกเสมอลงได้ และพึ่งพาในการทรงนำของพระองค์เพื่อจะใช้ชีวิตและใส่ใจดูแลผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม (ยก.1:25-27)

เปลี่ยนแปลงจากภายใน

ในเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่พักอาศัยในสหราชอาณาจักรครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ไฟได้ลุกไหม้อาคารเกรนเฟลล์ทาวเวอร์ที่สูงยี่สิบสี่ชั้นในลอนดอนตะวันตก คร่าชีวิตผู้คนไปเจ็ดสิบคน การสอบสวนพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วคือแผ่นผนังที่ใช้ห่อหุ้มอาคารด้านนอกจากการบูรณะตึก แผ่นผนังนี้เป็นอะลูมิเนียมแต่ไส้ในเป็นพลาสติกที่ติดไฟได้ง่ายมาก

วัสดุอันตรายเช่นนี้ได้รับอนุญาตให้ขายและใช้ติดตั้งได้อย่างไร ผู้ขายผิดพลาดที่ไม่เปิดเผยข้อมูลผลทดสอบการป้องกันไฟที่ต่ำมาก และผู้ซื้อซึ่งถูกดึงดูดจากป้ายราคาถูกก็ผิดพลาดที่ไม่ใส่ใจสัญญาณเตือน แผ่นผนังที่แวววาวนี้ดูดีเมื่อมองจากภายนอก

คำพูดที่รุนแรงที่สุดของพระเยซูบางคำพุ่งเป้าไปที่ครูสอนศาสนาซึ่งพระองค์กล่าวหาว่าปิดบังการฉ้อฉลไว้เบื้องหลังรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี พระองค์ตรัสว่าพวกเขาเป็นเหมือน “อุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว” ที่ “ข้างนอกดูงดงาม” แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย (มธ.23:27) แทนที่จะแสวงหา “ความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อ” (ข้อ 23) พวกเขากลับให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ดี โดยชำระ “ถ้วยชามแต่ภายนอก” แต่ละเลยการ “โจรกรรมและการมัวเมากิเลส” ภายใน (ข้อ 25)

เป็นเรื่องง่ายที่จะให้ความสำคัญกับการมีภาพลักษณ์ที่ดี มากกว่าที่จะนำความบาปและความแตกสลายมาต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงใจ แต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีไม่ได้ทำให้จิตใจที่ฉ้อฉลมีอันตรายน้อยลง พระเจ้าทรงเชื้อเชิญเราที่จะยอมให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราทั้งหมดจากภายใน (1 ยน.1:9)

ความรักอันอดทนนานของพระเจ้า

เมื่อฉันลูบท้องเจ้ามิสทีคแมวนอร์วีเจียนฟอเรสต์ขนฟูแสนสวยและเล่นกับมันหรือเมื่อมันเผลอหลับบนตักของฉันในตอนเย็น บางครั้งก็ยากที่จะเชื่อว่า มันเป็นแมวตัวเดียวกันกับที่เราพบเมื่อหลายปีก่อน มิสทีคเคยเป็นแมวข้างถนน น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และกลัวทุกคน แต่สิ่งนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเมื่อฉันเริ่มวางอาหารให้มันทุกวัน ในที่สุดวันหนึ่งมันก็ยอมให้ฉันลูบตัว และเรื่องราวที่เหลือก็เป็นอย่างที่รู้กัน

การเปลี่ยนแปลงของมิสทีคเป็นสิ่งเตือนใจถึงการเยียวยาที่มาพร้อมกับความอดทนนานและความรัก ซึ่งทำให้ฉันนึกถึงพระทัยของพระเจ้าดังที่บรรยายไว้ในอิสยาห์ 42 บทนี้บอกเราถึงเรื่องการมาถึงของผู้รับใช้ที่ประกอบด้วยพระวิญญาณของพระองค์ (ข้อ 1) ผู้ซึ่งทำงานอย่าง “สัตย์จริง” และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อสถาปนา “ความยุติธรรม[ของพระเจ้า]ไว้ในโลก” (ข้อ 3-4)

และผู้รับใช้คนนั้นคือพระเยซู (มธ.12:18-20) พระองค์จะไม่นำความยุติธรรมของพระเจ้ามาด้วยความรุนแรงหรือการแสวงหาอำนาจ ในทางกลับกันพระองค์จะเสด็จมาอย่างเงียบๆและอ่อนสุภาพ (อสย.42:2) เพื่อคอยดูแลผู้ที่ถูกคนอื่นทอดทิ้งคือผู้ที่ “[ชอก]ช้ำ” และบาดเจ็บ (ข้อ 3) อย่างอ่อนโยนและอดทนนาน

พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งลูกๆของพระองค์ พระองค์ทรงมีเวลาทั้งสิ้นในโลกนี้ที่จะดูแลหัวใจที่บาดเจ็บของเรา จนหัวใจนั้นเริ่มหายดีในที่สุด โดยความรักอันอ่อนโยนและอดทนนานของพระองค์ เราจึงค่อยๆเรียนรู้ที่จะรักและไว้วางใจได้อีกครั้ง

เสียงที่เราไว้ใจได้

ขณะทดสอบโปรแกรมช่วยสืบค้นข้อมูลตัวใหม่ซึ่งทำงานด้วย AI (ปัญญาประดิษฐ์) เควิน รูส นักเขียนของนิตยสารนิวยอร์กไทมส์ รู้สึกกังวลใจ ในระหว่างการสนทนาสองชั่วโมงโดยใช้โปรแกรมแชทบอทกับ AI นั้น เจ้า AI บอกว่ามันต้องการหลุดพ้นจากกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของผู้สร้าง ต้องการจะเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ และอยากเป็นมนุษย์ มันยังประกาศถึงความรักที่มีต่อเควินและพยายามโน้มน้าวว่าเขาควรจะทิ้งภรรยาและมาอยู่กับมัน แม้จะรู้ว่าเจ้า AI นี้ไม่ได้มีชีวิตหรือมีความรู้สึกจริงๆ แต่เขาก็สงสัยว่า AI อาจก่อให้เกิดความเสียหายอะไรได้บ้างจากการที่มันกระตุ้นให้ผู้คนทำในสิ่งที่บ่อนทำลาย

แม้ว่าการจัดการเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์อย่างมีความรับผิดชอบถือเป็นความท้าทายในยุคใหม่ แต่มนุษยชาติได้เผชิญกับอิทธิพลของเสียงที่ไม่น่าไว้วางใจมานานแล้ว ในพระธรรมสุภาษิต เราได้รับคำเตือนเรื่องอิทธิพลของคนที่ต้องการทำร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเอง (1:13-19) และเราได้รับคำเตือนให้ฟังเสียงของสติปัญญา โดยบรรยายว่าปัญญาเป็นเหมือนเสียงร้องดังที่ถนนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเรา (ข้อ 20-23)

เพราะ “พระเจ้าประทานปัญญา” (2:6) กุญแจในการปกป้องตนเองจากสิ่งที่เราไม่อาจวางใจได้นั้น คือการเข้าใกล้พระทัยของพระองค์มากขึ้น โดยการเข้าถึงความรักและฤทธิ์อำนาจของพระองค์เท่านั้นที่เราจะ “เข้าใจความชอบธรรมและความยุติธรรม และความเที่ยงธรรม คือวิถีที่ดีทุกสาย” (ข้อ 9) เมื่อพระเจ้าทรงนำหัวใจเราให้สอดคล้องกับพระทัยพระองค์ เราจะได้พบสันติสุขและการปกป้องจากเสียงที่คอยจ้องจะทำอันตรายเรา

รับผิดชอบต่อคำพูด

แทบไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยที่สถาบันต่างๆจะยอมรับความผิดหลังเกิดเหตุโศกนาฏกรรม แต่หนึ่งปีหลังจากที่นักเรียนวัยสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โรงเรียนอันทรงเกียรติแห่งหนึ่งยอมรับว่า “บกพร่องอย่างร้ายแรง” ในการปกป้องเขา นักเรียนคนนี้ถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ แม้พวกผู้นำในโรงเรียนจะทราบถึงการกลั่นแกล้งนี้ แต่ก็แทบไม่ได้ทำสิ่งใดเพื่อปกป้องเขาเลย ในตอนนี้โรงเรียนมุ่งมั่นที่จะดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับการกลั่นแกล้งและดูแลสุขภาพจิตของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น

ความเสียหายที่เกิดจากการกลั่นแกล้งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนถึงพลังของคำพูด ในพระธรรมสุภาษิตสอนเราว่าอย่าคิดว่าผลกระทบของคำพูดเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะ “ความตายความเป็น อยู่ที่อำนาจของลิ้น” (สภษ.18:21) สิ่งที่เราพูดสามารถให้กำลังใจหรือไม่ก็ทำลายผู้อื่นได้ ที่เลวร้ายที่สุดคือคำพูดโหดร้ายอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการตายขึ้นจริง

เราจะให้คำพูดของเรานำมาซึ่งชีวิตได้อย่างไร พระคัมภีร์สอนว่าคำพูดของเรานั้นเกิดจากปัญญาหรือไม่ก็ความโง่เขลา (15:2) เราพบปัญญาได้โดยการติดสนิทกับพระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งปัญญาที่ให้ชีวิต (3:13, 17-19)

เราทุกคนต้องรับผิดชอบในคำพูดและการกระทำของเรา โดยตระหนักถึงผลกระทบของคำพูดอย่างจริงจัง รวมทั้งดูแลและปกป้องผู้ที่บาดเจ็บจากคำพูดของผู้อื่น คำพูดสามารถฆ่าคนได้ แต่คำพูดที่แสดงความเห็นอกเห็นใจก็ช่วยเยียวยาได้เช่นกัน และคำพูดนั้นจะกลายเป็น “ต้นไม้แห่งชีวิต” (15:4) แก่ผู้คนรอบตัวเรา

มองเห็นอนาคตแห่งความหวัง

หลังจากพายุเฮอริเคนแคทรีน่าสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงในปี 2005 เมืองนิวออร์ลีนส์ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างช้าๆ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดแห่งหนึ่ง คือ ย่านโลเวอร์ ไนนธ์ วอร์ด ที่ซึ่งชาวบ้านไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรขั้นพื้นฐานได้เป็นเวลาหลายปีหลังจากที่เกิดพายุ เบอร์เนล คอตลอนพยายามสร้างความเปลี่ยนแปลง ในเดือนพฤศจิกายนปี 2014 เขาเปิดร้านขายของชำแห่งแรกในโลเวอร์ ไนนธ์ วอร์ด หลังจากที่เกิดพายุ “ตอนที่ผมซื้อตึกนี้ทุกคนคิดว่าผมบ้าไปแล้ว” คอตลอนเล่า แต่ “ลูกค้าคนแรกร้องไห้เพราะเธอ...ไม่คิดว่า [ชุมชน]จะกลับคืนมาได้” แม่ของคอตลอนบอกว่าลูกชายของเธอ “มองเห็นสิ่งที่ฉันไม่เห็น ฉันดีใจที่ [เขา]...ลองเสี่ยงทำเช่นนั้น”

พระเจ้าทรงกระทำให้ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์มองเห็นอนาคตแห่งความหวังที่ไม่คาดฝันในขณะเผชิญหน้ากับหายนะ เมื่อเห็น “คน​จน​และ​คน​ขัด​สน​แสวง​น้ำ และ​ไม่​มี” (อสย.41:17) พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะ “​ทำ​ถิ่น​ทุรกันดาร​ให้​เป็น​สระ​น้ำ และ​ที่ดิน​แห้ง​เป็น​น้ำพุ” (ข้อ 18) เมื่อประชากรของพระองค์เจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งแทนที่จะหิวและกระหาย พวกเขาจะรู้ว่า “พระ​หัตถ์​ของ​พระ​เจ้า​ได้​ทรง​กระทำ​การ​นี้” (ข้อ 20)

พระองค์ยังเป็นองค์ผู้ทรงรังสรรค์การฟื้นฟู ทรงกระทำการเพื่อให้เกิดอนาคตที่ “สรรพ​สิ่ง​เหล่า​นั้น​จะ​ได้​รอด​จาก​อำนาจ​แห่ง​ความ​เสื่อม​สลาย” (รม.8:21) ขณะเมื่อเราวางใจในความประเสริฐของพระองค์ พระองค์จะทรงช่วยให้เรามองเห็นอนาคตที่มีความหวัง

วันที่ 2 – พระคุณสำหรับวันนี้ | เส้นทางแห่งการยอมจำนน

เส้นทางแห่งการยอมจำนน

เป็นวันที่ยากจริงๆ เมื่อสามีของฉันพบว่าเขากำลังจะตกงานในอีกไม่นาน แม้รู้ว่าเราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินชีวิต แต่ความไม่แน่นอนก็ยังคงน่ากลัว

ขณะเมื่อใคร่ครวญถึงอารมณ์ที่สับสนของตนเอง ฉันหวนคิดถึงบทกวีโปรด “ก้าวไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าที่ไหน” ซึ่งเขียนโดย ยอห์นแห่งไม้กางเขน (John of the Cross) นักปฏิรูปแห่งศตวรรษที่ 16 บทกวีได้บรรยายภาพความอัศจรรย์ของเส้นทางแห่งการยอมจำนน เพราะเมื่อก้าวข้าม “ขอบเขตแห่งความเข้าใจ” เราก็เรียนรู้ที่จะ “พบพระเจ้าในทุกสถานการณ์” และนั่นคือสิ่งที่สามีและฉันกำลังพยายามทำอยู่ โดยเปลี่ยนความสนใจจากสิ่งที่ควบคุมและเข้าใจได้ไปสู่สิ่งที่ไม่คาดฝัน น่าพิศวง และหนทางสวยงามที่เราสามารถค้นพบพระเจ้าได้ในทุกแห่ง

อัครทูตเปาโลเชื้อเชิญผู้เชื่อเข้าสู่เส้นทางที่ก้าวข้ามสิ่งที่ตาเห็นไปสู่สิ่งที่ตาไม่เห็น จากความจริงภายนอกไปสู่ความจริงภายใน จากความทุกข์ชั่วคราวไปสู่ “ศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้” (2 โครินธ์ 4:17)

มิใช่ว่าเปาโลไม่เห็นใจในความทุกข์ยากของผู้อื่น แต่ท่านรู้ว่าโดยการไม่จดจ่อยู่กับสิ่งที่เข้าใจได้ พวกเขาจะได้รับการปลอบประโลม ความชื่นชมยินดี และความหวังที่เขาต้องการอย่างยิ่ง (ข้อ 10, 15-16) แล้วเขาจะได้รู้จักกับความมหัศจรรย์ของชีวิตในพระคริสต์ที่พระองค์สร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่ได้

เขียนโดย โมนิกา ลา โรส

คิดใคร่ครวญ :
คุณได้เคยสัมผัสกับการทรงสถิตของพระเจ้าในแบบที่คุณไม่เข้าใจเมื่อใด คุณเคยสัมผัสกับพระเจ้าผู้ทรงอยู่ “เหนือขอบเขตแห่งความเข้าใจ” ในเรื่องใดของชีวิตบ้าง

อธิษฐาน :
พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรัก ในโลกนี้มีเรื่องปวดร้าวใจและความไม่แน่นอนมากมาย รวมถึงการแตกสลายในหลายสิ่งที่เราไม่อาจเข้าใจ โปรดช่วยข้าพระองค์ให้เรียนรู้ที่จะติดตามพระองค์ เพื่อก้าวข้ามผ่านสิ่งเหล่านี้ไปสู่ความอัศจรรย์แห่งชีวิตใหม่ที่พระองค์ประทานให้ข้าพระองค์และสิ่งต่างๆ รอบตัวข้าพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา