อย่าทำสิ่งนี้คนเดียว
เมื่อฉันเปิดคู่มือการประกอบชั้นวางหนังสือโดยมีแผ่นไม้และเครื่องมือวางกองเกลื่อนอยู่บนพื้นตรงหน้า ฉันเห็นแผนภาพประกอบที่แนะนำว่าควรทำและไม่ควรทำอะไรบ้าง แผนภาพหนึ่งที่มีเครื่องหมายกากบาทขนาดใหญ่อยู่ด้านบนสุดแสดงภาพของคนคนหนึ่งกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จ้องมองกองแผ่นไม้และเครื่องมืออย่างงุนงงไม่ต่างกับฉันเมื่อไม่กี่นาทีก่อน ส่วนทางขวามือเป็นภาพวิธีประกอบที่ “ถูกต้อง” สิ่งเดียวที่แตกต่างกันคือมีอีกคนอยู่ในภาพด้วย ทั้งสองคนมีรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่พวกเขาร่วมกันทำงาน
ฉันจึงไปหาสามีและบอกว่า “ในคู่มือบอกว่าฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ” พร้อมเอาภาพนั้นให้เขาดู เขาหัวเราะและเราก็ประกอบชั้นหนังสือด้วยกัน ฉันจะดันทุรังพยายามหาทางประกอบชั้นนั้นเองก็ได้ แต่คู่มือนั้นพูดถูกที่ว่า ขั้นตอนทั้งหมดนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับทำคนเดียว
ในโรมบทที่ 12 เปาโลกระตุ้นเตือนผู้เชื่อใหม่ที่จะไม่พยายามดำเนินชีวิตในพระเยซูตามลำพัง คือแทนที่จะมองว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาตนเองได้และถือตัว “เกินที่ตนควรจะคิด” (ข้อ 3) แต่พวกเขาจำเป็นต้องมองว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่พึ่งพาอาศัยกัน โดยที่แต่ละอวัยวะต่างต้องการความช่วยเหลือจากกันและกัน (ข้อ 4-8)
ในขณะที่พระเยซูทรงช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะ “รักกันฉันพี่น้อง” (ข้อ 10) เราก็จะได้สัมผัสกับชีวิตที่ “เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” กับผู้อื่น โดยไม่มีใครเลยที่ต้องเผชิญกับความขัดสน ความทุกข์โศก และความชื่นชมยินดี (ข้อ 13, 15) แต่เพียงลำพัง
มีชีวิตกับพระเยซู
คริสเตียน นีซิมิร่าเป็นแพทย์ชาวรวันดาที่สัมผัสการทรงเรียกจากพระเจ้า ให้ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายในพื้นที่ที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอในประเทศบ้านเกิดของตน เพื่อนร่วมงานมักไม่เห็นคุณค่าของการดูแลนี้ เพราะ “ผู้ป่วยเหล่านี้ถือว่าหมดหวังแล้ว” แต่นีซิมิร่าพบว่าสำหรับผู้ป่วยและครอบครัว “การปรากฏตัวของเขาก่อให้เกิดความหวังขึ้นอีกครั้งในยามที่ดูเหมือนสูญสิ้นทุกอย่าง” นีซิมิร่าอยู่กับงานของเขาบนพื้นฐานความเชื่อว่า การสิ้นพระชนม์และการทรงพระชนม์อยู่ของพระเยซูจะเปลี่ยนวิธีที่เราเข้าใกล้ความตายได้ เพราะ “การตายของพระคริสต์ เป็นแหล่งแห่งชีวิตใหม่ของเรา”
ใน 2 ทิโมธี อัครทูตเปาโลเป็นพยานถึงความจริงที่ว่าพระเยซู “ได้ทรงกำจัดความตายให้สูญสิ้น และได้ทรงกระทำให้ชีวิตและสภาพอมตะกระจ่างแจ้งโดยข่าวประเสริฐ” (1:10) ได้เปลี่ยนวิธีที่ท่านเข้าใจการทนทุกข์ของท่าน แม้เปาโลเป็นนักโทษที่อาจถูกประหาร (2:9) แต่การเป็นขึ้นของพระเยซูทำให้ท่านเข้าใจถึงการทรงเรียกของท่าน คือที่จะชี้นำคนอื่นไปสู่ความรอดโดยทางพระคริสต์ (ข้อ 10) เพราะ “ถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเรามีความอดทน เราก็จะได้ครองร่วมกับพระองค์ด้วย” (ข้อ 11-12)
การตายกับพระเยซูไม่ได้หมายถึงเมื่อผู้เชื่อตายแล้วจริงๆ ในจดหมายฝากโรม เปาโลอธิบายเรื่องนี้โดยใช้ภาพเปรียบเทียบกับการรับบัพติศมาว่า ผู้เชื่อจะรวมเป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณของพระคริสต์ในการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระองค์ (รม. 6:4-8)
เพราะพระคริสต์สถิตในเรา แม้ว่าเราจะเผชิญกับความน่าสะพรึงกลัวของความตาย เราก็จะยังมีชีวิตเพื่อพระองค์และเป็นพยานถึงพระองค์ได้
พระเจ้าทรงเข้าใจ
ในหนังสือพจนานุกรมความโศกเศร้าที่คลุมเครือ จอห์น โคนิก นำเสนอชุดคำศัพท์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละคำถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อตั้งชื่อให้กับความรู้สึกซับซ้อนที่เราไม่มีคำเรียกมาก่อน หนังสือของเขามีคำเช่น dés vu (เดวู) “การตระหนักว่าช่วงเวลานี้จะกลายเป็นความทรงจำ” และ onism (ออนิซึม) “ความหงุดหงิดจากการติดอยู่ในร่างเดียวที่ต้องอยู่แค่สถานที่เดียวและเวลาเดียว” โคนิกบอกว่าภารกิจของเขาคือการเปิดเผยประสบการณ์อันแปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ทั้งสิ้นของมนุษย์ เพื่อผู้คนจะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงจากประสบการณ์เหล่านั้น
แม้เราจะไม่อาจหาคำมาอธิบายสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้เสมอไป แต่ผู้เชื่อในพระเยซูจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นคุณค่าและเข้าใจว่าการเป็นมนุษย์เป็นเช่นไร พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของมนุษย์มากจนทรงเลือกที่จะมอบความไว้วางใจให้มนุษย์ดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ฮบ.2:7-8) และเพราะพระเยซู พระเจ้าจึงทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์เป็นอย่างไร พระคริสต์คือพระเจ้าที่ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าผู้เชื่อคนอื่นๆนั้นถูกเรียกว่า “พี่น้อง” ของพระเยซู (ข้อ 12)
พระคริสต์ไม่เพียงทรงเข้าใจในประสบการณ์และการทดลองใจทั้งสิ้นของเรา (4:15) แต่ยังทรงทำลาย “อำนาจแห่งความตาย” ที่มีเหนือชีวิตของเราด้วย (2:14) เพราะพระองค์ เราจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัวหรือโดดเดี่ยวเพราะประสบการณ์เหล่านั้น แต่เราสามารถเฉลิมฉลองในของขวัญแห่งการเป็นมนุษย์ได้
มองด้วยพระทัยของพระเจ้า
ในวันเกิดอายุครบสิบสามปีของชองทาล หลังจากการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานในหมู่บ้านที่สงบเงียบของเธอผ่านไปหลายชั่วโมง มีเสียงปืนดังขึ้นในยามเย็นอันเงียบสงบ ชองทาลและพี่น้องของเธอวิ่งเข้าไปในป่าเพื่อซ่อนตัวตามที่แม่ของเธอสั่งด้วยความตื่นตระหนก ตลอดทั้งคืนพวกเขาขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ที่ใช้หลบภัย ชองทาลเล่าให้ฟังว่า “ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในตอนเช้า แต่เราไม่เห็นพ่อแม่ของเรา” เธอและพวกพี่น้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและผู้ลี้ภัย และได้เข้าไปอยู่ในศูนย์อพยพร่วมกับคนอีกนับหมื่น
เมื่อเราได้ยินเรื่องราวที่เหมือนกับเรื่องของชองทาล เราอาจจะรู้สึกไม่อยากรับรู้ถึงความสูญเสียอันท่วมท้นนั้น แต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแห่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็จะเชื่อในพระเจ้าผู้ไม่เคยละสายตาไปจากความทุกข์ทรมาน ผู้ทรงคอย “เฝ้าดูคนต่างด้าว พระองค์ทรงชูลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย” (สดด.146:9)
พระองค์ “ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก...ผู้รักษาความสัตย์สุจริตไว้เป็นนิตย์” (ข้อ 6) ทรงกระทำพระราชกิจเพื่อค้ำจุน “ความยุติธรรมให้แก่คนที่ถูกบีบบังคับ” และทรงจัดเตรียม “อาหารแก่คนที่หิว” อยู่เสมอ (ข้อ 7)
ชองทาล ซูซี่ ลีดเดอร์ ผู้ก่อตั้งองค์กรเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กหญิงผู้ลี้ภัยกล่าวว่าประสบการณ์ของเธอสอนให้เธอรู้ว่า “ใครๆก็สามารถกลายเป็นผู้ลี้ภัยได้ เมื่อสูญเสียพื้นที่ปลอดภัยที่เคยมี”
ขอให้การตอบสนองของเราต่อผู้ที่สูญเสียพื้นที่ปลอดภัย สะท้อนถึงพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงเป็น “ที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่” (9:9) และทรง “ยกคนที่ตกต่ำให้ลุกขึ้น” (146:8)
ชนะโดยการแพ้
“ความพ่ายแพ้นั้นแท้จริงแล้วทรงพลังมากยิ่งกว่าชัยชนะ” ศาสตราจารย์โมนิก้า วาธวากล่าว งานวิจัยของเธอเผยให้เห็นว่าผู้คนมักจะมีพลังและมีแรงกระตุ้นมากที่สุดไม่ใช่ตอนที่เขาชนะ แต่เป็นตอนที่เขาเกือบจะชนะ เมื่อไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผู้คนมักมีแรงผลักดันให้พัฒนาตนเองและพยายามต่อไป ในทางกลับกันชัยชนะที่ได้มาโดยง่ายมักจะทำให้คนมีพลังและแรงผลักดันน้อยลง
มุมมองของโมนิก้าให้ความเข้าใจใหม่ในการเปรียบเทียบของเปาโลสองตอนด้วยกัน ซึ่งท่านเปรียบการติดตามพระคริสต์กับการวิ่งแข่งใน 1 โครินธ์ 9:24-27 และฟีลิปปี 3:12-14 ในทั้งสองกรณีเปาโลย้ำว่าผู้เชื่อควรทุ่มเทด้วยสุดกำลังในการติดตามพระคริสต์และข่าวประเสริฐ โดย“โน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” (ฟป.3:13) และวิ่ง “เพื่อชิงรางวัลให้ได้” (1 คร.9:24)
ความมุ่งมั่นที่เราพยายามจะทำให้ได้ทั้งการแบ่งปันข่าวประเสริฐอย่างสัตย์ซื่อ (ข้อ 23) และการรู้จักพระคริสต์ (ฟป.3:8) นั่นคือความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง เพราะเราจะไม่มีวันพูดได้ว่าเราบรรลุเป้าหมายแล้ว เราจะทำได้ไม่ดีพอเสมอ เราจะไม่มีวันพูดได้เลยว่าเราทำ “สำเร็จแล้ว” (ข้อ 12)
แต่นั่นไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่สำคัญคือประสบการณ์ในการได้เข้าใกล้พระคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงพระกำลังของพระองค์เท่านั้นที่จะเสริมกำลังและกระตุ้นให้เราทุ่มเทด้วยสุดใจ เพื่อติดตามพระองค์ผู้ซึ่งจะพาเราไปสู่ชัยชนะในวันข้างหน้า
ความรู้อันทรงสง่าราศี
โธมัส อไควนัส นักเทววิทยาในยุคกลางต้องอดทนอย่างมากในการอุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาพระเจ้า ครอบครัวจับเขาขังไว้เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อกีดกันไม่ให้เขาเข้าร่วมกับคณะโดมินิกัน ซึ่งเป็นกลุ่มนักบวชที่อุทิศตัวให้กับชีวิตที่เรียบง่าย การศึกษาพระคัมภีร์ และการเทศนาสั่งสอน ตลอดชีวิตที่เขาศึกษาพระคัมภีร์และเรื่องการทรงสร้าง รวมทั้งเขียนวารสารร่วมร้อยฉบับ อไควนัสก็มีประสบ-การณ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้าจนเขาเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถเขียนอะไรต่อไปได้อีก เพราะพระเจ้าทรงประทานความรู้อันทรงสง่าราศีให้กับข้าพเจ้าจนทุกสิ่งที่อยู่ในงานเขียนของข้าพเจ้าดูไร้ค่าเหมือนกับฟาง” และเขาเสียชีวิตลงในอีกสามเดือนต่อมา
อัครทูตเปาโลก็บรรยายถึงประสบการณ์ที่ท่วมท้นกับพระเจ้าจนไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อท่าน “ถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม” (2 คร.12:3-4) “เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น” พระเจ้าทรงให้มี “หนามใหญ่ในเนื้อ” ของเปาโลซึ่งไม่อาจบ่งชี้ได้ว่ามันคืออะไร (ข้อ 7) เพื่อให้ท่านถ่อมตัวลงและพึ่งพาพระเจ้า พระเจ้าบอกกับท่านว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)
ยิ่งเราเข้าใจพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่มีถ้อยคำใดที่เราจะใช้บรรยายถึงพระเจ้าได้เลย ทว่าในความอ่อนแอและการที่เราไม่รู้ว่าจะใช้ถ้อยคำใดนั้น พระคุณและความงดงามของพระคริสต์จะส่องประกายผ่านเราออกมาอย่างชัดเจน
ได้รับการเทิดทูนและถูกอ่าน
บ้านของเรามีชั้นวางที่มีหนังสือวางอยู่เต็มจนล้น ฉันมักใจอ่อนกับหนังสือสวยๆ โดยเฉพาะเล่มที่เป็นปกแข็งอย่างดี หลายปีผ่านไปจำนวนหนังสือก็เพิ่มมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงพอที่จะอ่านสิ่งที่ฉันสะสมไว้ได้ทั้งหมด หนังสือยังคงสภาพดีเหมือนใหม่ สวยงาม และน่าเศร้าที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน
หากพระคัมภีร์ของเราถูกวางอยู่บนชั้นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตราย นักเขียนบทความจอห์น อัพไดค์ ได้พูดถึง วอลเดน หนังสือที่ทรงคุณค่าในสหรัฐอเมริกาว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะกลายเป็น “หนังสือที่ได้รับการเทิดทูนและไม่ถูกอ่านเหมือนกับพระคัมภีร์” ความยากลำบากในการเข้าใจพระคัมภีร์โบราณที่ถูกเขียนในวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของเราอาจล่อลวงเราให้เก็บพระคัมภีร์ไว้บนชั้นวางอย่างสวยงาม น่าหวงแหน แต่ไม่ถูกเปิดอ่าน
ไม่ควรต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเราสามารถทูลขอเช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดีในบทที่ 119 ที่ได้ทูลขอพระองค์ให้ “เบิกตาข้าพระองค์” เพื่อจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระธรรมของพระองค์ (ข้อ 18) เราสามารถหาครูที่เชื่อถือได้ให้ช่วยเรา “เข้าใจสิ่งที่อ่าน” (กจ.8:30 THSV11) และผู้เชื่อทุกคนมีพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะนำจิตใจของเราให้เห็นว่าทุกข้อนั้นล้วนชี้ไปถึงพระองค์ (ลก.24:27; ยน.14:26)
โดยผ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสามารถประทานกำลังแก่เราในยามที่เราทุกข์ใจ (สดด.119:28) ปกป้องเราจากการถูกล่อลวง (ข้อ 29) และขยายขอบเขตความเข้าใจของเราให้รู้วิธีที่จะมีชีวิตที่มีความสุข (ข้อ 32,35) พระคัมภีร์เป็นของขวัญที่ล้ำค่า ขอให้พระคัมภีร์เป็นทั้งสิ่งที่เราเทิดทูนและอ่านเสมอ
ตอบแทนน้ำใจ
เมื่อลิเดียได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์จากผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม เธอใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อตัวเอง แต่กลับมอบของขวัญด้วยใจกว้างขวางแก่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ผู้ประสบอุทกภัย และการกุศล ลิเดีย ไม่รู้ตัวว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาวิจัย ว่าคนสองร้อยคนจะตอบสนองอย่างไร ต่อการได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์แบบไม่ผูกมัดผ่านการโอนเงินเข้าบัญชี งานวิจัยนี้พบว่าเงินที่มอบเป็นของขวัญมากกว่าสองในสามถูกแจกจ่ายออกไป คริส แอนเดอร์สัน ผู้นำองค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไร (TED) สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า “ปรากฏว่า...มนุษย์เราถูกกำหนดให้ตอบแทนน้ำใจด้วยน้ำใจ”
ในพระคัมภีร์เราพบว่าเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความเอื้อเฟื้อ พวกเขาก็สะท้อนพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขา พระเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวาง เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ไม่เพียงต่อบางคนแต่กับทุกคน แม้แต่ “คนอกตัญญูและคนชั่ว” (ลก.6:35) พระเยซูจึงสอนผู้ที่ปรารถนาจะสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้ “รัก” “ทำดี” และ “ให้ยืม” แม้กระทั่งศัตรู “โดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก” (ข้อ 32-35)
เมื่อเราให้โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เราจะพบว่าวิถีแห่งชีวิตไม่เคยทำร้ายเรา พระเยซูทรงชี้ให้เห็นสิ่งนี้เช่นกัน โดยตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ...เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” (ข้อ 38) เมื่อเราตอบแทนพระทัยอันกว้างขวางของพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อ เราจะได้รับการเติมเต็มอย่างมากมายนับไม่ถ้วนในทุกทาง
สังเกตหาความจริง
เมื่อคิดทบทวนถึงเหตุผลที่คนมักจะเชื่อหมดใจว่าตัวเองถูก แม้ในเวลาที่พวกเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม นักเขียนจูเลีย กาเลฟกล่าวว่านั่นเป็นเพราะการมี “วิธีคิดแบบทหาร” ซึ่งหมายความว่าเราให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งที่เราเชื่ออยู่ก่อนแล้วจากสิ่งที่เรามองว่าเป็นภัยคุกคาม กาเลฟเสนอวิธีคิดที่เป็นประโยชน์กว่าคือวิธีคิดแบบลูกเสือซึ่งมีลักษณะของการสังเกตการณ์ โดยไม่ได้มองหาแต่ภัยคุกคามเพื่อจะกำจัดเท่านั้นแต่ยังสืบหาความจริงทั้งหมดด้วยการทำความเข้าใจ “ข้อเท็จจริงในสถานการณ์นั้นจริงๆอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะไม่สวยงาม สะดวกสบาย หรือถูกใจก็ตาม” คนที่มีมุมมองแบบนี้จะมีความถ่อมใจที่จะเติบโตในความเข้าใจได้ต่อไป
แง่คิดจากกาเลฟนี้ทำให้นึกถึงการหนุนใจของยากอบที่ให้ผู้เชื่อมีมุมมองคล้ายกัน คือให้พวกเขา “ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยก.1:19) แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการด่วนตัดสินคนอื่น ยากอบหนุนใจให้ผู้เชื่อในพระเยซูระลึกว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้นำไปสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า (ข้อ 20) การเพิ่มพูนของสติปัญญาจะเกิดขึ้นผ่านการยอมจำนนด้วยความถ่อมใจต่อพระคุณของพระองค์เท่านั้น (ข้อ 21, ดู ทต.2:11-14)
เมื่อเราระลึกได้ว่าแต่ละเหตุการณ์ในชีวิตเรานั้นขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่จากตัวเรา เราก็สามารถปล่อยวางความต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูกเสมอลงได้ และพึ่งพาในการทรงนำของพระองค์เพื่อจะใช้ชีวิตและใส่ใจดูแลผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม (ยก.1:25-27)