พระเจ้าทรงเข้าใจ
ในหนังสือพจนานุกรมความโศกเศร้าที่คลุมเครือ จอห์น โคนิก นำเสนอชุดคำศัพท์ใหม่ๆ ซึ่งแต่ละคำถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อตั้งชื่อให้กับความรู้สึกซับซ้อนที่เราไม่มีคำเรียกมาก่อน หนังสือของเขามีคำเช่น dés vu (เดวู) “การตระหนักว่าช่วงเวลานี้จะกลายเป็นความทรงจำ” และ onism (ออนิซึม) “ความหงุดหงิดจากการติดอยู่ในร่างเดียวที่ต้องอยู่แค่สถานที่เดียวและเวลาเดียว” โคนิกบอกว่าภารกิจของเขาคือการเปิดเผยประสบการณ์อันแปลกประหลาดและเป็นเอกลักษณ์ทั้งสิ้นของมนุษย์ เพื่อผู้คนจะรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลงจากประสบการณ์เหล่านั้น
แม้เราจะไม่อาจหาคำมาอธิบายสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ได้เสมอไป แต่ผู้เชื่อในพระเยซูจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เมื่อรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นคุณค่าและเข้าใจว่าการเป็นมนุษย์เป็นเช่นไร พระองค์ทรงเห็นคุณค่าของมนุษย์มากจนทรงเลือกที่จะมอบความไว้วางใจให้มนุษย์ดูแลสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ฮบ.2:7-8) และเพราะพระเยซู พระเจ้าจึงทรงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการดำรงชีวิตในฐานะมนุษย์เป็นอย่างไร พระคริสต์คือพระเจ้าที่ทรงเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งหมายความว่าผู้เชื่อคนอื่นๆนั้นถูกเรียกว่า “พี่น้อง” ของพระเยซู (ข้อ 12)
พระคริสต์ไม่เพียงทรงเข้าใจในประสบการณ์และการทดลองใจทั้งสิ้นของเรา (4:15) แต่ยังทรงทำลาย “อำนาจแห่งความตาย” ที่มีเหนือชีวิตของเราด้วย (2:14) เพราะพระองค์ เราจึงไม่จำเป็นต้องรู้สึกกลัวหรือโดดเดี่ยวเพราะประสบการณ์เหล่านั้น แต่เราสามารถเฉลิมฉลองในของขวัญแห่งการเป็นมนุษย์ได้
มองด้วยพระทัยของพระเจ้า
ในวันเกิดอายุครบสิบสามปีของชองทาล หลังจากการเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานในหมู่บ้านที่สงบเงียบของเธอผ่านไปหลายชั่วโมง มีเสียงปืนดังขึ้นในยามเย็นอันเงียบสงบ ชองทาลและพี่น้องของเธอวิ่งเข้าไปในป่าเพื่อซ่อนตัวตามที่แม่ของเธอสั่งด้วยความตื่นตระหนก ตลอดทั้งคืนพวกเขาขดตัวอยู่ใต้ต้นไม้ที่ใช้หลบภัย ชองทาลเล่าให้ฟังว่า “ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นในตอนเช้า แต่เราไม่เห็นพ่อแม่ของเรา” เธอและพวกพี่น้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและผู้ลี้ภัย และได้เข้าไปอยู่ในศูนย์อพยพร่วมกับคนอีกนับหมื่น
เมื่อเราได้ยินเรื่องราวที่เหมือนกับเรื่องของชองทาล เราอาจจะรู้สึกไม่อยากรับรู้ถึงความสูญเสียอันท่วมท้นนั้น แต่ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าแห่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ก็จะเชื่อในพระเจ้าผู้ไม่เคยละสายตาไปจากความทุกข์ทรมาน ผู้ทรงคอย “เฝ้าดูคนต่างด้าว พระองค์ทรงชูลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย” (สดด.146:9)
พระองค์ “ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก...ผู้รักษาความสัตย์สุจริตไว้เป็นนิตย์” (ข้อ 6) ทรงกระทำพระราชกิจเพื่อค้ำจุน “ความยุติธรรมให้แก่คนที่ถูกบีบบังคับ” และทรงจัดเตรียม “อาหารแก่คนที่หิว” อยู่เสมอ (ข้อ 7)
ชองทาล ซูซี่ ลีดเดอร์ ผู้ก่อตั้งองค์กรเพื่อการศึกษาสำหรับเด็กหญิงผู้ลี้ภัยกล่าวว่าประสบการณ์ของเธอสอนให้เธอรู้ว่า “ใครๆก็สามารถกลายเป็นผู้ลี้ภัยได้ เมื่อสูญเสียพื้นที่ปลอดภัยที่เคยมี”
ขอให้การตอบสนองของเราต่อผู้ที่สูญเสียพื้นที่ปลอดภัย สะท้อนถึงพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงเป็น “ที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่” (9:9) และทรง “ยกคนที่ตกต่ำให้ลุกขึ้น” (146:8)
ชนะโดยการแพ้
“ความพ่ายแพ้นั้นแท้จริงแล้วทรงพลังมากยิ่งกว่าชัยชนะ” ศาสตราจารย์โมนิก้า วาธวากล่าว งานวิจัยของเธอเผยให้เห็นว่าผู้คนมักจะมีพลังและมีแรงกระตุ้นมากที่สุดไม่ใช่ตอนที่เขาชนะ แต่เป็นตอนที่เขาเกือบจะชนะ เมื่อไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ผู้คนมักมีแรงผลักดันให้พัฒนาตนเองและพยายามต่อไป ในทางกลับกันชัยชนะที่ได้มาโดยง่ายมักจะทำให้คนมีพลังและแรงผลักดันน้อยลง
มุมมองของโมนิก้าให้ความเข้าใจใหม่ในการเปรียบเทียบของเปาโลสองตอนด้วยกัน ซึ่งท่านเปรียบการติดตามพระคริสต์กับการวิ่งแข่งใน 1 โครินธ์ 9:24-27 และฟีลิปปี 3:12-14 ในทั้งสองกรณีเปาโลย้ำว่าผู้เชื่อควรทุ่มเทด้วยสุดกำลังในการติดตามพระคริสต์และข่าวประเสริฐ โดย“โน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” (ฟป.3:13) และวิ่ง “เพื่อชิงรางวัลให้ได้” (1 คร.9:24)
ความมุ่งมั่นที่เราพยายามจะทำให้ได้ทั้งการแบ่งปันข่าวประเสริฐอย่างสัตย์ซื่อ (ข้อ 23) และการรู้จักพระคริสต์ (ฟป.3:8) นั่นคือความเป็นจริงที่ย้อนแย้ง เพราะเราจะไม่มีวันพูดได้ว่าเราบรรลุเป้าหมายแล้ว เราจะทำได้ไม่ดีพอเสมอ เราจะไม่มีวันพูดได้เลยว่าเราทำ “สำเร็จแล้ว” (ข้อ 12)
แต่นั่นไม่เป็นไร เพราะสิ่งที่สำคัญคือประสบการณ์ในการได้เข้าใกล้พระคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ มีเพียงพระกำลังของพระองค์เท่านั้นที่จะเสริมกำลังและกระตุ้นให้เราทุ่มเทด้วยสุดใจ เพื่อติดตามพระองค์ผู้ซึ่งจะพาเราไปสู่ชัยชนะในวันข้างหน้า
ความรู้อันทรงสง่าราศี
โธมัส อไควนัส นักเทววิทยาในยุคกลางต้องอดทนอย่างมากในการอุทิศชีวิตเพื่อแสวงหาพระเจ้า ครอบครัวจับเขาขังไว้เป็นเวลาหนึ่งปีเพื่อกีดกันไม่ให้เขาเข้าร่วมกับคณะโดมินิกัน ซึ่งเป็นกลุ่มนักบวชที่อุทิศตัวให้กับชีวิตที่เรียบง่าย การศึกษาพระคัมภีร์ และการเทศนาสั่งสอน ตลอดชีวิตที่เขาศึกษาพระคัมภีร์และเรื่องการทรงสร้าง รวมทั้งเขียนวารสารร่วมร้อยฉบับ อไควนัสก็มีประสบ-การณ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้าจนเขาเขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าไม่สามารถเขียนอะไรต่อไปได้อีก เพราะพระเจ้าทรงประทานความรู้อันทรงสง่าราศีให้กับข้าพเจ้าจนทุกสิ่งที่อยู่ในงานเขียนของข้าพเจ้าดูไร้ค่าเหมือนกับฟาง” และเขาเสียชีวิตลงในอีกสามเดือนต่อมา
อัครทูตเปาโลก็บรรยายถึงประสบการณ์ที่ท่วมท้นกับพระเจ้าจนไม่อาจกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้ เมื่อท่าน “ถูกรับขึ้นไปยังเมืองบรมสุขเกษม และได้ยินวาจาซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะออกเสียงก็ต้องห้าม” (2 คร.12:3-4) “เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น” พระเจ้าทรงให้มี “หนามใหญ่ในเนื้อ” ของเปาโลซึ่งไม่อาจบ่งชี้ได้ว่ามันคืออะไร (ข้อ 7) เพื่อให้ท่านถ่อมตัวลงและพึ่งพาพระเจ้า พระเจ้าบอกกับท่านว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” (ข้อ 9)
ยิ่งเราเข้าใจพระเจ้ามากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเข้าใจมากขึ้นว่า ไม่มีถ้อยคำใดที่เราจะใช้บรรยายถึงพระเจ้าได้เลย ทว่าในความอ่อนแอและการที่เราไม่รู้ว่าจะใช้ถ้อยคำใดนั้น พระคุณและความงดงามของพระคริสต์จะส่องประกายผ่านเราออกมาอย่างชัดเจน
ได้รับการเทิดทูนและถูกอ่าน
บ้านของเรามีชั้นวางที่มีหนังสือวางอยู่เต็มจนล้น ฉันมักใจอ่อนกับหนังสือสวยๆ โดยเฉพาะเล่มที่เป็นปกแข็งอย่างดี หลายปีผ่านไปจำนวนหนังสือก็เพิ่มมากขึ้น แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่มีเวลาและเรี่ยวแรงพอที่จะอ่านสิ่งที่ฉันสะสมไว้ได้ทั้งหมด หนังสือยังคงสภาพดีเหมือนใหม่ สวยงาม และน่าเศร้าที่ยังไม่ได้ถูกเปิดอ่าน
หากพระคัมภีร์ของเราถูกวางอยู่บนชั้นเช่นนี้ก็เป็นเรื่องที่อันตราย นักเขียนบทความจอห์น อัพไดค์ ได้พูดถึง วอลเดน หนังสือที่ทรงคุณค่าในสหรัฐอเมริกาว่ากำลังอยู่ในความเสี่ยงที่จะกลายเป็น “หนังสือที่ได้รับการเทิดทูนและไม่ถูกอ่านเหมือนกับพระคัมภีร์” ความยากลำบากในการเข้าใจพระคัมภีร์โบราณที่ถูกเขียนในวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของเราอาจล่อลวงเราให้เก็บพระคัมภีร์ไว้บนชั้นวางอย่างสวยงาม น่าหวงแหน แต่ไม่ถูกเปิดอ่าน
ไม่ควรต้องเป็นเช่นนั้น เพราะเราสามารถทูลขอเช่นเดียวกับผู้เขียนสดุดีในบทที่ 119 ที่ได้ทูลขอพระองค์ให้ “เบิกตาข้าพระองค์” เพื่อจะเห็นสิ่งมหัศจรรย์จากพระธรรมของพระองค์ (ข้อ 18) เราสามารถหาครูที่เชื่อถือได้ให้ช่วยเรา “เข้าใจสิ่งที่อ่าน” (กจ.8:30 THSV11) และผู้เชื่อทุกคนมีพระวิญญาณของพระคริสต์ที่จะนำจิตใจของเราให้เห็นว่าทุกข้อนั้นล้วนชี้ไปถึงพระองค์ (ลก.24:27; ยน.14:26)
โดยผ่านพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงสามารถประทานกำลังแก่เราในยามที่เราทุกข์ใจ (สดด.119:28) ปกป้องเราจากการถูกล่อลวง (ข้อ 29) และขยายขอบเขตความเข้าใจของเราให้รู้วิธีที่จะมีชีวิตที่มีความสุข (ข้อ 32,35) พระคัมภีร์เป็นของขวัญที่ล้ำค่า ขอให้พระคัมภีร์เป็นทั้งสิ่งที่เราเทิดทูนและอ่านเสมอ
ตอบแทนน้ำใจ
เมื่อลิเดียได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์จากผู้บริจาคที่ไม่ประสงค์ออกนาม เธอใช้เงินเพียงเล็กน้อยเพื่อตัวเอง แต่กลับมอบของขวัญด้วยใจกว้างขวางแก่เพื่อนร่วมงาน ครอบครัว ผู้ประสบอุทกภัย และการกุศล ลิเดีย ไม่รู้ตัวว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาวิจัย ว่าคนสองร้อยคนจะตอบสนองอย่างไร ต่อการได้รับของขวัญเป็นเงิน 10,000 ดอลลาร์แบบไม่ผูกมัดผ่านการโอนเงินเข้าบัญชี งานวิจัยนี้พบว่าเงินที่มอบเป็นของขวัญมากกว่าสองในสามถูกแจกจ่ายออกไป คริส แอนเดอร์สัน ผู้นำองค์กรสื่อไม่แสวงหาผลกำไร (TED) สะท้อนถึงเรื่องนี้ว่า “ปรากฏว่า...มนุษย์เราถูกกำหนดให้ตอบแทนน้ำใจด้วยน้ำใจ”
ในพระคัมภีร์เราพบว่าเมื่อผู้คนดำเนินชีวิตด้วยความเอื้อเฟื้อ พวกเขาก็สะท้อนพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงสร้างพวกเขา พระเจ้าทรงมีพระทัยกว้างขวาง เปี่ยมด้วยพระเมตตากรุณา ไม่เพียงต่อบางคนแต่กับทุกคน แม้แต่ “คนอกตัญญูและคนชั่ว” (ลก.6:35) พระเยซูจึงสอนผู้ที่ปรารถนาจะสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าให้ “รัก” “ทำดี” และ “ให้ยืม” แม้กระทั่งศัตรู “โดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก” (ข้อ 32-35)
เมื่อเราให้โดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน เราจะพบว่าวิถีแห่งชีวิตไม่เคยทำร้ายเรา พระเยซูทรงชี้ให้เห็นสิ่งนี้เช่นกัน โดยตรัสว่า “จงให้เขา และท่านจะได้รับด้วย ...เพราะว่าท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” (ข้อ 38) เมื่อเราตอบแทนพระทัยอันกว้างขวางของพระเจ้าด้วยการดำเนินชีวิตอย่างเอื้อเฟื้อ เราจะได้รับการเติมเต็มอย่างมากมายนับไม่ถ้วนในทุกทาง
สังเกตหาความจริง
เมื่อคิดทบทวนถึงเหตุผลที่คนมักจะเชื่อหมดใจว่าตัวเองถูก แม้ในเวลาที่พวกเขาเป็นฝ่ายผิดก็ตาม นักเขียนจูเลีย กาเลฟกล่าวว่านั่นเป็นเพราะการมี “วิธีคิดแบบทหาร” ซึ่งหมายความว่าเราให้ความสำคัญกับการปกป้องสิ่งที่เราเชื่ออยู่ก่อนแล้วจากสิ่งที่เรามองว่าเป็นภัยคุกคาม กาเลฟเสนอวิธีคิดที่เป็นประโยชน์กว่าคือวิธีคิดแบบลูกเสือซึ่งมีลักษณะของการสังเกตการณ์ โดยไม่ได้มองหาแต่ภัยคุกคามเพื่อจะกำจัดเท่านั้นแต่ยังสืบหาความจริงทั้งหมดด้วยการทำความเข้าใจ “ข้อเท็จจริงในสถานการณ์นั้นจริงๆอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาเท่าที่จะทำได้ แม้ว่ามันจะไม่สวยงาม สะดวกสบาย หรือถูกใจก็ตาม” คนที่มีมุมมองแบบนี้จะมีความถ่อมใจที่จะเติบโตในความเข้าใจได้ต่อไป
แง่คิดจากกาเลฟนี้ทำให้นึกถึงการหนุนใจของยากอบที่ให้ผู้เชื่อมีมุมมองคล้ายกัน คือให้พวกเขา “ไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (ยก.1:19) แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการด่วนตัดสินคนอื่น ยากอบหนุนใจให้ผู้เชื่อในพระเยซูระลึกว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้นำไปสู่ความชอบธรรมของพระเจ้า (ข้อ 20) การเพิ่มพูนของสติปัญญาจะเกิดขึ้นผ่านการยอมจำนนด้วยความถ่อมใจต่อพระคุณของพระองค์เท่านั้น (ข้อ 21, ดู ทต.2:11-14)
เมื่อเราระลึกได้ว่าแต่ละเหตุการณ์ในชีวิตเรานั้นขึ้นอยู่กับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่จากตัวเรา เราก็สามารถปล่อยวางความต้องการที่จะเป็นฝ่ายถูกเสมอลงได้ และพึ่งพาในการทรงนำของพระองค์เพื่อจะใช้ชีวิตและใส่ใจดูแลผู้อื่นได้อย่างเหมาะสม (ยก.1:25-27)
เปลี่ยนแปลงจากภายใน
ในเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่พักอาศัยในสหราชอาณาจักรครั้งเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ไฟได้ลุกไหม้อาคารเกรนเฟลล์ทาวเวอร์ที่สูงยี่สิบสี่ชั้นในลอนดอนตะวันตก คร่าชีวิตผู้คนไปเจ็ดสิบคน การสอบสวนพบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วคือแผ่นผนังที่ใช้ห่อหุ้มอาคารด้านนอกจากการบูรณะตึก แผ่นผนังนี้เป็นอะลูมิเนียมแต่ไส้ในเป็นพลาสติกที่ติดไฟได้ง่ายมาก
วัสดุอันตรายเช่นนี้ได้รับอนุญาตให้ขายและใช้ติดตั้งได้อย่างไร ผู้ขายผิดพลาดที่ไม่เปิดเผยข้อมูลผลทดสอบการป้องกันไฟที่ต่ำมาก และผู้ซื้อซึ่งถูกดึงดูดจากป้ายราคาถูกก็ผิดพลาดที่ไม่ใส่ใจสัญญาณเตือน แผ่นผนังที่แวววาวนี้ดูดีเมื่อมองจากภายนอก
คำพูดที่รุนแรงที่สุดของพระเยซูบางคำพุ่งเป้าไปที่ครูสอนศาสนาซึ่งพระองค์กล่าวหาว่าปิดบังการฉ้อฉลไว้เบื้องหลังรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดี พระองค์ตรัสว่าพวกเขาเป็นเหมือน “อุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว” ที่ “ข้างนอกดูงดงาม” แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย (มธ.23:27) แทนที่จะแสวงหา “ความยุติธรรม ความเมตตา ความเชื่อ” (ข้อ 23) พวกเขากลับให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์ที่ดี โดยชำระ “ถ้วยชามแต่ภายนอก” แต่ละเลยการ “โจรกรรมและการมัวเมากิเลส” ภายใน (ข้อ 25)
เป็นเรื่องง่ายที่จะให้ความสำคัญกับการมีภาพลักษณ์ที่ดี มากกว่าที่จะนำความบาปและความแตกสลายมาต่อพระพักตร์พระเจ้าอย่างจริงใจ แต่รูปลักษณ์ภายนอกที่ดูดีไม่ได้ทำให้จิตใจที่ฉ้อฉลมีอันตรายน้อยลง พระเจ้าทรงเชื้อเชิญเราที่จะยอมให้พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงเราทั้งหมดจากภายใน (1 ยน.1:9)
ความรักอันอดทนนานของพระเจ้า
เมื่อฉันลูบท้องเจ้ามิสทีคแมวนอร์วีเจียนฟอเรสต์ขนฟูแสนสวยและเล่นกับมันหรือเมื่อมันเผลอหลับบนตักของฉันในตอนเย็น บางครั้งก็ยากที่จะเชื่อว่า มันเป็นแมวตัวเดียวกันกับที่เราพบเมื่อหลายปีก่อน มิสทีคเคยเป็นแมวข้างถนน น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และกลัวทุกคน แต่สิ่งนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนไปเมื่อฉันเริ่มวางอาหารให้มันทุกวัน ในที่สุดวันหนึ่งมันก็ยอมให้ฉันลูบตัว และเรื่องราวที่เหลือก็เป็นอย่างที่รู้กัน
การเปลี่ยนแปลงของมิสทีคเป็นสิ่งเตือนใจถึงการเยียวยาที่มาพร้อมกับความอดทนนานและความรัก ซึ่งทำให้ฉันนึกถึงพระทัยของพระเจ้าดังที่บรรยายไว้ในอิสยาห์ 42 บทนี้บอกเราถึงเรื่องการมาถึงของผู้รับใช้ที่ประกอบด้วยพระวิญญาณของพระองค์ (ข้อ 1) ผู้ซึ่งทำงานอย่าง “สัตย์จริง” และไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อสถาปนา “ความยุติธรรม[ของพระเจ้า]ไว้ในโลก” (ข้อ 3-4)
และผู้รับใช้คนนั้นคือพระเยซู (มธ.12:18-20) พระองค์จะไม่นำความยุติธรรมของพระเจ้ามาด้วยความรุนแรงหรือการแสวงหาอำนาจ ในทางกลับกันพระองค์จะเสด็จมาอย่างเงียบๆและอ่อนสุภาพ (อสย.42:2) เพื่อคอยดูแลผู้ที่ถูกคนอื่นทอดทิ้งคือผู้ที่ “[ชอก]ช้ำ” และบาดเจ็บ (ข้อ 3) อย่างอ่อนโยนและอดทนนาน
พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งลูกๆของพระองค์ พระองค์ทรงมีเวลาทั้งสิ้นในโลกนี้ที่จะดูแลหัวใจที่บาดเจ็บของเรา จนหัวใจนั้นเริ่มหายดีในที่สุด โดยความรักอันอ่อนโยนและอดทนนานของพระองค์ เราจึงค่อยๆเรียนรู้ที่จะรักและไว้วางใจได้อีกครั้ง