คุณทำได้!
การให้กำลังใจก็เหมือนกับออกซิเจน ที่หากขาดไปชีวิตเราก็อยู่ไม่ได้ นี่เป็นความจริงสำหรับเจมส์ ซาเวจวัยเก้าขวบ เด็กชายว่ายน้ำเป็นระยะทางมากกว่าสามกิโลเมตรไปและกลับจากชายฝั่งซานฟรานซิสโกกับเกาะอัลคาทราซ โดยทำลายสถิติบุคคลอายุน้อยที่สุดที่ทำสำเร็จ ขณะว่ายไปได้ 30 นาที กระแสคลื่นเย็นยะเยือกทำให้เจมส์อยากจะเลิก แต่เพราะเสียงตะโกนจากกลุ่มนักพายเรือที่ร้องว่า “เธอทำได้!” มอบกำลังใจให้เขาทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ
เมื่อกระแสคลื่นเย็นยะเยือกแห่งความทุกข์ลำบากทำให้ผู้เชื่อในพระเยซูอยากจะยอมแพ้ เปาโลและบารนาบัสหนุนใจให้พวกเขาเดินทางต่อไป หลังจากอัครทูตทั้งสองเทศนาข่าวประเสริฐในเมืองเดอร์บี พวกท่าน “กลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอก กระทำให้ใจของสาวกทั้งหลายถือมั่นขึ้น เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในพระศาสนา” (กจ.14:21-22) พวกท่านช่วยให้ผู้เชื่อยึดมั่นความเชื่อในพระเยซู ปัญหาต่างๆทำให้พวกเขาอ่อนกำลัง แต่ถ้อยคำหนุนใจเสริมกำลังแก่ความตั้งใจของพวกเขาที่จะมีชีวิตเพื่อพระคริสต์ โดยกำลังจากพระเจ้า พวกเขาตระหนักว่าตนสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ท้ายที่สุดเปาโลและบารนาบัสช่วยให้พวกเขาเข้าใจว่าพวกเขา “จำต้องทนความยากลำบากมาก จึงจะได้เข้าในแผ่นดินของพระเจ้า” (ข้อ 22)
การดำเนินชีวิตเพื่อพระเยซูอาจยากลำบากและบางครั้งเราอาจถูกทดลองให้ยอมแพ้ กระนั้นพระเยซูและเพื่อนผู้เชื่อในพระองค์สามารถมอบคำหนุนใจที่เราต้องการเพื่อจะก้าวต่อไป ในพระองค์เราทำได้!
พระเจ้าทรงสู้เพื่อเรา
แม่ชาวโคโรลาโดได้พิสูจน์ว่าไม่มีอะไรจะมาหยุดยั้งเธอจากการปกป้องลูกชายของเธอได้ เธอได้ยินลูกชายวัยห้าขวบที่กำลังเล่นอยู่ข้างนอกส่งเสียงกรีดร้อง เธอรีบวิ่งออกไปและตกใจกลัวที่เห็นลูกชายอยู่กับ “เพื่อนเล่น” ที่คาดไม่ถึง มันคือสิงโตภูเขา เจ้าแมวยักษ์คร่อมอยู่บนตัวลูกของเธอและงับหัวเด็กน้อยไว้ในปาก ผู้เป็นแม่สวมวิญญาณแม่หมีกริซลี่สู้กับสิงโตและง้างปากมันออกเพื่อช่วยชีวิตลูกชาย วีรกรรมของแม่คนนี้เตือนให้เราคิดถึงพระคัมภีร์ที่ใช้ความเป็นแม่อธิบายถึงความรักมั่นคงและการปกป้องที่พระเจ้าทรงมีให้ลูกของพระองค์
พระเจ้าทรงดูแลและเล้าโลมประชากรของพระองค์อย่างอ่อนโยนดุจแม่นกอินทรีที่ดูแลลูกของมัน (ฉธบ.32:10-11; อสย.66:13) และมารดาไม่เคยลืมให้นมบุตรผู้ที่เธอได้สร้างสายสัมพันธ์ที่ไม่มีวันแยกออกจากกันได้ฉันใด พระเจ้าก็จะไม่มีวันลืมประชากรของพระองค์หรือยับยั้งพระเมตตาต่อพวกเขาได้ตลอดไปฉันนั้น (อสย.54:7-8) เช่นเดียวกับที่แม่นกปกป้องคุ้มครองลูกนกไว้ใต้ปีกของมัน ในที่สุดแล้วพระเจ้าจะทรง “ปกท่านไว้ด้วยปีกของพระองค์” และ “ความสัตย์สุจริตของพระองค์[จะ]เป็นโล่และเป็นดั้ง[ของพวกเขา]” (สดด.91:4)
บางครั้งเรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกลืม และติดอยู่ในกับดักของผู้ล่าฝ่ายวิญญาณในรูปแบบต่างๆ ขอพระเจ้าโปรดช่วยเราให้ระลึกได้ว่าพระองค์ทรงดูแล ปลอบโยน และสู้เพื่อเราด้วยพระทัยเมตตา
โหยหาพระองค์
ทำไมเมื่อเราพูดว่า “นี่เป็นมันฝรั่งทอดชิ้นสุดท้ายที่ฉันจะกิน” แต่ห้านาทีต่อมาเราก็มองหาเพื่อจะกินอีก ไมเคิล มอสส์ตอบคำถามนี้ในหนังสือชื่อ เกลือ น้ำตาล ไขมัน ของเขา เขาอธิบายว่าผู้ผลิตขนมขบเคี้ยวรายใหญ่ที่สุดของอเมริการู้วิธี “ช่วย” ให้ผู้คนโหยหาอาหารขยะ อันที่จริงบริษัทมีชื่อแห่งหนึ่งใช้เงินเกือบหนึ่งพันล้านบาทต่อปีในการจ้าง “ที่ปรึกษาด้านความอยากอาหาร” ให้กำหนดสัดส่วนของเครื่องปรุงที่ทำให้ผู้บริโภคติดใจ เพื่อจะใช้ประโยชน์จากความอยากอาหารของเรา
พระเยซูไม่ได้ทำเหมือนบริษัทนี้ แต่ทรงช่วยให้เราโหยหาอาหารแท้คืออาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งนำความอิ่มเอมมาสู่จิตวิญญาณของเรา พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิว และผู้ที่วางใจในเรา จะไม่กระหายอีกเลย” (ยน.6:35) พระองค์ทรงสื่อสารสองสิ่งที่สำคัญในคำตรัสนี้ สิ่งแรกคือ อาหารที่พระองค์ตรัสถึงคือบุคคลไม่ใช่ของสำหรับบริโภค (ข้อ 32) อย่างที่สองคือ เมื่อมนุษย์วางใจให้พระเยซูทรงยกโทษความบาป พวกเขาก็ได้เข้าสู่ความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระองค์และพบกับสิ่งที่เติมเต็มความโหยหาในจิตวิญญาณทุกอย่าง อาหารนี้คงอยู่เป็นนิตย์ เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณที่นำไปสู่ความอิ่มเอมใจและสู่ชีวิต
เมื่อเราไว้วางใจในพระเยซู ผู้ทรงเป็นอาหารแท้จากสวรรค์ เราจะโหยหาพระองค์ และพระองค์จะทรงเสริมกำลังและเปลี่ยนแปลงชีวิตของเรา
อายุเป็นเพียงตัวเลข
ความเยาว์วัยไม่ควรเป็นอุปสรรคต่อการประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในกรณีของมิไคล่าวัย 11 ปี แทนที่จะตั้งโต๊ะขายน้ำมะนาวธรรมดา มิไคล่าเปิดกิจการขายน้ำมะนาว น้ำมะนาวภายใต้ชื่อว่ามีแอนด์เดอะบีส์เริ่มต้นจากสูตรของคุณยาย จนได้เงินลงทุน 60,000 ดอลล่าร์จากนักลงทุนในรายการโทรทัศน์ชาร์คแทงก์ เธอยังได้เซ็นสัญญาขายน้ำมะนาวในเครือร้านขายของชำเจ้าใหญ่ที่มี 55 สาขา
แรงผลักดันและความฝันของมิไคล่าทำให้เรานึกย้อนไปถึงถ้อยคำของเปาโลต่อทิโมธี “อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน” (1 ทธ.4:12)
แม้ทิโมธีจะไม่เด็กเท่ามิไคล่า แต่ก็น่าจะอายุน้อยกว่าคนส่วนใหญ่ในคริสตจักรมาก หลังผ่านการฝึกงานกับอัครทูตเปาโล บางคนก็ยังคิดว่าทิโมธีไม่เป็นผู้ใหญ่พอที่จะนำพวกเขา แทนที่จะแนะนำให้ทิโมธีพิสูจน์ตัวเองด้วยการแสดงเอกสารรับรองต่างๆ เปาโลหนุนใจให้เขาสำแดงความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณในทางวาจา การใช้ชีวิต การรักสมาชิกผู้เชื่อ การสำแดงความเชื่อและรักษาความบริสุทธิ์ทางเพศ (ข้อ 12) ไม่มีใครดูหมิ่นเขาที่เป็นอาจารย์และศิษยาภิบาลได้ถ้าเขามีชีวิตที่เป็นแบบอย่างจากพระเจ้า
ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใด เราสามารถมีอิทธิพลต่อโลกได้ เราทำได้โดยการมีชีวิตเป็นแบบอย่างที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลางแก่ผู้อื่นในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นแก่เรา ขอพระองค์ปั้นแต่งชีวิตของเราด้วยพระกิตติคุณ เพื่อไม่ว่าเราจะอายุ 17 หรือ 70 ปี เราจะคู่ควรแก่การแบ่งปันข่าวประเสริฐกับผู้อื่น
พระเจ้าทรงชำระมลทิน
จะเป็นอย่างไรถ้าเสื้อผ้าของเราสามารถทำความสะอาดตัวเองได้หลังจากที่เราทำซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด หรือเครื่องดื่มหกเลอะมัน จากการรายงานของสำนักข่าวบีบีซี วิศวกรในประเทศจีนได้พัฒนา “สารเคลือบพิเศษที่ทำให้ผ้าฝ้ายสามารถทำความสะอาดตัวเองจากคราบและกลิ่นได้เมื่อสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต” คุณนึกออกไหมว่าการมีเสื้อผ้าที่ทำความสะอาดตัวเองได้จะส่งผลกระทบอะไร
สารเคลือบที่ทำความสะอาดตัวเองได้อาจใช้ได้กับเสื้อผ้าที่สกปรก แต่มีพระเจ้าเท่านั้นที่ชำระจิตวิญญาณที่แปดเปื้อนได้ ในสมัยยูดาห์พระเจ้าทรงกริ้วคนของพระองค์ที่ได้ “หันหลัง” ให้พระองค์ ยอมให้ตนเองเสื่อมทรามลงและชั่วร้าย และนมัสการพระอื่น (อสย.1:2-4) ที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ พวกเขาพยายามที่จะชำระตัวให้สะอาดด้วยการถวายเครื่องบูชา เผาเครื่องหอม พร่ำอธิษฐาน และมาประชุมตามพิธี แต่ความหน้าซื่อใจคดและใจบาปของพวกเขายังคงอยู่ (ข้อ 12-13) วิธีแก้ไขคือพวกเขาจะต้องรู้สึกสำนึก กลับใจและนำจิตวิญญาณที่มีมลทินเข้ามาหาพระเจ้าผู้บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความรัก พระคุณของพระเจ้าจะชำระพวกเขาและทำให้จิตวิญญาณของพวกเขา “ขาวอย่างหิมะ” (ข้อ 18)
เมื่อเราทำบาป การแก้ไขด้วยการทำความสะอาดตนเองนั้นทำไม่ได้ เราต้องยอมรับในความผิดบาปด้วยใจถ่อมและสำนึกผิด แล้ววางบาปนั้นภายใต้แสงแห่งการทรงชำระด้วยความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราต้องหันจากบาปและกลับมาหาพระเจ้า และพระเจ้าผู้เดียวที่ทรงชำระมลทินแห่งจิตวิญญาณได้ จะประทานการอภัยโทษอันสมบูรณ์และการเริ่มต้นสามัคคีธรรมกับพระองค์ใหม่อีกครั้ง
ยินดีที่จะรอคอย
การรอคอยอาจเป็นตัวการที่ขโมยสันติสุขไปจากเรา ราเมช สิตารามัน นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กล่าวว่า มีไม่กี่เรื่องที่ “สร้างความหงุดหงิดและเดือดดาล” ให้กับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตพอๆกับการที่ต้องรอเว็บเบราว์เซอร์โหลดข้อมูลอย่างเชื่องช้า งานวิจัยของเขาระบุว่า เรายินดีจะรอประมาณสองวินาทีโดยเฉลี่ยเพื่อโหลดวิดีโอออนไลน์ หลังผ่านไปห้าวินาที 25%ของผู้ใช้จะล้มเลิก และหลังจากผ่านไปสิบวินาที ครึ่งหนึ่งของผู้ใช้จะเลิกล้มความพยายาม พวกเราช่างเป็นกลุ่มคนที่ขาดความอดทนจริงๆ!
ยากอบหนุนใจผู้เชื่อไม่ให้ละทิ้งพระเยซูในขณะที่พวกเขากำลังรอคอยการทรงเสด็จมาครั้งที่สอง การเสด็จกลับมาของพระคริสต์จะเป็นแรงกระตุ้นให้พวกเขายืนหยัดในการเผชิญความทุกข์ยาก รวมทั้งรักและให้เกียรติซึ่งกันและกัน (ยก.5:7-10) ยากอบใช้ตัวอย่างของชาวนาเพื่ออธิบายเรื่องนี้ เช่นเดียวกับชาวนาที่อดทนรอคอย “ฝนต้นฤดูและฝนชุกปลายฤดู” (ข้อ 7) และเพื่อให้แผ่นดินเกิดพืชผลอันล้ำค่า ยากอบหนุนใจให้ผู้เชื่ออดทนต่อการข่มเหงจนกว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมา และเมื่อทรงเสด็จมา พระองค์จะแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้องและนำสันติสุขมาให้
บางครั้งเราถูกทดลองให้เลิกติดตามพระเยซูในขณะที่รอคอยพระองค์ แต่ระหว่างนั้นให้เรา “เฝ้าระวัง” (มธ.24:42) สัตย์ซื่อ (25:14-30) และดำเนินชีวิตตามพระลักษณะและวิถีทางของพระองค์ (คส.3:12) แม้เราไม่รู้ว่าพระเยซูจะเสด็จกลับมาเมื่อไหร่ ขอให้เราอดทนรอคอยพระองค์ไม่ว่าจะนานเพียงใด
ไม่ใช่เพื่อความสุขสบายของเรา
แดนกำลังขี่จักรยานยนต์อยู่ในตอนที่รถคันหนึ่งขับเบี่ยงเข้ามาในเลนและดันเขาออกไปหารถที่วิ่งสวนมา สองสัปดาห์ต่อมาเขาฟื้นขึ้นในศูนย์อุบัติเหตุด้วยสภาพ “ยับเยิน” ที่เลวร้ายที่สุดคือเขาบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังซึ่งทำให้ขาเป็นอัมพาต แดนอธิษฐานขอการรักษาแต่มันไม่เกิดขึ้น กระนั้นเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสอนเขาด้วยพระเมตตาว่า “วัตถุประสงค์ของชีวิตนี้คือเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระคริสต์ น่าเสียดายที่มันไม่ได้เกิดขึ้นเมื่อทุกอย่างเพียบพร้อมและสวยหรู แต่...เกิดขึ้นเมื่อชีวิตลำบากแสนเข็ญ เมื่อเราถูกบีบให้พึ่งพาพระเจ้าผ่านการอธิษฐานเพียงเพื่อให้ผ่านไปในแต่ละวัน”
อัครทูตเปาโลอธิบายถึงข้อดีสองประการของการยืนหยัดอยู่ข้างพระเจ้า คือความอดทนและการชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก (รม.5:3-4) ทั้งสองข้อนี้ไม่ได้บอกให้อดทนต่อความทุกข์ยากด้วยการยอมอดกลั้น หรือค้นพบความสุขในความเจ็บปวด แต่เป็นการเชิญชวนให้ไว้วางใจในพระเจ้าอย่างไม่หวั่นไหว ความทุกข์ยากที่มีพระคริสต์ทำให้เกิด “ความอดทน และความอดทนทำให้เห็นว่าเราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และการที่เราเห็นเช่นนั้นทำให้เกิดมีความหวังใจ” (ข้อ 3-4) ทั้งหมดนี้มาจากความเชื่อว่าพระบิดาจะไม่ทรงทอดทิ้งเรา แต่จะทรงดำเนินไปกับเราผ่านเปลวไฟไปสู่อนาคต
พระเจ้าทรงมาพบเราในความทุกข์ยากและช่วยให้เราเติบโตในพระองค์ แทนที่จะมองว่าความทุกข์ยากคือการที่พระเจ้าไม่พอพระทัย ให้เรามองว่าเป็นวิธีที่ทรงใช้เพื่อขัดเกลาและสร้างเรา เมื่อเราได้สัมผัสความรักของพระองค์ที่ “หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา” (ข้อ 5)
ไม่ผูกพยาบาท
ในระหว่างกิจกรรมส่งเสริมการขายในปี 2011 อดีตนักฟุตบอลลีกชาวแคนาดาวัย 73 ปีสองคนได้ขึ้นชกกันบนเวที พวกเขามีความแค้นต่อกันจากการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์ที่มีการโต้เถียงกันในปี 1963 หลังจากที่ชายคนหนึ่งชกชายอีกคนหนึ่งตกเวทีไป กลุ่มผู้ชมตะโกนเรียกร้องให้เขา “ปล่อยมันไปเสีย!” พวกเขากำลังบอกให้ชายผู้นี้ “จบปัญหาลง”
พระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายของคนที่ “เจ็บแค้น” คาอินเจ็บแค้นอาเบลน้องชาย เพราะพระเจ้าทรงรับเครื่องบูชาของอาเบลแต่ไม่รับของเขา (ปฐก.4:5) ความแค้นนี้รุนแรงมากจนนำไปสู่การฆาตกรรมเมื่อ “คาอินก็โถมเข้าฆ่าอาเบลน้องชายของตนเสีย” (ข้อ 8) “เอซาวเกลียดชังยาโคบ” เพราะยาโคบขโมยเอาสิทธิบุตรหัวปีที่เป็นของเขาไป (27:41) ความเกลียดชังนี้รุนแรงจนยาโคบต้องหนีเอาชีวิตรอดเพราะความกลัว
พระคัมภีร์ไม่เพียงให้ตัวอย่างมากมายของคนที่ฝังใจในความโกรธแค้น แต่ยังมีคำสอนถึงวิธีการ “จบปัญหา” คือการแสวงหาการให้อภัยและการคืนดี พระเจ้าทรงเรียกให้เรารักผู้อื่น (ลวน.19:18) ให้อธิษฐานเผื่อและยกโทษผู้ที่ดูถูกและทำร้ายเรา (มธ.5:43-47) ให้อยู่อย่างสันติกับทุกคน มอบการแก้แค้นให้เป็นของพระเจ้า และเอาชนะความชั่วด้วยความดี (รม.12:18-21) โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ขอให้เรา “จบปัญหาลง” ในวันนี้
จงตื่นอยู่!
พนักงานธนาคารชาวเยอรมันคนหนึ่งเผลองีบหลับที่โต๊ะทำงานขณะกำลังโอนเงินจำนวน 62.40 ยูโรจากบัญชีลูกค้าธนาคารรายหนึ่ง เขาหลับไปขณะที่นิ้วอยู่บนแป้นเลข “2” ทำให้เงินจำนวน 222 ล้านยูโร (ราว 8,300 ล้านบาท) ถูกโอนไปยังบัญชีลูกค้าคนนั้น ผลจากความผิดพลาดดังกล่าวทำให้เพื่อนร่วมงานผู้ที่รับรองการโอนถูกไล่ออกด้วย แม้จะมีการตรวจพบและแก้ไขความผิดพลาดนั้น แต่ความพลั้งเผลอของพนักงานผู้ง่วงเหงาหาวนอนเกือบจะกลายเป็นฝันร้ายของธนาคารเพราะเขาไม่ระมัดระวัง
พระเยซูทรงเตือนสาวกของพระองค์ว่าถ้าพวกเขาไม่ระแวดระวังอยู่เสมอ พวกเขาก็จะผิดพลาดอย่างร้ายแรงเช่นกัน พระองค์ทรงนำพวกเขาไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเกทเสมนี เพื่อใช้เวลาอธิษฐาน ขณะทรงอธิษฐานนั้น พระเยซูทรงมีความทุกข์และเศร้าใจอย่างที่ไม่เคยทรงพบเจอมาก่อนในชีวิตบนโลกนี้ของพระองค์ พระองค์ทรงบอกเปโตร ยากอบ และยอห์นให้คอยอยู่และอธิษฐาน และ “เฝ้าอยู่” กับพระองค์ (มธ.26:38) แต่พวกเขาก็หลับไป (ข้อ 40-41) การที่พวกเขาไม่คอยเฝ้าอยู่และอธิษฐานจะทำให้พวกเขาไม่สามารถป้องกันตนเองได้เมื่อการทดลองให้ปฏิเสธพระเยซูมาถึง ในเวลาที่พระคริสต์ทรงต้องการมากที่สุด สาวกกลับขาดการระแวดระวังฝ่ายวิญญาณ
ขอให้เราใส่ใจในคำตรัสของพระเยซูที่ให้เราตื่นตัวฝ่ายวิญญาณอยู่เสมอ โดยอุทิศทุ่มเทให้กับการใช้เวลากับพระองค์ในการอธิษฐาน เมื่อทำเช่นนั้นแล้ว พระองค์จะทรงเสริมกำลังเราให้ต้านทานการทดลองทั้งหลาย และหลีกเลี่ยงจากความผิดพลาดร้ายแรงคือการปฏิเสธพระเยซู