ห้องเล่าเรื่อง
ทางตอนเหนือของสเปนมีวิถีแห่งมิตรภาพและการใช้เวลาร่วมกันอันงดงาม ด้วยความที่ในชนบทนั้นเต็มไปด้วยถ้ำที่สร้างขึ้นเอง หลังการเก็บเกี่ยวแต่ละครั้ง ชาวไร่บางคนจะนั่งอยู่ในห้องที่สร้างขึ้นเหนือถ้ำและทำบันทึกรายการอาหารนานาชนิดของเขา เมื่อเวลาผ่านไป ห้องนี้จึงกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “ห้องเล่าเรื่อง” ซึ่งเป็นสถานที่พบปะที่เพื่อนและครอบครัวจะมารวมตัวกันเพื่อแบ่งปันเรื่องราว ความลับ และความฝัน หากคุณต้องการเพื่อนพ้องใกล้ชิดที่ไว้ใจได้คุณจะตรงไปที่ห้องเล่าเรื่อง
หากดาวิดและโยนาธานอาศัยอยู่ทางภาคเหนือของสเปน มิตรภาพอันลึกซึ้งของพวกเขาอาจนำไปสู่การสร้างห้องเล่าเรื่อง เมื่อกษัตริย์ซาอูลริษยาจนอยากจะฆ่าดาวิด โยนาธานโอรสองค์โตของซาอูลได้ปกป้องและเป็นเพื่อนกับดาวิดทั้งสองรู้สึก “ผูกพันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (1ซมอ.18:1 TNCV) และโยนาธาน “รัก[ดาวิด]อย่างกับรักชีวิตของท่านเอง” (ข้อ 1, 3) และแม้ท่านคือทายาทที่จะสืบราชบัลลังก์ แต่ท่านก็ตระหนักดีถึงการทรงเลือกของพระเจ้าให้ดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ ท่านมอบเสื้อคลุม ดาบ คันธนู และเข็มขัดให้ดาวิด (ข้อ 4) ในเวลาต่อมาดาวิดประกาศว่าความรักที่โยนาธานมีต่อตนเองในฐานะเพื่อนนั้นล้ำเลิศ (2ซมอ.1:26)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ขอพระองค์ทรงช่วยเราสร้างความสัมพันธ์แบบ “ห้องเล่าเรื่อง” ของเราเอง ซึ่งเป็นมิตรภาพที่จะสะท้อนถึงความรักและความห่วงใยเหมือนอย่างพระคริสต์ ให้เราใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เปิดใจ และดำเนินชีวิตในการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันอย่างแท้จริงในพระองค์
พบการพักสงบในพระเยซู
จิตวิญญาณที่ไม่สงบจะไม่เคยพอใจในความมั่งคั่งและความสำเร็จ นักร้องเพลงคันทรี่ชื่อดังที่เสียชีวิตไปแล้วสามารถเป็นพยานให้กับความจริงนี้ เขามีเพลงเกือบสี่สิบอัลบั้มที่ติดหนึ่งในสิบอันดับยอดนิยม และมีหลายเพลงที่เป็นเพลงยอดนิยมในหมวดเพลงคันทรี่ เขาผ่านการแต่งงานหลายครั้งและเคยติดคุก แม้ในความสำเร็จมากมาย เขายังเคยคร่ำครวญว่า “มีความไม่สงบคอยรบกวนจิตใจของผมที่ผมไม่สามารถเอาชนะได้ ไม่ว่าจะด้วยการทำสิ่งใด โดยการแต่งงาน หรือสิ่งที่มีคุณค่าใดๆ...มันยังวนเวียนอยู่ที่นั่น และคงจะอยู่จนถึงวันที่ผมตาย” น่าเศร้าใจที่เขาควรจะได้พบการพักสงบในจิตใจก่อนชีวิตจะสิ้นสุดลง
พระเยซูทรงเชื้อเชิญทุกคนที่เป็นเหมือนกับนักดนตรีคนนั้น ที่เหน็ดเหนื่อยและต้องทนทุกข์จากผลของความบาป ให้มาหาพระองค์เป็นการส่วนตัว พระองค์ตรัสว่า “จงมาหาเรา” เมื่อเราได้รับความรอดในพระเยซู พระองค์จะทรงยกภาระของเราออกและทำให้เรา “หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) เพียงแค่เราเชื่อในพระองค์ และเรียนรู้การมีชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่พระองค์ประทานให้ (ยน.10:10) การยอมรับแอกแห่งการเป็นสาวกของพระเยซูนั้นทำให้ “จิตใจ [ของเรา]จะได้พัก” (มธ.11:29)
เมื่อเรามาหาพระเยซู พระองค์ไม่ได้ทรงลดทอนความรับผิดชอบของเราต่อพระเจ้าลง พระองค์ประทานสันติสุขแก่จิตวิญญาณที่กระวนกระวายของเรา โดยประทานวิถีการดำเนินชีวิตใหม่ในพระองค์ที่มีภาระยุ่งยากน้อยลง พระองค์ประทานการพักสงบที่แท้จริงแก่เรา
เหมือนอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา
ในวิดีโอที่ถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายนั้น นักเรียนคาราเต้สายขาววัยสามขวบเลียนแบบครูฝึกของเธอ เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวกฎของนักเรียนตามผู้นำของเธอด้วยความกระตือรือร้นและมั่นใจ จากนั้นด้วยความสุขุมและตั้งใจเจ้าตัวน้อยผู้น่ารักและเปี่ยมด้วยพลังก็เลียนแบบทุกอย่างที่ครูของเธอพูดและทำ และเธอก็ทำได้ดีเสียด้วย!
ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสว่า “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้วก็จะเป็นเหมือนครูของตน” (ลก.6:40) พระองค์บอกสาวกว่าการเลียนแบบพระองค์นั้นหมายรวมถึงการมีใจกว้าง การรัก และการไม่กล่าวโทษ (ข้อ 37-38) และแยกแยะผู้ที่พวกเขาติดตามได้ “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ” (ข้อ 39) สาวกของพระองค์ต้องเข้าใจว่ามาตรฐานนี้ทำให้พวกฟาริสีขาดคุณสมบัติเพราะพวกเขาเป็นผู้นำที่ตาบอด โดยนำผู้คนไปสู่หายนะ (มธ.15:14) และพวกเขาต้องยึดถือสิ่งสำคัญในการติดตามอาจารย์ของพวกเขา ดังนั้น เป้าหมายของผู้ติดตามพระคริสต์ก็คือการเป็นเหมือนพระเยซู จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาจะต้องใส่ใจในคำสอนของพระคริสต์เรื่องการมีน้ำใจและความรัก และปฏิบัติตามนั้น
ขณะที่ผู้เชื่อเพียรพยายามเลียนแบบพระเยซูในวันนี้ ขอให้เรามอบชีวิตให้พระอาจารย์ของเรา เพื่อเราจะเป็นเหมือนพระองค์ในความรู้ สติปัญญา และการกระทำ พระองค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราสะท้อนถึงวิถีแห่งการมีใจกว้างขวางและความรักของพระองค์ได้
ในกิจการทุกอย่าง
ในปีค.ศ.1524 มาร์ติน ลูเธอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “พ่อค้ามีกฎทั่วไปซึ่งเป็นคติประจำใจในหมู่พวกเขาเอง คือ ฉันไม่สนใจเพื่อนบ้าน ตราบที่ฉันมีกำไรและความโลภของฉันได้รับการตอบสนอง” อีก 200 กว่าปีต่อมาจอห์น วูลแมนจากเมาท์ฮอลลี่ รัฐนิวเจอร์ซีย์ได้ให้การอุทิศถวายตัวที่เขามีต่อพระเยซูมีอิทธิพลต่อธุรกิจร้านตัดเสื้อของเขา เขาสนับสนุนให้มีการเลิกทาสโดยปฏิเสธที่จะซื้อผ้าฝ้ายหรือสีย้อมผ้าจากบริษัทที่ใช้แรงงานทาส ด้วยใจสำนึกผิดชอบที่ชัดเจน เขารักเพื่อนบ้านและดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมด้วยความจริงใจ
อัครทูตเปาโลพยายามดำเนินชีวิตด้วย “น้ำใจบริสุทธิ์และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า” (2 คร.1:12) เมื่อบางคนในเมืองโครินธ์พยายามทำลายสิทธิอำนาจของท่านในฐานะอัครสาวกของพระเยซู ท่านได้ปกป้องความประพฤติของตนเองในหมู่พวกเขา โดยกล่าวว่าพวกเขาสามารถตรวจสอบคำพูดและการกระทำของท่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนได้ (ข้อ 13) ท่านยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ท่านพึ่งพาฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระเจ้าเพื่อการเกิดผล ไม่ใช่กำลังของตัวเอง (ข้อ 12) กล่าวโดยสรุปคือ ความเชื่อของเปาโลในพระคริสต์นั้นแทรกซึมอยู่ในทุกกิจการที่ท่านทำ
เมื่อเราดำเนินชีวิตในฐานะทูตของพระเยซู ขอให้เราระมัดระวังเพื่อให้ข่าวประเสริฐดังขึ้นในทุกกิจการที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ธุรกิจ และอื่นๆ เมื่อเราสำแดงความรักของพระเจ้าต่อผู้อื่นโดยอาศัยฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระเจ้า เราก็ได้ให้เกียรติพระองค์และรักเพื่อนบ้านของเรา
พอดี
ในภาพยนตร์เรื่องบุษบาหาคู่ ตัวละครที่ชื่อเทฟเย่พูดกับพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงสร้างคนยากจนขึ้นมามากมายจริงๆ ผมตระหนักดีว่าการเป็นคนยากจนไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีเกียรติ! มันจะเลวร้ายนักหรือถ้าผมจะมีทรัพย์สมบัติบ้าง!...แผนการนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่จะถูกทำลายลงหรือถ้าหากว่าผมเป็นคนมั่งคั่ง”
หลายศตวรรษก่อนที่นักประพันธ์โชเล็ม อาเลคเคมจะใส่ถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้ให้เทฟเย่พูด อากูร์ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยคำอธิษฐานที่อาจจะแตกต่างแต่ตรงไปตรงมาพอๆกันไว้ในพระธรรมสุภาษิต อากูร์ทูลพระเจ้าว่า อย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ท่าน แต่ขอให้ประทาน “อาหารที่พอดี” (สภษ.30:8) ท่านรู้ว่าการมี “มากเกินไป” อาจทำให้มีใจเย่อหยิ่งและกลายเป็นผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าโดยการปฏิเสธพระลักษณะของพระองค์ นอกจากนี้ท่านยังทูลพระเจ้าว่า อย่าปล่อยให้ท่าน “ยากจน” เพราะท่านอาจทำให้พระนามของพระเจ้าถูกดูหมิ่นด้วยการไปขโมยของของคนอื่น (ข้อ 9) อากูร์ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมแต่เพียงผู้เดียวของท่าน และขอให้พระองค์ตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของท่านแบบ “พอดี” คำอธิษฐานของท่านเผยให้เห็นถึงการแสวงหาพระเจ้า และความอิ่มใจที่พบได้ในพระองค์เท่านั้น
ขอให้เรามีทัศนคติแบบอากูร์ คือยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้จัดเตรียมทุกสิ่งที่เรามี และเมื่อเราแสวงหาที่จะเป็นผู้อารักขาด้านการเงินที่ถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยความอิ่มใจจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้จัดเตรียมสิ่งต่างๆให้เราไม่เพียงมีแค่ “พอดี” แต่มีมากเกินพอ
ระวังตัวอยู่เสมอ
ชายคนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนเดินเข้าประตูสกีรีสอร์ทที่ติดป้ายเตือนให้ระวังหิมะถล่มและเริ่มเล่นสโนว์บอร์ด ตอนที่ไถลตัวลงในรอบที่สองมีคนตะโกนว่า “หิมะถล่ม!” ชายคนนี้หนีไม่พ้นและเสียชีวิตในหิมะที่ถล่มลงมา บางคนวิพากษ์วิจารณ์และเรียกเขาว่ามือใหม่ ซึ่งไม่ใช่เลย เขาเป็น “มัคคุเทศก์ที่ผ่านหลักสูตรการรับมือกับหิมะถล่มในพื้นที่ทุรกันดาร” นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวว่านักสกี
และนักสโนว์บอร์ดที่ฝึกรับมือกับหิมะถล่มมามากมักมีแนวโน้มจะผ่อนปรนให้กับเหตุผลที่ผิดพลาด “[นักสโนว์บอร์ด] เสียชีวิตเพราะถูกหลอกให้ลดการป้องกันตัวลง”
ขณะที่ชนอิสราเอลเตรียมเดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าทรงต้องการให้ประชากรของพระองค์เตรียมตั้งรับโดยการเฝ้าระวังและตื่นตัว พระองค์จึงบัญชาให้พวกเขาเชื่อฟัง “กฎเกณฑ์และกฎหมาย” (ฉธบ.4:1-2) ทั้งสิ้นของพระองค์ และจดจำการพิพากษาในอดีตของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ไม่เชื่อฟัง (ข้อ 3-4) พวกเขาต้อง “ระวังตัว” ในการสำรวจตัวเองและรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณให้ดี (ข้อ 9) สิ่งนี้จะช่วยปกป้องพวกเขาจากอันตรายฝ่ายวิญญาณภายนอกและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณภายใน
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะลดการป้องกันตัวลง และตกอยู่ในความเฉยชาและหลอกตัวเอง แต่พระเจ้าสามารถประทานกำลังแก่เราเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในชีวิต และประทานการอภัยโดยพระคุณของพระองค์เมื่อเราทำพลาด โดยการติดตามและพึ่งพาในพระปัญญาและการจัดเตรียมของพระองค์ เราจึงจะสามารถระวังตัวและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง!
พระเจ้าตรัส
ในปี 1876 นักประดิษฐ์อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้กล่าวคำพูดแรกทางโทรศัพท์ โดยโทรหาโธมัส วัตสันผู้ช่วยของเขาว่า “วัตสัน มาหาผมหน่อย ผมอยากเจอคุณ” เสียงนั้นแตกพร่าไม่ชัดเจนแต่เข้าใจได้ วัตสันได้ยินสิ่งที่เบลล์พูด คำพูดแรกที่เบลล์พูดผ่านสายโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่า ยุคใหม่สำหรับการสื่อสารของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นแล้ว
ในการทรงสถาปนารุ่งอรุณของวันแรกในแผ่นดินโลกที่ “ว่างเปล่า” (ปฐก.1:2) พระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำแรกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “จงเกิดความสว่าง” (ข้อ 3) ถ้อยคำนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งการทรงสร้าง พระองค์ตรัสและสิ่งที่ทรงประกาศออกมาก็เกิดขึ้น (สดด.33:6, 9) พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” แล้วก็เป็นดังนั้น คำตรัสของพระองค์ก่อให้เกิดชัยชนะในทันทีเมื่อความมืดและความไร้ระเบียบเปิดทางให้แก่ความสว่างอันสุกใสและความมีระบบระเบียบ ความสว่างเป็นวิธีแก้ปัญหาของพระเจ้าในเรื่องความมืดที่ครอบงำ และเมื่อทรงสร้างความสว่างแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าความสว่างนั้น “ดี” (ปฐก.1:4)
คำตรัสแรกของพระเจ้ายังคงทรงพลังในชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซู ในยามรุ่งอรุณของทุกวันใหม่ ก็เป็นเหมือนการที่พระเจ้าทรงตรัสถ้อยคำของพระองค์ในชีวิตเราอีกครั้ง เมื่อความมืดทั้งในความหมายตามตัวอักษรและในเชิงเปรียบเทียบ ได้เปิดทางให้แก่ความสว่างอันสุกใสของพระองค์ ขอให้เราสรรเสริญและระลึกว่าพระองค์ได้ทรงเรียกหาเราและทรงเห็นเราอย่างแท้จริง
ออกมาจากใจ
พันธกิจช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงที่เรียกสั้นๆว่า “ปฏิบัติการเรือโนอาห์” อาจฟังดูน่าสนุกสำหรับคนรักสัตว์ แต่เป็นฝันร้ายของสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งมณฑลแนสซอ หลังจากได้รับการร้องเรียนเรื่องเสียงและกลิ่นเหม็นรุนแรง เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งบนเกาะลองไอแลนด์ และพบสัตว์อยู่ในสภาพถูกทอดทิ้งจำนวนมากกว่าสี่ร้อยตัว (ซึ่งต่อมาถูกขนย้ายออกจากที่นั่น)
เราอาจไม่ได้ครอบครองสัตว์ในสภาพสกปรกเป็นร้อยๆตัว แต่พระเยซูตรัสว่าเราอาจสะสมความคิดและการกระทำที่ชั่วร้ายผิดบาปไว้ในใจ ซึ่งจำเป็นต้องถูกเปิดเผยและกำจัดออกไป
พระเยซูทรงสอนบรรดาสาวกของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้คนสะอาดและเป็นมลทินว่า ไม่ใช่มือที่สกปรกหรือ “สิ่งใดๆที่เข้าไปในปาก” ที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่เป็นจิตใจที่ชั่วร้าย (มธ.15:17-19) ในที่สุดกลิ่นเหม็นจากหัวใจเราจะรั่วไหลออกมาจากชีวิตของเรา จากนั้นพระเยซูทรงยกตัวอย่างความคิดและการกระทำชั่วร้ายที่ “ออกมาจากใจ” (ข้อ 19) ที่ไม่อาจถูกชำระให้สะอาดได้ด้วยกิจกรรมและพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ เราจำเป็นต้องให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจเรา
เราสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูจากภายในสู่ภายนอกได้ด้วยการให้พระองค์เข้าถึงความสกปรกในใจของเรา และยอมให้พระองค์กำจัดสิ่งที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเหม็นออกไป ขณะที่พระคริสต์ทรงเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเรานั้น พระองค์ก็จะทรงช่วยให้คำพูดและการกระทำของเราสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วกลิ่นหอมจากชีวิตเราจะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์
บ้านสองหลัง
เพื่อทดสอบความมั่นคงของบ้านสองหลัง วิศวกรได้จำลองพายุเฮอริเคนระดับ 3 โดยการเปิดพัดลมซึ่งสามารถผลิตกระแสลมที่มีความเร็วถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นเวลาสิบนาที บ้านหลังแรกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานสำหรับรองรับพายุเฮอริเคน ขณะที่บ้านอีกหลังมีการเสริมหลังคาและพื้นให้แข็งแรงขึ้น บ้านหลังแรกสั่นสะเทือนและพังลงมาในที่สุด แต่บ้านหลังที่สองอยู่รอดมาได้โดยมีความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิศวกรคนหนึ่งสรุปผลการศึกษาโดยถามว่า “คุณอยากอยู่บ้านหลังไหนมากกว่ากัน”
พระเยซูทรงสรุปคำสอนเกี่ยวกับค่านิยมของการดำเนินชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า โดยบอกว่า “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (มธ.7:24) เมื่อพายุพัดมาบ้านนั้นก็ยังตั้งอยู่ได้ ในทางตรงกันข้ามคนที่ได้ยินแต่ไม่เชื่อฟัง “ก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” (ข้อ 26) เมื่อพายุพัดมาบ้านก็พังทลายลงภายใต้ความรุนแรงของพายุ พระเยซูทรงเสนอสองทางเลือกให้กับผู้ฟังของพระองค์คือ สร้างชีวิตของคุณบนรากฐานที่มั่นคงแห่งการเชื่อฟังพระองค์ หรือบนทรายที่ไม่มั่นคงโดยการทำตามวิถีทางของคุณเอง
เราเองก็ต้องเลือกเช่นกัน เราจะสร้างชีวิตของเราบนพระเยซูและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ หรือจะไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเลือกที่จะสร้างชีวิตของเราบนพระคริสต์