ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Marvin Williams

เหมือนอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา

ในวิดีโอที่ถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายนั้น นักเรียนคาราเต้สายขาววัยสามขวบเลียนแบบครูฝึกของเธอ เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวกฎของนักเรียนตามผู้นำของเธอด้วยความกระตือรือร้นและมั่นใจ จากนั้นด้วยความสุขุมและตั้งใจเจ้าตัวน้อยผู้น่ารักและเปี่ยมด้วยพลังก็เลียนแบบทุกอย่างที่ครูของเธอพูดและทำ และเธอก็ทำได้ดีเสียด้วย!

ครั้งหนึ่งพระเยซูตรัสว่า “ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้วก็จะเป็นเหมือนครูของตน” (ลก.6:40) พระองค์บอกสาวกว่าการเลียนแบบพระองค์นั้นหมายรวมถึงการมีใจกว้าง การรัก และการไม่กล่าวโทษ (ข้อ 37-38) และแยกแยะผู้ที่พวกเขาติดตามได้ “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ” (ข้อ 39) สาวกของพระองค์ต้องเข้าใจว่ามาตรฐานนี้ทำให้พวกฟาริสีขาดคุณสมบัติเพราะพวกเขาเป็นผู้นำที่ตาบอด โดยนำผู้คนไปสู่หายนะ (มธ.15:14) และพวกเขาต้องยึดถือสิ่งสำคัญในการติดตามอาจารย์ของพวกเขา ดังนั้น เป้าหมายของผู้ติดตามพระคริสต์ก็คือการเป็นเหมือนพระเยซู จึงเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขาจะต้องใส่ใจในคำสอนของพระคริสต์เรื่องการมีน้ำใจและความรัก และปฏิบัติตามนั้น

ขณะที่ผู้เชื่อเพียรพยายามเลียนแบบพระเยซูในวันนี้ ขอให้เรามอบชีวิตให้พระอาจารย์ของเรา เพื่อเราจะเป็นเหมือนพระองค์ในความรู้ สติปัญญา และการกระทำ พระองค์เท่านั้นที่จะช่วยให้เราสะท้อนถึงวิถีแห่งการมีใจกว้างขวางและความรักของพระองค์ได้

ในกิจการทุกอย่าง

ในปีค.ศ.1524 มาร์ติน ลูเธอร์ตั้งข้อสังเกตว่า “พ่อค้ามีกฎทั่วไปซึ่งเป็นคติประจำใจในหมู่พวกเขาเอง คือ ฉันไม่สนใจเพื่อนบ้าน ตราบที่ฉันมีกำไรและความโลภของฉันได้รับการตอบสนอง” อีก 200 กว่าปีต่อมาจอห์น วูลแมนจากเมาท์ฮอลลี่ รัฐนิวเจอร์ซีย์ได้ให้การอุทิศถวายตัวที่เขามีต่อพระเยซูมีอิทธิพลต่อธุรกิจร้านตัดเสื้อของเขา เขาสนับสนุนให้มีการเลิกทาสโดยปฏิเสธที่จะซื้อผ้าฝ้ายหรือสีย้อมผ้าจากบริษัทที่ใช้แรงงานทาส ด้วยใจสำนึกผิดชอบที่ชัดเจน เขารักเพื่อนบ้านและดำเนินธุรกิจอย่างมีคุณธรรมด้วยความจริงใจ

อัครทูตเปาโลพยายามดำเนินชีวิตด้วย “น้ำใจบริสุทธิ์และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า” (2 คร.1:12) เมื่อบางคนในเมืองโครินธ์พยายามทำลายสิทธิอำนาจของท่านในฐานะอัครสาวกของพระเยซู ท่านได้ปกป้องความประพฤติของตนเองในหมู่พวกเขา โดยกล่าวว่าพวกเขาสามารถตรวจสอบคำพูดและการกระทำของท่านอย่างละเอียดถี่ถ้วนได้ (ข้อ 13) ท่านยังแสดงให้เห็นด้วยว่า ท่านพึ่งพาฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระเจ้าเพื่อการเกิดผล ไม่ใช่กำลังของตัวเอง (ข้อ 12) กล่าวโดยสรุปคือ ความเชื่อของเปาโลในพระคริสต์นั้นแทรกซึมอยู่ในทุกกิจการที่ท่านทำ

เมื่อเราดำเนินชีวิตในฐานะทูตของพระเยซู ขอให้เราระมัดระวังเพื่อให้ข่าวประเสริฐดังขึ้นในทุกกิจการที่เราทำ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว ธุรกิจ และอื่นๆ เมื่อเราสำแดงความรักของพระเจ้าต่อผู้อื่นโดยอาศัยฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระเจ้า เราก็ได้ให้เกียรติพระองค์และรักเพื่อนบ้านของเรา

พอดี

ในภาพยนตร์เรื่องบุษบาหาคู่ ตัวละครที่ชื่อเทฟเย่พูดกับพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงสร้างคนยากจนขึ้นมามากมายจริงๆ ผมตระหนักดีว่าการเป็นคนยากจนไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่มีเกียรติ! มันจะเลวร้ายนักหรือถ้าผมจะมีทรัพย์สมบัติบ้าง!...แผนการนิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่จะถูกทำลายลงหรือถ้าหากว่าผมเป็นคนมั่งคั่ง”

หลายศตวรรษก่อนที่นักประพันธ์โชเล็ม อาเลคเคมจะใส่ถ้อยคำที่ตรงไปตรงมาเหล่านี้ให้เทฟเย่พูด อากูร์ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยคำอธิษฐานที่อาจจะแตกต่างแต่ตรงไปตรงมาพอๆกันไว้ในพระธรรมสุภาษิต อากูร์ทูลพระเจ้าว่า อย่าประทานความยากจนหรือความมั่งคั่งแก่ท่าน แต่ขอให้ประทาน “อาหารที่พอดี” (สภษ.30:8) ท่านรู้ว่าการมี “มากเกินไป” อาจทำให้มีใจเย่อหยิ่งและกลายเป็นผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าโดยการปฏิเสธพระลักษณะของพระองค์ นอกจากนี้ท่านยังทูลพระเจ้าว่า อย่าปล่อยให้ท่าน “ยากจน” เพราะท่านอาจทำให้พระนามของพระเจ้าถูกดูหมิ่นด้วยการไปขโมยของของคนอื่น (ข้อ 9) อากูร์ยอมรับว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียมแต่เพียงผู้เดียวของท่าน และขอให้พระองค์ตอบสนองความต้องการในชีวิตประจำวันของท่านแบบ “พอดี” คำอธิษฐานของท่านเผยให้เห็นถึงการแสวงหาพระเจ้า และความอิ่มใจที่พบได้ในพระองค์เท่านั้น

ขอให้เรามีทัศนคติแบบอากูร์ คือยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้จัดเตรียมทุกสิ่งที่เรามี และเมื่อเราแสวงหาที่จะเป็นผู้อารักขาด้านการเงินที่ถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์ ขอให้เราดำเนินชีวิตด้วยความอิ่มใจจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้จัดเตรียมสิ่งต่างๆให้เราไม่เพียงมีแค่ “พอดี” แต่มีมากเกินพอ

ระวังตัวอยู่เสมอ

ชายคนหนึ่งกับกลุ่มเพื่อนเดินเข้าประตูสกีรีสอร์ทที่ติดป้ายเตือนให้ระวังหิมะถล่มและเริ่มเล่นสโนว์บอร์ด ตอนที่ไถลตัวลงในรอบที่สองมีคนตะโกนว่า “หิมะถล่ม!” ชายคนนี้หนีไม่พ้นและเสียชีวิตในหิมะที่ถล่มลงมา บางคนวิพากษ์วิจารณ์และเรียกเขาว่ามือใหม่ ซึ่งไม่ใช่เลย เขาเป็น “มัคคุเทศก์ที่ผ่านหลักสูตรการรับมือกับหิมะถล่มในพื้นที่ทุรกันดาร” นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวว่านักสกี
และนักสโนว์บอร์ดที่ฝึกรับมือกับหิมะถล่มมามากมักมีแนวโน้มจะผ่อนปรนให้กับเหตุผลที่ผิดพลาด “[นักสโนว์บอร์ด] เสียชีวิตเพราะถูกหลอกให้ลดการป้องกันตัวลง”

ขณะที่ชนอิสราเอลเตรียมเดินทางเข้าสู่ดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าทรงต้องการให้ประชากรของพระองค์เตรียมตั้งรับโดยการเฝ้าระวังและตื่นตัว พระองค์จึงบัญชาให้พวกเขาเชื่อฟัง “กฎเกณฑ์และกฎหมาย” (ฉธบ.4:1-2) ทั้งสิ้นของพระองค์ และจดจำการพิพากษาในอดีตของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ไม่เชื่อฟัง (ข้อ 3-4) พวกเขาต้อง “ระวังตัว” ในการสำรวจตัวเองและรักษาชีวิตฝ่ายวิญญาณให้ดี (ข้อ 9) สิ่งนี้จะช่วยปกป้องพวกเขาจากอันตรายฝ่ายวิญญาณภายนอกและความเฉื่อยชาฝ่ายวิญญาณภายใน

เป็นเรื่องง่ายที่เราจะลดการป้องกันตัวลง และตกอยู่ในความเฉยชาและหลอกตัวเอง แต่พระเจ้าสามารถประทานกำลังแก่เราเพื่อจะหลีกเลี่ยงความผิดพลาดในชีวิต และประทานการอภัยโดยพระคุณของพระองค์เมื่อเราทำพลาด โดยการติดตามและพึ่งพาในพระปัญญาและการจัดเตรียมของพระองค์ เราจึงจะสามารถระวังตัวและตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง!

พระเจ้าตรัส

ในปี 1876 นักประดิษฐ์อเล็กซานเดอร์ เกรแฮม เบลล์ได้กล่าวคำพูดแรกทางโทรศัพท์ โดยโทรหาโธมัส วัตสันผู้ช่วยของเขาว่า “วัตสัน มาหาผมหน่อย ผมอยากเจอคุณ” เสียงนั้นแตกพร่าไม่ชัดเจนแต่เข้าใจได้ วัตสันได้ยินสิ่งที่เบลล์พูด คำพูดแรกที่เบลล์พูดผ่านสายโทรศัพท์แสดงให้เห็นว่า ยุคใหม่สำหรับการสื่อสารของมนุษย์ได้เริ่มขึ้นแล้ว

ในการทรงสถาปนารุ่งอรุณของวันแรกในแผ่นดินโลกที่ “ว่างเปล่า” (ปฐก.1:2) พระเจ้าได้ตรัสถ้อยคำแรกที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่า “จงเกิดความสว่าง” (ข้อ 3) ถ้อยคำนี้เต็มไปด้วยพลังแห่งการทรงสร้าง พระองค์ตรัสและสิ่งที่ทรงประกาศออกมาก็เกิดขึ้น (สดด.33:6, 9) พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” แล้วก็เป็นดังนั้น คำตรัสของพระองค์ก่อให้เกิดชัยชนะในทันทีเมื่อความมืดและความไร้ระเบียบเปิดทางให้แก่ความสว่างอันสุกใสและความมีระบบระเบียบ ความสว่างเป็นวิธีแก้ปัญหาของพระเจ้าในเรื่องความมืดที่ครอบงำ และเมื่อทรงสร้างความสว่างแล้ว พระองค์ทรงเห็นว่าความสว่างนั้น “ดี” (ปฐก.1:4)

คำตรัสแรกของพระเจ้ายังคงทรงพลังในชีวิตของผู้เชื่อในพระเยซู ในยามรุ่งอรุณของทุกวันใหม่ ก็เป็นเหมือนการที่พระเจ้าทรงตรัสถ้อยคำของพระองค์ในชีวิตเราอีกครั้ง เมื่อความมืดทั้งในความหมายตามตัวอักษรและในเชิงเปรียบเทียบ ได้เปิดทางให้แก่ความสว่างอันสุกใสของพระองค์ ขอให้เราสรรเสริญและระลึกว่าพระองค์ได้ทรงเรียกหาเราและทรงเห็นเราอย่างแท้จริง

ออกมาจากใจ

พันธกิจช่วยเหลือสัตว์เลี้ยงที่เรียกสั้นๆว่า “ปฏิบัติการเรือโนอาห์” อาจฟังดูน่าสนุกสำหรับคนรักสัตว์ แต่เป็นฝันร้ายของสมาคมป้องกันการทารุณสัตว์แห่งมณฑลแนสซอ หลังจากได้รับการร้องเรียนเรื่องเสียงและกลิ่นเหม็นรุนแรง เจ้าหน้าที่ได้เข้าไปในบ้านหลังหนึ่งบนเกาะลองไอแลนด์ และพบสัตว์อยู่ในสภาพถูกทอดทิ้งจำนวนมากกว่าสี่ร้อยตัว (ซึ่งต่อมาถูกขนย้ายออกจากที่นั่น)

เราอาจไม่ได้ครอบครองสัตว์ในสภาพสกปรกเป็นร้อยๆตัว แต่พระเยซูตรัสว่าเราอาจสะสมความคิดและการกระทำที่ชั่วร้ายผิดบาปไว้ในใจ ซึ่งจำเป็นต้องถูกเปิดเผยและกำจัดออกไป

พระเยซูทรงสอนบรรดาสาวกของพระองค์เกี่ยวกับสิ่งที่ทำให้คนสะอาดและเป็นมลทินว่า ไม่ใช่มือที่สกปรกหรือ “สิ่งใดๆที่เข้าไปในปาก” ที่ทำให้คนเป็นมลทิน แต่เป็นจิตใจที่ชั่วร้าย (มธ.15:17-19) ในที่สุดกลิ่นเหม็นจากหัวใจเราจะรั่วไหลออกมาจากชีวิตของเรา จากนั้นพระเยซูทรงยกตัวอย่างความคิดและการกระทำชั่วร้ายที่ “ออกมาจากใจ” (ข้อ 19) ที่ไม่อาจถูกชำระให้สะอาดได้ด้วยกิจกรรมและพิธีกรรมทางศาสนาใดๆ เราจำเป็นต้องให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจเรา

เราสามารถปฏิบัติตามคำสอนของพระเยซูจากภายในสู่ภายนอกได้ด้วยการให้พระองค์เข้าถึงความสกปรกในใจของเรา และยอมให้พระองค์กำจัดสิ่งที่เป็นต้นเหตุของกลิ่นเหม็นออกไป ขณะที่พระคริสต์ทรงเปิดเผยสิ่งที่อยู่ในใจของเรานั้น พระองค์ก็จะทรงช่วยให้คำพูดและการกระทำของเราสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วกลิ่นหอมจากชีวิตเราจะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์

บ้านสองหลัง

เพื่อทดสอบความมั่นคงของบ้านสองหลัง วิศวกรได้จำลองพายุเฮอริเคนระดับ 3 โดยการเปิดพัดลมซึ่งสามารถผลิตกระแสลมที่มีความเร็วถึง 100 ไมล์ต่อชั่วโมงเป็นเวลาสิบนาที บ้านหลังแรกไม่ได้ถูกสร้างขึ้นตามมาตรฐานสำหรับรองรับพายุเฮอริเคน ขณะที่บ้านอีกหลังมีการเสริมหลังคาและพื้นให้แข็งแรงขึ้น บ้านหลังแรกสั่นสะเทือนและพังลงมาในที่สุด แต่บ้านหลังที่สองอยู่รอดมาได้โดยมีความเสียหายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น วิศวกรคนหนึ่งสรุปผลการศึกษาโดยถามว่า “คุณอยากอยู่บ้านหลังไหนมากกว่ากัน”

พระเยซูทรงสรุปคำสอนเกี่ยวกับค่านิยมของการดำเนินชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า โดยบอกว่า “ผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา” (มธ.7:24) เมื่อพายุพัดมาบ้านนั้นก็ยังตั้งอยู่ได้ ในทางตรงกันข้ามคนที่ได้ยินแต่ไม่เชื่อฟัง “ก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย” (ข้อ 26) เมื่อพายุพัดมาบ้านก็พังทลายลงภายใต้ความรุนแรงของพายุ พระเยซูทรงเสนอสองทางเลือกให้กับผู้ฟังของพระองค์คือ สร้างชีวิตของคุณบนรากฐานที่มั่นคงแห่งการเชื่อฟังพระองค์ หรือบนทรายที่ไม่มั่นคงโดยการทำตามวิถีทางของคุณเอง

เราเองก็ต้องเลือกเช่นกัน เราจะสร้างชีวิตของเราบนพระเยซูและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์ หรือจะไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์ โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถเลือกที่จะสร้างชีวิตของเราบนพระคริสต์

บิดาผู้ทรงเมตตา

หลังจากกาเบรียลวัยแปดขวบเข้ารับการผ่าตัดเอาเนื้องอกออกจากสมอง การผ่าตัดทิ้งรอยแผลเป็นไว้ที่ด้านข้างของศีรษะที่เห็นได้ชัด เมื่อเด็กชายพูดว่าเขารู้สึกเหมือนเป็นสัตว์ประหลาด จอชพ่อของเขาจึงเกิดความคิดที่จะแสดงให้เห็นว่าเขารักลูกชายมากแค่ไหน โดยการสักที่ด้านข้างของศีรษะตัวเองให้เหมือนกับรอยแผลเป็นของกาเบรียล

นี่เป็นความรักแบบเดียวกับที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงเห็นใจและเมตตาสงสาร “บุตรของตน” (สดด.103:13) ดาวิดได้บรรยายให้เห็นภาพความรักของพระเจ้าโดยใช้ภาพเปรียบเทียบจากชีวิตมนุษย์ ท่านกล่าวว่า ความรักนี้อ่อนโยนเหมือนกับการที่พ่อที่ดีคนหนึ่งดูแลลูก (ข้อ 17) เฉกเช่นบิดาที่เป็นมนุษย์แสดงความเมตตาต่อลูกของเขา พระเจ้าพระบิดาในสวรรค์ของเราก็ทรงแสดงความรักและความห่วงใยต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น พระองค์เป็นพระบิดาผู้ทรงเมตตาและเห็นใจประชากรของพระองค์

เมื่อเราอ่อนแอและรู้สึกว่าตัวเองไม่น่ารักเพราะแผลเป็นชีวิต ขอให้เรารับความรักที่พระบิดาในสวรรค์มีต่อเราโดยความเชื่อ พระองค์ทรงสำแดงความเมตตาโดยส่งพระบุตรลงมาเพื่อ “สละพระชนม์ของพระองค์เพื่อเราทั้งหลาย” (1 ยน.3:16) เพื่อให้เราได้รับความรอด การกระทำเพียงครั้งเดียวนี้ไม่เพียงแต่ทำให้เราได้สัมผัสกับความรักของพระเจ้า แต่เรายังสามารถมองไปที่กางเขนและเห็นความรักนั้นได้ คุณไม่ดีใจหรือที่เรามีมหาปุโรหิตที่สามารถ “เห็นใจในความอ่อนแอของเรา” (ฮบ.4:15) พระองค์ทรงมีรอยแผลเป็นที่พิสูจน์ได้ถึงความรักนั้น

แขกที่ไม่ต้องการ

ไคล์และอัลลิสันไปฮันนีมูนสุดวิเศษที่ต่างประเทศ แต่เมื่อทั้งสองกลับบ้าน พวกเขาพบว่าเท้าของไคล์ขึ้นผื่นคันลักษณะประหลาด ทั้งสองถูกส่งไปหาผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ และได้รู้ว่าปรสิตขนาดเล็กได้เจาะไชเข้าไปในเท้าของไคล์ผ่านตุ่มพองที่เกิดจากรองเท้าแตะคู่ใหม่กัด จากฮันนีมูนในฝันจบลงที่การต่อสู้กับ “แขก” ที่ไม่ต้องการ

ดาวิดรู้ว่าหากท่านไม่ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าในการต่อสู้กับบาป ความฝันที่จะมีชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัยจะกลับกลายเป็นการต่อสู้กับแขกที่ไม่ต้องการคือบาปและการกบฏ หลังจากที่ประกาศว่าธรรมชาติได้เปิดเผยให้เห็นถึงพระเจ้า (สดด.19:1-6) และพระปัญญาของพระองค์พบได้ในกฏเกณฑ์ของพระองค์ (ข้อ 7-10) ดาวิดทูลขอให้พระเจ้าปกป้องท่านจากความประมาท ความเย่อหยิ่ง และการไม่เชื่อฟังโดยเจตนาว่า “ขอพระองค์ทรงชำระข้าพระองค์ให้พ้นจากความผิดที่ซ่อนเร้นอยู่ ขอทรงยับยั้งผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้นจากบาปโดยประมาทนั้นด้วยเถิด” (ข้อ 12-13) โดยรู้ตัวว่าในฐานะมนุษย์ ท่านไม่สามารถป้องกันตนเองจากโรคติดต่อแห่งบาปได้ ท่านจึงเลือกอย่างชาญฉลาดที่จะขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า

เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าความฝันของเราที่จะใช้ชีวิตอย่างถวายเกียรติแด่พระเจ้าจะไม่ถูกความบาปปล้นชิงเอาไป ขอให้เราจับตามองที่พระเจ้า สารภาพและกลับใจจากบาป และแสวงหาความช่วยเหลือจากเบื้องบนในการป้องกันไม่ให้ปรสิตฝ่ายวิญญาณที่เราไม่ต้องการเจาะไชเข้ามาในชีวิตของเราได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา