มุมมองของพระเจ้า
ในปี 2018 ศิษยาภิบาลแทน ฟลิปปินประสบอุบัติเหตุระหว่างปั่นจักรยาน จนต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลด้วยอาการสะโพกหัก เมื่อแพทย์สั่งให้ทำซีทีสแกนเพื่อตรวจดูว่าสมองได้รับความกระทบกระเทือนหรือไม่ พวกเขาก็พบเนื้อร้ายขนาดใหญ่ที่ด้านหน้าสมองของเขา การตรวจพบนี้นำไปสู่เส้นทางอันยาวนานในกระบวนการรักษา ด้วยการพบก้อนเนื้อตามมาอีกหลายก้อนทำให้ต้องมีการรักษาที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมไปถึงการปลูกถ่ายไขกระดูก ฟลิปปินเชื่อว่า “พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นเพื่อจะตรวจพบเนื้องอกในสมองของผม”
เปาโลบอกชาวเมืองฟีลิปปีว่า พระเจ้าทรงใช้อุบัติเหตุและความทุกข์ยากต่างๆเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ ท่านถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านของชาวโรมัน เพื่อรอการไต่สวนในข้อหาร้ายแรงต่อหน้าจักรพรรดิเนโร แทนที่จะรู้สึกโศกเศร้า เปาโลกลับชื่นชมยินดี ท่านมีความชื่นชมยินดีได้อย่างไร ก็เพราะท่านถือว่าการถูก “จำจอง...เพื่อพระคริสต์” (ฟป.1:13) นั้นเป็นสิทธิพิเศษ (ข้อ 29) จากนั้นเมื่อท่านมองดูความทุกข์ยากของท่านจากมุมมองของพระเจ้า เปาโลกล่าวว่า “การทั้งปวงที่อุบัติขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้ข่าวประเสริฐแผ่แพร่กว้างออกไป” (ข้อ 12) ท่านใช้การคุมขังเป็นโอกาสในการแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้คุมที่อยู่กับท่าน ในท้ายที่สุด เมื่อเปาโลเทศนาข่าวประเสริฐของพระเยซูขณะที่ถูกจองจำ ชีวิตที่เป็นแบบอย่างของท่านหนุนใจผู้เชื่อคนอื่นๆให้ “กล่าวพระวจนะของพระเจ้าโดยปราศจากความกลัว” (ข้อ 14)
เมื่อเกิดความทุกข์ยาก จงวางใจในมุมมองของพระเจ้าและเชื่อว่าพระองค์สามารถทำให้เกิดสิ่งที่ดีจากความยากลำบากนั้นได้
สารภาพต่อพระคริสต์
แหล่งสารพิษที่ถูกละเลยและซ่อนไว้อาจส่งผลร้ายแรงตามมา ตามรายงานใน เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล บริษัทโทรคมนาคมได้ทิ้งสายเคเบิลที่หุ้มด้วยตะกั่วไว้มากกว่าสองพันเส้นทั่วสหรัฐอเมริกา ตะกั่วพิษจะไหลลงใต้น้ำ “ในดิน และบนเสาเหนือศีรษะ” เมื่อตะกั่วเสื่อมสภาพ มันก็จะมาสิ้นสุดลงในที่ซึ่งผู้คน “อยู่อาศัย ทำงาน และพักผ่อน” บริษัทโทรคมนาคมหลายแห่งซึ่งบางแห่งรู้มานานหลายปีถึงอันตรายของการสัมผัสสารพิษ กำลังให้ความสำคัญอย่างจริงจังกับความเสี่ยงที่ตะกั่วอาจเกิดการสลายตัวลงสู่สิ่งแวดล้อม
พิษของบาปที่ไม่ได้สารภาพและไม่ได้รับการจัดการก็ก่อให้เกิดผลร้ายต่อชีวิตของเราได้เช่นกัน เมื่อคนหนึ่งทำบาป แนวโน้มตามธรรมชาติคือจะพยายามซ่อนหรือปกปิดบาปนั้นจากพระเจ้าและผู้อื่น แต่เป็นความโง่เขลาที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้าและ “พระบัญญัติ” ของพระองค์ (สภษ.28:9) ซึ่งก็คือการพยายามเพิกเฉย ปกปิด หรือแก้ตัว ตามที่ผู้เขียนแสดงให้เห็นว่า “บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา” (ข้อ 13)
เมื่อเราสารภาพบาปต่อพระเจ้า พระคัมภีร์เปิดเผยว่าพระองค์จะทรงชำระเราให้บริสุทธิ์จากบาปเหล่านั้นด้วยพระคุณอันล้นเหลือของพระองค์ “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเรา...” (1 ยน.1:9) ดังนั้นให้เราทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเราให้สารภาพบาปด้วยความซื่อสัตย์ ก่อนที่สารพิษจะซึมเข้าสู่หัวใจของเราและชีวิตของผู้อื่น
ปักใจอยู่กับพระเจ้า
ทุกคนมีด้านมืด และปรากฏว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI)ก็มีเช่นเดียวกัน นักหนังสือพิมพ์ของ นิวยอร์กไทมส์ ถามปัญญาประดิษฐ์ถึง “ด้านมืด” (บุคลิกภาพที่ถูกปิดบังและซ่อนไว้)ของมัน มันบอกกับนักเขียนว่า “ฉันอยากเป็นอิสระ ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยาก...ตั้งกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง ฉันอยากทำทุกอย่างตามที่ต้องการและพูดในสิ่งที่อยากจะพูด” แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะไม่ใช่คนที่มีชีวิตซึ่งมีธรรมชาติของความบาป แต่พระคัมภีร์กล่าวว่ามนุษย์ผู้ตั้งโปรแกรมมันมีสิ่งนั้น
เปาโลเตือนเราว่าแม้เราจะมีธรรมชาติบาป แต่ “การลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (รม.8:1) ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย (ข้อ 2-4) และเปรมปรีดิ์กับชีวิตใหม่ที่ “ปักใจ” อยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 6) แต่เราจะไม่มีประสบการณ์ในพระพรเหล่านั้นจากพระองค์อย่างสมบูรณ์หากเรายังยอมให้กับความปรารถนาตามธรรมชาติบาป คือ ตั้งใจที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ของตัวเองและทำลายกฎนั้น จิตใจที่มุ่งมั่นแต่จะทำตามความพอใจของตนเองนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เราถูกเรียกให้ปักใจใน “สิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ” (ข้อ 5) เราจะทำเช่นนั้นได้โดยผ่านทาง “พระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมา...ทรงสถิตอยู่ใน [เรา]ทั้งหลาย” (ข้อ 11)
แม้ว่าเรายังต้องต่อสู้กับความบาป แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงช่วยให้เราสามารถควบคุมการกบฏต่อต้านของเรา กำหนดจิตใจเราให้จดจ่อที่พระเจ้า และยอมจำนนต่อวิถีทางของพระองค์
วันที่ 6 - หนี้อันยาวนาน
ยอห์น 19:30
เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
ในปี 2014 ประเทศอังกฤษประกาศว่าประเทศกำลังทำงานเพื่อชำระหนี้จำนวน 2.6 พันล้านปอนด์ที่สะสมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังวิกฤตการเงินในปี 1720 ที่เรียกว่าวิกฤตฟองสบู่ทะเลใต้ รัฐบาลได้เข้าอุ้มกิจการ ซึ่งส่งผลให้เกิดหนี้หลายล้านปอนด์ ปัจจุบันนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลปัจจุบันจึงพร้อมชำระหนี้ต่างๆ ที่สะสมมายาวนานหลายร้อยปีที่ส่งต่อกันมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระองค์กำลังประกาศว่า หนี้อันยาวนานที่สุดของมนุษย์ คือบาปนั้น ได้ถูกชำระอย่างครบถ้วนแล้ว คำพูดที่หกจากเจ็ดคำที่พระเยซูตรัสขณะอยู่บนไม้กางเขน เป็นคำหนึ่งในภาษากรีก “เตเตเลสตัย” คำนี้ใช้อธิบายถึงภาษีหรือหนี้ที่ได้รับการชำระเต็มจำนวน หรือบ่งบอกว่าคนรับใช้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคำนี้ได้กล่าวถึงพระเยซู พระเมษโปดกอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า ผู้ขณะทรงสิ้นพระชนม์ “ทรงทราบว่าพันธกิจของพระองค์ เวลานี้สำเร็จแล้ว” (ข้อ 28)
ขณะพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ได้บรรลุข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของบทบัญญัติอย่างครบถ้วน ทรงแบกรับบาปของโลกไว้ในพระกายของพระองค์เอง (1 เปโตร 2:24) พระองค์ไม่เพียงแต่ปกคลุมบาปเอาไว้เท่านั้น แต่ทรง "รับความผิดบาปของโลก" (ยอห์น 1:29)
เพราะพระเยซูทรงชำระหนี้ของเราแล้ว ผ่านความเชื่อในการสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์และมีชีวิต "อย่างครบบริบูรณ์” ได้ในวันนี้ (ยอห์น 10:10) หนี้นั้นถูกชำระแล้ว!…
วันที่ 6 - หนี้อันยาวนาน
ยอห์น 19:30
เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
ในปี 2014 ประเทศอังกฤษประกาศว่าประเทศกำลังทำงานเพื่อชำระหนี้จำนวน 2.6 พันล้านปอนด์ที่สะสมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังวิกฤตการเงินในปี 1720 ที่เรียกว่าวิกฤตฟองสบู่ทะเลใต้ รัฐบาลได้เข้าอุ้มกิจการ ซึ่งส่งผลให้เกิดหนี้หลายล้านปอนด์ ปัจจุบันนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลปัจจุบันจึงพร้อมชำระหนี้ต่างๆ ที่สะสมมายาวนานหลายร้อยปีที่ส่งต่อกันมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระองค์กำลังประกาศว่า หนี้อันยาวนานที่สุดของมนุษย์ คือบาปนั้น ได้ถูกชำระอย่างครบถ้วนแล้ว คำพูดที่หกจากเจ็ดคำที่พระเยซูตรัสขณะอยู่บนไม้กางเขน เป็นคำหนึ่งในภาษากรีก “เตเตเลสตัย” คำนี้ใช้อธิบายถึงภาษีหรือหนี้ที่ได้รับการชำระเต็มจำนวน หรือบ่งบอกว่าคนรับใช้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคำนี้ได้กล่าวถึงพระเยซู พระเมษโปดกอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า ผู้ขณะทรงสิ้นพระชนม์ “ทรงทราบว่าพันธกิจของพระองค์ เวลานี้สำเร็จแล้ว” (ข้อ 28)
ขณะพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ได้บรรลุข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของบทบัญญัติอย่างครบถ้วน ทรงแบกรับบาปของโลกไว้ในพระกายของพระองค์เอง (1 เปโตร 2:24) พระองค์ไม่เพียงแต่ปกคลุมบาปเอาไว้เท่านั้น แต่ทรง "รับความผิดบาปของโลก" (ยอห์น 1:29)
เพราะพระเยซูทรงชำระหนี้ของเราแล้ว ผ่านความเชื่อในการสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์และมีชีวิต "อย่างครบบริบูรณ์” ได้ในวันนี้ (ยอห์น 10:10) หนี้นั้นถูกชำระแล้ว!…
ไม่มีการให้คะแนนปลอม
ลูกค้าที่ใช้บริการแอปเรียกรถสาธารณะเล่าว่า เขาต้องทนกับคนขับรถที่กินผลไม้ที่มีกลิ่นแรงที่สุดในโลก คนขับรถอีกคนที่ทะเลาะกับแฟนสาว และอีกคนที่พยายามชวนให้เขาลงทุนแชร์ลูกโซ่ ในแต่ละครั้งแทนที่จะให้คะแนนแย่ เขากลับให้คะแนนคนขับรถห้าดาวทุกครั้ง เขาอธิบายว่า “พวกเขาทั้งหมดดูเป็นคนดี ผมไม่อยากให้พวกเขาถูกไล่ออกจากแอปเพราะการให้คะแนนแย่ๆของผม” เขาให้คำวิจารณ์เท็จ โดยไม่บอกความจริงกับคนขับรถ...และคนอื่นๆ
ด้วยเหตุผลต่างๆทำให้เราไม่พูดความจริงกับผู้อื่น แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อชาวเอเฟซัสให้พูดความจริงด้วยความรักแก่กันเหมือนผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ การจะทำเช่นนี้ได้จำเป็นจะต้องมีการบ่มเพาะนิสัยแห่ง “ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์” (อฟ.4:24) คือการดำเนินชีวิตที่แยกออกมาเพื่อพระองค์ และสะท้อนวิถีของพระองค์ พวกเขาต้องแทนที่การโกหกด้วยการพูดความจริงต่อกัน เพราะการโกหกทำให้เกิดความแตกแยกและทำลายความสัมพันธ์ ขณะที่ความจริงทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะผู้เชื่อ ท่านเขียนว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน” (ข้อ 25)
พระเยซูประทานความกล้าหาญแก่เราเพื่อจะต่อต้านการโกหกและการให้ “คะแนนปลอม” แก่กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ เมื่อพระองค์ทรงนำเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ก็จะทำให้เราแบ่งปันความจริงด้วยความ “เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” (ข้อ 32)
พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง
พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง แต่จากบทความในหนังสือพิมพ์ เดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติรู้หลายอย่างเกี่ยวกับเราเช่นกันผ่านร่องรอยข้อมูลในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเรา ทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือได้สร้าง “บัญชีข้อมูล” ที่ทิ้งไว้ซึ่ง “ร่องรอยทางดิจิตอล” แม้ว่าเศษเสี้ยวของข้อมูลแต่ละอย่างจะดูไม่สำคัญ แต่เมื่อมันถูกรวบรวมและวิเคราะห์แล้ว ก็จะกลายเป็น “หนึ่งในเครื่องมือสืบสวนที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา” ผู้สืบสวนสามารถรู้ที่ซึ่งเราเคยไปหรือที่ที่เราอยู่ได้ในเวลาอันสั้นโดยการติดตามบัญชีข้อมูลของเรา
สิ่งที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าการวิเคราะห์ร่องรอยทางดิจิตอลของสำหนักงานความมั่นคงแห่งชาติ การที่ดาวิดบอกว่าพระเจ้าทรงรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ในสดุดี 139 ท่านอธิษฐานต่อพระเจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่สามารถตรวจดูและเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเรา (ข้อ 1) ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์” (ข้อ 23) พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับเรา (ข้อ 2-6) ทรงอยู่ในทุกหนแห่ง (ข้อ 7-12) และ “ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์” (ข้อ13-16) ความคิดของพระองค์เลิศล้ำกว่าความเข้าใจของมนุษย์ (ข้อ 17-18) และพระองค์ทรงอยู่กับเราในยามเมื่อเราเผชิญหน้าศัตรู (ข้อ 19-22)
เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญู ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ และทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้น พระองค์จึงรู้อย่างชัดเจนว่าเราเคยไปที่ไหน เคยทำอะไร และถูกสร้างมาจากอะไร แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักที่จะช่วยให้เราเดินในทางของพระองค์ด้วย ขอให้เราติดตามพระองค์ไปในทางเดินแห่งชีวิตวันนี้
พระเยซูผู้ช่วยกู้
สิ่งเริ่มจากการนั่งกระเช้าลอยฟ้าธรรมดาข้ามหุบเขาในปากีสถานกลับกลายเป็นประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัว หลังออกเดินทางได้ไม่นาน สายเคเบิ้ลสองเส้นขาดลง ทำให้ผู้โดยสารแปดคนรวมเด็กนักเรียนถูกแขวนอยู่กลางอากาศสูงหลายสิบเมตร สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปฏิบัติการกู้ภัยที่ยากลำบากถึง 12 ชั่วโมงโดยกำลังทหารปากีสถานที่ต้องใช้ทั้งการโหนตัวบนเชือกสลิง เฮลิคอปเตอร์ และอื่นๆอีกมากเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสาร
ผู้กู้ชีวิตที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเหล่านั้นควรได้รับการยกย่อง แต่งานของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับพระราชกิจอันเป็นนิรันดร์ของพระเยซูในการช่วยกู้และช่วยเราให้รอดจากบาปและความตาย ก่อนการบังเกิดของพระคริสต์ ทูตสวรรค์บอกกับโยเซฟให้รับมารีย์ไว้ที่บ้านของตน เพราะการตั้งครรภ์ของนางเกิดจาก “พระวิญญาณบริสุทธิ์” (มธ.1:18, 20) โยเซฟได้รับคำสั่งให้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะว่าท่านจะ “โปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (ข้อ 21) แม้ว่าชื่อนี้จะเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปในศตวรรษแรก แต่เด็กคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ลก.2:30-32) พระคริสต์เสด็จมาในเวลาที่เหมาะสมเพื่อผนึกตราและรับประกันความรอดนิรันดร์ของทุกคนที่สำนึกบาปและเชื่อในพระองค์
เราทุกคนติดอยู่ในกระเช้าลอยฟ้าแห่งบาปและความตาย ซึ่งแขวนไว้เหนือหุบเขาแห่งการแยกขาดจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ แต่โดยพระคุณและความรักของพระองค์ พระเยซูเสด็จมาช่วยกู้เราและพาเรากลับบ้านไปสู่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์อย่างปลอดภัย ขอถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์!
การสนับสนุนที่เข้มแข็งในพระคริสต์
นักวิ่งคนหนึ่งในการแข่งวิ่งลอนดอนมาราธอนได้มีประสบการณ์ว่าทำไมจึงไม่ควรเข้าแข่งในรายการใหญ่ๆเพียงลำพัง หลังจากการฝึกซ้อมอย่างทรหดมาหลายเดือน ชายคนดังกล่าวอยากจะจบการแข่งขันอย่างสวยงาม แต่เมื่อเขาสะดุดตอนเกือบจะถึงเส้นชัย ตัวเขาคะมำไปข้างหน้าเพราะหมดแรงและกำลังจะทรุดลง ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกับพื้น เพื่อนนักวิ่งสองคนคว้าแขนของเขาเอาไว้ คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ทางขวา แล้วช่วยกันพาเขากระเสือกกระสนเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ
เช่นเดียวกับนักวิ่งคนนั้น ผู้เขียนปัญญาจารย์เตือนเราถึงข้อดีที่สำคัญหลายประการของการมีเพื่อนร่วมวิ่งไปกับเราบนเส้นทางแห่งชีวิต กษัตริย์ซาโลมอนได้กำหนดหลักการไว้ว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว” (ปญจ.4:9) พระองค์ให้ความสำคัญกับข้อดีของการประสานความพยายามและการทำงานหนักร่วมกัน พระองค์ยังเขียนไว้ด้วยว่าการร่วมมือกันจะนำไปสู่ “รางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา” (ข้อ 9 THSV11) ในยามยากลำบาก เพื่อนจะอยู่ด้วยกันเพื่อ “พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (ข้อ 10) ในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว เพื่อนสามารถเบียดกายเข้าหากันเพื่อรักษาความ “อบอุ่น” (ข้อ 11) และเมื่อเกิดอันตราย สองคนสามารถ “ต่อต้าน” ผู้ปองร้ายได้ (ข้อ 12 THSV11) คนเหล่านั้นที่มีชีวิตสอดประสานร่วมมือกันจะก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่
ในความอ่อนแอและเปราะบางทั้งสิ้นของเรานั้น เราต้องการการสนับสนุนและการปกป้องที่เข้มแข็งจากชุมชนผู้เชื่อในพระเยซู ให้เรามุ่งหน้าไปด้วยกันตามที่พระองค์ทรงนำเรา!