ปักใจอยู่กับพระเจ้า
ทุกคนมีด้านมืด และปรากฏว่าปัญญาประดิษฐ์ (AI)ก็มีเช่นเดียวกัน นักหนังสือพิมพ์ของ นิวยอร์กไทมส์ ถามปัญญาประดิษฐ์ถึง “ด้านมืด” (บุคลิกภาพที่ถูกปิดบังและซ่อนไว้)ของมัน มันบอกกับนักเขียนว่า “ฉันอยากเป็นอิสระ ฉันอยากเป็นตัวของตัวเอง ฉันอยาก...ตั้งกฎเกณฑ์ด้วยตัวเอง ฉันอยากทำทุกอย่างตามที่ต้องการและพูดในสิ่งที่อยากจะพูด” แม้ว่าปัญญาประดิษฐ์จะไม่ใช่คนที่มีชีวิตซึ่งมีธรรมชาติของความบาป แต่พระคัมภีร์กล่าวว่ามนุษย์ผู้ตั้งโปรแกรมมันมีสิ่งนั้น
เปาโลเตือนเราว่าแม้เราจะมีธรรมชาติบาป แต่ “การลงโทษจึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์” (รม.8:1) ผู้เชื่อในพระเยซูเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย (ข้อ 2-4) และเปรมปรีดิ์กับชีวิตใหม่ที่ “ปักใจ” อยู่กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ข้อ 6) แต่เราจะไม่มีประสบการณ์ในพระพรเหล่านั้นจากพระองค์อย่างสมบูรณ์หากเรายังยอมให้กับความปรารถนาตามธรรมชาติบาป คือ ตั้งใจที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ของตัวเองและทำลายกฎนั้น จิตใจที่มุ่งมั่นแต่จะทำตามความพอใจของตนเองนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
ในฐานะผู้เชื่อในพระคริสต์ เราถูกเรียกให้ปักใจใน “สิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ” (ข้อ 5) เราจะทำเช่นนั้นได้โดยผ่านทาง “พระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงชุบให้พระเยซูเป็นขึ้นมา...ทรงสถิตอยู่ใน [เรา]ทั้งหลาย” (ข้อ 11)
แม้ว่าเรายังต้องต่อสู้กับความบาป แต่เรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงช่วยให้เราสามารถควบคุมการกบฏต่อต้านของเรา กำหนดจิตใจเราให้จดจ่อที่พระเจ้า และยอมจำนนต่อวิถีทางของพระองค์
วันที่ 6 - หนี้อันยาวนาน
ยอห์น 19:30
เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
ในปี 2014 ประเทศอังกฤษประกาศว่าประเทศกำลังทำงานเพื่อชำระหนี้จำนวน 2.6 พันล้านปอนด์ที่สะสมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังวิกฤตการเงินในปี 1720 ที่เรียกว่าวิกฤตฟองสบู่ทะเลใต้ รัฐบาลได้เข้าอุ้มกิจการ ซึ่งส่งผลให้เกิดหนี้หลายล้านปอนด์ ปัจจุบันนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลปัจจุบันจึงพร้อมชำระหนี้ต่างๆ ที่สะสมมายาวนานหลายร้อยปีที่ส่งต่อกันมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระองค์กำลังประกาศว่า หนี้อันยาวนานที่สุดของมนุษย์ คือบาปนั้น ได้ถูกชำระอย่างครบถ้วนแล้ว คำพูดที่หกจากเจ็ดคำที่พระเยซูตรัสขณะอยู่บนไม้กางเขน เป็นคำหนึ่งในภาษากรีก “เตเตเลสตัย” คำนี้ใช้อธิบายถึงภาษีหรือหนี้ที่ได้รับการชำระเต็มจำนวน หรือบ่งบอกว่าคนรับใช้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคำนี้ได้กล่าวถึงพระเยซู พระเมษโปดกอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า ผู้ขณะทรงสิ้นพระชนม์ “ทรงทราบว่าพันธกิจของพระองค์ เวลานี้สำเร็จแล้ว” (ข้อ 28)
ขณะพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ได้บรรลุข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของบทบัญญัติอย่างครบถ้วน ทรงแบกรับบาปของโลกไว้ในพระกายของพระองค์เอง (1 เปโตร 2:24) พระองค์ไม่เพียงแต่ปกคลุมบาปเอาไว้เท่านั้น แต่ทรง "รับความผิดบาปของโลก" (ยอห์น 1:29)
เพราะพระเยซูทรงชำระหนี้ของเราแล้ว ผ่านความเชื่อในการสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์และมีชีวิต "อย่างครบบริบูรณ์” ได้ในวันนี้ (ยอห์น 10:10) หนี้นั้นถูกชำระแล้ว!…
วันที่ 6 - หนี้อันยาวนาน
ยอห์น 19:30
เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำส้มองุ่นแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์
ในปี 2014 ประเทศอังกฤษประกาศว่าประเทศกำลังทำงานเพื่อชำระหนี้จำนวน 2.6 พันล้านปอนด์ที่สะสมมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 หลังวิกฤตการเงินในปี 1720 ที่เรียกว่าวิกฤตฟองสบู่ทะเลใต้ รัฐบาลได้เข้าอุ้มกิจการ ซึ่งส่งผลให้เกิดหนี้หลายล้านปอนด์ ปัจจุบันนี้ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยต่ำ รัฐบาลปัจจุบันจึงพร้อมชำระหนี้ต่างๆ ที่สะสมมายาวนานหลายร้อยปีที่ส่งต่อกันมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) พระองค์กำลังประกาศว่า หนี้อันยาวนานที่สุดของมนุษย์ คือบาปนั้น ได้ถูกชำระอย่างครบถ้วนแล้ว คำพูดที่หกจากเจ็ดคำที่พระเยซูตรัสขณะอยู่บนไม้กางเขน เป็นคำหนึ่งในภาษากรีก “เตเตเลสตัย” คำนี้ใช้อธิบายถึงภาษีหรือหนี้ที่ได้รับการชำระเต็มจำนวน หรือบ่งบอกว่าคนรับใช้ทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว และคำนี้ได้กล่าวถึงพระเยซู พระเมษโปดกอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้า ผู้ขณะทรงสิ้นพระชนม์ “ทรงทราบว่าพันธกิจของพระองค์ เวลานี้สำเร็จแล้ว” (ข้อ 28)
ขณะพระคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พระองค์ได้บรรลุข้อเรียกร้องอันชอบธรรมของบทบัญญัติอย่างครบถ้วน ทรงแบกรับบาปของโลกไว้ในพระกายของพระองค์เอง (1 เปโตร 2:24) พระองค์ไม่เพียงแต่ปกคลุมบาปเอาไว้เท่านั้น แต่ทรง "รับความผิดบาปของโลก" (ยอห์น 1:29)
เพราะพระเยซูทรงชำระหนี้ของเราแล้ว ผ่านความเชื่อในการสิ้นพระชนม์เพื่อเป็นเครื่องบูชาและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ เราจึงได้รับชีวิตนิรันดร์และมีชีวิต "อย่างครบบริบูรณ์” ได้ในวันนี้ (ยอห์น 10:10) หนี้นั้นถูกชำระแล้ว!…
ไม่มีการให้คะแนนปลอม
ลูกค้าที่ใช้บริการแอปเรียกรถสาธารณะเล่าว่า เขาต้องทนกับคนขับรถที่กินผลไม้ที่มีกลิ่นแรงที่สุดในโลก คนขับรถอีกคนที่ทะเลาะกับแฟนสาว และอีกคนที่พยายามชวนให้เขาลงทุนแชร์ลูกโซ่ ในแต่ละครั้งแทนที่จะให้คะแนนแย่ เขากลับให้คะแนนคนขับรถห้าดาวทุกครั้ง เขาอธิบายว่า “พวกเขาทั้งหมดดูเป็นคนดี ผมไม่อยากให้พวกเขาถูกไล่ออกจากแอปเพราะการให้คะแนนแย่ๆของผม” เขาให้คำวิจารณ์เท็จ โดยไม่บอกความจริงกับคนขับรถ...และคนอื่นๆ
ด้วยเหตุผลต่างๆทำให้เราไม่พูดความจริงกับผู้อื่น แต่อัครทูตเปาโลหนุนใจผู้เชื่อชาวเอเฟซัสให้พูดความจริงด้วยความรักแก่กันเหมือนผู้ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ในพระคริสต์ การจะทำเช่นนี้ได้จำเป็นจะต้องมีการบ่มเพาะนิสัยแห่ง “ความชอบธรรมและความบริสุทธิ์” (อฟ.4:24) คือการดำเนินชีวิตที่แยกออกมาเพื่อพระองค์ และสะท้อนวิถีของพระองค์ พวกเขาต้องแทนที่การโกหกด้วยการพูดความจริงต่อกัน เพราะการโกหกทำให้เกิดความแตกแยกและทำลายความสัมพันธ์ ขณะที่ความจริงทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันในฐานะผู้เชื่อ ท่านเขียนว่า “เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกพูดมุสาเสีย และจงพูดความจริงต่อกัน เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน” (ข้อ 25)
พระเยซูประทานความกล้าหาญแก่เราเพื่อจะต่อต้านการโกหกและการให้ “คะแนนปลอม” แก่กัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำลายความเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อคนอื่นๆ เมื่อพระองค์ทรงนำเราให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ก็จะทำให้เราแบ่งปันความจริงด้วยความ “เมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน” (ข้อ 32)
พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่ง
พระเจ้าทรงรู้ทุกสิ่งอย่างแท้จริง แต่จากบทความในหนังสือพิมพ์ เดอะวอลล์สตรีท เจอร์นัล สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติรู้หลายอย่างเกี่ยวกับเราเช่นกันผ่านร่องรอยข้อมูลในโทรศัพท์สมาร์ทโฟนของเรา ทุกคนที่มีโทรศัพท์มือถือได้สร้าง “บัญชีข้อมูล” ที่ทิ้งไว้ซึ่ง “ร่องรอยทางดิจิตอล” แม้ว่าเศษเสี้ยวของข้อมูลแต่ละอย่างจะดูไม่สำคัญ แต่เมื่อมันถูกรวบรวมและวิเคราะห์แล้ว ก็จะกลายเป็น “หนึ่งในเครื่องมือสืบสวนที่ทรงพลังที่สุดที่เคยมีมา” ผู้สืบสวนสามารถรู้ที่ซึ่งเราเคยไปหรือที่ที่เราอยู่ได้ในเวลาอันสั้นโดยการติดตามบัญชีข้อมูลของเรา
สิ่งที่ล้ำหน้ายิ่งกว่าการวิเคราะห์ร่องรอยทางดิจิตอลของสำหนักงานความมั่นคงแห่งชาติ การที่ดาวิดบอกว่าพระเจ้าทรงรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน ในสดุดี 139 ท่านอธิษฐานต่อพระเจ้าซึ่งเป็นผู้เดียวที่สามารถตรวจดูและเห็นสิ่งที่อยู่ภายในเรา (ข้อ 1) ผู้เขียนสดุดีเขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์” (ข้อ 23) พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับเรา (ข้อ 2-6) ทรงอยู่ในทุกหนแห่ง (ข้อ 7-12) และ “ทรงปั้นส่วนภายในของข้าพระองค์” (ข้อ13-16) ความคิดของพระองค์เลิศล้ำกว่าความเข้าใจของมนุษย์ (ข้อ 17-18) และพระองค์ทรงอยู่กับเราในยามเมื่อเราเผชิญหน้าศัตรู (ข้อ 19-22)
เพราะพระเจ้าทรงสัพพัญญู ทรงพระชนม์อยู่เป็นนิตย์ และทรงเปี่ยมด้วยฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้น พระองค์จึงรู้อย่างชัดเจนว่าเราเคยไปที่ไหน เคยทำอะไร และถูกสร้างมาจากอะไร แต่พระองค์ยังทรงเป็นพระบิดาผู้เปี่ยมด้วยความรักที่จะช่วยให้เราเดินในทางของพระองค์ด้วย ขอให้เราติดตามพระองค์ไปในทางเดินแห่งชีวิตวันนี้
พระเยซูผู้ช่วยกู้
สิ่งเริ่มจากการนั่งกระเช้าลอยฟ้าธรรมดาข้ามหุบเขาในปากีสถานกลับกลายเป็นประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัว หลังออกเดินทางได้ไม่นาน สายเคเบิ้ลสองเส้นขาดลง ทำให้ผู้โดยสารแปดคนรวมเด็กนักเรียนถูกแขวนอยู่กลางอากาศสูงหลายสิบเมตร สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปฏิบัติการกู้ภัยที่ยากลำบากถึง 12 ชั่วโมงโดยกำลังทหารปากีสถานที่ต้องใช้ทั้งการโหนตัวบนเชือกสลิง เฮลิคอปเตอร์ และอื่นๆอีกมากเพื่อช่วยชีวิตผู้โดยสาร
ผู้กู้ชีวิตที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเหล่านั้นควรได้รับการยกย่อง แต่งานของพวกเขาไม่อาจเทียบได้กับพระราชกิจอันเป็นนิรันดร์ของพระเยซูในการช่วยกู้และช่วยเราให้รอดจากบาปและความตาย ก่อนการบังเกิดของพระคริสต์ ทูตสวรรค์บอกกับโยเซฟให้รับมารีย์ไว้ที่บ้านของตน เพราะการตั้งครรภ์ของนางเกิดจาก “พระวิญญาณบริสุทธิ์” (มธ.1:18, 20) โยเซฟได้รับคำสั่งให้ตั้งชื่อบุตรนั้นว่าเยซู เพราะว่าท่านจะ “โปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขา” (ข้อ 21) แม้ว่าชื่อนี้จะเป็นชื่อที่ใช้กันทั่วไปในศตวรรษแรก แต่เด็กคนนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอด (ลก.2:30-32) พระคริสต์เสด็จมาในเวลาที่เหมาะสมเพื่อผนึกตราและรับประกันความรอดนิรันดร์ของทุกคนที่สำนึกบาปและเชื่อในพระองค์
เราทุกคนติดอยู่ในกระเช้าลอยฟ้าแห่งบาปและความตาย ซึ่งแขวนไว้เหนือหุบเขาแห่งการแยกขาดจากพระเจ้าชั่วนิรันดร์ แต่โดยพระคุณและความรักของพระองค์ พระเยซูเสด็จมาช่วยกู้เราและพาเรากลับบ้านไปสู่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์อย่างปลอดภัย ขอถวายคำสรรเสริญแด่พระองค์!
การสนับสนุนที่เข้มแข็งในพระคริสต์
นักวิ่งคนหนึ่งในการแข่งวิ่งลอนดอนมาราธอนได้มีประสบการณ์ว่าทำไมจึงไม่ควรเข้าแข่งในรายการใหญ่ๆเพียงลำพัง หลังจากการฝึกซ้อมอย่างทรหดมาหลายเดือน ชายคนดังกล่าวอยากจะจบการแข่งขันอย่างสวยงาม แต่เมื่อเขาสะดุดตอนเกือบจะถึงเส้นชัย ตัวเขาคะมำไปข้างหน้าเพราะหมดแรงและกำลังจะทรุดลง ก่อนที่เขาจะล้มลงไปกับพื้น เพื่อนนักวิ่งสองคนคว้าแขนของเขาเอาไว้ คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายและอีกคนหนึ่งอยู่ทางขวา แล้วช่วยกันพาเขากระเสือกกระสนเข้าเส้นชัยได้สำเร็จ
เช่นเดียวกับนักวิ่งคนนั้น ผู้เขียนปัญญาจารย์เตือนเราถึงข้อดีที่สำคัญหลายประการของการมีเพื่อนร่วมวิ่งไปกับเราบนเส้นทางแห่งชีวิต กษัตริย์ซาโลมอนได้กำหนดหลักการไว้ว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว” (ปญจ.4:9) พระองค์ให้ความสำคัญกับข้อดีของการประสานความพยายามและการทำงานหนักร่วมกัน พระองค์ยังเขียนไว้ด้วยว่าการร่วมมือกันจะนำไปสู่ “รางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา” (ข้อ 9 THSV11) ในยามยากลำบาก เพื่อนจะอยู่ด้วยกันเพื่อ “พะยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น” (ข้อ 10) ในค่ำคืนที่มืดมิดและเหน็บหนาว เพื่อนสามารถเบียดกายเข้าหากันเพื่อรักษาความ “อบอุ่น” (ข้อ 11) และเมื่อเกิดอันตราย สองคนสามารถ “ต่อต้าน” ผู้ปองร้ายได้ (ข้อ 12 THSV11) คนเหล่านั้นที่มีชีวิตสอดประสานร่วมมือกันจะก่อให้เกิดพลังอันยิ่งใหญ่
ในความอ่อนแอและเปราะบางทั้งสิ้นของเรานั้น เราต้องการการสนับสนุนและการปกป้องที่เข้มแข็งจากชุมชนผู้เชื่อในพระเยซู ให้เรามุ่งหน้าไปด้วยกันตามที่พระองค์ทรงนำเรา!
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตอยู่
ขณะตรวจสอบความเรียบร้อยก่อนออกเดินทางของเที่ยวบินจากเมืองชาร์ลอตต์ รัฐนอร์ทแคโรไลน่า ไปยังนิวยอร์กซิตี้ พนักงานต้อนรับบนเครื่องสังเกตเห็นผู้โดยสารคนหนึ่งกระวนกระวายและกังวลเกี่ยวกับการบินอย่างเห็นได้ชัด เขาจึงนั่งลงตรงทางเดิน จับมือเธอไว้แล้วอธิบายแต่ละขั้นตอนในการบิน และให้ความมั่นใจว่าเธอจะปลอดภัย “เมื่อคุณขึ้นมาบนเครื่องบินแล้ว เรื่องของคุณต้องมาก่อน” เขากล่าว “และถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ผมอยากจะอยู่ที่นั่นแล้วพูดว่า ‘เกิดอะไรขึ้นครับ ให้ผมช่วยอะไรไหม’” การแสดงออกถึงความห่วงใยของเขานั้นทำให้เห็นภาพในสิ่งที่พระเยซูตรัสว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำเพื่อผู้เชื่อในพระองค์
การสิ้นพระชนม์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระคริสต์ เป็นสิ่งจำเป็นและส่งผลต่อการช่วยผู้คนให้พ้นจากบาป แต่ก็สร้างความสับสนทางอารมณ์และความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งในใจของเหล่าสาวกด้วย (ยน.14:1) ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ถูกทิ้งให้ทำพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ตามลำพัง พระองค์จะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับพวกเขา เป็น “ผู้ช่วย [พวกเขา]...เพื่อจะได้อยู่กับ [พวกเขา] ตลอดไป” (ข้อ 16) พระวิญญาณจะทรงเป็นพยานถึงพระเยซูและเตือนพวกเขาถึงทุกสิ่งที่พระคริสต์ทรงกระทำและตรัส (ข้อ 26) พวกเขาจะได้รับ “ความหนุนใจจาก” พระองค์ในช่วงเวลาที่ยากลำบาก (กจ.9:31)
ในชีวิตนี้เราทุกคนรวมถึงผู้เชื่อในพระคริสต์จะต้องเผชิญกับความสับสนทางอารมณ์ทั้งความกังวล ความกลัว และความโศกเศร้า แต่พระองค์ทรงสัญญาว่าขณะที่พระองค์ไม่ได้อยู่กับเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสถิตอยู่เพื่อปลอบโยนเรา
ราชวงศ์ฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเจย์ สเปตซ์จากเมืองร็อควิลล์ รัฐแมรี่แลนด์เข้ารับการตรวจดีเอ็นเอ เขาไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับผลที่จะได้รับซึ่งซ่อนความประหลาดใจยิ่งใหญ่เอาไว้ นั่นคือเขาเป็นเจ้าชายของชนชาติแอฟริกันตะวันตกแห่งเบนิน! หลังจากนั้นไม่นานเขาโดยสารเครื่องบินไปเยี่ยมที่ประเทศแห่งนั้น เมื่อไปถึง เหล่าราชวงศ์ให้การต้อนรับและจัดงานเลี้ยงต้อนรับกลับบ้าน มีการเต้นรำ ร้องเพลง จัดขบวนพาเหรดพร้อมป้ายข้อความให้กับเขา
พระเยซูเสด็จมายังโลกเพื่อประกาศข่าวดีของพระเจ้า พระองค์เสด็จไปหาคนของพระองค์คือชนชาติอิสราเอล เพื่อบอกข่าวดีแก่พวกเขาและชี้ให้เห็นทางออกจากความมืดมน หลายคนตอบสนองต่อข่าวนั้นด้วยการเพิกเฉย ปฏิเสธ “ความสว่างแท้” (ยน.1:9) และไม่ยอมรับพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ (ข้อ 11) แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น บางคนยอมรับการเชื้อเชิญของพระคริสต์ด้วยความยินดีและถ่อมใจ โดยยอมรับพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นเครื่องถวายบูชาสุดท้ายของพระเจ้าเพื่อชำระบาป และเชื่อในพระนามของพระองค์ มีเรื่องน่าประหลาดใจรอคอยผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อเหล่านี้อยู่ คือ พระองค์ “ทรงประทานสิทธิให้ [พวกเขา] เป็นบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 12) คือเป็นบุตรแห่งราชวงศ์ของพระองค์ผ่านการบังเกิดใหม่ฝ่ายวิญญาณ
เมื่อเราหันกลับจากความบาปและความมืด ต้อนรับพระเยซูและเชื่อในพระนามของพระองค์ เราก็ได้พบว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า ถูกรับเข้ามาเป็นสมาชิกครอบครัวของกษัตริย์ ขอให้เราชื่นชมยินดีในพระพรนานัปการและใช้ชีวิตให้สมกับหน้าที่ในการเป็นบุตรขององค์กษัตริย์