สิทธิพิเศษแห่งคำอธิษฐาน
บทเพลงจากชีวิตของนักร้องคริส สเตเปิลตัน ชื่อ “พ่อไม่อธิษฐานอีกแล้ว” ได้รับแรงบันดาลใจจากคำอธิษฐานของพ่อที่อธิษฐานเผื่อเขา เนื้อเพลงพูดถึงสาเหตุที่คำอธิษฐานของพ่อต้องสิ้นสุดลง ไม่ใช่เพราะท้อแท้หรืออ่อนระอา แต่เพราะท่านเสียชีวิต สเตเปิลตันจินตนาการว่า ณ เวลานี้แทนที่พ่อของเขาจะพูดกับพระเยซูผ่านคำอธิษฐาน แต่ท่านคงกำลังเดินคุยกับพระองค์หน้าต่อหน้า
ความทรงจำของสเตเปิลตันเรื่องคำอธิษฐานของพ่อทำให้คิดถึงพ่อคนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่อธิษฐานเผื่อลูกของตน เมื่อกษัตริย์ดาวิดเริ่มชราแล้ว พระองค์ได้ทรงตระเตรียมเพื่อโอรสคือซาโลมอนจะมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล
หลังจากเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อเจิมตั้งซาโลมอน ดาวิดนำประชาชนให้อธิษฐานเช่นที่ได้เคยทำมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ขณะที่ดาวิดบรรยายถึงความสัตย์ซื่อที่พระเจ้ามีต่ออิสราเอล พระองค์ทูลขอให้ประชาชนยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า จากนั้นทรงทูลขอในเรื่องส่วนตัวเจาะจงถึงโอรสของพระองค์ ขอให้พระเจ้า “ทรงโปรดซาโลมอนบุตรของข้าพระองค์ให้มีจิตใจจริงที่จะรักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ พระโอวาทของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์” (1 พศด.29:19)
พวกเราก็มีสิทธิพิเศษที่จะทูลขอเพื่อคนที่พระเจ้าวางไว้ในชีวิตของเราเช่นกัน แบบอย่างความสัตย์ซื่อของเราสามารถสร้างผลกระทบที่จะคงอยู่แม้หลังเราจากไป เช่นเดียวกับที่พระเจ้ายังทรงตอบคำอธิษฐานเพื่อซาโลมอนและอิสราเอลแม้หลังจากที่ดาวิดเสียชีวิตแล้ว ผลแห่งคำอธิษฐานของเราก็จะคงอยู่ยาวนานกว่าชีวิตของเราเช่นกัน
ผลิตผลที่แสนหวาน
ตอนที่เราซื้อบ้านนั้นเราก็ได้ครอบครองสวนองุ่นที่ปลูกไว้อย่างดี ในฐานะชาวสวนมือใหม่ ครอบครัวของเราทุ่มเวลาในการเรียนรู้ที่จะตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ และดูแลสวน เมื่อการเก็บเกี่ยวครั้งแรกมาถึง ฉันเด็ดองุ่นจากพวงใส่ปากเพียงเพื่อจะพบความผิดหวังจากรสเปรี้ยวบาดใจ
ความหงุดหงิดใจที่ฉันรู้สึกจากการดูแลสวนองุ่นด้วยความอุตสาหะเพียงเพื่อจะได้ผลผลิตแย่ๆสะท้อนความรู้สึกในอิสยาห์บทที่ 5 ซึ่งเราได้อ่านเรื่องเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล พระเจ้าในภาพของชาวสวนผู้ซึ่งปรับพื้นที่เนินเขาเก็บกวาดเศษขยะ ปลูกองุ่นพันธุ์ดี สร้างหอคอยเพื่อเฝ้าระวัง และสกัดบ่อย่ำองุ่นเพื่อชื่นชมกับผลผลิตของพระองค์ (อสย.5:1-2) เป็นความเศร้าใจของชาวสวนที่สวนองุ่นคือชนชาติอิสราเอลนั้น ให้ผลผลิตรสเปรี้ยวของความเห็นแก่ตัว ความอยุติธรรม และการกดขี่ (ข้อ 7) ในที่สุดพระเจ้าทรงฝืนพระทัยทำลายสวนนั้นแต่ทรงเก็บเถาองุ่นบางส่วนไว้ด้วย หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะให้ผลผลิตที่ดี
พระเยซูใช้ภาพสวนองุ่นอีกครั้งหนึ่งในพระธรรมยอห์น ทรงตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก” (ยน.15:5) ในภาพเปรียบเทียบนี้ พระเยซูวาดภาพผู้เชื่อเป็นแขนงที่ติดอยู่กับพระองค์ซึ่งเป็นเถาองุ่น ในเวลานี้ขณะที่เรายังคงติดสนิทกับพระเยซูได้ผ่านการขะมักเขม้นอธิษฐานต่อพระวิญญาณของพระองค์เราจึงได้รับการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เรามีผลผลิตที่หอมหวานที่สุด นั่นคือความรัก
เลือกที่จะมีความหวัง
ฉันเป็นหนึ่งในหลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เป็นภาวะที่เกิดกับผู้ที่อยู่ในที่ซึ่งมีแสงอาทิตย์จำกัดในฤดูหนาวที่มีช่วงกลางวันสั้น เมื่อฉันเริ่มกลัวว่าความหนาวเหน็บของฤดูหนาวจะไม่มีวันสิ้นสุด ฉันเริ่มอยากเห็นสัญญาณว่ากลางวันที่ยาวนานและอบอุ่นขึ้นกำลังจะมาถึง
สัญญาณแรกของฤดูใบไม้ผลิคือดอกไม้เริ่มแทรกตัวผ่านหิมะออกมาอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่า ความหวังในพระเจ้าจะฝ่าทะลุฤดูกาลที่มืดมิดที่สุดของเราได้เช่นกัน มีคาห์ยอมรับขณะยืนหยัดในความปวดร้าวใจของ “ฤดูหนาว” ที่ชนชาติอิสราเอลหันออกจากทางของพระเจ้า ขณะประเมินสถานการณ์ที่มืดมนท่านคร่ำครวญว่า “จะหาคนซื่อตรงสักคนก็ไม่มี” (มคา.7:2)
แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่มีคาห์ไม่ยอมหมดหวัง ท่านเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังทำงาน (ข้อ 7) แม้อยู่ในท่ามกลางการทำลายล้าง และท่านก็ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆจากพระเจ้า
เราต้องเผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับมีคาห์ เมื่อเราอยู่ในความมืดมิดที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุดของ “ฤดูหนาว” และฤดูใบไม้ผลิดูเหมือนจะมาไม่ถึง เราจะยอมสิ้นหวังหรือไม่ หรือเราจะ “มองดูพระเจ้า” (ข้อ 7)
ความหวังในพระเจ้าของเราไม่มีวันสูญเปล่า (รม.5:5) พระองค์จะนำช่วงเวลาที่ไร้ซึ่ง “ฤดูหนาว” คือเวลาที่ไม่มีการร้องไห้และความเจ็บปวดมาให้เรา (วว.21:4) จนกว่าจะถึงวันนั้น ให้เราพักสงบอยู่ในพระองค์และยอมรับว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” (สดด.39:7)
กุญแจแห่งรัก
ฉันยืนทึ่งกับแม่กุญแจหลายแสนตัวที่สลักชื่อย่อของคู่รักเอาไว้และแขวนอยู่ในพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนสะพานปงเดซาร์ในปารีส สะพานคนเดินข้ามแม่น้ำแซนแห่งนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความรัก และการประกาศคำมั่นสัญญา “ชั่วนิรันดร์” ของคู่รัก ในปี 2014 กุญแจแห่งรักเหล่านี้มีน้ำหนักราวห้าสิบตัน และเป็นเหตุให้สะพานบางส่วนพังลงมาจึงต้องถอดกุญแจออก
ปรากฏการณ์ของกุญแจแห่งรักจำนวนมากนี้ชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาลึกๆของมนุษย์ที่ต้องการเครื่องรับประกันว่าความรักจะมั่นคง ในหนังสือเพลงซาโลมอนจากพันธสัญญาเดิมได้บรรยายภาพของคู่รัก ฝ่ายหญิงบอกถึงความปรารถนาในรักที่มั่นคง โดยการขอให้คนรักของเธอ “แนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ” (พซม.8:6) ความปรารถนาของเธอคือการอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคงในความรักของเขาเหมือนกับตราที่ประทับบนหัวใจของเขา หรือแหวนบนนิ้วของเขา
ความปรารถนาแห่งรักอันยั่งยืนของหนุ่มสาวที่บรรยายไว้ในเพลงซาโลมอนชี้ให้เราเห็นความจริงจากพระธรรมเอเฟซัสในพันธสัญญาใหม่ ที่บอกว่าเราได้รับการผนึก “ตรา” ไว้ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า (1:13) ในขณะที่ความรักของมนุษย์อาจแปรเปลี่ยน และกุญแจอาจถูกถอดออกจากสะพาน แต่พระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ภายในเรา ทรงเป็นตราประทับนิรันดร์ที่แสดงถึงความรักอันมั่นคงและไม่สิ้นสุดที่พระเจ้ามีต่อลูกของพระองค์ทุกคน
ตั้งชื่อโดยพระเจ้า
สายต้าน แม่ค้างคาวสาว จอมถ่ายพลัง ฉายาเหล่านี้เป็นคำที่เราใช้เรียกผู้ให้คำปรึกษาในค่ายฤดูร้อนที่ครอบครัวเราไปเข้าร่วมเป็นประจำทุกปี ชื่อเล่นที่เพื่อนร่วมค่ายตั้งให้นี้มักมาจากเหตุการณ์ที่น่าขายหน้า อุปนิสัยที่ตลก หรืองานอดิเรกที่คนๆนั้นชื่นชอบ
ฉายาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในค่าย แต่เรายังพบในพระคัมภีร์อีกด้วยตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงขนานนามอัครทูตยากอบและยอห์นว่า “ลูกฟ้าร้อง” (มก.3:17) ไม่บ่อยนักที่บุคคลในพระคัมภีร์จะตั้งฉายาให้กับตัวเอง แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงที่ชื่อนาโอมีให้คนเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่า “ขมขื่น” (นรธ.1:20) เพราะทั้งสามีและลูกชายสองคนของเธอเสียชีวิต เธอรู้สึกว่าพระเจ้าทำให้ชีวิตของเธอขมขื่น (ข้อ 21)
อย่างไรก็ตาม ชื่อใหม่ที่นาโอมีใช้เรียกตัวเองไม่ได้ติดตัวเธอไป เพราะความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่จุดจบในเรื่องราวของเธอ ท่ามกลางความเศร้าโศกนั้น พระเจ้าทรงอวยพรเธอผ่านทางนางรูธลูกสะใภ้ที่แสนดี ซึ่งในที่สุดก็ได้แต่งงานใหม่และมีบุตรชายหนึ่งคน ส่งผลให้นาโอมีได้มีครอบครัวใหม่อีกครั้ง
แม้บางครั้งเราอาจถูกทดลองให้ตั้งฉายาที่ขมขื่นให้ตัวเอง เช่น “ไอ้ขี้แพ้” หรือ “คนไม่น่ารัก” ตามความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญหรือข้อผิดพลาดที่เราทำ แต่ชื่อเหล่านั้นไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต เราสามารถแทนที่คำตราหน้าเหล่านั้นด้วยชื่อที่พระเจ้าประทานให้ คือ “เป็นที่รัก” (รม.9:25) และมองหาหนทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราแม้กระทั่งในเวลาที่ท้าทายที่สุด
ถูกทรยศ
ในปี 2019 งานแสดงศิลปะทั่วโลกต่างฉลองครบรอบห้าร้อยปีแห่งการเสียชีวิตของลีโอนาโด ดาวินชี ในขณะที่มีการจัดแสดงภาพวาดและการค้นพบทางวิทยาศาสตร์มากมายของเขา แต่กลับมีภาพเขียนเพียงห้าภาพซึ่งเป็นที่ยอมรับทั่วโลกว่าเขียนโดยดาวินชี รวมถึงภาพอาหารมื้อสุดท้าย
ภาพนี้แสดงถึงการร่วมรับประทานอาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวกจากพระธรรมยอห์น โดยจับภาพความงุนงงของสาวกเมื่อพระเยซูตรัสว่า “คนหนึ่งในพวกท่านจะอายัดเราไว้” (ยน.13:21) เหล่าสาวกต่างสงสัยว่าคนทรยศนั้นคือใคร ขณะที่ยูดาสลอบออกไปเพื่อบอกทหารว่าพระอาจารย์และเพื่อนของเขาอยู่ที่ไหน
ความเจ็บปวดจากการทรยศปรากฏในคำตรัสของพระเยซูว่า “ผู้รับประทานอาหารของข้าพระองค์ก็ยกส้นเท้าใส่ข้าพระองค์” (ข้อ 18) เพื่อนที่ใกล้ชิดมากจนร่วมมื้ออาหารกันได้ใช้ความสัมพันธ์นั้นทำร้ายพระองค์
เราอาจเคยถูกเพื่อนหักหลัง เราทำอย่างไรกับความเจ็บปวดนั้น สดุดี 41:9 ซึ่งพระเยซูตรัสถึงในระหว่างรับประทานอาหาร (ยน.13:18) ทำให้เรามีความหวัง หลังจากดาวิดระบายความเจ็บปวดจากการถูกเพื่อนสนิทหลอกลวง ท่านได้รับการปลอบโยนในความรักและการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า ซึ่งค้ำชูและวางท่านไว้ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระองค์เป็นนิตย์ (สดด.41:11-12)
เมื่อเพื่อนทำให้เราผิดหวัง เราพบการปลอบประโลมได้เมื่อรู้ว่าความรักมั่นคงและการทรงสถิตของพระเจ้าจะช่วยเราให้ทนต่อความทุกข์แสนสาหัสได้
พบตามริมขอบ
ท่ามกลางฝูงชนในงานแสดงรถจักรยานยนต์ที่ผู้ขับขี่โชว์ลีลาน่าประทับใจ ฉันต้องยืนเขย่งจึงจะมองเห็น เมื่อมองไปรอบๆฉันเห็นเด็กสามคนนั่งอยู่บนต้นไม้ใกล้ๆ เพราะพวกเขาฝ่าฝูงชนเข้าไปดูจากด้านหน้าไม่ได้เหมือนกัน
สุริยุปราคา
ฉันเตรียมพร้อมสำหรับสุริยุปราคา โดยมีทั้งอุปกรณ์ป้องกันตา ทำเลที่ดูได้ชัด และขนมไหว้พระจันทร์แบบโฮมเมด เช่นเดียวกับผู้คนหลายล้านในสหรัฐ ครอบครัวฉันเฝ้าดูปรากฏการณ์ที่หาชมได้ยากนี้ เมื่อเงาของดวงจันทร์บดบังดวงอาทิตย์จนมิด
สุริยคราสทำให้เกิดความมืดในช่วงบ่ายของฤดูร้อนที่มักมีแดดจ้า แม้สุริยคราสจะเป็นการฉลองที่สนุก และเตือนให้เราระลึกถึงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหนือสิ่งทรงสร้าง (สดด.135:6-7) แต่ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ความมืดที่เกิดขึ้นระหว่างวันถูกมองว่าผิดปกติและเป็นลางไม่ดี (อพย.10:21; มธ.27:45) เป็นสัญญาณบอกถึงสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น
นี่คือความมืดที่อาโมสผู้เผยพระวจนะในยุคการแยกอาณาจักรในอิสราเอลโบราณหมายถึง ท่านเตือนอาณาจักรเหนือว่า จะถูกทำลายหากยังหันหลังให้พระเจ้า ซึ่งหมายสำคัญคือ“เราจะกระทำให้ดวงอาทิตย์ตกในเวลาเที่ยงวัน กระทำให้โลกมืดไปในกลางวันแสกๆ” (อมส.8:9)
แต่พระประสงค์และเป้าหมายสูงสุดของพระเจ้าทั้งอดีตและปัจจุบันคือ การแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้อง แม้ผู้คนจะถูกเนรเทศ แต่พระเจ้าสัญญาว่าวันหนึ่งจะทรงนำคนที่เหลืออยู่กลับมายังเยรูซาเล็มและจะ “ตั้งขึ้นใหม่และซ่อมช่องชำรุดต่างๆเสียและยกที่ปรักหักพังขึ้น” (9:11)
เมื่อชีวิตมืดมนที่สุดเหมือนอิสราเอล เราอุ่นใจที่รู้ว่าพระเจ้ากำลังทำการเพื่อนำแสงสว่างและความหวังกลับมาสู่ทุกคน (กจ.15:14-18)
ม่านถูกเปิดออก
เมื่อเครื่องบินบินได้ระดับ แอร์โฮสเตสก็ปิดม่านที่กั้นผู้โดยสารชั้นหนึ่ง และฉันก็ตระหนักถึงความแตกต่างของที่นั่งในแต่ละชั้นบนเครื่องบิน นักเดินทางบางคนได้ขึ้นเครื่องก่อน มีความสุขกับที่นั่งพิเศษที่มีพื้นที่เหยียดขาและบริการเฉพาะบุคคล ม่านเป็นสิ่งย้ำเตือนว่าฉันถูกแยกออกจากคนกลุ่มนั้น
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนนั้นพบได้ในตลอดประวัติศาสตร์รวมถึงพระวิหารของพระเจ้าในเยรูซาเล็ม โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจ่ายได้มากกว่า คนที่ไม่ใช่ชาวยิวสามารถเข้าไปนมัสการได้แค่พระวิหารชั้นนอก ชั้นถัดมาคือสำหรับผู้หญิง และใกล้เข้ามาอีกคือส่วนของผู้ชาย ในส่วนสุดท้ายคืออภิสุทธิสถานซึ่งพระเจ้าสำแดงพระองค์เองอยู่หลังม่าน และมีเพียงมหาปุโรหิตผู้ชำระตัวแล้วเท่านั้นที่เข้าได้ปีละครั้ง (ฮบ.9:1-10)
แต่น่ายินดีที่การแบ่งแยกนี้ไม่มีอีกต่อไป พระเยซูได้ทำลายสิ่งกีดขวางที่ปิดกั้นการแสวงหาพระเจ้า ซึ่งรวมถึงความผิดบาปของเรา (10:17) เช่นเดียวกับม่านในพระวิหารที่ถูกฉีกเป็นสองส่วนเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์ (มธ.27:50-51) พระวรกายที่ถูกตรึงก็ได้ทำลายทุกอุปสรรคที่ขวางเราไม่ให้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ ไม่มีสิ่งใดจะแบ่งแยกผู้เชื่อจากการมีประสบการณ์ในพระสิริและความรักของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ได้