นำทางผ่านพายุแห่งชีวิต
วันที่ 16 กรกฎาคม 1999 เครื่องบินเล็กที่ขับโดยจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ ได้ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก เจ้าหน้าที่สืบสวนระบุสาเหตุของอุบัติเหตุว่าเกิดจากข้อผิดพลาดทั่วไปที่เรียกว่าการหลงสภาพการบิน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทัศนวิสัยไม่ดีจนทำให้นักบินสับสนและลืมพึ่งพาอุปกรณ์ที่จะช่วยให้พวกเขาไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ขณะที่เราเดินในเส้นทางแห่งชีวิต บ่อยครั้งที่ชีวิตโดนกระหน่ำจนเรารู้สึกสับสน ไม่ว่าจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง การเสียชีวิตของคนที่รัก ตกงาน ถูกเพื่อนหักหลัง โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดคิดในชีวิตทำให้เราหลงทางและสับสนได้ง่าย
เมื่อพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ เราอาจพยายามอธิษฐานตามสดุดี 43 ในสดุดีบทนี้ผู้เขียนหวาดกลัวและหลงทาง เพราะท่านสัมผัสถึงความชั่วร้ายและความอยุติธรรมที่อยู่รอบตัว ในความสิ้นหวังผู้เขียนร้องขอให้พระเจ้าทรงช่วยนำท่านฝ่าสถานการณ์นี้ไปถึงจุดหมายที่ต้องการอย่างปลอดภัย คือยังที่ประทับของพระเจ้า (ข้อ 3-4) ในที่ประทับของพระเจ้า ผู้เขียนรู้ว่าท่านจะพบความหวังและความชื่นชมยินดีอีกครั้ง
ผู้เขียนสดุดีทูลขอสิ่งใดสำหรับนำทาง สิ่งนั้นคือแสงแห่งความจริงและความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
เมื่อคุณรู้สึกสับสนและหลงทาง การทรงนำที่สัตย์ซื่อของพระเจ้าผ่านทางองค์พระวิญญาณและการทรงสถิตอยู่ด้วยความรักจะปลอบโยนและส่องสว่างนำทางคุณ
หนทางแห่งความเชื่อ
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในปี 2017 ทีมสหรัฐอเมริกาต้องแข่งกับทีมตรีนิแดดและโตเบโก นักรบโซก้าได้ทำให้ทั้งโลกตกตะลึงเมื่อสามารถเอาชนะทีมชาติชายของสหรัฐ ซึ่งอยู่ในอันดับที่สูงกว่าถึง 56 อันดับ ไปด้วยคะแนน 2 ต่อ 1 ทำให้ทีมสหรัฐพลาดโอกาสเข้าร่วมแข่งฟุตบอลโลกในปี 2018
ชัยชนะของตรีนิแดดและโตเบโกเป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย ส่วนหนึ่งเพราะว่าจำนวนประชากรและทรัพยากรของสหรัฐทำให้ประเทศเล็กๆในแถบแคริบเบียนดูเหมือนคนแคระ แต่ข้อได้เปรียบที่ดูไม่น่าจะเอาชนะได้นี้ก็ไม่อาจทำให้ทีมนักรบโซก้าที่สู้สุดแรงพ่ายแพ้ได้
เรื่องราวของกิเดโอนและคนมีเดียนได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะที่น่าตกตะลึงของนักรบกลุ่มเล็กๆเหนือกองทัพใหญ่เช่นกัน ความจริงแล้วอิสราเอลมีนักรบมากกว่าสามหมื่นคน แต่พระเจ้าทรงคัดเลือกนักรบเพียงสามร้อยคน เพื่อให้ชนชาติอิสราเอลเรียนรู้ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ขนาดของกองทัพ หรือจำนวนเงินที่มีในคลัง หรือความสามารถของผู้นำ (วนฉ.7:1-8)
การวางใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นหรือวัดได้อาจกลายเป็นสิ่งที่ล่อลวงเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่หนทางแห่งความเชื่อ แม้ว่าบ่อยครั้งจะเป็นเรื่องยากเมื่อเราตั้งใจจะพึ่งพาในพระเจ้า เพื่อให้ “มีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์” (อฟ.6:10) แต่เราสามารถเข้าสู่สถานการณ์ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่น แม้เราจะรู้สึกหนักใจและไม่มีความสามารถพอ การทรงสถิตและฤทธานุภาพของพระองค์สามารถทำสิ่งที่อัศจรรย์ภายในเราและผ่านเรา
ชีวิตที่น่าประทับใจ
ฉันได้มารู้เรื่องของแคทเธอรีน แฮมลิน หมอผ่าตัดผู้มีชื่อเสียงชาวออสเตรเลียจากข่าวมรณกรรมของเธอ ในเอธิโอเปียแคทเธอรีนและสามีก่อตั้งโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวในโลกที่อุทิศเพื่อการรักษาเฉพาะด้าน แก่ผู้หญิงที่บาดเจ็บทางร่างกายและทางจิตใจอันเนื่องจากการเกิดแผลทะลุในช่องท้องในระหว่างคลอดบุตร ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกที่กำลังพัฒนาแคทเธอรีนดูแลการให้การรักษาแก่ผู้หญิงกว่า 60,000 คน
ตอนอายุเก้าสิบสอง เธอยังคงดูแลงานที่โรงพยาบาลและเริ่มต้นวันด้วยการจิบชาและศึกษาพระวจนะ เธอบอกคนที่สงสัยว่าเธอเป็นเพียงผู้เชื่อในพระเยซูที่ทำงานที่พระเจ้ามอบหมายให้เธอทำ
ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ได้เรียนรู้ถึงชีวิตอันน่าทึ่งของเธอ เพราะเธอเป็นตัวอย่างอันทรงพลังที่ทำให้เห็นถึงพระวจนะซึ่งหนุนใจให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในแบบที่แม้แต่คนที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างแข็งขันก็ “จะได้เห็นการดีของท่านและเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า” (1 ปต.2:12)
ฤทธิ์อำนาจขององค์พระวิญญาณที่ทรงเรียกเราออกจากความมืดฝ่ายวิญญาณเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ (ข้อ 9) นั้น สามารถเปลี่ยนการงานหรือการรับใช้ของเราให้กลายเป็นคำพยานแห่งความเชื่อได้เช่นกัน ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความปรารถนาหรือทักษะใดให้แก่เรา เราสามารถทำสิ่งนั้นให้มีความหมายและวัตถุประสงค์มากขึ้นด้วยการทำทุกอย่างนั้น เพื่อจะชี้นำผู้คนมาถึงพระองค์
ติดตามด้วยความรัก
“ข้าหนีจากพระองค์ตลอดทั้งคืนและวัน” นี่คือท่อนแรกของบทกวีชื่อดัง “สุนัขล่าเนื้อจากสวรรค์” โดยฟรานซิส ทอมป์สันกวีชาวอังกฤษ ทอมป์สันบรรยายถึงการติดตามอย่างไม่ลดละของพระเยซูแม้เขาพยายามจะหลบซ่อนหรือวิ่งหนีจากพระเจ้า บทกวีจบลงโดยบอกว่า “ข้าคือคนที่พระองค์ตามหา!”
ความรักที่ติดตามอย่างไม่ลดละของพระเจ้าคือหัวใจหลักของพระธรรมโย-นาห์ ผู้เผยพระวจนะได้รับมอบหมายให้ไปประกาศแก่ชาวนีนะเวห์ (ศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอล) ให้กลับใจ แต่โยนาห์ “ได้ลุกขึ้นหนีไป...จากพระพักตร์พระเจ้า” (ยนา.1:3) ท่านซื้อตั๋วโดยสารเรือที่มุ่งไปคนละทิศกับนีนะเวห์ แต่ไม่นานเรือก็เจอพายุรุนแรง โยนาห์จึงถูกโยนออกจากเรือเพื่อช่วยชีวิตลูกเรือก่อนที่ท่านจะถูกปลามหึมากลืน (1:15-17)
ในบทกวีอันงดงามของท่าน โยนาห์บรรยายว่าแม้ท่านจะพยายามสุดความสามารถเพื่อหนีจากพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงติดตามท่าน เมื่อสถานการณ์หนักหน่วงและท่านต้องการความช่วยเหลือ ท่านร้องทูลอธิษฐานต่อพระเจ้าและหันไปหาความรักของพระองค์ (2:2,8) พระเจ้าทรงตอบและประทานการช่วยกู้ไม่เพียงแต่โยนาห์เท่านั้น แต่กับศัตรูชาวอัสซีเรียของท่านด้วย (3:10)
ดังเช่นในบทกวีทั้งสองบท อาจมีบางเวลาในชีวิตที่เราพยายามหนีจากพระเจ้า กระนั้นพระเยซูทรงรักเราและทรงกระทำกิจเพื่อนำเรากลับสู่การคืนดีกับพระองค์ (1 ยน.1:9)
ยึดมั่นในความจริง
ครอบครัวของฉันอาศัยในบ้านอายุเกือบร้อยปีที่มีลักษณะพิเศษหลายอย่าง รวมถึงผนังที่ฉาบพื้นผิวอย่างสวยงาม ช่างก่อสร้างเตือนฉันว่าผนังแบบนี้ หากจะแขวนรูปภาพต้องเจาะตะปูเข้าไปยึดในเนื้อไม้หรือใช้พุกยึดผนัง ไม่เช่นนั้นอาจเสี่ยงที่ภาพจะตกกระแทกพื้นทิ้งให้ผนังเป็นรูโหว่ไม่น่าดู
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ใช้ภาพเปรียบเทียบของหมุดที่ตอกแน่นบนผนังเพื่ออธิบายถึงบุคคลที่ไม่มีบทบาทเด่นในพระคัมภีร์ชื่อว่าเอลียาคิม เขาไม่เหมือนเชบนาเจ้าพนักงานฉ้อฉล (อสย.22:15-19) และชาวอิสราเอลผู้แสวงหาความเข้มแข็งด้วยตัวเขาเอง (ข้อ 8-11) เอลียาคิมวางใจในพระเจ้า อิสยาห์ได้พยากรณ์ว่าเอลียาคิมจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการในวังให้กับกษัตริย์เฮเซคียาห์ท่านเขียนว่าพระเจ้าจะตอกเขาไว้เหมือน “ตอกหมุดในที่มั่นคง” (ข้อ 23) การยึดมั่นในความจริงและพระคุณของพระเจ้ายังทำให้เอลียาคิมกลายเป็นที่ยึดให้กับครอบครัวและคนของเขา (ข้อ 22-24)
กระนั้นอิสยาห์ได้สรุปคำพยากรณ์ด้วยคำเตือนที่จริงจังว่าไม่มีใครจะเป็นหลักประกันความปลอดภัยที่ดีที่สุดให้เพื่อนหรือครอบครัวได้ เราทุกคนจะหลุดร่วงลงมา (ข้อ 25) หมุดยึดที่มั่นคงที่สุดในชีวิตเรามีเพียงผู้เดียวคือพระเยซู (สดด.62: 5-6; มธ.7:24) ในขณะที่เราดูแลและแบ่งเบาภาระผู้อื่น ให้เราชี้นำพวกเขาไปยังพระองค์ ผู้ทรงเป็นหมุดยึดที่มั่นคง
นี่คือพระเยซู!
ในตอนหนึ่งของอเมริกาก็อททาเลนต์ รายการแข่งขันความสามารถพิเศษ
ยอดนิยมทางโทรทัศน์ของสหรัฐ เด็กหญิงวัยห้าขวบร้องเพลงด้วยพลังและความสดใส ทำให้กรรมการเปรียบเธอกับนักร้องและนักเต้นเด็กที่มีชื่อเสียงในยุค 1930 เขาบอกว่า “ผมคิดว่าเชอรี่ เทมเปิ้ลแอบอยู่สักแห่งในตัวเธอแน่ๆ” คำตอบโต้ที่ไม่คาดคิดของเธอคือ “ไม่ใช่เชอรี่ เทมเปิ้ล แต่เป็นพระเยซู!”
ฉันประหลาดใจที่เด็กหญิงตระหนักรู้ว่า ความชื่นชมยินดีของเธอมาจากพระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ภายใน พระคัมภีร์ทำให้เรามั่นใจถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์ว่า ทุกคนที่วางใจในพระองค์ไม่เพียงได้รับพระสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงสถิตอยู่กับพวกเขาโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ด้วยนั่นคือใจของเราได้กลายเป็นบ้านของพระเยซู (คส.1:27; อฟ.3:17)
การทรงสถิตของพระเยซูในใจเราทำให้เรามีเหตุผลนับไม่ถ้วนที่จะขอบพระคุณ (คส.2:6-7) พระองค์ทรงทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์และมีพลัง (1:28-29) พระองค์ทรงหว่านความชื่นชมยินดีในหัวใจเราในทุกๆสถานการณ์ ทั้งเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการทนทุกข์ (ฟป.4:12-13) พระวิญญาณของพระคริสต์ทรงประทานความหวังแก่หัวใจของเราว่า พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อให้เกิดผลดีแม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ (รม.8:28) และพระวิญญาณทรงประทานสันติสุขซึ่งคงอยู่แม้จะมีความสับสนวุ่นวายวนเวียนอยู่รอบๆเรา (คส.3:15)
ด้วยความมั่นใจที่มีเมื่อพระเยซูทรงสถิตในใจ เราสามารถให้การทรงสถิตของพระองค์ส่องประกายผ่านตัวเรา เพื่อให้ผู้อื่นได้สังเกตเห็น
ไม่เคยโดดเดี่ยว
นี่คือความทุกข์ที่ทรมานกว่าการเป็นคนไร้บ้าน ความหิวโหยหรือเจ็บป่วย” แม็กกี้ เฟอร์กัสสัน เขียนไว้ในนิตยสารดิอิโคโนมิส 1843 ในหัวเรื่องความโดดเดี่ยวว่า “เฟอร์กัสสันบันทึกอัตราที่เพิ่มขึ้นของความโดดเดี่ยว” โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางสังคมหรือเศรษฐกิจ ด้วยการใช้ตัวอย่างที่บีบคั้นหัวใจเพื่อแสดงให้รู้ว่าผู้ที่โดดเดี่ยวรู้สึกอย่างไร
ความเจ็บปวดจากการรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ใช่สิ่งใหม่ แท้จริงแล้วความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยวสะท้อนถึงสิ่งที่บันทึกในหนังสือโบราณที่ชื่อปัญญาจารย์ เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือนี้เขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอน ใจความโดยรวมพูดถึงความเศร้าโศกของผู้ที่บกพร่องในการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อื่น (4:7-8) ผู้เขียนคร่ำครวญว่าเป็นไปได้ที่จะมีความมั่งคั่งในทรัพย์สมบัติ แต่ยังรู้สึกไร้ค่าเพราะไม่มีใครให้ร่วมแบ่งปัน
แต่ผู้เขียนยังรับรู้ได้ถึงความงดงามของมิตรภาพ โดยเขียนว่าเพื่อนช่วยคุณให้บรรลุผลสำเร็จได้มากกว่าที่คุณจะทำได้โดยลำพังตัวเอง (ข้อ 9) มิตรภาพช่วยเราในเวลาที่จำเป็น (ข้อ 10) สองคนทำให้อุ่นใจ (ข้อ 11) และเพื่อนสามารถให้การคุ้มครองในสถานการณ์ที่ยากลำบาก (ข้อ 12)
ความโดดเดี่ยวเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก พระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อที่จะให้และรับประโยชน์จากมิตรภาพและการอยู่ร่วมกัน หากคุณรู้สึกโดดเดี่ยว จงอธิษฐานที่พระเจ้าจะช่วยคุณผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ขอให้คุณมีกำลังใจจากความจริงที่ว่าผู้เชื่อจะไม่มีวันโดดเดี่ยว เพราะพระวิญญาณของพระเยซูทรงอยู่กับเราเสมอ (มธ.28:20)
จงเป่าแตร
“แทพส์” คือการเป่าแตรของกองทัพสหรัฐในตอนสิ้นสุดวันและในพิธีฝังศพ ฉันประหลาดใจเมื่อได้อ่านเนื้อเพลงอย่างไม่เป็นทางการหลายท่อนและพบว่าทุกท่อนจบด้วยวลี “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้” ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ความมืดกำลังเคลื่อนเข้ามา หรือในยามเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนที่รัก เนื้อเพลงได้ให้คำมั่นอันงดงามแก่เหล่าทหารว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้
ในพันธสัญญาเดิม เสียงแตรเป็นสิ่งที่ใช้เตือนชนชาติอิสราเอลด้วยเช่นกันว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ ในระหว่างการเฉลิมฉลองและงานเทศกาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล คนยิวจะต้อง “เป่าแตร” (กดว.10:10) การเป่าแตรเตือนให้รู้ว่าพระเจ้าไม่เพียงทรงสถิตอยู่ด้วยเท่านั้น แต่ยังทรงพร้อมเสมอในยามที่พวกเขาต้องการพระองค์มากที่สุด และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยพวกเขา
วันนี้เรายังคงต้องการสิ่งเตือนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ และเราสามารถร้องเรียกพระเจ้าในคำอธิษฐานและบทเพลงตามรูปแบบการนมัสการของเรา บางทีคำอธิษฐานของเราอาจเปรียบได้กับเสียงแตรที่ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และคำหนุนใจอันงดงามคือพระเจ้าทรงสดับฟังผู้ที่ร้องหาพระองค์เสมอ (1 ปต.3:12) พระเจ้าทรงตอบทุกๆคำอ้อนวอนโดยทรงให้ความมั่นใจถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ซึ่งเสริมกำลังและปลอบประโลมเราในยามยากลำบากและในยามทุกข์โศกของชีวิต
ความสุขเปรมปรีดิ์มีแก่ชาวโลก
คริสต์มาสทุกปีเราจะตกแต่งบ้านด้วยฉากวันประสูติจากทั่วโลก เรามีพีระมิดวันประสูติจากเยอรมัน ฉากในรางหญ้าที่ทำด้วยไม้มะกอกจากเบธเลเฮม และฉากชนบทในเม็กซิโกที่สีสันสดใส ชิ้นโปรดของครอบครัวเราเป็นฉากทางเข้าแปลกๆจากแอฟริกา แทนที่จะมีแกะและอูฐตามแบบฉบับเดิม กลับมีฮิปโปที่จ้องมองพระกุมารเยซูอย่างสุขใจ
มุมมองทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันซึ่งสะท้อนในฉากวันประสูติเหล่านี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจเมื่อได้พินิจพิจารณาเครื่องเตือนใจอันงดงามแต่ละชิ้น ว่าการประสูติของพระเยซูไม่ใช่เพื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่เป็นข่าวดีสำหรับคนทั้งโลก เป็นเหตุผลให้ทุกคนจากทุกประเทศและทุกชาติพันธุ์ชื่นชมยินดี
ทารกน้อยที่ปรากฏในแต่ละฉากวันประสูติแสดงให้เห็นพระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อทั้งโลกนี้ ดังที่ยอห์นบันทึกไว้ในบทสนทนาของพระคริสต์กับฟาริสีช่างถามชื่อนิโคเดมัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.3:16)
พระเยซูเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเรียกที่ใดในโลกนี้ว่าบ้าน การประสูติของพระเยซูคือความรักและสันติสุขที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้คุณ และทุกคนที่พบชีวิตใหม่ในพระคริสต์ “จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติและทุกประเทศ” ในวันหนึ่งจะได้สรรเสริญพระสิริของพระเจ้าไปตลอดนิรันดร์ (วว.5:9)