ส่วนหนึ่งของครอบครัว
ดาวน์ตันแอบบีย์ เป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยมของอังกฤษ ซึ่งพูดถึงตระกูลครอว์ลีย์ที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมในช่วงต้น ทศวรรษ 1900 ของอังกฤษ ตัวละครเอกตัวหนึ่งคือ ทอม แบรนสันซึ่งเคยเป็นคนขับรถของครอบครัว ก่อนที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงโดยแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของตระกูลครอว์ลีย์ หลังจากช่วงเวลาที่ถูกขับไล่ไป คู่แต่งงานวัยเยาว์ได้กลับสู่ดาวน์ตันแอบบีย์และทอมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้รับสถานะและสิทธิพิเศษที่เขาเคยถูกปฏิเสธตอนเป็นลูกจ้าง
ครั้งหนึ่งพวกเราเคยถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวต่างแดน” (อฟ.2:19) และถูกกีดกันไม่ให้ได้รับสิทธิที่มอบให้กับผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า แต่โดยพระเยซู ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังเช่นไร ได้คืนดีกับพระเจ้าและถูกนับว่า “เป็นครอบครัวของพระเจ้า” (ข้อ 19)
การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านำมาซึ่งสถานะและสิทธิพิเศษที่อัศจรรย์ เราจึง “เข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ” (3:12 TNCV) และชื่นชมยินดีในการเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไม่จำกัดและไม่ถูกกีดกันพวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ ชุมชนแห่งความเชื่อที่เสริมสร้างและหนุนใจเรา (2:19-22) สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ ในการช่วยเหลือกันให้เข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า (3:18)
ความกลัวและสงสัยทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนนอกได้โดยง่าย และฉุดรั้งเราไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า แต่ให้เรารับฟังและยอมรับของขวัญแห่งความรักจากพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่าอีกครั้ง (2:8-10) และอิ่มเอมในความมหัศจรรย์ที่ได้เป็นของพระองค์
เฉลิมฉลองในความแตกต่าง
ในพิธีจบการศึกษาประจำปี 2019 ของโรงเรียนมัธยมท้องถิ่นแห่งหนึ่ง นักเรียน 608 คนเตรียมตัวเพื่อรับประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่เริ่มพิธีโดยขอให้นักเรียนยืนขึ้นเมื่อท่านอ่านรายชื่อประเทศบ้านเกิดของพวกเขาที่อัฟกานิสถาน โบลิเวีย บอสเนียและอื่นๆ อาจารย์ใหญ่พูดจนครบ 60 ประเทศและนักเรียนทุกคนยืนขึ้นและยินดีร่วมกัน 60 ประเทศภายในโรงเรียนเดียวกัน
ความงดงามของการเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางความแตกต่างเป็นภาพอันทรงพลังที่แสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญ คือทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี
เราพบคำหนุนใจที่ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในท่ามกลางคนของพระเจ้าในสดุดี 133 เป็นบทเพลงสดุดีที่ขับขานเมื่อประชาชนเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อการเฉลิมฉลองประจำปี บทเพลงนี้เตือนประชาชนให้ระลึกถึงข้อดีของการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี (ข้อ 1) แม้จะมีความแตกต่างที่อาจก่อให้เกิดการแบ่งแยกก็ตาม ในภาพจำลองนั้นความเป็นหนึ่งเดียวกันถูกเปรียบเป็นน้ำค้าง (ข้อ 3) และน้ำมันที่ใช้ในการเจิมปุโรหิต (อพย.29:7) ที่ “ไหลอาบลงมา” บนศีรษะ หนวดเคราและเสื้อผ้าของปุโรหิต (ข้อ 2) ทุกภาพชี้ถึงความจริงว่า ในความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นพระพรของพระเจ้าหลั่งไหลอย่างท่วมท้นจนไม่มีสิ่งใดรองรับไว้ได้
สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู แม้จะมีความแตกต่างมากมาย เช่นในเรื่องชาติพันธุ์ สัญชาติ หรืออายุ แต่ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งลึกซึ้งยิ่งกว่าในพระวิญญาณ (อฟ.4:3) เมื่อเรายืนร่วมกันและเฉลิมฉลองสายสัมพันธ์นั้นโดยการทรงนำของพระเยซู เราก็สามารถเปิดรับความแตกต่างที่พระเจ้าประทานให้ และเฉลิมฉลองที่มาของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่แท้จริง
วางใจพระเจ้าเมื่อถูกต่อต้าน
เอสเธอร์เติบโตมาในชนเผ่าหนึ่งในฟิลิปปินส์ที่ต่อต้านความเชื่อในพระคริสต์ เธอได้รับความรอดในพระเยซูหลังจากที่ป้าของเธออธิษฐานเผื่อระหว่างที่เธอต่อสู้กับโรคร้ายแรงถึงชีวิต ทุกวันนี้เอสเธอร์เป็นผู้นำการศึกษาพระคัมภีร์ในชุมชนแม้จะถูกคุกคามอย่างรุนแรงกระทั่งขู่ฆ่า เธอรับใช้ด้วยความชื่นชมยินดีโดยบอกว่า “ฉันไม่สามารถหยุดบอกผู้อื่นถึงเรื่องพระเยซู เพราะฉันได้สัมผัสถึงฤทธิ์อำนาจ ความรัก ความประเสริฐ และความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในชีวิตฉัน”
การรับใช้พระเจ้าโดยต้องเผชิญกับการต่อต้านเป็นสิ่งที่หลายคนเผชิญในวันนี้ เช่นเดียวกับชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ชายหนุ่มชาวอิสราเอลสามคนซึ่งเป็นเชลยในบาบิโลน ในพระธรรมดาเนียลเราทราบว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะอธิษฐานต่อปฏิมากรทองคำขนาดใหญ่ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แม้จะถูกข่มขู่ถึงชีวิต ชายเหล่านี้ยืนยันว่าพระเจ้าทรงสามารถปกป้องพวกเขา พวกเขายังเลือกที่จะปรนนิบัติพระองค์ “ถึงแม้” พระองค์จะไม่ช่วยกู้พวกเขา (ดนล.3:18) เมื่อถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ พระเจ้าทรงเข้ามาร่วมในการทนทุกข์กับพวกเขา (ข้อ 25) ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน พวกเขารอดชีวิตโดย “ผมที่ศีรษะของเขาก็ไม่งอ” (ข้อ 27)
หากเราต้องเผชิญกับการทนทุกข์หรือถูกข่มเหงเพราะการสำแดงความเชื่อ ตัวอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันเตือนเราว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับเราเพื่อเสริมกำลังและค้ำจุนเราเมื่อเราเลือกเชื่อฟังพระองค์ “ถึงแม้” สิ่งต่างๆจะไม่เป็นอย่างที่เราหวัง
ความต้องการสติปัญญา
การที่ต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีพ่อ ทำให้ร็อบรู้สึกว่าเขาพลาดโอกาสที่จะได้รับสติปัญญาหรือคำชี้แนะที่พ่อมักจะส่งต่อให้กับลูกๆ ร็อบไม่อยากให้คนอื่นขาดทักษะชีวิตที่สำคัญนี้ เขาจึงทำซีรี่ย์ชื่อว่า “พ่อครับ..ทำยังไง” เป็นวิดีโอที่สาธิตทุกอย่างตั้งแต่การทำชั้นวางของไปจนถึงการเปลี่ยนยางรถยนต์ ด้วยรูปแบบความใจดีและอบอุ่นของเขา ร็อบจึงมีชื่อเสียงทางช่องยูทูปที่มีคนติดตามเป็นล้านๆ
เราหลายคนปรารถนาจะมีคนที่มีคุณสมบัติเป็นพ่อแม่ที่มีความเชี่ยวชาญคอยสอนทักษะที่มีประโยชน์ และช่วยนำทางเราในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โมเสสต้องการคำแนะนำหลังจากที่ท่านและคนอิสราเอลหนีออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และกำลังสร้างชาติของตนเอง เยโธรผู้เป็นพ่อตาของโมเสสมองเห็นความตึงเครียดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของผู้คนที่ส่งผลกระทบต่อโมเสส เยโธรจึงให้คำแนะนำที่ชาญฉลาดถึงวิธีการแบ่งหน้าที่ของผู้นำ (อพย.18:17-23) โมเสส “เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาแนะนำทุกประการ” (ข้อ 24)
พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทุกคนต้องการสติปัญญา บางคนอาจได้รับพระพรด้วยการมีพ่อแม่ที่รักพระเจ้าเป็นผู้มอบคำปรึกษาอันชาญฉลาด แต่ถ้าไม่มี เราสามารถขอสติปัญญาจากพระเจ้าผู้ทรงประทานให้แก่ทุกคนที่ทูลขอ (ยก.1:5) และพระองค์จะยังทรงประทานสติปัญญาผ่านข้อความในพระคัมภีร์ ที่เตือนว่าเมื่อเราถ่อมใจและจริงใจที่จะฟังคำสอนของผู้มีปัญญา เรา “จะได้ปัญญา” (สภษ.19:20) และมีสติปัญญาที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น
เต้นโลดในเสรีภาพ
จิมเป็นชาวไร่ในรุ่นที่ 3 ของครอบครัว เขาตื้นตันใจเมื่อได้อ่าน “คนเหล่านั้นที่ยำเกรงนามของเรา...จะกระโดดโลดเต้นออกไปเหมือนลูกวัวออกไปจากคอก” (มลค.4:2) เขาจึงอธิษฐานรับชีวิตนิรันดร์จากพระเยซู เขาจำได้ชัดเจนว่าลูกวัวของเขากระโดดด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ออกมาจากคอก ในที่สุดจิมก็เข้าใจถึงพระสัญญาแห่งเสรีภาพที่แท้จริงของพระเจ้า
ลูกสาวของจิมเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเมื่อเราคุยกันถึงภาพเปรียบเทียบในมาลาคี 4 เรื่องที่ผู้เผยพระวจนะพูดถึงความแตกต่างของผู้ที่ยำเกรงพระนามของพระเจ้าและยังคงสัตย์ซื่อต่อพระองค์ กับผู้ที่เชื่อมั่นในตนเอง (4:1-2) ผู้เผยพระวจนะหนุนใจคนอิสราเอลให้ติดตามพระเจ้าในยามที่คนมากมายรวมถึงผู้นำทางศาสนาละเลยพระเจ้าและมาตรฐานของพระองค์ในการดำเนินชีวิตที่สัตย์ซื่อ (1:12-14; 3:5-9) มาลาคีขอให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อเพราะอีกไม่นานพระเจ้าจะแยกคนสองกลุ่มนี้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด ในบริบทนี้มาลาคีใช้ภาพการกระโดดโลดเต้นของลูกวัว เพื่ออธิบายถึงความสุขที่เกินบรร-ยายที่กลุ่มคนผู้สัตย์ซื่อจะได้พบเมื่อ “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้จะขึ้นมา” (4:2)
พระเยซูคือความสำเร็จสูงสุดแห่งพระสัญญานี้ โดยทรงนำข่าวดีมาบอกว่าเสรีภาพที่แท้จริงนั้นมีสำหรับทุกคน (ลก.4:16-21) และวันหนึ่ง เมื่อพระองค์เจ้าทรงรื้อฟื้นและฟื้นฟูสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นใหม่ เราจะได้สัมผัสกับเสรีภาพแท้อย่างเต็มที่ จะมีความชื่นชมยินดีที่ไม่อาจบรรยายได้เพียงใดที่ได้กระโดดโลดเต้น ณ ที่แห่งนั้น!
ลุกขึ้นอีกครั้ง
ไรอัน ฮอลล์นักวิ่งโอลิมปิกเป็นเจ้าของสถิติการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนของสหรัฐอเมริกา เขาเข้าเส้นชัยในการแข่งขันระยะ 21 กิโลเมตร ด้วยเวลาอันน่าทึ่งเพียง 59 นาที 43 วินาที ทำให้เขาเป็นนักวิ่งคนแรกของสหรัฐที่ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง ขณะที่ฮอลล์ฉลองชัยชนะในการทำสถิติ เขาก็รู้ดีถึงความผิดหวังของการที่ไม่สามารถวิ่งจนจบการแข่งขันได้
การรู้รสชาติของทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ฮอลล์ระบุว่าความเชื่อในพระเยซูของเขาเป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนเขาไว้ พระคำโปรดข้อหนึ่งซึ่งเป็นคำเตือนที่ให้กำลังใจเขาจากพระธรรมสุภาษิตคือ “เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก” (24:16) สุภาษิตข้อนี้เตือนเราว่าผู้ชอบธรรมคือผู้ที่วางใจและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า จะยังคงต้องพบกับความยากลำบากและอุปสรรค แต่เมื่อพวกเขายังคงแสวงหาพระเจ้าในท่ามกลางความยากลำบาก พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะประทานกำลังให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้ง
คุณได้เคยประสบกับความผิดหวังหรือความล้มเหลวที่เลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จนคุณรู้สึกว่าจะไม่สามารถฟื้นตัวบ้างหรือไม่ พระคัมภีร์หนุนใจเราที่จะไม่พึ่งพากำลังของตัวเราเอง แต่ที่จะวางความเชื่อมั่นของเราไว้กับพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์เสมอ เมื่อเราวางใจพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์จะให้กำลังเราในการต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยหรืออุปสรรคที่หนักหน่วง (2 คร.12:9)
นำทางผ่านพายุแห่งชีวิต
วันที่ 16 กรกฎาคม 1999 เครื่องบินเล็กที่ขับโดยจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ ได้ตกลงในมหาสมุทรแอตแลนติก เจ้าหน้าที่สืบสวนระบุสาเหตุของอุบัติเหตุว่าเกิดจากข้อผิดพลาดทั่วไปที่เรียกว่าการหลงสภาพการบิน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อทัศนวิสัยไม่ดีจนทำให้นักบินสับสนและลืมพึ่งพาอุปกรณ์ที่จะช่วยให้พวกเขาไปถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
ขณะที่เราเดินในเส้นทางแห่งชีวิต บ่อยครั้งที่ชีวิตโดนกระหน่ำจนเรารู้สึกสับสน ไม่ว่าจะถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง การเสียชีวิตของคนที่รัก ตกงาน ถูกเพื่อนหักหลัง โศกนาฏกรรมที่ไม่คาดคิดในชีวิตทำให้เราหลงทางและสับสนได้ง่าย
เมื่อพบตัวเองอยู่ในสถานการณ์เหล่านี้ เราอาจพยายามอธิษฐานตามสดุดี 43 ในสดุดีบทนี้ผู้เขียนหวาดกลัวและหลงทาง เพราะท่านสัมผัสถึงความชั่วร้ายและความอยุติธรรมที่อยู่รอบตัว ในความสิ้นหวังผู้เขียนร้องขอให้พระเจ้าทรงช่วยนำท่านฝ่าสถานการณ์นี้ไปถึงจุดหมายที่ต้องการอย่างปลอดภัย คือยังที่ประทับของพระเจ้า (ข้อ 3-4) ในที่ประทับของพระเจ้า ผู้เขียนรู้ว่าท่านจะพบความหวังและความชื่นชมยินดีอีกครั้ง
ผู้เขียนสดุดีทูลขอสิ่งใดสำหรับนำทาง สิ่งนั้นคือแสงแห่งความจริงและความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์
เมื่อคุณรู้สึกสับสนและหลงทาง การทรงนำที่สัตย์ซื่อของพระเจ้าผ่านทางองค์พระวิญญาณและการทรงสถิตอยู่ด้วยความรักจะปลอบโยนและส่องสว่างนำทางคุณ
หนทางแห่งความเชื่อ
การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกในปี 2017 ทีมสหรัฐอเมริกาต้องแข่งกับทีมตรีนิแดดและโตเบโก นักรบโซก้าได้ทำให้ทั้งโลกตกตะลึงเมื่อสามารถเอาชนะทีมชาติชายของสหรัฐ ซึ่งอยู่ในอันดับที่สูงกว่าถึง 56 อันดับ ไปด้วยคะแนน 2 ต่อ 1 ทำให้ทีมสหรัฐพลาดโอกาสเข้าร่วมแข่งฟุตบอลโลกในปี 2018
ชัยชนะของตรีนิแดดและโตเบโกเป็นสิ่งเหนือความคาดหมาย ส่วนหนึ่งเพราะว่าจำนวนประชากรและทรัพยากรของสหรัฐทำให้ประเทศเล็กๆในแถบแคริบเบียนดูเหมือนคนแคระ แต่ข้อได้เปรียบที่ดูไม่น่าจะเอาชนะได้นี้ก็ไม่อาจทำให้ทีมนักรบโซก้าที่สู้สุดแรงพ่ายแพ้ได้
เรื่องราวของกิเดโอนและคนมีเดียนได้แสดงให้เห็นถึงชัยชนะที่น่าตกตะลึงของนักรบกลุ่มเล็กๆเหนือกองทัพใหญ่เช่นกัน ความจริงแล้วอิสราเอลมีนักรบมากกว่าสามหมื่นคน แต่พระเจ้าทรงคัดเลือกนักรบเพียงสามร้อยคน เพื่อให้ชนชาติอิสราเอลเรียนรู้ว่าความสำเร็จขึ้นอยู่กับพระเจ้าเท่านั้น ไม่ใช่ขนาดของกองทัพ หรือจำนวนเงินที่มีในคลัง หรือความสามารถของผู้นำ (วนฉ.7:1-8)
การวางใจและเชื่อมั่นในสิ่งที่เห็นหรือวัดได้อาจกลายเป็นสิ่งที่ล่อลวงเรา ซึ่งนั่นไม่ใช่หนทางแห่งความเชื่อ แม้ว่าบ่อยครั้งจะเป็นเรื่องยากเมื่อเราตั้งใจจะพึ่งพาในพระเจ้า เพื่อให้ “มีกำลังขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้าและในฤทธิ์เดชอันมหันต์ของพระองค์” (อฟ.6:10) แต่เราสามารถเข้าสู่สถานการณ์ด้วยความกล้าหาญและเชื่อมั่น แม้เราจะรู้สึกหนักใจและไม่มีความสามารถพอ การทรงสถิตและฤทธานุภาพของพระองค์สามารถทำสิ่งที่อัศจรรย์ภายในเราและผ่านเรา
ชีวิตที่น่าประทับใจ
ฉันได้มารู้เรื่องของแคทเธอรีน แฮมลิน หมอผ่าตัดผู้มีชื่อเสียงชาวออสเตรเลียจากข่าวมรณกรรมของเธอ ในเอธิโอเปียแคทเธอรีนและสามีก่อตั้งโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียวในโลกที่อุทิศเพื่อการรักษาเฉพาะด้าน แก่ผู้หญิงที่บาดเจ็บทางร่างกายและทางจิตใจอันเนื่องจากการเกิดแผลทะลุในช่องท้องในระหว่างคลอดบุตร ซึ่งเป็นการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบ่อยในโลกที่กำลังพัฒนาแคทเธอรีนดูแลการให้การรักษาแก่ผู้หญิงกว่า 60,000 คน
ตอนอายุเก้าสิบสอง เธอยังคงดูแลงานที่โรงพยาบาลและเริ่มต้นวันด้วยการจิบชาและศึกษาพระวจนะ เธอบอกคนที่สงสัยว่าเธอเป็นเพียงผู้เชื่อในพระเยซูที่ทำงานที่พระเจ้ามอบหมายให้เธอทำ
ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ได้เรียนรู้ถึงชีวิตอันน่าทึ่งของเธอ เพราะเธอเป็นตัวอย่างอันทรงพลังที่ทำให้เห็นถึงพระวจนะซึ่งหนุนใจให้ผู้เชื่อดำเนินชีวิตในแบบที่แม้แต่คนที่ปฏิเสธพระเจ้าอย่างแข็งขันก็ “จะได้เห็นการดีของท่านและเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า” (1 ปต.2:12)
ฤทธิ์อำนาจขององค์พระวิญญาณที่ทรงเรียกเราออกจากความมืดฝ่ายวิญญาณเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระองค์ (ข้อ 9) นั้น สามารถเปลี่ยนการงานหรือการรับใช้ของเราให้กลายเป็นคำพยานแห่งความเชื่อได้เช่นกัน ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความปรารถนาหรือทักษะใดให้แก่เรา เราสามารถทำสิ่งนั้นให้มีความหมายและวัตถุประสงค์มากขึ้นด้วยการทำทุกอย่างนั้น เพื่อจะชี้นำผู้คนมาถึงพระองค์