นี่คือพระเยซู!
ในตอนหนึ่งของอเมริกาก็อททาเลนต์ รายการแข่งขันความสามารถพิเศษ
ยอดนิยมทางโทรทัศน์ของสหรัฐ เด็กหญิงวัยห้าขวบร้องเพลงด้วยพลังและความสดใส ทำให้กรรมการเปรียบเธอกับนักร้องและนักเต้นเด็กที่มีชื่อเสียงในยุค 1930 เขาบอกว่า “ผมคิดว่าเชอรี่ เทมเปิ้ลแอบอยู่สักแห่งในตัวเธอแน่ๆ” คำตอบโต้ที่ไม่คาดคิดของเธอคือ “ไม่ใช่เชอรี่ เทมเปิ้ล แต่เป็นพระเยซู!”
ฉันประหลาดใจที่เด็กหญิงตระหนักรู้ว่า ความชื่นชมยินดีของเธอมาจากพระเยซูผู้ทรงสถิตอยู่ภายใน พระคัมภีร์ทำให้เรามั่นใจถึงความจริงอันน่าอัศจรรย์ว่า ทุกคนที่วางใจในพระองค์ไม่เพียงได้รับพระสัญญาแห่งชีวิตนิรันดร์ในพระเจ้า แต่พระเยซูจะทรงสถิตอยู่กับพวกเขาโดยทางพระวิญญาณของพระองค์ด้วยนั่นคือใจของเราได้กลายเป็นบ้านของพระเยซู (คส.1:27; อฟ.3:17)
การทรงสถิตของพระเยซูในใจเราทำให้เรามีเหตุผลนับไม่ถ้วนที่จะขอบพระคุณ (คส.2:6-7) พระองค์ทรงทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์และมีพลัง (1:28-29) พระองค์ทรงหว่านความชื่นชมยินดีในหัวใจเราในทุกๆสถานการณ์ ทั้งเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการทนทุกข์ (ฟป.4:12-13) พระวิญญาณของพระคริสต์ทรงประทานความหวังแก่หัวใจของเราว่า พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งเพื่อให้เกิดผลดีแม้เราจะไม่สามารถมองเห็นได้ (รม.8:28) และพระวิญญาณทรงประทานสันติสุขซึ่งคงอยู่แม้จะมีความสับสนวุ่นวายวนเวียนอยู่รอบๆเรา (คส.3:15)
ด้วยความมั่นใจที่มีเมื่อพระเยซูทรงสถิตในใจ เราสามารถให้การทรงสถิตของพระองค์ส่องประกายผ่านตัวเรา เพื่อให้ผู้อื่นได้สังเกตเห็น
ไม่เคยโดดเดี่ยว
นี่คือความทุกข์ที่ทรมานกว่าการเป็นคนไร้บ้าน ความหิวโหยหรือเจ็บป่วย” แม็กกี้ เฟอร์กัสสัน เขียนไว้ในนิตยสารดิอิโคโนมิส 1843 ในหัวเรื่องความโดดเดี่ยวว่า “เฟอร์กัสสันบันทึกอัตราที่เพิ่มขึ้นของความโดดเดี่ยว” โดยไม่คำนึงถึงสถานภาพทางสังคมหรือเศรษฐกิจ ด้วยการใช้ตัวอย่างที่บีบคั้นหัวใจเพื่อแสดงให้รู้ว่าผู้ที่โดดเดี่ยวรู้สึกอย่างไร
ความเจ็บปวดจากการรู้สึกโดดเดี่ยวไม่ใช่สิ่งใหม่ แท้จริงแล้วความเจ็บปวดจากความโดดเดี่ยวสะท้อนถึงสิ่งที่บันทึกในหนังสือโบราณที่ชื่อปัญญาจารย์ เนื้อหาส่วนใหญ่ของหนังสือนี้เขียนโดยกษัตริย์ซาโลมอน ใจความโดยรวมพูดถึงความเศร้าโศกของผู้ที่บกพร่องในการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับผู้อื่น (4:7-8) ผู้เขียนคร่ำครวญว่าเป็นไปได้ที่จะมีความมั่งคั่งในทรัพย์สมบัติ แต่ยังรู้สึกไร้ค่าเพราะไม่มีใครให้ร่วมแบ่งปัน
แต่ผู้เขียนยังรับรู้ได้ถึงความงดงามของมิตรภาพ โดยเขียนว่าเพื่อนช่วยคุณให้บรรลุผลสำเร็จได้มากกว่าที่คุณจะทำได้โดยลำพังตัวเอง (ข้อ 9) มิตรภาพช่วยเราในเวลาที่จำเป็น (ข้อ 10) สองคนทำให้อุ่นใจ (ข้อ 11) และเพื่อนสามารถให้การคุ้มครองในสถานการณ์ที่ยากลำบาก (ข้อ 12)
ความโดดเดี่ยวเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก พระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อที่จะให้และรับประโยชน์จากมิตรภาพและการอยู่ร่วมกัน หากคุณรู้สึกโดดเดี่ยว จงอธิษฐานที่พระเจ้าจะช่วยคุณผ่านการมีปฏิสัมพันธ์ที่มีความหมายกับผู้อื่น ในขณะเดียวกัน ขอให้คุณมีกำลังใจจากความจริงที่ว่าผู้เชื่อจะไม่มีวันโดดเดี่ยว เพราะพระวิญญาณของพระเยซูทรงอยู่กับเราเสมอ (มธ.28:20)
จงเป่าแตร
“แทพส์” คือการเป่าแตรของกองทัพสหรัฐในตอนสิ้นสุดวันและในพิธีฝังศพ ฉันประหลาดใจเมื่อได้อ่านเนื้อเพลงอย่างไม่เป็นทางการหลายท่อนและพบว่าทุกท่อนจบด้วยวลี “พระเจ้าทรงอยู่ใกล้” ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่ความมืดกำลังเคลื่อนเข้ามา หรือในยามเศร้าโศกที่ต้องสูญเสียคนที่รัก เนื้อเพลงได้ให้คำมั่นอันงดงามแก่เหล่าทหารว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้
ในพันธสัญญาเดิม เสียงแตรเป็นสิ่งที่ใช้เตือนชนชาติอิสราเอลด้วยเช่นกันว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ ในระหว่างการเฉลิมฉลองและงานเทศกาลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล คนยิวจะต้อง “เป่าแตร” (กดว.10:10) การเป่าแตรเตือนให้รู้ว่าพระเจ้าไม่เพียงทรงสถิตอยู่ด้วยเท่านั้น แต่ยังทรงพร้อมเสมอในยามที่พวกเขาต้องการพระองค์มากที่สุด และพระองค์ทรงปรารถนาที่จะช่วยพวกเขา
วันนี้เรายังคงต้องการสิ่งเตือนใจให้รู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ และเราสามารถร้องเรียกพระเจ้าในคำอธิษฐานและบทเพลงตามรูปแบบการนมัสการของเรา บางทีคำอธิษฐานของเราอาจเปรียบได้กับเสียงแตรที่ร้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า และคำหนุนใจอันงดงามคือพระเจ้าทรงสดับฟังผู้ที่ร้องหาพระองค์เสมอ (1 ปต.3:12) พระเจ้าทรงตอบทุกๆคำอ้อนวอนโดยทรงให้ความมั่นใจถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ ซึ่งเสริมกำลังและปลอบประโลมเราในยามยากลำบากและในยามทุกข์โศกของชีวิต
ความสุขเปรมปรีดิ์มีแก่ชาวโลก
คริสต์มาสทุกปีเราจะตกแต่งบ้านด้วยฉากวันประสูติจากทั่วโลก เรามีพีระมิดวันประสูติจากเยอรมัน ฉากในรางหญ้าที่ทำด้วยไม้มะกอกจากเบธเลเฮม และฉากชนบทในเม็กซิโกที่สีสันสดใส ชิ้นโปรดของครอบครัวเราเป็นฉากทางเข้าแปลกๆจากแอฟริกา แทนที่จะมีแกะและอูฐตามแบบฉบับเดิม กลับมีฮิปโปที่จ้องมองพระกุมารเยซูอย่างสุขใจ
มุมมองทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันซึ่งสะท้อนในฉากวันประสูติเหล่านี้ ทำให้ฉันอบอุ่นหัวใจเมื่อได้พินิจพิจารณาเครื่องเตือนใจอันงดงามแต่ละชิ้น ว่าการประสูติของพระเยซูไม่ใช่เพื่อชนชาติใดชนชาติหนึ่ง แต่เป็นข่าวดีสำหรับคนทั้งโลก เป็นเหตุผลให้ทุกคนจากทุกประเทศและทุกชาติพันธุ์ชื่นชมยินดี
ทารกน้อยที่ปรากฏในแต่ละฉากวันประสูติแสดงให้เห็นพระทัยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อทั้งโลกนี้ ดังที่ยอห์นบันทึกไว้ในบทสนทนาของพระคริสต์กับฟาริสีช่างถามชื่อนิโคเดมัสว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยน.3:16)
พระเยซูเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน ไม่ว่าคุณจะเรียกที่ใดในโลกนี้ว่าบ้าน การประสูติของพระเยซูคือความรักและสันติสุขที่พระเจ้าทรงหยิบยื่นให้คุณ และทุกคนที่พบชีวิตใหม่ในพระคริสต์ “จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติและทุกประเทศ” ในวันหนึ่งจะได้สรรเสริญพระสิริของพระเจ้าไปตลอดนิรันดร์ (วว.5:9)
สิทธิพิเศษแห่งคำอธิษฐาน
บทเพลงจากชีวิตของนักร้องคริส สเตเปิลตัน ชื่อ “พ่อไม่อธิษฐานอีกแล้ว” ได้รับแรงบันดาลใจจากคำอธิษฐานของพ่อที่อธิษฐานเผื่อเขา เนื้อเพลงพูดถึงสาเหตุที่คำอธิษฐานของพ่อต้องสิ้นสุดลง ไม่ใช่เพราะท้อแท้หรืออ่อนระอา แต่เพราะท่านเสียชีวิต สเตเปิลตันจินตนาการว่า ณ เวลานี้แทนที่พ่อของเขาจะพูดกับพระเยซูผ่านคำอธิษฐาน แต่ท่านคงกำลังเดินคุยกับพระองค์หน้าต่อหน้า
ความทรงจำของสเตเปิลตันเรื่องคำอธิษฐานของพ่อทำให้คิดถึงพ่อคนหนึ่งในพระคัมภีร์ที่อธิษฐานเผื่อลูกของตน เมื่อกษัตริย์ดาวิดเริ่มชราแล้ว พระองค์ได้ทรงตระเตรียมเพื่อโอรสคือซาโลมอนจะมาเป็นกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอล
หลังจากเรียกประชาชนมาชุมนุมกันเพื่อเจิมตั้งซาโลมอน ดาวิดนำประชาชนให้อธิษฐานเช่นที่ได้เคยทำมาก่อนหน้านี้หลายครั้ง ขณะที่ดาวิดบรรยายถึงความสัตย์ซื่อที่พระเจ้ามีต่ออิสราเอล พระองค์ทูลขอให้ประชาชนยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า จากนั้นทรงทูลขอในเรื่องส่วนตัวเจาะจงถึงโอรสของพระองค์ ขอให้พระเจ้า “ทรงโปรดซาโลมอนบุตรของข้าพระองค์ให้มีจิตใจจริงที่จะรักษาบรรดาพระบัญญัติของพระองค์ พระโอวาทของพระองค์ และกฎเกณฑ์ของพระองค์” (1 พศด.29:19)
พวกเราก็มีสิทธิพิเศษที่จะทูลขอเพื่อคนที่พระเจ้าวางไว้ในชีวิตของเราเช่นกัน แบบอย่างความสัตย์ซื่อของเราสามารถสร้างผลกระทบที่จะคงอยู่แม้หลังเราจากไป เช่นเดียวกับที่พระเจ้ายังทรงตอบคำอธิษฐานเพื่อซาโลมอนและอิสราเอลแม้หลังจากที่ดาวิดเสียชีวิตแล้ว ผลแห่งคำอธิษฐานของเราก็จะคงอยู่ยาวนานกว่าชีวิตของเราเช่นกัน
ผลิตผลที่แสนหวาน
ตอนที่เราซื้อบ้านนั้นเราก็ได้ครอบครองสวนองุ่นที่ปลูกไว้อย่างดี ในฐานะชาวสวนมือใหม่ ครอบครัวของเราทุ่มเวลาในการเรียนรู้ที่จะตัดแต่งกิ่ง รดน้ำ และดูแลสวน เมื่อการเก็บเกี่ยวครั้งแรกมาถึง ฉันเด็ดองุ่นจากพวงใส่ปากเพียงเพื่อจะพบความผิดหวังจากรสเปรี้ยวบาดใจ
ความหงุดหงิดใจที่ฉันรู้สึกจากการดูแลสวนองุ่นด้วยความอุตสาหะเพียงเพื่อจะได้ผลผลิตแย่ๆสะท้อนความรู้สึกในอิสยาห์บทที่ 5 ซึ่งเราได้อ่านเรื่องเปรียบเทียบถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับชนชาติอิสราเอล พระเจ้าในภาพของชาวสวนผู้ซึ่งปรับพื้นที่เนินเขาเก็บกวาดเศษขยะ ปลูกองุ่นพันธุ์ดี สร้างหอคอยเพื่อเฝ้าระวัง และสกัดบ่อย่ำองุ่นเพื่อชื่นชมกับผลผลิตของพระองค์ (อสย.5:1-2) เป็นความเศร้าใจของชาวสวนที่สวนองุ่นคือชนชาติอิสราเอลนั้น ให้ผลผลิตรสเปรี้ยวของความเห็นแก่ตัว ความอยุติธรรม และการกดขี่ (ข้อ 7) ในที่สุดพระเจ้าทรงฝืนพระทัยทำลายสวนนั้นแต่ทรงเก็บเถาองุ่นบางส่วนไว้ด้วย หวังว่าสักวันหนึ่งมันจะให้ผลผลิตที่ดี
พระเยซูใช้ภาพสวนองุ่นอีกครั้งหนึ่งในพระธรรมยอห์น ทรงตรัสว่า “เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก” (ยน.15:5) ในภาพเปรียบเทียบนี้ พระเยซูวาดภาพผู้เชื่อเป็นแขนงที่ติดอยู่กับพระองค์ซึ่งเป็นเถาองุ่น ในเวลานี้ขณะที่เรายังคงติดสนิทกับพระเยซูได้ผ่านการขะมักเขม้นอธิษฐานต่อพระวิญญาณของพระองค์เราจึงได้รับการบำรุงเลี้ยงฝ่ายวิญญาณโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เรามีผลผลิตที่หอมหวานที่สุด นั่นคือความรัก
เลือกที่จะมีความหวัง
ฉันเป็นหนึ่งในหลายล้านคนทั่วโลกที่ต้องทนทุกข์กับภาวะซึมเศร้าจากการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล เป็นภาวะที่เกิดกับผู้ที่อยู่ในที่ซึ่งมีแสงอาทิตย์จำกัดในฤดูหนาวที่มีช่วงกลางวันสั้น เมื่อฉันเริ่มกลัวว่าความหนาวเหน็บของฤดูหนาวจะไม่มีวันสิ้นสุด ฉันเริ่มอยากเห็นสัญญาณว่ากลางวันที่ยาวนานและอบอุ่นขึ้นกำลังจะมาถึง
สัญญาณแรกของฤดูใบไม้ผลิคือดอกไม้เริ่มแทรกตัวผ่านหิมะออกมาอย่างกล้าหาญ นี่เป็นเครื่องเตือนใจที่ทรงพลังว่า ความหวังในพระเจ้าจะฝ่าทะลุฤดูกาลที่มืดมิดที่สุดของเราได้เช่นกัน มีคาห์ยอมรับขณะยืนหยัดในความปวดร้าวใจของ “ฤดูหนาว” ที่ชนชาติอิสราเอลหันออกจากทางของพระเจ้า ขณะประเมินสถานการณ์ที่มืดมนท่านคร่ำครวญว่า “จะหาคนซื่อตรงสักคนก็ไม่มี” (มคา.7:2)
แม้สถานการณ์จะดูเลวร้าย แต่มีคาห์ไม่ยอมหมดหวัง ท่านเชื่อมั่นว่าพระเจ้ากำลังทำงาน (ข้อ 7) แม้อยู่ในท่ามกลางการทำลายล้าง และท่านก็ยังไม่เห็นสัญญาณใดๆจากพระเจ้า
เราต้องเผชิญความยากลำบากเช่นเดียวกับมีคาห์ เมื่อเราอยู่ในความมืดมิดที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุดของ “ฤดูหนาว” และฤดูใบไม้ผลิดูเหมือนจะมาไม่ถึง เราจะยอมสิ้นหวังหรือไม่ หรือเราจะ “มองดูพระเจ้า” (ข้อ 7)
ความหวังในพระเจ้าของเราไม่มีวันสูญเปล่า (รม.5:5) พระองค์จะนำช่วงเวลาที่ไร้ซึ่ง “ฤดูหนาว” คือเวลาที่ไม่มีการร้องไห้และความเจ็บปวดมาให้เรา (วว.21:4) จนกว่าจะถึงวันนั้น ให้เราพักสงบอยู่ในพระองค์และยอมรับว่า “ความหวังของข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” (สดด.39:7)
กุญแจแห่งรัก
ฉันยืนทึ่งกับแม่กุญแจหลายแสนตัวที่สลักชื่อย่อของคู่รักเอาไว้และแขวนอยู่ในพื้นที่ทุกตารางนิ้วบนสะพานปงเดซาร์ในปารีส สะพานคนเดินข้ามแม่น้ำแซนแห่งนี้เต็มไปด้วยสัญลักษณ์แห่งความรัก และการประกาศคำมั่นสัญญา “ชั่วนิรันดร์” ของคู่รัก ในปี 2014 กุญแจแห่งรักเหล่านี้มีน้ำหนักราวห้าสิบตัน และเป็นเหตุให้สะพานบางส่วนพังลงมาจึงต้องถอดกุญแจออก
ปรากฏการณ์ของกุญแจแห่งรักจำนวนมากนี้ชี้ให้เห็นถึงความปรารถนาลึกๆของมนุษย์ที่ต้องการเครื่องรับประกันว่าความรักจะมั่นคง ในหนังสือเพลงซาโลมอนจากพันธสัญญาเดิมได้บรรยายภาพของคู่รัก ฝ่ายหญิงบอกถึงความปรารถนาในรักที่มั่นคง โดยการขอให้คนรักของเธอ “แนบดิฉันไว้ให้เป็นเนื้อเดียวดุจดวงตราแขวนอยู่ที่ใจของเธอ ประดุจดวงตราบนแขนของเธอ” (พซม.8:6) ความปรารถนาของเธอคือการอยู่อย่างปลอดภัยและมั่นคงในความรักของเขาเหมือนกับตราที่ประทับบนหัวใจของเขา หรือแหวนบนนิ้วของเขา
ความปรารถนาแห่งรักอันยั่งยืนของหนุ่มสาวที่บรรยายไว้ในเพลงซาโลมอนชี้ให้เราเห็นความจริงจากพระธรรมเอเฟซัสในพันธสัญญาใหม่ ที่บอกว่าเราได้รับการผนึก “ตรา” ไว้ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า (1:13) ในขณะที่ความรักของมนุษย์อาจแปรเปลี่ยน และกุญแจอาจถูกถอดออกจากสะพาน แต่พระวิญญาณของพระคริสต์ผู้สถิตอยู่ภายในเรา ทรงเป็นตราประทับนิรันดร์ที่แสดงถึงความรักอันมั่นคงและไม่สิ้นสุดที่พระเจ้ามีต่อลูกของพระองค์ทุกคน
ตั้งชื่อโดยพระเจ้า
สายต้าน แม่ค้างคาวสาว จอมถ่ายพลัง ฉายาเหล่านี้เป็นคำที่เราใช้เรียกผู้ให้คำปรึกษาในค่ายฤดูร้อนที่ครอบครัวเราไปเข้าร่วมเป็นประจำทุกปี ชื่อเล่นที่เพื่อนร่วมค่ายตั้งให้นี้มักมาจากเหตุการณ์ที่น่าขายหน้า อุปนิสัยที่ตลก หรืองานอดิเรกที่คนๆนั้นชื่นชอบ
ฉายาเหล่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในค่าย แต่เรายังพบในพระคัมภีร์อีกด้วยตัวอย่างเช่น พระเยซูทรงขนานนามอัครทูตยากอบและยอห์นว่า “ลูกฟ้าร้อง” (มก.3:17) ไม่บ่อยนักที่บุคคลในพระคัมภีร์จะตั้งฉายาให้กับตัวเอง แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหญิงที่ชื่อนาโอมีให้คนเรียกเธอว่า “มารา” ซึ่งแปลว่า “ขมขื่น” (นรธ.1:20) เพราะทั้งสามีและลูกชายสองคนของเธอเสียชีวิต เธอรู้สึกว่าพระเจ้าทำให้ชีวิตของเธอขมขื่น (ข้อ 21)
อย่างไรก็ตาม ชื่อใหม่ที่นาโอมีใช้เรียกตัวเองไม่ได้ติดตัวเธอไป เพราะความสูญเสียอันยิ่งใหญ่นี้ไม่ใช่จุดจบในเรื่องราวของเธอ ท่ามกลางความเศร้าโศกนั้น พระเจ้าทรงอวยพรเธอผ่านทางนางรูธลูกสะใภ้ที่แสนดี ซึ่งในที่สุดก็ได้แต่งงานใหม่และมีบุตรชายหนึ่งคน ส่งผลให้นาโอมีได้มีครอบครัวใหม่อีกครั้ง
แม้บางครั้งเราอาจถูกทดลองให้ตั้งฉายาที่ขมขื่นให้ตัวเอง เช่น “ไอ้ขี้แพ้” หรือ “คนไม่น่ารัก” ตามความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญหรือข้อผิดพลาดที่เราทำ แต่ชื่อเหล่านั้นไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวทั้งหมดในชีวิต เราสามารถแทนที่คำตราหน้าเหล่านั้นด้วยชื่อที่พระเจ้าประทานให้ คือ “เป็นที่รัก” (รม.9:25) และมองหาหนทางที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้กับเราแม้กระทั่งในเวลาที่ท้าทายที่สุด