ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Lisa M. Samra

Lisa Samra

Lisa desires to see Christ glorified in her life and in the ministries where she serves. Born and raised in Texas, Lisa is always on the lookout for sweet tea and brisket. She graduated with a Bachelor of Journalism from the University of Texas and earned a Master of Biblical Studies degree from Dallas Theological Seminary. Lisa now lives in Grand Rapids, Michigan, with her husband, Jim, and their four children. In addition to writing, she is passionate about facilitating mentoring relationships for women, and developing groups focused on spiritual formation and leadership development. Lisa has been blessed to travel extensively and often finds inspiration from experiencing the beauty of diverse cultures, places, and people. Lisa enjoys good coffee, running, and reading—just not all at the same time.

บทความ โดย Lisa Samra

ขอบคุณในวันคุ้มครองโลก

ทุกวันที่ 22 เมษายนของทุกปีเป็นวันคุ้มครองโลก ในหลายๆปีที่ผ่านมา ผู้คนมากกว่าพันล้านคนจากราวสองร้อยประเทศจัดกิจกรรมด้านการศึกษาและจิตอาสา ทุกปีวันคุ้มครองโลกย้ำเตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลดาวเคราะห์มหัศจรรย์ดวงนี้ของเรา แต่คำสั่งที่ให้ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นมีมายาวนานกว่าวันสำคัญประจำปีวันนี้ คือมีมาตั้งแต่การทรงสร้างโลก

ในปฐมกาลเราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาลและสร้างโลกให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ พระองค์ไม่เพียงออกแบบเทือกเขาและพื้นราบเขียวชอุ่ม พระองค์ยังทรงสร้างสวนเอเดน ซึ่งเป็นสถานที่อันงดงามที่คอยจัดหาอาหาร ที่พักและความงามแก่ผู้อยู่อาศัย (ปฐก.2:8-9)

หลังจากทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตให้แก่มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างที่สำคัญที่สุด พระเจ้าทรงตั้งให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวน (ข้อ 8, 22) และมอบหน้าที่ “ให้​ทำ​และ​รักษา​สวน” (ข้อ 15) หลังจากอาดัมและเอวาถูกไล่ออกจากสวน การดูแลสิ่งทรงสร้างของพระเจ้ากลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น (3:17-19) แต่จนถึงทุกวันนี้พระเจ้าเองทรงดูแลโลกของเราและสิ่งทรงสร้างที่อยู่ในโลก (สดด.65:9-13) และทรงขอให้เราทำเช่นเดียวกัน (สภษ.12:10)

ไม่ว่าเราจะอยู่ในเมืองที่แออัดหรืออยู่ในชนบท เราต่างมีวิธีที่จะดูแลพื้นที่ที่พระเจ้าทรงไว้วางใจมอบให้เราได้ และเมื่อเราดูแลโลก ขอให้การทำเช่นนั้นเป็นไปด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับโลกอันแสนสวยนี้

กางเขนแห่งสันติสุขของพระองค์

ดวงตาที่เศร้าหมองมองออกมาจากภาพวาด ซีโมนชาวไซรีน ของศิลปินร่วมสมัยชาวดัทช์ เอ็กเบิร์ต มอดเดอร์แมน ดวงตาของซีโมนเผยให้เห็นถึงภาระอันหนักหน่วงทั้งร่างกายและจิตใจที่เขาต้องรับผิดชอบ ในมาระโก 15 เรารู้ว่าซีโมนถูกเกณฑ์จากฝูงชนที่มุงดูอยู่ และถูกบังคับให้แบกกางเขนของพระเยซู

พระธรรมมาระโกบอกเราว่าซีโมนมาจากไซรีน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแอฟริกาเหนือที่มีชาวยิวจำนวนมากอาศัยอยู่ในสมัยของพระเยซู เป็นไปได้อย่างมากว่าซีโมนเดินทางมาเยรูซาเล็มเพื่อฉลองเทศกาลปัสกา ที่นั่นเขาพบตัวเองอยู่ท่ามกลางการประหารชีวิตที่ไม่ยุติธรรม แต่เขาสามารถทำสิ่งเล็กๆที่มีความหมายในการช่วยเหลือพระเยซู (มก.15:21)

ก่อนหน้านี้ในพระกิตติคุณมาระโก พระเยซูทรงบอกกับผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา” (8:34) บนถนนสู่โกละโกธา ซีโมนได้ทำสิ่งที่พระเยซูทรงเปรียบเปรยให้เหล่าสาวกทำออกมาเป็นรูปธรรม นั่นคือเขาได้รับเอากางเขนที่ถูกมอบหมายให้และแบกเพื่อพระเยซู

พวกเรามี “กางเขน” ที่จะต้องแบกเช่นเดียวกัน บางทีอาจเป็นความเจ็บป่วย พันธกิจที่ท้าทาย การสูญเสียคนที่รัก หรือการถูกข่มเหงเพราะความเชื่อของเรา ขณะที่เราแบกความยากลำบากเหล่านี้ด้วยความเชื่อ เราก็กำลังชี้ให้ผู้คนเห็นความทุกข์ทรมานของพระเยซูและการเสียสละของพระองค์บนไม้กางเขน ไม้กางเขนของพระองค์ได้มอบสันติสุขในพระเจ้า และให้กำลังแก่เราที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิต

รถเมล์ช่างพูด

ในปี 2019 บริษัทรถประจำทางอ็อกซ์ฟอร์ดได้เปิดตัว “รถเมล์ช่างพูด” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะบนรถได้จัดหาคนที่ยินดีจะคุยกับผู้โดยสารที่สนใจ รถเมล์สายนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่องานวิจัยของรัฐบาล ซึ่งพบว่า ร้อยละ 30 ของคนอังกฤษ เสียเวลาอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์โดยปราศจากการสนทนาที่มีความหมาย

เราหลายคนคงเคยประสบกับความเหงาที่เกิดจากการไม่มีคนคุยด้วยในยามที่เราต้องการ ขณะที่ฉันใคร่ครวญถึงคุณค่าของการสนทนาในเรื่องที่สำคัญๆในชีวิตของฉันนั้น ฉันระลึกเป็นพิเศษถึงการพูดคุยที่เต็มไปด้วยพระคุณ ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้ฉันชื่นชมยินดีและมีกำลังใจ และยังช่วยบ่มเพาะให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในตอนท้ายจดหมายถึงคริสตจักรในโคโลสี เปาโลหนุนใจผู้อ่านของท่านด้วยหลักการดำเนินชีวิตที่แท้จริงเพื่อผู้ที่เชื่อในพระเยซู รวมถึงวิธีที่การสนทนาของพวกเราจะสามารถแสดงความรักต่อทุกคนที่เราคุยด้วยได้ อัครสาวกเขียนว่า “จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” (ข้อ 6) เพื่อเตือนผู้อ่านจดหมายของท่านว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่การพูด แต่อยู่ที่คุณภาพของคำเหล่านั้นว่า “ประกอบด้วยเมตตาคุณ” ซึ่งจะทำให้คำเหล่านั้นเป็นคำหนุนใจที่แท้จริงแก่ผู้อื่น

ครั้งต่อไปที่คุณมีโอกาสสนทนาลงลึกไม่ว่าจะกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่นั่งข้างคุณบนรถเมล์หรือกำลังรอรถ ขอให้หาวิธีที่จะทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นนำพระพรมาสู่ชีวิตของคุณทั้งสองคน

ส่วนหนึ่งของครอบครัว

ดาวน์ตันแอบบีย์ เป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยมของอังกฤษ ซึ่งพูดถึงตระกูลครอว์ลีย์ที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมในช่วงต้น ทศวรรษ 1900 ของอังกฤษ ตัวละครเอกตัวหนึ่งคือ ทอม แบรนสันซึ่งเคยเป็นคนขับรถของครอบครัว ก่อนที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงโดยแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของตระกูลครอว์ลีย์ หลังจากช่วงเวลาที่ถูกขับไล่ไป คู่แต่งงานวัยเยาว์ได้กลับสู่ดาวน์ตันแอบบีย์และทอมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้รับสถานะและสิทธิพิเศษที่เขาเคยถูกปฏิเสธตอนเป็นลูกจ้าง

ครั้งหนึ่งพวกเราเคยถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวต่างแดน” (อฟ.2:19) และถูกกีดกันไม่ให้ได้รับสิทธิที่มอบให้กับผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า แต่โดยพระเยซู ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังเช่นไร ได้คืนดีกับพระเจ้าและถูกนับว่า “เป็นครอบครัวของพระเจ้า” (ข้อ 19)

การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านำมาซึ่งสถานะและสิทธิพิเศษที่อัศจรรย์ เราจึง “เข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ” (3:12 TNCV) และชื่นชมยินดีในการเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไม่จำกัดและไม่ถูกกีดกันพวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ ชุมชนแห่งความเชื่อที่เสริมสร้างและหนุนใจเรา (2:19-22) สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ ในการช่วยเหลือกันให้เข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า (3:18)

ความกลัวและสงสัยทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนนอกได้โดยง่าย และฉุดรั้งเราไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า แต่ให้เรารับฟังและยอมรับของขวัญแห่งความรักจากพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่าอีกครั้ง (2:8-10) และอิ่มเอมในความมหัศจรรย์ที่ได้เป็นของพระองค์

เฉลิมฉลองในความแตกต่าง

ในพิธีจบการศึกษาประจำปี 2019 ของโรงเรียนมัธยมท้องถิ่นแห่งหนึ่ง นักเรียน 608 คนเตรียมตัวเพื่อรับประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่เริ่มพิธีโดยขอให้นักเรียนยืนขึ้นเมื่อท่านอ่านรายชื่อประเทศบ้านเกิดของพวกเขาที่อัฟกานิสถาน โบลิเวีย บอสเนียและอื่นๆ อาจารย์ใหญ่พูดจนครบ 60 ประเทศและนักเรียนทุกคนยืนขึ้นและยินดีร่วมกัน 60 ประเทศภายในโรงเรียนเดียวกัน

ความงดงามของการเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางความแตกต่างเป็นภาพอันทรงพลังที่แสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญ คือทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี

เราพบคำหนุนใจที่ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในท่ามกลางคนของพระเจ้าในสดุดี 133 เป็นบทเพลงสดุดีที่ขับขานเมื่อประชาชนเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อการเฉลิมฉลองประจำปี บทเพลงนี้เตือนประชาชนให้ระลึกถึงข้อดีของการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี (ข้อ 1) แม้จะมีความแตกต่างที่อาจก่อให้เกิดการแบ่งแยกก็ตาม ในภาพจำลองนั้นความเป็นหนึ่งเดียวกันถูกเปรียบเป็นน้ำค้าง (ข้อ 3) และน้ำมันที่ใช้ในการเจิมปุโรหิต (อพย.29:7) ที่ “ไหลอาบลงมา” บนศีรษะ หนวดเคราและเสื้อผ้าของปุโรหิต (ข้อ 2) ทุกภาพชี้ถึงความจริงว่า ในความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นพระพรของพระเจ้าหลั่งไหลอย่างท่วมท้นจนไม่มีสิ่งใดรองรับไว้ได้

สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู แม้จะมีความแตกต่างมากมาย เช่นในเรื่องชาติพันธุ์ สัญชาติ หรืออายุ แต่ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งลึกซึ้งยิ่งกว่าในพระวิญญาณ (อฟ.4:3) เมื่อเรายืนร่วมกันและเฉลิมฉลองสายสัมพันธ์นั้นโดยการทรงนำของพระเยซู เราก็สามารถเปิดรับความแตกต่างที่พระเจ้าประทานให้ และเฉลิมฉลองที่มาของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่แท้จริง

วางใจพระเจ้าเมื่อถูกต่อต้าน

เอสเธอร์เติบโตมาในชนเผ่าหนึ่งในฟิลิปปินส์ที่ต่อต้านความเชื่อในพระคริสต์ เธอได้รับความรอดในพระเยซูหลังจากที่ป้าของเธออธิษฐานเผื่อระหว่างที่เธอต่อสู้กับโรคร้ายแรงถึงชีวิต ทุกวันนี้เอสเธอร์เป็นผู้นำการศึกษาพระคัมภีร์ในชุมชนแม้จะถูกคุกคามอย่างรุนแรงกระทั่งขู่ฆ่า เธอรับใช้ด้วยความชื่นชมยินดีโดยบอกว่า “ฉันไม่สามารถหยุดบอกผู้อื่นถึงเรื่องพระเยซู เพราะฉันได้สัมผัสถึงฤทธิ์อำนาจ ความรัก ความประเสริฐ และความสัตย์ซื่อของพระเจ้าในชีวิตฉัน”

การรับใช้พระเจ้าโดยต้องเผชิญกับการต่อต้านเป็นสิ่งที่หลายคนเผชิญในวันนี้ เช่นเดียวกับชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก ชายหนุ่มชาวอิสราเอลสามคนซึ่งเป็นเชลยในบาบิโลน ในพระธรรมดาเนียลเราทราบว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะอธิษฐานต่อปฏิมากรทองคำขนาดใหญ่ของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ แม้จะถูกข่มขู่ถึงชีวิต ชายเหล่านี้ยืนยันว่าพระเจ้าทรงสามารถปกป้องพวกเขา พวกเขายังเลือกที่จะปรนนิบัติพระองค์ “ถึงแม้” พระองค์จะไม่ช่วยกู้พวกเขา (ดนล.3:18) เมื่อถูกโยนเข้าไปในเตาไฟ พระเจ้าทรงเข้ามาร่วมในการทนทุกข์กับพวกเขา (ข้อ 25) ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคน พวกเขารอดชีวิตโดย “ผมที่ศีรษะของเขาก็ไม่งอ” (ข้อ 27)

หากเราต้องเผชิญกับการทนทุกข์หรือถูกข่มเหงเพราะการสำแดงความเชื่อ ตัวอย่างทั้งในอดีตและปัจจุบันเตือนเราว่าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับเราเพื่อเสริมกำลังและค้ำจุนเราเมื่อเราเลือกเชื่อฟังพระองค์ “ถึงแม้” สิ่งต่างๆจะไม่เป็นอย่างที่เราหวัง

ความต้องการสติปัญญา

การที่ต้องเติบโตขึ้นโดยไม่มีพ่อ ทำให้ร็อบรู้สึกว่าเขาพลาดโอกาสที่จะได้รับสติปัญญาหรือคำชี้แนะที่พ่อมักจะส่งต่อให้กับลูกๆ ร็อบไม่อยากให้คนอื่นขาดทักษะชีวิตที่สำคัญนี้ เขาจึงทำซีรี่ย์ชื่อว่า “พ่อครับ..ทำยังไง” เป็นวิดีโอที่สาธิตทุกอย่างตั้งแต่การทำชั้นวางของไปจนถึงการเปลี่ยนยางรถยนต์ ด้วยรูปแบบความใจดีและอบอุ่นของเขา ร็อบจึงมีชื่อเสียงทางช่องยูทูปที่มีคนติดตามเป็นล้านๆ

เราหลายคนปรารถนาจะมีคนที่มีคุณสมบัติเป็นพ่อแม่ที่มีความเชี่ยวชาญคอยสอนทักษะที่มีประโยชน์ และช่วยนำทางเราในสถานการณ์ที่ยากลำบาก โมเสสต้องการคำแนะนำหลังจากที่ท่านและคนอิสราเอลหนีออกมาจากการเป็นทาสในอียิปต์ และกำลังสร้างชาติของตนเอง เยโธรผู้เป็นพ่อตาของโมเสสมองเห็นความตึงเครียดในการแก้ปัญหาความขัดแย้งของผู้คนที่ส่งผลกระทบต่อโมเสส เยโธรจึงให้คำแนะนำที่ชาญฉลาดถึงวิธีการแบ่งหน้าที่ของผู้นำ (อพย.18:17-23) โมเสส “เชื่อฟังถ้อยคำของพ่อตา และทำตามที่เขาแนะนำทุกประการ” (ข้อ 24)

พระเจ้าทรงรู้ว่าเราทุกคนต้องการสติปัญญา บางคนอาจได้รับพระพรด้วยการมีพ่อแม่ที่รักพระเจ้าเป็นผู้มอบคำปรึกษาอันชาญฉลาด แต่ถ้าไม่มี เราสามารถขอสติปัญญาจากพระเจ้าผู้ทรงประทานให้แก่ทุกคนที่ทูลขอ (ยก.1:5) และพระองค์จะยังทรงประทานสติปัญญาผ่านข้อความในพระคัมภีร์ ที่เตือนว่าเมื่อเราถ่อมใจและจริงใจที่จะฟังคำสอนของผู้มีปัญญา เรา “จะได้ปัญญา” (สภษ.19:20) และมีสติปัญญาที่จะแบ่งปันให้กับผู้อื่น

เต้นโลดในเสรีภาพ

จิมเป็นชาวไร่ในรุ่นที่ 3 ของครอบครัว เขาตื้นตันใจเมื่อได้อ่าน “คนเหล่านั้นที่ยำเกรงนามของเรา...จะกระโดดโลดเต้นออกไปเหมือนลูกวัวออกไปจากคอก” (มลค.4:2) เขาจึงอธิษฐานรับชีวิตนิรันดร์จากพระเยซู เขาจำได้ชัดเจนว่าลูกวัวของเขากระโดดด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ออกมาจากคอก ในที่สุดจิมก็เข้าใจถึงพระสัญญาแห่งเสรีภาพที่แท้จริงของพระเจ้า

ลูกสาวของจิมเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเมื่อเราคุยกันถึงภาพเปรียบเทียบในมาลาคี 4 เรื่องที่ผู้เผยพระวจนะพูดถึงความแตกต่างของผู้ที่ยำเกรงพระนามของพระเจ้าและยังคงสัตย์ซื่อต่อพระองค์ กับผู้ที่เชื่อมั่นในตนเอง (4:1-2) ผู้เผยพระวจนะหนุนใจคนอิสราเอลให้ติดตามพระเจ้าในยามที่คนมากมายรวมถึงผู้นำทางศาสนาละเลยพระเจ้าและมาตรฐานของพระองค์ในการดำเนินชีวิตที่สัตย์ซื่อ (1:12-14; 3:5-9) มาลาคีขอให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างสัตย์ซื่อเพราะอีกไม่นานพระเจ้าจะแยกคนสองกลุ่มนี้ออกจากกันอย่างเด็ดขาด ในบริบทนี้มาลาคีใช้ภาพการกระโดดโลดเต้นของลูกวัว เพื่ออธิบายถึงความสุขที่เกินบรร-ยายที่กลุ่มคนผู้สัตย์ซื่อจะได้พบเมื่อ “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรมซึ่งมีปีกรักษาโรคภัยได้จะขึ้นมา” (4:2)

พระเยซูคือความสำเร็จสูงสุดแห่งพระสัญญานี้ โดยทรงนำข่าวดีมาบอกว่าเสรีภาพที่แท้จริงนั้นมีสำหรับทุกคน (ลก.4:16-21) และวันหนึ่ง เมื่อพระองค์เจ้าทรงรื้อฟื้นและฟื้นฟูสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นใหม่ เราจะได้สัมผัสกับเสรีภาพแท้อย่างเต็มที่ จะมีความชื่นชมยินดีที่ไม่อาจบรรยายได้เพียงใดที่ได้กระโดดโลดเต้น ณ ที่แห่งนั้น!

ลุกขึ้นอีกครั้ง

ไรอัน ฮอลล์นักวิ่งโอลิมปิกเป็นเจ้าของสถิติการวิ่งฮาล์ฟมาราธอนของสหรัฐอเมริกา เขาเข้าเส้นชัยในการแข่งขันระยะ 21 กิโลเมตร ด้วยเวลาอันน่าทึ่งเพียง 59 นาที 43 วินาที ทำให้เขาเป็นนักวิ่งคนแรกของสหรัฐที่ใช้เวลาน้อยกว่า 1 ชั่วโมง ขณะที่ฮอลล์ฉลองชัยชนะในการทำสถิติ เขาก็รู้ดีถึงความผิดหวังของการที่ไม่สามารถวิ่งจนจบการแข่งขันได้

การรู้รสชาติของทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว ฮอลล์ระบุว่าความเชื่อในพระเยซูของเขาเป็นสิ่งที่คอยค้ำจุนเขาไว้ พระคำโปรดข้อหนึ่งซึ่งเป็นคำเตือนที่ให้กำลังใจเขาจากพระธรรมสุภาษิตคือ “เพราะคนชอบธรรมล้มลงเจ็ดครั้งแล้วก็ลุกขึ้นอีก” (24:16) สุภาษิตข้อนี้เตือนเราว่าผู้ชอบธรรมคือผู้ที่วางใจและมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้า จะยังคงต้องพบกับความยากลำบากและอุปสรรค แต่เมื่อพวกเขายังคงแสวงหาพระเจ้าในท่ามกลางความยากลำบาก พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะประทานกำลังให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้ง

คุณได้เคยประสบกับความผิดหวังหรือความล้มเหลวที่เลวร้ายเมื่อไม่นานมานี้จนคุณรู้สึกว่าจะไม่สามารถฟื้นตัวบ้างหรือไม่ พระคัมภีร์หนุนใจเราที่จะไม่พึ่งพากำลังของตัวเราเอง แต่ที่จะวางความเชื่อมั่นของเราไว้กับพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์เสมอ เมื่อเราวางใจพระเจ้า พระวิญญาณของพระองค์จะให้กำลังเราในการต่อสู้กับความยากลำบากในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนเล็กน้อยหรืออุปสรรคที่หนักหน่วง (2 คร.12:9)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา