ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Lisa M. Samra

Lisa Samra

Lisa desires to see Christ glorified in her life and in the ministries where she serves. Born and raised in Texas, Lisa is always on the lookout for sweet tea and brisket. She graduated with a Bachelor of Journalism from the University of Texas and earned a Master of Biblical Studies degree from Dallas Theological Seminary. Lisa now lives in Grand Rapids, Michigan, with her husband, Jim, and their four children. In addition to writing, she is passionate about facilitating mentoring relationships for women, and developing groups focused on spiritual formation and leadership development. Lisa has been blessed to travel extensively and often finds inspiration from experiencing the beauty of diverse cultures, places, and people. Lisa enjoys good coffee, running, and reading—just not all at the same time.

บทความ โดย Lisa Samra

ถูกบดขยี้แต่ยังงดงาม

แวบแรกที่เห็นฉันไม่ได้สนใจภาพวาดชื่อ พิจารณาดอกลิลลี่ โดยมาโกโตะ ฟูจิมูระ เพราะเป็นภาพวาดสีเดียวที่ดูเรียบๆมีดอกลิลลี่ที่เหมือนจะซ่อนอยู่ในภาพพื้นหลัง แต่ภาพวาดนั้นกลับมีชีวิตขึ้นเมื่อฉันได้รู้ว่า แท้จริงแล้วภาพนี้ใช้แร่ธาตุที่บดอย่างละเอียดวาดซ้อนทับกันกว่า 80 ชั้นในรูปแบบของศิลปะญี่ปุ่นที่เรียกว่านิฮอนกะ ซึ่งฟูจิมูระเรียกว่า “ศิลปะแบบช้าๆ” เมื่อดูใกล้ๆจะเห็นถึงชั้นของความซับซ้อนและงดงามที่ฟูจิมูระอธิบายว่า เขาเห็นภาพสะท้อนของพระกิตติคุณในเทคนิคการสร้างสรรค์ “ความงามผ่านสิ่งที่แตกสลาย” เช่นเดียวกับที่ความทุกข์ทรมานของพระเยซูนำความสมบูรณ์และความหวังมาให้กับโลกใบนี้

พระเจ้าทรงรักที่จะใช้แง่มุมต่างๆในชีวิตเรา ในเวลาที่เราถูกบดขยี้และแตกสลาย เพื่อสร้างบางสิ่งที่งดงามขึ้นใหม่ กษัตริย์ดาวิดต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าเพื่อซ่อมแซมชีวิตที่แตกสลายซึ่งย่อยยับจากฝีมือของตนเอง ในสดุดี 51 ที่เขียนขึ้นหลังจากดาวิดยอมรับว่าพระองค์ใช้อำนาจของกษัตริย์ในทางที่ผิด โดยการเอาภรรยาของชายอื่นมาเป็นของตนและจัดการสังหารสามีของเธอ ดาวิดได้มอบ “จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำ” (ข้อ 17) และวิงวอนขอความเมตตาจากพระเจ้า คำว่า “สำนึกผิด” ในภาษาฮีบรู คือ nidkeh แปลว่า “ถูกบดขยี้”

ก่อนที่พระเจ้าจะเปลี่ยนจิตใจของพระองค์ได้นั้น (ข้อ 10) ดาวิดต้องยอมถวายชิ้นส่วนที่แตกหักให้กับพระองค์เสียก่อน พระองค์ต้องยอมรับทั้งความเสียใจและไว้วางใจพระเจ้าไปพร้อมๆกัน ดาวิดมอบหัวใจให้กับพระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อและให้อภัย ผู้ทรงรักที่จะเปลี่ยนสิ่งที่เคยถูกบดขยี้ให้กลายเป็นสิ่งที่งดงาม

หากไม่มีความรักก็ไร้ประโยชน์

หลังจากนำเอาชิ้นส่วนของโต๊ะที่สั่งทำพิเศษออกจากกล่องมาวางเรียงไว้ตรงหน้า ฉันสังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง ส่วนหน้าโต๊ะที่สวยงามและชิ้นส่วนอื่นๆดูเรียบร้อยดี แต่ขาดขาโต๊ะไปหนึ่งข้าง ถ้าขาโต๊ะไม่ครบ ฉันก็ประกอบไม่ได้ โต๊ะตัวนี้ก็ไร้ประโยชน์

ไม่ได้มีแค่โต๊ะเท่านั้นที่จะไร้ประโยชน์เมื่อขาดชิ้นส่วนสำคัญไป ในพระธรรม 1 โครินธ์ เปาโลเตือนผู้อ่านของท่านว่าพวกเขากำลังขาดองค์ประกอบที่สำคัญอย่างยิ่งไป ผู้เชื่อมีของประทานฝ่ายวิญญาณมากมายแต่ขาดความรัก

เปาโลใช้ภาษาเกินจริงเพื่อเน้นประเด็นของท่านว่า แม้ผู้อ่านของท่านจะมีความรู้ทั้งสิ้น แม้พวกเขาจะสละของสารพัดที่มี และแม้พวกเขาจะเต็มใจยอมทนทุกข์ยากลำบาก แต่ถ้าไม่มีรากฐานสำคัญคือความรัก การกระทำของพวกเขาก็ไม่มีค่าอะไรเลย (1 คร.13:1-3) เปาโลหนุนน้ำใจให้พวกเขาใส่ความรักลงไปในการกระทำเสมอ โดยบรรยายถึงความงดงามของความรักที่จะปกป้องเชื่อในส่วนดี มีความหวัง และทนต่อทุกอย่าง (ข้อ 4-7)

เวลาที่เราใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณของเรา ไม่ว่าจะในการสอน การหนุนน้ำใจ หรือการรับใช้พี่น้องผู้เชื่อ ขอให้ระลึกไว้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงออกแบบนั้นต้องประกอบไปด้วยความรักเสมอ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่เราทำก็จะเป็นเหมือนโต๊ะที่มีขาไม่ครบ ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ได้ถูกออกแบบมา

ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้

งานรำลึกครบรอบ 75 ปีวันดีเดย์ในปี 2019 จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ทหารมากกว่า 156,000 นาย ที่เข้าร่วมการบุกยึดทางทะเลครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อปลดปล่อยประเทศในยุโรปตะวันตก ในคำอธิษฐานซึ่งกระจายเสียงทางวิทยุเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 1944 ประธานาธิบดีโรสเวลต์ทูลขอการปกป้องจากพระเจ้าว่า “พวกเขาต่อสู้ไม่ใช่เพื่อความปรารถนาในชัยชนะ แต่พวกเขาต่อสู้เพื่อหยุดยั้งการเอาชนะ พวกเขาต่อสู้เพื่อปลดปล่อย”

การเต็มใจทำให้ตัวเองตกอยู่ในอันตรายเพื่อจะยับยั้งความชั่วร้ายและปลดปล่อยผู้ที่ถูกข่มเหงนี้ ทำให้ฉันนึกถึงพระดำรัสของพระเยซู “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยน.15:13) ถ้อยคำเหล่านี้มาถึงในระหว่างที่พระคริสต์กำลังสอนให้สาวกของพระองค์รักกันและกัน แต่พระองค์ต้องการให้พวกเขาเข้าใจถึงราคาที่ต้องจ่ายและความลึกซึ้งของความรักเช่นนี้ด้วย ตัวอย่างของความรักนี้คือเมื่อคนหนึ่งเต็มใจสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น การทรงเรียกของพระเยซูให้รักผู้อื่นด้วยความเสียสละเป็นรากฐานของพระบัญชาที่ให้ “รักกันและกัน” (ข้อ 17)

บางทีเราอาจสำแดงความรักที่เสียสละด้วยการใช้เวลาเพื่อดูแลความต้องการของผู้สูงอายุในครอบครัว เราอาจให้ความต้องการของพี่น้องมาก่อนด้วยการช่วยพวกเขาทำงานบ้านในระหว่างสัปดาห์ที่ต้องคร่ำเคร่งกับการเรียน เราอาจเพิ่มเวลาดูแลลูกที่ป่วยแทนคู่สมรสเพื่อให้เขาได้นอนหลับ เมื่อเรามีความรักที่เสียสละแก่ผู้อื่น เราก็ได้สำแดงถึงความรักออกมาอย่างยิ่งใหญ่ที่สุด

อาหารจากสวรรค์

เดือนสิงหาคม 2020 ชาวเมืองออลเทน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าหิมะตกเป็นช็อกโกแลต! ความผิดปกติในระบบระบายอากาศของโรงงานช็อกโกแลตท้องถิ่นทำให้อนุภาคช็อกโกแลตฟุ้งกระจายไปในอากาศ ผลที่ตามมาคือ เกล็ดผงช็อกโกแลตที่กินได้ปกคลุมรถยนต์และถนน ทำให้ทั้งเมืองมีกลิ่นเหมือนร้านขายขนม

เมื่อคิดถึงการที่อาหารเลิศรสตกลงมาจากสวรรค์ “ราวกับมีเวทมนตร์” ทำให้ฉันนึกถึงการที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูชาวอิสราเอลในพระธรรมอพยพ ซึ่งเกิดขึ้นหลังการออกมาจากอียิปต์อย่างอัศจรรย์ พวกเขาเผชิญความท้าทายอันหนักหน่วงในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะการขาดแคลนอาหารและน้ำ พระเจ้ารู้ถึงความทุกข์ยากของเขาจึงทรงสัญญาว่า “จะให้อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝน” (อพย.16:4) เช้าวันรุ่งขึ้น มีเกล็ดเล็กๆปรากฏบนพื้นดินในถิ่นทุรกันดาร การทรงเลี้ยงดูในแต่ละวันซึ่งรู้จักกันว่ามานา ได้ตกลงมาในตลอดสี่สิบปีต่อมา

เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลก ผู้คนเริ่มเชื่อว่าพระเจ้าทรงส่งพระองค์มาเมื่อพระองค์จัดเตรียมขนมปังแก่ฝูงชนกลุ่มใหญ่อย่างอัศจรรย์ (ยน.6:5-14) แต่พระเยซูทรงสอนว่าพระองค์เองเป็น “อาหารแห่งชีวิต” (ข้อ 35) ทรงถูกส่งมาไม่เพียงแค่ให้จัดหาอาหารที่บำรุงร่างกายเพียงชั่วคราว แต่ยังเพื่อประทานชีวิตนิรันดร์ (ข้อ 51)

สำหรับพวกเราที่หิวกระหายอาหารฝ่ายวิญญาณ พระเยซูทรงยื่นข้อเสนอแห่งการมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า ขอให้เราเชื่อและวางใจว่า พระองค์เสด็จมาเพื่อเติมเต็มความปรารถนาที่ลึกที่สุดเหล่านั้นให้เป็นจริง

ขอบคุณในวันคุ้มครองโลก

ทุกวันที่ 22 เมษายนของทุกปีเป็นวันคุ้มครองโลก ในหลายๆปีที่ผ่านมา ผู้คนมากกว่าพันล้านคนจากราวสองร้อยประเทศจัดกิจกรรมด้านการศึกษาและจิตอาสา ทุกปีวันคุ้มครองโลกย้ำเตือนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลดาวเคราะห์มหัศจรรย์ดวงนี้ของเรา แต่คำสั่งที่ให้ดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมนั้นมีมายาวนานกว่าวันสำคัญประจำปีวันนี้ คือมีมาตั้งแต่การทรงสร้างโลก

ในปฐมกาลเราได้เรียนรู้ว่าพระเจ้าทรงสร้างจักรวาลและสร้างโลกให้เป็นที่อาศัยของมนุษย์ พระองค์ไม่เพียงออกแบบเทือกเขาและพื้นราบเขียวชอุ่ม พระองค์ยังทรงสร้างสวนเอเดน ซึ่งเป็นสถานที่อันงดงามที่คอยจัดหาอาหาร ที่พักและความงามแก่ผู้อยู่อาศัย (ปฐก.2:8-9)

หลังจากทรงระบายลมปราณแห่งชีวิตให้แก่มนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างที่สำคัญที่สุด พระเจ้าทรงตั้งให้มนุษย์นั้นอยู่ในสวน (ข้อ 8, 22) และมอบหน้าที่ “ให้​ทำ​และ​รักษา​สวน” (ข้อ 15) หลังจากอาดัมและเอวาถูกไล่ออกจากสวน การดูแลสิ่งทรงสร้างของพระเจ้ากลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้น (3:17-19) แต่จนถึงทุกวันนี้พระเจ้าเองทรงดูแลโลกของเราและสิ่งทรงสร้างที่อยู่ในโลก (สดด.65:9-13) และทรงขอให้เราทำเช่นเดียวกัน (สภษ.12:10)

ไม่ว่าเราจะอยู่ในเมืองที่แออัดหรืออยู่ในชนบท เราต่างมีวิธีที่จะดูแลพื้นที่ที่พระเจ้าทรงไว้วางใจมอบให้เราได้ และเมื่อเราดูแลโลก ขอให้การทำเช่นนั้นเป็นไปด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับโลกอันแสนสวยนี้

กางเขนแห่งสันติสุขของพระองค์

ดวงตาที่เศร้าหมองมองออกมาจากภาพวาด ซีโมนชาวไซรีน ของศิลปินร่วมสมัยชาวดัทช์ เอ็กเบิร์ต มอดเดอร์แมน ดวงตาของซีโมนเผยให้เห็นถึงภาระอันหนักหน่วงทั้งร่างกายและจิตใจที่เขาต้องรับผิดชอบ ในมาระโก 15 เรารู้ว่าซีโมนถูกเกณฑ์จากฝูงชนที่มุงดูอยู่ และถูกบังคับให้แบกกางเขนของพระเยซู

พระธรรมมาระโกบอกเราว่าซีโมนมาจากไซรีน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในแอฟริกาเหนือที่มีชาวยิวจำนวนมากอาศัยอยู่ในสมัยของพระเยซู เป็นไปได้อย่างมากว่าซีโมนเดินทางมาเยรูซาเล็มเพื่อฉลองเทศกาลปัสกา ที่นั่นเขาพบตัวเองอยู่ท่ามกลางการประหารชีวิตที่ไม่ยุติธรรม แต่เขาสามารถทำสิ่งเล็กๆที่มีความหมายในการช่วยเหลือพระเยซู (มก.15:21)

ก่อนหน้านี้ในพระกิตติคุณมาระโก พระเยซูทรงบอกกับผู้ที่ติดตามพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่จะตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบก และตามเรามา” (8:34) บนถนนสู่โกละโกธา ซีโมนได้ทำสิ่งที่พระเยซูทรงเปรียบเปรยให้เหล่าสาวกทำออกมาเป็นรูปธรรม นั่นคือเขาได้รับเอากางเขนที่ถูกมอบหมายให้และแบกเพื่อพระเยซู

พวกเรามี “กางเขน” ที่จะต้องแบกเช่นเดียวกัน บางทีอาจเป็นความเจ็บป่วย พันธกิจที่ท้าทาย การสูญเสียคนที่รัก หรือการถูกข่มเหงเพราะความเชื่อของเรา ขณะที่เราแบกความยากลำบากเหล่านี้ด้วยความเชื่อ เราก็กำลังชี้ให้ผู้คนเห็นความทุกข์ทรมานของพระเยซูและการเสียสละของพระองค์บนไม้กางเขน ไม้กางเขนของพระองค์ได้มอบสันติสุขในพระเจ้า และให้กำลังแก่เราที่จะเดินไปบนเส้นทางแห่งชีวิต

รถเมล์ช่างพูด

ในปี 2019 บริษัทรถประจำทางอ็อกซ์ฟอร์ดได้เปิดตัว “รถเมล์ช่างพูด” ซึ่งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะบนรถได้จัดหาคนที่ยินดีจะคุยกับผู้โดยสารที่สนใจ รถเมล์สายนี้จัดทำขึ้นเพื่อตอบสนองต่องานวิจัยของรัฐบาล ซึ่งพบว่า ร้อยละ 30 ของคนอังกฤษ เสียเวลาอย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์โดยปราศจากการสนทนาที่มีความหมาย

เราหลายคนคงเคยประสบกับความเหงาที่เกิดจากการไม่มีคนคุยด้วยในยามที่เราต้องการ ขณะที่ฉันใคร่ครวญถึงคุณค่าของการสนทนาในเรื่องที่สำคัญๆในชีวิตของฉันนั้น ฉันระลึกเป็นพิเศษถึงการพูดคุยที่เต็มไปด้วยพระคุณ ช่วงเวลาเหล่านั้นทำให้ฉันชื่นชมยินดีและมีกำลังใจ และยังช่วยบ่มเพาะให้ความสัมพันธ์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในตอนท้ายจดหมายถึงคริสตจักรในโคโลสี เปาโลหนุนใจผู้อ่านของท่านด้วยหลักการดำเนินชีวิตที่แท้จริงเพื่อผู้ที่เชื่อในพระเยซู รวมถึงวิธีที่การสนทนาของพวกเราจะสามารถแสดงความรักต่อทุกคนที่เราคุยด้วยได้ อัครสาวกเขียนว่า “จงให้วาจาของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ” (ข้อ 6) เพื่อเตือนผู้อ่านจดหมายของท่านว่านี่ไม่ใช่เพียงแค่การพูด แต่อยู่ที่คุณภาพของคำเหล่านั้นว่า “ประกอบด้วยเมตตาคุณ” ซึ่งจะทำให้คำเหล่านั้นเป็นคำหนุนใจที่แท้จริงแก่ผู้อื่น

ครั้งต่อไปที่คุณมีโอกาสสนทนาลงลึกไม่ว่าจะกับเพื่อน เพื่อนร่วมงาน หรือแม้แต่คนแปลกหน้าที่นั่งข้างคุณบนรถเมล์หรือกำลังรอรถ ขอให้หาวิธีที่จะทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันนั้นนำพระพรมาสู่ชีวิตของคุณทั้งสองคน

ส่วนหนึ่งของครอบครัว

ดาวน์ตันแอบบีย์ เป็นละครโทรทัศน์ยอดนิยมของอังกฤษ ซึ่งพูดถึงตระกูลครอว์ลีย์ที่ปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างทางสังคมในช่วงต้น ทศวรรษ 1900 ของอังกฤษ ตัวละครเอกตัวหนึ่งคือ ทอม แบรนสันซึ่งเคยเป็นคนขับรถของครอบครัว ก่อนที่จะทำให้ทุกคนตกตะลึงโดยแต่งงานกับลูกสาวคนเล็กของตระกูลครอว์ลีย์ หลังจากช่วงเวลาที่ถูกขับไล่ไป คู่แต่งงานวัยเยาว์ได้กลับสู่ดาวน์ตันแอบบีย์และทอมได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ได้รับสถานะและสิทธิพิเศษที่เขาเคยถูกปฏิเสธตอนเป็นลูกจ้าง

ครั้งหนึ่งพวกเราเคยถูกมองว่าเป็น “คนต่างด้าวต่างแดน” (อฟ.2:19) และถูกกีดกันไม่ให้ได้รับสิทธิที่มอบให้กับผู้ที่เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า แต่โดยพระเยซู ผู้เชื่อทุกคนไม่ว่าจะมีภูมิหลังเช่นไร ได้คืนดีกับพระเจ้าและถูกนับว่า “เป็นครอบครัวของพระเจ้า” (ข้อ 19)

การเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้านำมาซึ่งสถานะและสิทธิพิเศษที่อัศจรรย์ เราจึง “เข้ามาหาพระเจ้าได้ด้วยเสรีภาพและความมั่นใจ” (3:12 TNCV) และชื่นชมยินดีในการเข้าถึงพระเจ้าได้อย่างไม่จำกัดและไม่ถูกกีดกันพวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่ ชุมชนแห่งความเชื่อที่เสริมสร้างและหนุนใจเรา (2:19-22) สมาชิกในครอบครัวของพระเจ้ามีสิทธิพิเศษ ในการช่วยเหลือกันให้เข้าใจถึงความรักอันยิ่งใหญ่มหาศาลของพระเจ้า (3:18)

ความกลัวและสงสัยทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นคนนอกได้โดยง่าย และฉุดรั้งเราไม่ให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ในการเป็นสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า แต่ให้เรารับฟังและยอมรับของขวัญแห่งความรักจากพระเจ้าที่ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่าอีกครั้ง (2:8-10) และอิ่มเอมในความมหัศจรรย์ที่ได้เป็นของพระองค์

เฉลิมฉลองในความแตกต่าง

ในพิธีจบการศึกษาประจำปี 2019 ของโรงเรียนมัธยมท้องถิ่นแห่งหนึ่ง นักเรียน 608 คนเตรียมตัวเพื่อรับประกาศนียบัตร อาจารย์ใหญ่เริ่มพิธีโดยขอให้นักเรียนยืนขึ้นเมื่อท่านอ่านรายชื่อประเทศบ้านเกิดของพวกเขาที่อัฟกานิสถาน โบลิเวีย บอสเนียและอื่นๆ อาจารย์ใหญ่พูดจนครบ 60 ประเทศและนักเรียนทุกคนยืนขึ้นและยินดีร่วมกัน 60 ประเทศภายในโรงเรียนเดียวกัน

ความงดงามของการเป็นหนึ่งเดียวกันท่ามกลางความแตกต่างเป็นภาพอันทรงพลังที่แสดงถึงสิ่งที่พระเจ้าให้ความสำคัญ คือทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี

เราพบคำหนุนใจที่ให้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในท่ามกลางคนของพระเจ้าในสดุดี 133 เป็นบทเพลงสดุดีที่ขับขานเมื่อประชาชนเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อการเฉลิมฉลองประจำปี บทเพลงนี้เตือนประชาชนให้ระลึกถึงข้อดีของการอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี (ข้อ 1) แม้จะมีความแตกต่างที่อาจก่อให้เกิดการแบ่งแยกก็ตาม ในภาพจำลองนั้นความเป็นหนึ่งเดียวกันถูกเปรียบเป็นน้ำค้าง (ข้อ 3) และน้ำมันที่ใช้ในการเจิมปุโรหิต (อพย.29:7) ที่ “ไหลอาบลงมา” บนศีรษะ หนวดเคราและเสื้อผ้าของปุโรหิต (ข้อ 2) ทุกภาพชี้ถึงความจริงว่า ในความเป็นหนึ่งเดียวกันนั้นพระพรของพระเจ้าหลั่งไหลอย่างท่วมท้นจนไม่มีสิ่งใดรองรับไว้ได้

สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู แม้จะมีความแตกต่างมากมาย เช่นในเรื่องชาติพันธุ์ สัญชาติ หรืออายุ แต่ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกันซึ่งลึกซึ้งยิ่งกว่าในพระวิญญาณ (อฟ.4:3) เมื่อเรายืนร่วมกันและเฉลิมฉลองสายสัมพันธ์นั้นโดยการทรงนำของพระเยซู เราก็สามารถเปิดรับความแตกต่างที่พระเจ้าประทานให้ และเฉลิมฉลองที่มาของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่แท้จริง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา