พระเยซูผู้เป็นกิ่ง
โบสถ์โฮลี่ครอสอันงดงามตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาหินสีแดงในเมืองเซโดน่า รัฐอริโซน่า ทันทีที่เข้าไปในโบสถ์เล็กๆแห่งนี้ฉันก็ถูกดึงดูดด้วยรูปปั้นพระเยซูบนกางเขนที่ดูต่างไปจากปกติ แทนที่จะเป็นกางเขนแบบดั้งเดิม พระเยซูกลับถูกตรึงบนกิ่งของต้นไม้ที่มีลำต้นสองต้น ลำต้นแนวนอนซึ่งถูกตัดและตายแล้วแสดงถึงชนเผ่าอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมที่ปฏิเสธพระเจ้า ลำต้นอีกต้นเติบโตขึ้นและแตกกิ่งก้านออกไปเป็นสัญลักษณ์ของชนเผ่ายูดาห์ที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด
ศิลปะที่มีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์นี้เล็งถึงคำพยากรณ์สำคัญในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระเยซู แม้ชนเผ่ายูดาห์จะตกเป็นเชลย แต่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้มอบพระดำรัสแห่งความหวังจากพระเจ้าว่า “เราจะให้คำสัญญาที่เรากระทำไว้...สำเร็จ” (ยรม.33:14) ในการประทานพระผู้ช่วยซึ่งจะ “ให้ความยุติธรรมและความชอบธรรมในแผ่นดินนั้น” (ข้อ 15) หนทางเดียวที่ผู้คนจะทราบว่าองค์พระผู้ช่วยนี้คือใครก็คือ พระองค์จะ “ให้อังกูรชอบธรรมเกิดมาเพื่อดาวิด” (ข้อ 15) หมายความว่าองค์พระผู้ช่วยนี้จะสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด
ประติมากรรมนี้รวบรวมความจริงสำคัญซึ่งอยู่ในรายละเอียดเชื้อสายตระกูลของพระเยซูไว้ได้อย่างมีฝีมือ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อที่จะกระทำทุกสิ่งตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ และยังเป็นสิ่งที่เตือนเราว่า ความสัตย์ซื่อของพระองค์ในอดีตทำให้เรามั่นใจว่าพระองค์จะทรงสัตย์ซื่อในการรักษาพระสัญญาที่ทรงมีต่อเราในอนาคตด้วย
“ไม่มีหลุมศพ”
แม้ขณะที่จอห์นนี่ แคช นักร้องเพลงคันทรี่ในตำนานกำลังเข้าใกล้ความตาย เขายังมุ่งมั่นที่จะทำเพลงต่อไป อัลบั้มสุดท้ายของเขา อเมริกันชุดที่ 6 : ไม่มีหลุมศพ ถูกบันทึกเสียงในช่วงเดือนสุดท้ายของชีวิตเขา เพลงที่เป็นชื่ออัลบั้มซึ่งแคชนำเพลงนมัสการของคล็อด เอลลีกลับมาร้องใหม่ ได้เผยให้เห็นถึงความคิดช่วงสุดท้ายของเขาเมื่อเราได้ยินเขาร้องถึงความหวังแห่งการเป็นขึ้นจากความตาย แม้เสียงทุ้มอันโด่งดังของเขาจะแหบลงเพราะสุขภาพที่ทรุดโทรม แต่ก็ยังเป็นคำพยานแห่งความเชื่อที่ทรงพลัง
ความหวังของจอห์นนี่ไม่ใช่แค่ความจริงที่พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ในตอนเช้าของวันอาทิตย์อีสเตอร์ แต่เขาเชื่อว่าวันหนึ่งร่างกายของเขาจะฟื้นคืนชีวิตและเป็นขึ้นมาใหม่
นี่เป็นความจริงสำคัญที่ต้องได้รับการยืนยันรับรอง เพราะแม้แต่ในสมัยของเปาโล ผู้คนก็ปฏิเสธเรื่องการที่ร่างกายจะฟื้นกลับมาในอนาคต เปาโลวิจารณ์การโต้เถียงของพวกเขาอย่างรุนแรงเมื่อท่านเขียนว่า “ถ้าการฟื้นขึ้นมาจากตายไม่มี พระคริสต์ก็หาได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาไม่ ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่มีหลักด้วย” (1 คร.15:13-14)
ดังเช่นที่หลุมฝังศพไม่อาจยื้อร่างของพระเยซูไว้ได้ วันหนึ่งคนเหล่านั้นที่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายก็ “จะกลับได้ชีวิต” (ข้อ 22) และในร่างกายที่เป็นขึ้นมาของเรานั้น เราจะชื่นชมยินดีในนิรันดร์กาลร่วมกับพระองค์ในแผ่นดินโลกใหม่ นี่คือเหตุผลที่เราจะร้องสรรเสริญ!
สวรรค์กำลังร้องเพลง
ความชื่นชมยินดีปรากฏชัดในน้ำเสียงของคณะนักร้องประสานเสียงมัธยมที่ร้องเพลงของประเทศอาร์เจนตินาชื่อ “เอล ซีเอโล กันตา อลิเกรีย (El Cielo Canta Alegria)” ฉันเพลิดเพลินกับการแสดงแต่ไม่เข้าใจเนื้อเพลงเพราะไม่รู้ภาษาสเปน แต่ไม่นานฉันก็ได้ยินคำที่คุ้นเคยเมื่อคณะประสานเสียงร้องด้วยความปีติยินดีว่า “อาเลลูยา!” ฉันได้ยินคำว่า “อาเลลูยา” ซ้ำหลายครั้ง นี่เป็นเสียงป่าวร้องสรรเสริญแด่พระเจ้าซึ่งฟังดูคล้ายกันในภาษาส่วนใหญ่ทั่วโลก ด้วยความอยากรู้ความเป็นมาของเพลงนั้น หลังจบคอนเสิร์ตฉันจึงค้นหาในอินเทอร์เน็ตและพบว่าชื่อเพลงแปลว่า “สวรรค์กำลังร้องอย่างชื่นชมยินดี”
ในข้อพระคำแห่งการเฉลิมฉลองในวิวรณ์ 19 เราได้เห็นภาพของความเป็นจริงที่แสดงออกในบทเพลงประสานเสียงนั้น ทั้งหมดในสวรรค์กำลังชื่นชมยินดี! ในนิมิตเกี่ยวกับอนาคตของอัครสาวกยอห์นในหนังสือเล่มสุดท้ายของพันธสัญญาใหม่ ท่านเห็นผู้คนและทูตสวรรค์จำนวนมหาศาลมารวมตัวกันในสวรรค์เพื่อประกาศความกตัญญูต่อพระเจ้า ยอห์นบันทึกไว้ว่าคณะนักร้องส่งเสียงแซ่ซ้องเฉลิมฉลองฤทธานุภาพของพระเจ้าผู้ทรงมีชัยเหนือความชั่วร้ายและความอยุติธรรม การปกครองของพระองค์ทั่วทั้งแผ่นดินโลก และชีวิตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ตลอดไป แล้วชาวสวรรค์ทุกคนก็ประกาศก้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ฮาเลลูยา!” (ข้อ 1, 3, 4, 6 TNCV) หรือ “สรรเสริญพระเจ้า!”
สักวันหนึ่ง ผู้คนจาก “ทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชาติ และทุกประเทศ” (5:9) จะประกาศพระสิริของพระเจ้า และเสียงของพวกเราในทุกๆภาษาจะตะโกนพร้อมกันด้วยความยินดีว่า “ฮาเลลูยา!”
ความบริบูรณ์เหลือล้นจากสวรรค์
ฉันคาดว่าจะได้กล้วยแปดลูก แต่เมื่อฉันเปิดถุงกระดาษที่ส่งมาที่บ้าน ฉันกลับพบกล้วยถึงยี่สิบลูก! ฉันรู้ทันทีว่าการย้ายมาอังกฤษทำให้ฉันต้องเปลี่ยนหน่วยวัดของของชำที่สั่ง จากปอนด์มาเป็นกิโลกรัมด้วย แทนที่จะสั่งกล้วยสามปอนด์ ฉันกลับไปสั่งกล้วยสามกิโลกรัม (เกือบเจ็ดปอนด์!)
ด้วยจำนวนกล้วยที่มากมายขนาดนั้น ฉันจึงทำเค้กกล้วยหอมสูตรยอดนิยมเป็นจำนวนหลายชิ้นเพื่อเป็นพรให้กับคนอื่น ขณะที่บดกล้วย ฉันเริ่มคิดถึงชีวิตในด้านอื่นๆของตัวเองที่เต็มไปด้วยความบริบูรณ์อย่างคาดไม่ถึง ซึ่งในแต่ละเส้นทางชีวิตนั้นเมื่อมองย้อนกลับไปล้วนมีจุดเริ่มต้นมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น
ดูเหมือนเปาโลจะมีประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันเมื่อท่านใคร่ครวญถึงความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าในชีวิตของท่าน ในจดหมายฉบับแรกที่ท่านเขียนถึงทิโมธี เปาโลได้บรรยายถึงชีวิตของท่านจำเพาะพระพักตร์พระเยซู โดยเรียกตัวเองว่าเป็น “คนหลู่พระเกียรติ ข่มเหง” (1 ทธ.1:13) และเป็น “ตัวร้ายที่สุดในบรรดาคนบาป” (ข้อ 16 TNCV) พระเจ้าทรงเทพระคุณ ความเชื่อ และความรักลงมาอย่างล้นเหลือในชีวิตที่แหลกสลายของเปาโล (ข้อ 14) หลังจากที่เล่าถึงความบริบูรณ์อันเหลือล้นในชีวิตของท่านแล้ว เปาโลก็อดไม่ได้ที่จะสรรเสริญพระเจ้า โดยประกาศว่าพระองค์ทรงสมควรที่จะรับ “พระเกียรติและพระสิริ...สืบๆไปเป็นนิตย์” (ข้อ 17)
เช่นเดียวกับเปาโล เราทุกคนได้รับพระคุณอันล้นเหลือเมื่อเรายอมรับข้อเสนอของพระเยซูในการช่วยให้พ้นจากบาป (ข้อ 15) เมื่อเราหยุดเพื่อใคร่ครวญถึงพระพรที่ตามมาทั้งหมด เราจะพบว่าตัวเองกำลังสรรเสริญพระเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาร่วมกันกับเปาโล
หยิบยื่นความเมตตาของพระคริสต์
ความเมตตาหรือการแก้แค้นดีล่ะ อิสยาห์เพิ่งถูกตีที่ศีรษะระหว่างการแข่งขันเบสบอลชิงแชมป์ระดับภูมิภาค เขาทรุดตัวลงกับพื้นมือกุมที่ศีรษะ รู้สึกขอบคุณที่หมวกกันน็อกป้องกันเขาจากการบาดเจ็บสาหัส เมื่อการแข่งขันดำเนินต่อไป อิสยาห์สังเกตว่าคนขว้างลูกรู้สึกว้าวุ่นอย่างเห็นได้ชัดจากความผิดพลาดโดยไม่ได้ตั้งใจนี้ ในเวลานั้นอิสยาห์ได้ทำบางอย่างที่ไม่ธรรมดาจนวิดีโอที่เขาตอบสนองต่อเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินไปหาคนขว้างลูก สวมกอดอย่างปลอบโยนและแสดงให้คนขว้างลูกแน่ใจว่าเขาไม่เป็นไร
ในสถานการณ์ที่อาจทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท อิสยาห์เลือกความเมตตา
ในพันธสัญญาเดิม เราเห็นว่าเอซาวทำสิ่งที่คล้ายกันแต่ยากกว่ามาก คือเลือกที่จะละทิ้งแผนการที่เก็บงำมายาวนานที่จะแก้แค้นยาโคบน้องชายฝาแฝดที่หลอกลวง เมื่อยาโคบกลับมาที่บ้านหลังจากอพยพไปยี่สิบปี เอซาวเลือกความเมตตาและการอภัยแทนการแก้แค้นที่ยาโคบทำผิดต่อเขา เมื่อเอซาวเห็นยาโคบ เขาก็ “วิ่งออกไปต้อนรับ กอด[ยาโคบ]” (ปฐก.33:4) เอซาวยอมรับคำขอโทษของยาโคบและบอกให้เขารู้ว่าตนเองไม่เป็นไร (ข้อ 9-11)
เมื่อมีคนแสดงการสำนึกผิดในความผิดที่กระทำต่อเรา เรามีทางเลือกที่จะเมตตาหรือแก้แค้น การเลือกที่จะสวมกอดพวกเขาด้วยความเมตตานั้นเป็นการทำตามแบบอย่างของพระเยซู (รม.5:8) และเป็นหนทางไปสู่การคืนดีกัน
วันที่ 10 – พระคุณสำหรับวันนี้ | ทิ้งไปในทะเล
ทิ้งไปในทะเล
ฉันอาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบมิชิแกน หนึ่งในแหล่งน้ำจืดขนาดใหญ่ที่สุดของโลก อย่างไรก็ตาม ความงามของมันได้บดบังพลังน้ำมหาศาลของมันไว้ ในปี 2020 เมื่อคลื่นจากระดับน้ำที่สูงเป็นประวัติการณ์ได้ฉีกตัวบ้านออกจากฐานรากและพัดพาพวกมันลงสู่ทะเลสาบ เจ้าของบ้านเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่เคยคิดเลยว่าบ้านของพวกเขาตั้งอยู่ในเขตอันตราย ก็ได้พบว่าบ้านเรือนถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว
อำนาจทำลายล้างของธรรมชาติเตือนให้เราระลึกถึงภาพที่คล้ายกันในพระคัมภีร์ ซึ่งผู้เขียนสดุดีบันทึกถึงความรู้สึกเมื่อความกลัวและความกังวลยังคงเกาะกุมอยู่ภายใน เป็นภาพของความรู้สึกเมื่อรู้ว่าแผ่นดินไหวกำลังจะเกิดขึ้น ภูเขาถล่ม และคลื่นในทะเลส่งเสียงกึกก้องน่ากลัว (สดุดี 46:1-3) เช่นเดียวกับที่หลายครั้งรากฐานชีวิตของเราดูเหมือนถูกสั่นคลอน ไม่ว่าจากปัญหาสุขภาพของคนที่เรารัก ความตายอันน่าสลดใจของเพื่อน หรือช่วงเวลาความเจ็บป่วยทางจิตใจ
เมื่อเผชิญความกลัวและความรู้สึกไม่มั่นคง ผู้เขียนสดุดีบันทึกว่า แม้ทุกสิ่งที่เขาหวังพึ่งนั้นสูญสิ้นไป แต่พระเจ้ายังคงเป็นที่ลี้ภัยและป้อมปราการเข้มแข็งสำหรับเขา (ข้อ 1, 7, 11) ความมั่นใจของเขาถูกย้ำถึงสองครั้งว่า “พระเจ้าจอมโยธาสถิตกับเราทั้งหลาย” และความมั่นใจนี้เองทำให้เขามีสันติสุขท่ามกลางความไม่แน่นอนต่างๆ ของชีวิต
ไม่ว่าความทุกข์ทรมานใดที่คุณเผชิญอยู่ สดุดีบทที่ 46 ย้ำเตือนเราถึงความปลอดภัยและความมั่นคงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนของพระองค์เมื่อพบความทุกข์ยาก
เขียนโดย ลิซ่า เอ็ม แซมรา
คิดใคร่ครวญ :
คุณมีประสบการณ์ที่พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยในยามยากของคุณอย่างไร? พระกำลังของพระองค์ประคับประคองคุณอย่างไร?
อธิษฐาน :
พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงเป็นป้อมปราการเข้มแข็งที่ไม่มีวันสั่นคลอน
ความรักอ่อนโยนของพระเจ้า
ในปี 2017 มีคลิปวิดีโอของพ่อคนหนึ่งที่ปลอบลูกชายวัย 2 เดือนขณะที่ทารกรับการฉีดวัคซีนตามปกติ วิดีโอนี้ได้รับความสนใจจากทั่วโลกเพราะแสดงให้เห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกของเขา หลังจากที่พยาบาลฉีดวัคซีนเสร็จ ผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆอุ้มลูกชายขึ้นไว้แนบแก้ม และเด็กชายก็หยุดสะอื้นภายในเวลาไม่กี่วินาที แทบไม่มีสิ่งใดที่ทำให้อุ่นใจไปกว่าการดูแลเอาใจใส่อย่างอ่อนโยนของพ่อแม่ผู้เปี่ยมด้วยความรัก
ในพระคัมภีร์มีคำอธิบายงดงามมากมายเกี่ยวกับพระเจ้าในฐานะพ่อผู้เปี่ยมด้วยความรัก เป็นภาพที่แสดงถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระเจ้าทรงมีต่อบรรดาลูกของพระองค์ โฮเชยาผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมได้รับข้อความเพื่อส่งถึงคนอิสราเอลที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรทางตอนเหนือในช่วงเวลาที่อาณาจักรถูกแบ่งแยก ท่านเรียกประชาชนให้กลับคืนสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้า โฮเชยาเตือนคนอิสราเอลให้นึกถึงความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกเขา ขณะที่ท่านบรรยายถึงพระเจ้าว่าทรงเป็นพระบิดาผู้อ่อนโยน “ครั้งเมื่ออิสราเอลยังเด็กอยู่ เราก็รักเขา” (ฮชย.11:1) และ “เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้” (ข้อ 3)
คำมั่นสัญญาเดียวกันนี้ที่ว่าพระเจ้าจะทรงดูแลเราด้วยความรักก็เป็นจริงสำหรับเราด้วย ไม่ว่าเราจะแสวงหาการดูแลอันอ่อนโยนจากพระองค์หลังจากช่วงเวลาที่เราเคยปฏิเสธความรักของพระองค์ หรือเพราะความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานในชีวิตของเรา พระองค์ก็ยังทรงเรียกเราว่าเป็นบุตรของพระองค์ (1ยน.3:1) และอ้อมแขนแห่งการปลอบโยนของพระองค์ก็เปิดออกต้อนรับเรา (2คร.1:3-4)
อีกก้าวหนึ่งของความรัก
สิ่งใดหรือที่จะเป็นสาเหตุทำให้ใครสักคนช่วยเหลือคู่แข่ง สำหรับอดอลโฟซึ่งเป็นเจ้าของร้านอาหารในรัฐวิสคอนซิน นี่คือโอกาสที่จะสนับสนุนเจ้าของร้านอาหารท้องถิ่นคนอื่นๆที่กำลังดิ้นรนปรับตัวให้เข้ากับมาตรการโควิด อดอลโฟรับรู้ถึงความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในช่วงของการระบาดนี้ด้วยตัวเอง ด้วยการสนับสนุนอย่างเอื้อเฟื้อจากธุรกิจในท้องถิ่นอีกแห่ง อดอลโฟใช้เงินของตัวเองมากกว่าสองพันดอลล่าร์ เพื่อซื้อบัตรกำนัลมามอบให้่ลูกค้าของเขานำไปใช้ที่ร้านอาหารอื่นๆในชุมชน นี่คือการสำแดงความรักที่ไม่ได้เป็นแค่คำพูด แต่ด้วยการกระทำ
เป็นเพราะการสำแดงความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่พระเยซูทรงเต็มใจสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อมวลมนุษย์ (1 ยน.3:16) ยอห์นจึงหนุนใจผู้อ่านของท่านให้ก้าวต่อไปและสำแดงความรักด้วยการกระทำ สำหรับยอห์นแล้วการ “สละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง” (ข้อ 16) หมายถึงการสำแดงความรักแบบเดียวกับที่พระเยซูได้ทรงทำเป็นแบบอย่าง และส่วนมากมักอยู่ในรูปแบบของการกระทำในชีวิตประจำวัน เช่น การแบ่งปันวัตถุสิ่งของ การรักกันด้วยคำพูดยังไม่เพียงพอ ความรักต้องประกอบด้วยการกระทำที่จริงใจและมีความหมาย (ข้อ 18)
การสำแดงความรักด้วยการกระทำอาจทำได้ยากเพราะมักจะต้องมีการเสียสละส่วนตัว หรือเราอาจต้องเสียประโยชน์เพื่อผู้อื่น แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า และโดยการระลึกถึงความรักอันท่วมท้นที่พระองค์ทรงมีต่อเรา เราจึงสามารถก้าวต่อไปในความรักได้
พระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัย
ภาพยนตร์เรื่อง สี่ดรุณี ที่โด่งดังในปี 2019 ทำให้ฉันหวนคิดถึงนวนิยายเล่มเก่าที่ฉันมี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดปลอบโยนของแม่ที่ฉลาดและแสนจะอ่อนโยน ฉันประทับใจภาพที่นวนิยายเรื่องนี้บรรยายถึงความเชื่ออันมั่นคงที่แสดงออกมาทางคำพูดมากมายที่เธอให้กำลังใจลูกสาว มีคำพูดหนึ่งที่ประทับใจฉันมากคือ “ปัญหาและการล่อลวง...อาจมีมากมาย แต่ลูกสามารถเอาชนะมันและยืนหยัดอยู่ได้หากลูกเรียนรู้ถึงความเข้มแข็งและความอ่อนโยนของพระบิดาในสวรรค์”
คำพูดของผู้เป็นแม่สะท้อนถึงความจริงในพระธรรมสุภาษิตที่บอกว่า “พระนามของพระเจ้าเป็นป้อมเข้มแข็ง คนชอบธรรมวิ่งเข้าไปในนั้นและปลอดภัย” (18:10) ป้อมปราการถูกสร้างขึ้นตามเมืองต่างๆ ในสมัยโบราณเพื่อใช้เป็นที่หลบภัยในยามที่มีอันตรายที่อาจมาจากการโจมตีของศัตรู ในทำนองเดียวกัน การวิ่งเข้าไปหาพระเจ้าทำให้ผู้เชื่อในพระเยซูมีสันติสุขได้ภายใต้การดูแลของพระองค์ผู้ทรงเป็น “ที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของข้าพระองค์ทั้งหลาย” (สดด.46:1)
สุภาษิต 18:10 บอกเราว่า การปกป้องมาจาก “พระนาม” ของพระเจ้า ซึ่งหมายถึงทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น พระคัมภีร์บรรยายถึงพระเจ้าว่า “ทรงพระกรุณา ทรงกอปรด้วยพระคุณ ทรงกริ้วช้า และบริบูรณ์ด้วยความรักมั่นคง และความสัตย์จริง” (อพย.34:6) การปกป้องของพระเจ้าไม่ได้มาจากกำลังอันเข้มแข็งของพระองค์เท่านั้น แต่ยังมาจากความอ่อนโยนและความรักของพระองค์ที่ทำให้พระองค์ปรารถนาที่จะเป็นที่หลบภัยให้กับผู้ที่เจ็บปวด พระบิดาในสวรรค์ได้ทรงเสนอที่หลบภัยในพระกำลังอันเข้มแข็งและอ่อนโยนให้กับทุกคนที่กำลังต่อสู้ดิ้นรน