ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Lisa M. Samra

Lisa Samra

Lisa desires to see Christ glorified in her life and in the ministries where she serves. Born and raised in Texas, Lisa is always on the lookout for sweet tea and brisket. She graduated with a Bachelor of Journalism from the University of Texas and earned a Master of Biblical Studies degree from Dallas Theological Seminary. Lisa now lives in Grand Rapids, Michigan, with her husband, Jim, and their four children. In addition to writing, she is passionate about facilitating mentoring relationships for women, and developing groups focused on spiritual formation and leadership development. Lisa has been blessed to travel extensively and often finds inspiration from experiencing the beauty of diverse cultures, places, and people. Lisa enjoys good coffee, running, and reading—just not all at the same time.

บทความ โดย Lisa Samra

ภาษารัก

มอง ดิเยอ, ลีบาร์ ก็อตต์, ดราฮี โบรเช่, อากาเปแต เธ, ข้าแต่พระเจ้า ฉันได้ยินคำอธิษฐานเป็นภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน สโลวัก กรีกและอังกฤษ ดังก้องไปทั่วคริสตจักรกลางเมืองเอเธนส์ เหมือนเราอธิษฐานเป็นเสียงเดียวกันด้วยภาษาท้องถิ่นต่างๆ เพื่อผู้คนในประเทศบ้านเกิดของเราจะได้ยินถึงความรักของพระเจ้า ความงดงามของการมาอยู่รวมกันขยายเพิ่มมากขึ้นเมื่อเราตระหนักถึงการอยู่รวมกันที่เกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์

ในพันธสัญญาเดิม วันเพ็นเทคอสต์คือเทศกาลเก็บเกี่ยวที่เฉลิมฉลองวันที่ห้าสิบหลังจากเทศกาลปัสกา (ลนต.23:15-21) ในวันเพ็นเทคอสต์แรกหลังการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู ผู้เชื่อมารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็ม ทันใดนั้นมีเสียงเหมือน “พายุกล้า” และ “มีเปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น” ปรากฏขึ้นเมื่อพวกเขาประกอบด้วยพระวิญญาณ และ “จึงตั้งต้นพูดภาษาอื่นๆตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พูด” (กจ.2:2-4) ผู้มาเยือนจากนานาประเทศได้ยิน “มหกิจของพระเจ้า” ในภาษาของตนเอง (ข้อ 11) และหลังจากเปโตร “กล่าวแก่คนทั้งปวง” (ข้อ 14) มีหลายคนที่เชื่อในถ้อยคำนั้นที่บอกว่า พระเยซูทรงถูกตรึงที่กางเขนและเป็นขึ้นเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาป (ข้อ 22-41)

คำอธิษฐานในภาษาต่างๆของผู้นำพันธกิจที่รวมตัวกันในกรุงเอเธนส์ทำให้ฉันระลึกว่า ถ้อยคำของเปโตรที่ได้ยินในวันเพ็นเทคอสต์ยังคงถูกแบ่งปันไปทั่วโลก และผู้คนยังคงตอบสนองด้วยความเชื่อ

ให้เราทูลขอพระวิญญาณที่จะประทานกำลังแก่เราเหมือนผู้เชื่อพระเยซูยุคแรกในวันเพ็นเทคอสต์ เพื่อที่เราจะบอกเล่าถึงความรักของพระเจ้า และให้เราอธิษฐานขอให้ข่าวสารนี้จะได้ยินในทุกๆ ภาษาที่พูดกันในโลกใบนี้

เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

โต๊ะที่ดูเรียบง่ายกับถ้วยธรรมดาๆ13 ใบที่วางบนแผ่นสี่เหลี่ยมต่อๆกันทำให้เกิดเป็นภาพวาดร่วมสมัยในชื่อ “เพื่อเขาทั้งหลายจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” ซึ่งแขวนอยู่ที่วิทยาลัยวอล์ฟสัน ในมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด ความเรียบง่ายของภาพนี้ย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของเหตุการณ์นั่นคืออาหารมื้อสุดท้ายของพระเยซูกับเหล่าสาวก แผ่นสี่เหลี่ยมที่โดดเด่นที่สุดประกอบด้วยขนมปังและถ้วยซึ่งหมายถึงพระเยซู ล้อมรอบด้วยแผ่นสี่เหลี่ยมอีก 12 แผ่นซึ่งแสดงถึงเหล่าสาวก

ภาพวาดนี้เป็นเครื่องเตือนใจที่งดงาม ถึงมื้ออาหารที่พระเยซูทรงหยิบขนมปังและถ้วยเพื่อเริ่มต้นการเฉลิมฉลองครั้งใหม่สำหรับทุกคนที่ติดตามพระองค์ นั่นคือพิธีมหาสนิท และฉันยังชื่นชมกับแถวของแผ่นสี่เหลี่ยมที่ว่างเปล่าซึ่งทำให้ภาพนั้นสมบูรณ์ เพราะพื้นที่ว่างดูเหมือนเป็นการเชื้อเชิญผู้ที่ชมภาพนี้ให้มารับประทานอาหารที่โต๊ะร่วมกัน

เปาโลหนุนใจเราว่า “เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายกินขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา” (1 คร.11:26) เพราะทุกคนที่เชื่อว่าการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซูได้จัดเตรียมหนทางแห่งสันติสุขกับพระเจ้า ก็ล้วนแต่มีที่ว่างบนโต๊ะนี้สำหรับพวกเขา

และเมื่อเราประกาศหรือระลึกถึงการสละพระชนม์ของพระเยซูขณะร่วมพิธีมหาสนิท เราก็ได้แสดงตัวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับชุมชนผู้เชื่อทั่วโลกในตลอดทุกยุคสมัย นับเป็นภาพอันงดงามของคริสตจักรที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่ของพระเจ้า

เมืองของเราเกือบจะมืดสนิทหลังพายุน้ำแข็งครั้งใหญ่พัดถล่มสายไฟฟ้ายาวหลายกิโลเมตร ส่งผลให้เพื่อนๆเราหลายคนไม่มีไฟฟ้าใช้เพื่อสร้างความอบอุ่นภายในบ้านในฤดูหนาวที่เย็นยะเยือก หลายครอบครัวตั้งตารอที่จะเห็นรถซ่อมบำรุงมาซ่อมสายไฟเพื่อให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง ต่อมาฉันได้ทราบว่าลานจอดรถของโบสถ์ถูกใช้เป็นศูนย์บัญชาการชั่วคราวในการส่งยานพาหนะออกไปช่วยเหลือผู้ที่ต้องการ

เช่นเดียวกับที่ไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานสำหรับบ้านของเรา ฤทธิ์เดชของพระเจ้าก็เป็นแหล่งแห่งกำลังของเรา ในช่วงเวลาสี่สิบวันหลังพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏกับบรรดาสาวกเพื่อหนุนใจและสอนพวกเขาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า (กจ.1:3) ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับสู่สวรรค์ พระองค์ประทานพระสัญญาสุดท้ายแก่พวกเขาว่า “ท่าน​ทั้ง​หลาย​จะ​ได้รับ​พระ​ราชทาน​ฤทธิ์​เดช เมื่อ​พระ​วิญญาณ​บริสุทธิ์​จะ​เสด็จ​มา​เหนือ​ท่าน” (ข้อ 8)

พระคริสต์สัญญาว่าจะประทานฤทธิ์เดชยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของพระเจ้าให้แก่เหล่าสาวกผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ แต่ฤทธิ์เดชนั้นไม่ใช่เพื่อเก็บไว้กับตัว เหล่าสาวกได้ให้ฤทธิ์เดชของพระเจ้าทำงานผ่านพวกเขาในพันธกิจที่จะบอกผู้อื่นถึงการได้รับฤทธิ์เดชและความรักของพระเจ้าซึ่งบาปเคยทำลายไปได้อีกครั้ง

เมื่อเราออกไปในชุมชนของเรา เรามีฤทธิ์เดชและการทรงเรียกเดียวกันนั้น ด้วยฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณของพระเจ้า เราสามารถดูแลผู้ที่กำลังทนทุกข์และแบ่งปันวิธีการที่พวกเขาจะสามารถเข้าถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าได้เช่นกัน

รักผู้อื่นด้วยความรักของพระเจ้า

ในช่วงที่นาซียึดครอง ชาวเมืองเลอชอมบงประเทศฝรั่งเศสได้ยอมเสี่ยงภัยทุกอย่างเพื่อช่วยชีวิตผู้คนมากถึงห้าพันคน ซึ่งหลายคนเป็นเด็กชาวยิว
ผู้ลี้ภัยที่ต้องหลบหนีจากบ้านของตนถูกซ่อนตัวไว้ในบ้านและฟาร์มของชุมชน ชาวเมืองนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากศิษยาภิบาลอังเดร ทรอคเม่ที่เรียกให้คนในคริสตจักรของเขาให้การช่วยเหลือโดยยกถ้อยคำจากเฉลยธรรมบัญญัติ 10:19 “ท่านจงมีความรักต่อคนต่างด้าว เพราะท่านทั้งหลายก็เป็นคนต่างด้าวในแผ่นดินอียิปต์”

คำบัญชาที่มอบแก่คนอิสราเอลนี้มาพร้อมกับข้อความที่เริ่มต้นด้วยการเตือนว่าโลกทั้งหมดนี้เป็นของพระเจ้าผู้ “ทรงฤทธิ์และน่ากลัว” (ข้อ 17) กระนั้นทรงเลือกที่จะรักคนอิสราเอล (ข้อ 15) อีกทั้งพระองค์ยังทรงดูแลผู้คนที่อยู่ในสถานการณ์เปราะบางหรือไม่คุ้นเคย (ข้อ 18) รวมถึงคนต่างด้าวที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของชนชาติอิสราเอลด้วย เมื่อคนอิสราเอลตั้งรกรากอยู่ในบ้านใหม่ พวกเขาต้องเลียนแบบความรักและความเอาใจใส่ของพระเจ้าที่มีต่อผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะพวกเขารู้ดีถึงความยากลำบากในการเป็นคนต่างด้าว (ข้อ 19)

หากเราทำงานหนึ่งเป็นเวลานานหรืออยู่บ้านหลังเดิมเป็นเวลาหลายปี พระเจ้าอาจให้โอกาสเราแสดงความเมตตาต่อคนที่รู้สึกเหมือนเป็น “คนต่างด้าว” โดยอาจให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนร่วมงานใหม่ หรือช่วยเหลือครอบครัวที่เพิ่งย้ายถิ่นฐาน เมื่อเราทำเช่นนั้นเราก็ได้แสดงถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคยและรู้สึกไม่มั่นคง

วันที่ 5 - เรากระหายน้ำ

ครอบครัวหนึ่งเปิดประตูต้อนรับอย่างตื่นเต้นให้กับทีมอาสาสมัครที่เดินทางมายังหมู่บ้านของพวกเขาในพื้นที่ชนบทของเม็กซิโก เพื่อช่วยติดตั้งเครื่องกรองน้ำให้ที่บ้าน ทีมอาสาฯ แสดงวิธีใช้เครื่องกรองน้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเพื่อดับกระหายของพวกเขา และยังได้พูดถึง "น้ำแห่งชีวิต" ที่จะตอบสนองความต้องการที่ลึกที่สุดของพวกเขาด้วย นั่นคือการมี "สันติภาพกับพระเจ้า"

สมาชิกทีมอาสาฯ ทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ โดยอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณด้วยภาพความต้องการดับกระหายทางฝ่ายกาย หลังทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พระเยซูประทับลงที่ข้างบ่อน้ำ หลังทรงขอน้ำจากผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่นแล้ว พระองค์ได้ตรัสถึงความต้องการที่ลึกอยู่ภายในของเธอว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย" (ยอห์น 4:13-14) พระเยซูทรงเสนอการดับกระหายฝ่ายวิญญาณให้กับเธอผ่านความสัมพันธ์กับพระเจ้า

เพื่อจะประทานน้ำแห่งชีวิตนี้ให้แก่ทุกคน พระคริสต์ต้องทนผ่านความเจ็บปวดจากการกระหายน้ำอีกครั้งหนึ่ง ขณะพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" (ยอห์น 19:28) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงยินดีทนทุกข์ทรมาน และทนต่อความเจ็บปวดทางกายจากการกระหายน้ำ ด้วยทรงรู้ว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงที่บ่อน้ำนั้น เราสามารถเข้ามายังน้ำแห่งชีวิตเพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณที่กระหายของเราได้ ผ่านความเชื่อในพระเยซู

ทีมอาสาสมัครดีใจเมื่อครอบครัวได้ดื่มน้ำสะอาด และยินดีอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเปิดรับของขวัญจากพระคริสต์ คือน้ำแห่งชีวิต ซึ่งเป็นของขวัญที่พร้อมให้กับทุกคนที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

ลิซ่า แซมร่า

ใคร่ครวญ :ความกระหายน้ำเกี่ยวข้องกับความกระหายทางจิตวิญญาณอย่างไร คุณตอบรับข้อเสนอของน้ำแห่งชีวิตอย่างไร

อธิษฐาน : พระเยซู จิตวิญญาณของข้าพระองค์อิ่มหนำในพระองค์

วันที่ 5 - เรากระหายน้ำ

ครอบครัวหนึ่งเปิดประตูต้อนรับอย่างตื่นเต้นให้กับทีมอาสาสมัครที่เดินทางมายังหมู่บ้านของพวกเขาในพื้นที่ชนบทของเม็กซิโก เพื่อช่วยติดตั้งเครื่องกรองน้ำให้ที่บ้าน ทีมอาสาฯ แสดงวิธีใช้เครื่องกรองน้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเพื่อดับกระหายของพวกเขา และยังได้พูดถึง "น้ำแห่งชีวิต" ที่จะตอบสนองความต้องการที่ลึกที่สุดของพวกเขาด้วย นั่นคือการมี "สันติภาพกับพระเจ้า"

สมาชิกทีมอาสาฯ ทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ โดยอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณด้วยภาพความต้องการดับกระหายทางฝ่ายกาย หลังทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พระเยซูประทับลงที่ข้างบ่อน้ำ หลังทรงขอน้ำจากผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่นแล้ว พระองค์ได้ตรัสถึงความต้องการที่ลึกอยู่ภายในของเธอว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย" (ยอห์น 4:13-14) พระเยซูทรงเสนอการดับกระหายฝ่ายวิญญาณให้กับเธอผ่านความสัมพันธ์กับพระเจ้า

เพื่อจะประทานน้ำแห่งชีวิตนี้ให้แก่ทุกคน พระคริสต์ต้องทนผ่านความเจ็บปวดจากการกระหายน้ำอีกครั้งหนึ่ง ขณะพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" (ยอห์น 19:28) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงยินดีทนทุกข์ทรมาน และทนต่อความเจ็บปวดทางกายจากการกระหายน้ำ ด้วยทรงรู้ว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงที่บ่อน้ำนั้น เราสามารถเข้ามายังน้ำแห่งชีวิตเพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณที่กระหายของเราได้ ผ่านความเชื่อในพระเยซู

ทีมอาสาสมัครดีใจเมื่อครอบครัวได้ดื่มน้ำสะอาด และยินดีอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเปิดรับของขวัญจากพระคริสต์ คือน้ำแห่งชีวิต ซึ่งเป็นของขวัญที่พร้อมให้กับทุกคนที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

ลิซ่า แซมร่า

ใคร่ครวญ :ความกระหายน้ำเกี่ยวข้องกับความกระหายทางจิตวิญญาณอย่างไร คุณตอบรับข้อเสนอของน้ำแห่งชีวิตอย่างไร

อธิษฐาน : พระเยซู จิตวิญญาณของข้าพระองค์อิ่มหนำในพระองค์

ทักษะและพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทาน

นักเปียโนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกบางคน รวมถึงแวน ไคลเบิร์น และวลาดิมีร์ โฮโรวิตซ์ ต้องพึ่งพาฟรานซ์ โมห์หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านคอนเสิร์ตของบริษัทสไตน์เวย์แอนด์ซันส์ในเมืองนิวยอร์ก เพื่อให้แน่ใจว่าเปียโนสำหรับคอนเสิร์ตของพวกเขาพร้อมสำหรับการแสดง โมห์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจูนเปียโนและเป็นที่ต้องการตัวเนื่องจากความรู้อันซับซ้อนของเขาในเรื่องเปียโนและทักษะที่พัฒนามาหลายสิบปี โมห์เชื่อว่าทักษะของเขาเป็นเส้นทางการรับใช้พระเจ้า และเขาแบ่งปันความเชื่อกับนักเปียโนและนักแสดงเป็นประจำ

เมื่อชนชาติอิสราเอลกำลังเตรียมสร้างเต็นท์นัดพบและสิ่งจำเป็นสำหรับการนมัสการ พวกเขาต้องการคนที่มีทักษะเชี่ยวชาญในงานแต่ละด้าน (อพย.31:7-11) พระเจ้าทรงแต่งตั้งช่างฝีมือผู้มีทักษะสองคน คือ เบซาเลลและโอโฮลีอับ เพื่อทำงานและทรงให้พวกเขาเต็มด้วย “พระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง จะได้คิดออกแบบอย่างประณีต” (ข้อ 3-4) นอกเหนือจากทักษะเฉพาะของพวกเขาแล้ว พระเจ้าทรงให้พวกเขามีพระวิญญาณของพระองค์เพื่อทรงนำในการทำงาน ความตั้งใจที่จะใช้พรสวรรค์พิเศษของพวกเขาในการรับใช้พระเจ้าทำให้อิสราเอลได้นมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง

ไม่ว่าเราจะคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินหรือไม่ เราแต่ละคนต่างมีของประทานพิเศษที่พระเจ้าให้เพื่อเราจะรับใช้ผู้อื่น (รม.12:6) โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณ เราจึงสามารถรับใช้และนมัสการพระเจ้าผ่านงานของเราได้ ด้วยการใช้สติปัญญา ความเข้าใจ และทักษะที่พระองค์ประทานให้่

สำคัญในสายพระเนตรพระเจ้า

ในระหว่างการคัดตัวในลีกอเมริกันฟุตบอลแห่งชาติประจำปี บรรดาทีมอเมริ-กันฟุตบอลอาชีพจะทำการคัดเลือกผู้เล่นคนใหม่ พวกโค้ชใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในการประเมินทักษะและสมรรถภาพร่างกายของผู้เล่นในอนาคต ในปี 2022 บร็อค เพอร์ดี้เป็นคนท้ายสุดคือลำดับที่ 262 ที่ได้รับเลือกและได้ติดป้ายว่า “คนไม่สำคัญ” ซึ่งเป็นฉายาที่มอบให้กับนักฟุตบอลคนสุดท้ายที่ได้รับคัดเลือก ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้ลงแข่งในฤดูกาลที่จะมาถึง อย่างไรก็ตามเพียงไม่กี่เดือนต่อมา เพอร์ดี้ได้พาทีมคว้าชัยชนะในรอบเพลย์ออฟถึงสองครั้ง ความจริงก็คือผู้บริหารทีมไม่ได้เก่งในการประเมินศักยภาพของนักกีฬาเสมอไป และเราก็เช่นกัน

ในเรื่องราวพันธสัญญาเดิมที่เราคุ้นเคยนั้น พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะซามูเอลไปเลือกกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลจากบรรดาบุตรชายของเจสซี เมื่อซามูเอลมองดูคนเหล่านั้น ท่านรู้สึกประทับใจกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แต่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “อย่า​มองดู​ที่​รูปร่าง​ภายนอก​หรือ​ที่​ความ​สูง​แห่ง​ร่างกาย​ของ​เขา” (1 ซมอ.16:7) พระเจ้าทรงนำท่านให้เลือกผู้ที่ไม่ได้มีอายุมากที่สุดหรือสูงที่สุด แต่เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดและดูมีความสำคัญน้อยที่สุด นั่นคือ ดาวิด ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของโลกนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสราเอล

เหตุใดเราจึงมักจะประเมินผู้คนผิดพลาด ข้อพระคัมภีร์ในวันนี้เตือนเราว่า “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (ข้อ 7) เมื่อเราถูกขอให้เลือกคนมาร่วมทีมหรือรับใช้ในฐานะคณะกรรมการอาสาสมัคร เราสามารถทูลขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญา เพื่อที่เราจะตัดสินใจเลือกโดยยึดตามคุณสมบัติที่พระองค์ทรงเห็นว่าสำคัญ

จง​ปล่อย​ประชากร​ของ​เรา​ไป

ภาพวาดชื่อดัง จงปล่อยประชากรของเราไป โดยอารอน ดักลาสใช้สีที่ดูมีชีวิตชีวาทั้งม่วงลาเวนเดอร์ สีเขียว และสีทอง โดยวาดในแนวแอฟริกันดั้งเดิมเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับโมเสส และเชื่อมโยงเข้ากับการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและความยุติธรรมของคนแอฟริกันอเมริกัน

ภาพวาดนี้แสดงถึงการปรากฏของพระเจ้าต่อโมเสสในพุ่มไม้ที่มีไฟลุกไหม้ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยว่าพระองค์ได้เห็นสภาพอันเลวร้ายของคนอิสราเอลในอียิปต์แล้ว ศิลปินใช้ลำแสงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าและพระดำรัสของพระองค์ว่า “เรา​จะ​ใช้​เจ้า​ไป​เฝ้า​ฟาโรห์ เพื่อ​จะ​ได้​พา​ประชากร​ของ​เรา​คือ​ชน​ชาติ​อิสราเอล​ออก​จาก​อียิปต์” (อพย.3:10)

ในภาพ จงปล่อยประชากรของเราไป โมเสสคุกเข่ายอมจำนนต่อพระบัญชาของพระเจ้า แต่สายตาของท่านถูกดึงดูดไปยังคลื่นแห่งความมืดและพวกม้าที่ถูกฝึกเพื่อทำสงครามที่อยู่รอบตัวท่าน ซึ่งเตือนให้ผู้ชมนึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนที่คนอิสราเอลจะต้องเผชิญเมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์ แต่ลำแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าเป็นเครื่องเตือนใจว่าพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับคนอิสราเอล

ภาพวาดทำให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงเพราะการต่อสู้กับความอยุติธรรมยังคงดำเนินอยู่ คนมากมายใช้อำนาจของตนกดขี่ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กทั่วโลก ขณะที่ผู้ทุกข์ทนร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็น “​​ที่​กำบัง​เข้มแข็ง​ของ​คน​ที่​ถูก​กด​ขี่ ทรง​เป็น​ที่​กำบัง​เข้มแข็ง​ใน​เวลา​ยาก​ลำบาก” (สดด.9:9) เราสามารถทูลวิงวอนพระเจ้าให้ทรงตอบเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขา และเช่นเดียวกับโมเสส เราเต็มใจที่จะทำเพื่อผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหล่านั้น

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา