ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Lisa M. Samra

Lisa Samra

Lisa desires to see Christ glorified in her life and in the ministries where she serves. Born and raised in Texas, Lisa is always on the lookout for sweet tea and brisket. She graduated with a Bachelor of Journalism from the University of Texas and earned a Master of Biblical Studies degree from Dallas Theological Seminary. Lisa now lives in Grand Rapids, Michigan, with her husband, Jim, and their four children. In addition to writing, she is passionate about facilitating mentoring relationships for women, and developing groups focused on spiritual formation and leadership development. Lisa has been blessed to travel extensively and often finds inspiration from experiencing the beauty of diverse cultures, places, and people. Lisa enjoys good coffee, running, and reading—just not all at the same time.

บทความ โดย Lisa Samra

วันที่ 5 - เรากระหายน้ำ

ครอบครัวหนึ่งเปิดประตูต้อนรับอย่างตื่นเต้นให้กับทีมอาสาสมัครที่เดินทางมายังหมู่บ้านของพวกเขาในพื้นที่ชนบทของเม็กซิโก เพื่อช่วยติดตั้งเครื่องกรองน้ำให้ที่บ้าน ทีมอาสาฯ แสดงวิธีใช้เครื่องกรองน้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเพื่อดับกระหายของพวกเขา และยังได้พูดถึง "น้ำแห่งชีวิต" ที่จะตอบสนองความต้องการที่ลึกที่สุดของพวกเขาด้วย นั่นคือการมี "สันติภาพกับพระเจ้า"

สมาชิกทีมอาสาฯ ทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ โดยอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณด้วยภาพความต้องการดับกระหายทางฝ่ายกาย หลังทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พระเยซูประทับลงที่ข้างบ่อน้ำ หลังทรงขอน้ำจากผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่นแล้ว พระองค์ได้ตรัสถึงความต้องการที่ลึกอยู่ภายในของเธอว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย" (ยอห์น 4:13-14) พระเยซูทรงเสนอการดับกระหายฝ่ายวิญญาณให้กับเธอผ่านความสัมพันธ์กับพระเจ้า

เพื่อจะประทานน้ำแห่งชีวิตนี้ให้แก่ทุกคน พระคริสต์ต้องทนผ่านความเจ็บปวดจากการกระหายน้ำอีกครั้งหนึ่ง ขณะพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" (ยอห์น 19:28) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงยินดีทนทุกข์ทรมาน และทนต่อความเจ็บปวดทางกายจากการกระหายน้ำ ด้วยทรงรู้ว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงที่บ่อน้ำนั้น เราสามารถเข้ามายังน้ำแห่งชีวิตเพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณที่กระหายของเราได้ ผ่านความเชื่อในพระเยซู

ทีมอาสาสมัครดีใจเมื่อครอบครัวได้ดื่มน้ำสะอาด และยินดีอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเปิดรับของขวัญจากพระคริสต์ คือน้ำแห่งชีวิต ซึ่งเป็นของขวัญที่พร้อมให้กับทุกคนที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

ลิซ่า แซมร่า

ใคร่ครวญ :ความกระหายน้ำเกี่ยวข้องกับความกระหายทางจิตวิญญาณอย่างไร คุณตอบรับข้อเสนอของน้ำแห่งชีวิตอย่างไร

อธิษฐาน : พระเยซู จิตวิญญาณของข้าพระองค์อิ่มหนำในพระองค์

วันที่ 5 - เรากระหายน้ำ

ครอบครัวหนึ่งเปิดประตูต้อนรับอย่างตื่นเต้นให้กับทีมอาสาสมัครที่เดินทางมายังหมู่บ้านของพวกเขาในพื้นที่ชนบทของเม็กซิโก เพื่อช่วยติดตั้งเครื่องกรองน้ำให้ที่บ้าน ทีมอาสาฯ แสดงวิธีใช้เครื่องกรองน้ำ ทำให้น้ำใสสะอาดเพื่อดับกระหายของพวกเขา และยังได้พูดถึง "น้ำแห่งชีวิต" ที่จะตอบสนองความต้องการที่ลึกที่สุดของพวกเขาด้วย นั่นคือการมี "สันติภาพกับพระเจ้า"

สมาชิกทีมอาสาฯ ทำตามแบบอย่างของพระคริสต์ โดยอธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณด้วยภาพความต้องการดับกระหายทางฝ่ายกาย หลังทรงเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง พระเยซูประทับลงที่ข้างบ่อน้ำ หลังทรงขอน้ำจากผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่นแล้ว พระองค์ได้ตรัสถึงความต้องการที่ลึกอยู่ภายในของเธอว่า "ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้น จะไม่กระหายอีกเลย" (ยอห์น 4:13-14) พระเยซูทรงเสนอการดับกระหายฝ่ายวิญญาณให้กับเธอผ่านความสัมพันธ์กับพระเจ้า

เพื่อจะประทานน้ำแห่งชีวิตนี้ให้แก่ทุกคน พระคริสต์ต้องทนผ่านความเจ็บปวดจากการกระหายน้ำอีกครั้งหนึ่ง ขณะพระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์ตรัสว่า "เรากระหายน้ำ" (ยอห์น 19:28) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงยินดีทนทุกข์ทรมาน และทนต่อความเจ็บปวดทางกายจากการกระหายน้ำ ด้วยทรงรู้ว่า พระเจ้าจะทรงให้พระองค์คืนพระชนม์ เป็นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เช่นเดียวกับผู้หญิงที่บ่อน้ำนั้น เราสามารถเข้ามายังน้ำแห่งชีวิตเพื่อเติมเต็มจิตวิญญาณที่กระหายของเราได้ ผ่านความเชื่อในพระเยซู

ทีมอาสาสมัครดีใจเมื่อครอบครัวได้ดื่มน้ำสะอาด และยินดีอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเปิดรับของขวัญจากพระคริสต์ คือน้ำแห่งชีวิต ซึ่งเป็นของขวัญที่พร้อมให้กับทุกคนที่หิวกระหายฝ่ายวิญญาณ

ลิซ่า แซมร่า

ใคร่ครวญ :ความกระหายน้ำเกี่ยวข้องกับความกระหายทางจิตวิญญาณอย่างไร คุณตอบรับข้อเสนอของน้ำแห่งชีวิตอย่างไร

อธิษฐาน : พระเยซู จิตวิญญาณของข้าพระองค์อิ่มหนำในพระองค์

ทักษะและพรสวรรค์ที่พระเจ้าประทาน

นักเปียโนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกบางคน รวมถึงแวน ไคลเบิร์น และวลาดิมีร์ โฮโรวิตซ์ ต้องพึ่งพาฟรานซ์ โมห์หัวหน้าฝ่ายเทคนิคด้านคอนเสิร์ตของบริษัทสไตน์เวย์แอนด์ซันส์ในเมืองนิวยอร์ก เพื่อให้แน่ใจว่าเปียโนสำหรับคอนเสิร์ตของพวกเขาพร้อมสำหรับการแสดง โมห์เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจูนเปียโนและเป็นที่ต้องการตัวเนื่องจากความรู้อันซับซ้อนของเขาในเรื่องเปียโนและทักษะที่พัฒนามาหลายสิบปี โมห์เชื่อว่าทักษะของเขาเป็นเส้นทางการรับใช้พระเจ้า และเขาแบ่งปันความเชื่อกับนักเปียโนและนักแสดงเป็นประจำ

เมื่อชนชาติอิสราเอลกำลังเตรียมสร้างเต็นท์นัดพบและสิ่งจำเป็นสำหรับการนมัสการ พวกเขาต้องการคนที่มีทักษะเชี่ยวชาญในงานแต่ละด้าน (อพย.31:7-11) พระเจ้าทรงแต่งตั้งช่างฝีมือผู้มีทักษะสองคน คือ เบซาเลลและโอโฮลีอับ เพื่อทำงานและทรงให้พวกเขาเต็มด้วย “พระวิญญาณของพระเจ้า คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง จะได้คิดออกแบบอย่างประณีต” (ข้อ 3-4) นอกเหนือจากทักษะเฉพาะของพวกเขาแล้ว พระเจ้าทรงให้พวกเขามีพระวิญญาณของพระองค์เพื่อทรงนำในการทำงาน ความตั้งใจที่จะใช้พรสวรรค์พิเศษของพวกเขาในการรับใช้พระเจ้าทำให้อิสราเอลได้นมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง

ไม่ว่าเราจะคิดว่าตัวเองเป็นศิลปินหรือไม่ เราแต่ละคนต่างมีของประทานพิเศษที่พระเจ้าให้เพื่อเราจะรับใช้ผู้อื่น (รม.12:6) โดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณ เราจึงสามารถรับใช้และนมัสการพระเจ้าผ่านงานของเราได้ ด้วยการใช้สติปัญญา ความเข้าใจ และทักษะที่พระองค์ประทานให้่

สำคัญในสายพระเนตรพระเจ้า

ในระหว่างการคัดตัวในลีกอเมริกันฟุตบอลแห่งชาติประจำปี บรรดาทีมอเมริ-กันฟุตบอลอาชีพจะทำการคัดเลือกผู้เล่นคนใหม่ พวกโค้ชใช้เวลาหลายพันชั่วโมงในการประเมินทักษะและสมรรถภาพร่างกายของผู้เล่นในอนาคต ในปี 2022 บร็อค เพอร์ดี้เป็นคนท้ายสุดคือลำดับที่ 262 ที่ได้รับเลือกและได้ติดป้ายว่า “คนไม่สำคัญ” ซึ่งเป็นฉายาที่มอบให้กับนักฟุตบอลคนสุดท้ายที่ได้รับคัดเลือก ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะได้ลงแข่งในฤดูกาลที่จะมาถึง อย่างไรก็ตามเพียงไม่กี่เดือนต่อมา เพอร์ดี้ได้พาทีมคว้าชัยชนะในรอบเพลย์ออฟถึงสองครั้ง ความจริงก็คือผู้บริหารทีมไม่ได้เก่งในการประเมินศักยภาพของนักกีฬาเสมอไป และเราก็เช่นกัน

ในเรื่องราวพันธสัญญาเดิมที่เราคุ้นเคยนั้น พระเจ้าทรงส่งผู้เผยพระวจนะซามูเอลไปเลือกกษัตริย์องค์ต่อไปของอิสราเอลจากบรรดาบุตรชายของเจสซี เมื่อซามูเอลมองดูคนเหล่านั้น ท่านรู้สึกประทับใจกับรูปร่างหน้าตาของพวกเขา แต่พระเจ้าตรัสกับท่านว่า “อย่า​มองดู​ที่​รูปร่าง​ภายนอก​หรือ​ที่​ความ​สูง​แห่ง​ร่างกาย​ของ​เขา” (1 ซมอ.16:7) พระเจ้าทรงนำท่านให้เลือกผู้ที่ไม่ได้มีอายุมากที่สุดหรือสูงที่สุด แต่เป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุดและดูมีความสำคัญน้อยที่สุด นั่นคือ ดาวิด ผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ของโลกนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอิสราเอล

เหตุใดเราจึงมักจะประเมินผู้คนผิดพลาด ข้อพระคัมภีร์ในวันนี้เตือนเราว่า “มนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระเจ้าทอดพระเนตรจิตใจ” (ข้อ 7) เมื่อเราถูกขอให้เลือกคนมาร่วมทีมหรือรับใช้ในฐานะคณะกรรมการอาสาสมัคร เราสามารถทูลขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญา เพื่อที่เราจะตัดสินใจเลือกโดยยึดตามคุณสมบัติที่พระองค์ทรงเห็นว่าสำคัญ

จง​ปล่อย​ประชากร​ของ​เรา​ไป

ภาพวาดชื่อดัง จงปล่อยประชากรของเราไป โดยอารอน ดักลาสใช้สีที่ดูมีชีวิตชีวาทั้งม่วงลาเวนเดอร์ สีเขียว และสีทอง โดยวาดในแนวแอฟริกันดั้งเดิมเพื่อบอกเล่าเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับโมเสส และเชื่อมโยงเข้ากับการต่อสู้เพื่ออิสรภาพและความยุติธรรมของคนแอฟริกันอเมริกัน

ภาพวาดนี้แสดงถึงการปรากฏของพระเจ้าต่อโมเสสในพุ่มไม้ที่มีไฟลุกไหม้ เมื่อพระองค์ทรงเปิดเผยว่าพระองค์ได้เห็นสภาพอันเลวร้ายของคนอิสราเอลในอียิปต์แล้ว ศิลปินใช้ลำแสงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้าและพระดำรัสของพระองค์ว่า “เรา​จะ​ใช้​เจ้า​ไป​เฝ้า​ฟาโรห์ เพื่อ​จะ​ได้​พา​ประชากร​ของ​เรา​คือ​ชน​ชาติ​อิสราเอล​ออก​จาก​อียิปต์” (อพย.3:10)

ในภาพ จงปล่อยประชากรของเราไป โมเสสคุกเข่ายอมจำนนต่อพระบัญชาของพระเจ้า แต่สายตาของท่านถูกดึงดูดไปยังคลื่นแห่งความมืดและพวกม้าที่ถูกฝึกเพื่อทำสงครามที่อยู่รอบตัวท่าน ซึ่งเตือนให้ผู้ชมนึกถึงการต่อสู้ดิ้นรนที่คนอิสราเอลจะต้องเผชิญเมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์ แต่ลำแสงที่ส่องสว่างเจิดจ้าเป็นเครื่องเตือนใจว่าพระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับคนอิสราเอล

ภาพวาดทำให้เกิดความรู้สึกที่รุนแรงเพราะการต่อสู้กับความอยุติธรรมยังคงดำเนินอยู่ คนมากมายใช้อำนาจของตนกดขี่ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กทั่วโลก ขณะที่ผู้ทุกข์ทนร้องทูลขอให้พระเจ้าทรงเป็น “​​ที่​กำบัง​เข้มแข็ง​ของ​คน​ที่​ถูก​กด​ขี่ ทรง​เป็น​ที่​กำบัง​เข้มแข็ง​ใน​เวลา​ยาก​ลำบาก” (สดด.9:9) เราสามารถทูลวิงวอนพระเจ้าให้ทรงตอบเสียงร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขา และเช่นเดียวกับโมเสส เราเต็มใจที่จะทำเพื่อผู้ที่ถูกกดขี่ข่มเหงเหล่านั้น

ต้อนรับพระกุมารเยซู

เ รารู้สึกเหมือนรอคอยมาเนิ่นนาน ที่จะได้ฟังข่าวว่าเพื่อนบ้านที่ตั้งครรภ์นั้นได้ต้อนรับลูกคนแรกที่เกิดมาแล้ว ในที่สุดเมื่อมีสัญลักษณ์ปรากฏขึ้นที่สนามหน้าบ้านของพวกเขาว่า “เป็นเด็กผู้หญิง!” เราจึงได้เฉลิมฉลองวันเกิดลูกสาวของพวกเขา และส่งข้อความหาเพื่อนๆที่อาจไม่รู้ข่าวนี้

การมาของทารกคนหนึ่งก็ก่อให้เกิดความตื่นเต้นอย่างมากในการรอคอย ก่อนพระเยซูทรงบังเกิด ชาวยิวไม่ได้รอคอยเพียงแค่ไม่กี่เดือน พวกเขาโหยหาการมาบังเกิดของพระเมสสิยาห์ พระผู้ช่วยที่ชนชาติอิสราเอลคาดหวังมาหลายชั่วอายุคน ฉันจินตนาการว่าตลอดหลายปีเหล่านั้น ชาวยิวที่สัตย์ซื่อคงสงสัยว่าในช่วงชีวิตของตน จะได้เห็นพระสัญญานี้สำเร็จเป็นจริงหรือไม่

ในคืนหนึ่งข่าวที่รอคอยมานานก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เมื่อทูตองค์หนึ่งปรากฏแก่คนเลี้ยงแกะในเมืองเบธเลเฮม ประกาศว่าพระเมสสิยาห์มาบังเกิดแล้ว โดยกล่าวว่า “นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย คือท่านจะได้พบพระกุมารนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” (ลก.2:12) เมื่อคนเลี้ยงแกะได้พบพระเยซู พวกเขายกย่องสรรเสริญพระเจ้าและ “เล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงพระกุมารนั้น” (ข้อ 17)

พระเจ้าทรงต้องการให้คนเลี้ยงแกะรู้ว่าทารกที่รอคอยมานานได้มาปรากฏ แล้ว เพื่อพวกเขาจะเล่าให้คนอื่นฟังถึงการมาบังเกิดของพระเยซู เรายังคงเฉลิมฉลองการทรงบังเกิดของพระองค์ เพราะพระชนม์ชีพของพระองค์ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อรอดพ้นจากโลกที่แตกสลายนี้ เราไม่ต้องรอคอยเพื่อจะได้รู้จักกับสันติสุขและมีประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีอีกต่อไป นี่เป็นข่าวดีซึ่งคู่ควรที่จะป่าวประกาศ!

หัวใจของคริสต์มาส

ในงานเลี้ยงอาหารค่ำวันคริสต์มาสที่จัดขึ้นที่คริสตจักรของเราเพื่อเฉลิมฉลองวัฒนธรรมนานาชาติของผู้ที่มาร่วมงาน ฉันปรบมืออย่างสนุกสนานไปกับเสียงดาร์บูกา (กลองชนิดหนึ่ง) และเสียงอู๊ด (เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์) ขณะที่วงดนตรีบรรเลงเพลงคริสต์มาสดั้งเดิมของตะวันออกกลางชื่อว่า “เลย์ลัต อัล-มิลาด” นักร้องประจำวงได้อธิบายความหมายของชื่อเพลงว่า “คืนแห่งคริสต-สมภพ” เนื้อร้องเตือนใจผู้ฟังว่าหัวใจของคริสต์มาสคือการรับใช้ผู้อื่นในรูปแบบต่างๆ เช่น การจัดหาน้ำให้แก่ผู้ที่กระหายน้ำ หรือการปลอบโยนผู้ที่ร้องไห้

บทเพลงนี้น่าจะนำมาจากคำอุปมาตอนหนึ่งที่พระเยซูทรงชมเชยผู้ติดตามของพระองค์ในสิ่งที่พวกเขากระทำเพื่อพระองค์ คือพวกเขาได้จัดเตรียมอาหารเมื่อพระองค์ทรงหิว หาน้ำดื่มให้เมื่อทรงกระหาย และเป็นเพื่อนดูแลเมื่อพระองค์เจ็บป่วยและอยู่ลำพัง (มธ.25:34-36) แทนที่จะตอบรับคำชมเชยของพระเยซู ผู้คนในคำอุปมากลับประหลาดใจเพราะคิดว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านี้เพื่อพระคริสต์ พระองค์ตรัสตอบว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)

ในช่วงเทศกาลวันหยุดนี้ ผู้คนมักได้รับการหนุนใจให้เข้าถึงหัวใจของคริสต์มาสด้วยการแสดงท่าทีในการเฉลิมฉลอง แต่ “เลย์ลัต อัล-มิลาด” เตือนว่าเราสามารถนำหัวใจที่แท้จริงของคริสต์มาสไปปฏิบัติโดยการห่วงใยผู้อื่น และที่น่าประหลาดใจคือเมื่อเราทำเช่นนั้น เราไม่เพียงแต่รับใช้ผู้อื่นเท่านั้น แต่เรายังได้รับใช้พระเยซูด้วยเช่นกัน

รับการยกโทษจากพระเจ้า

ในช่วงเทศกาลวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งเป็นวันหยุดประจำชาติ ประธานาธิบดีสหรัฐฯได้รับมอบไก่งวงสองตัวที่ทำเนียบขาวก่อนที่จะทำการไถ่ชีวิตไก่งวงสองตัวนั้น แทนที่จะถูกเสิร์ฟเป็นอาหารมื้อหลักในวันขอบคุณพระเจ้าตามประเพณีดั้งเดิม ไก่งวงนั้นจะได้ใช้ชีวิตที่เหลืออย่างปลอดภัยในฟาร์ม แม้ว่าไก่งวงนั้นจะไม่อาจเข้าใจถึงอิสรภาพที่พวกมันได้รับ แต่ประเพณีประจำปีที่ไม่ธรรมดานี้ชี้ให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจแห่งการอภัยที่ให้ชีวิต

ผู้เผยพระวจนะมีคาห์เข้าใจถึงความสำคัญของการอภัยโทษเมื่อท่านเขียนคำเตือนรุนแรงถึงชาวอิสราเอลที่ยังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม การบันทึกของมีคาห์มีลักษณะคล้ายกับการฟ้องร้องในศาล โดยกล่าวว่าพระเจ้าทรงเป็นพยานกล่าวโทษชนชาตินั้น (มคา.1:2) ที่ปรารถนาสิ่งชั่วร้ายและหลงระเริงในความโลภ ความไม่ซื่อสัตย์ และความทารุณ (6:10-15)

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการกระทำที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ มีคาห์จบลงด้วยความหวังที่ตั้งอยู่บนพระสัญญาที่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงถือพระพิโรธเนืองนิตย์ แต่ “ทรง​ยกโทษ และ​ทรง​ให้​อภัย” (7:18) ในฐานะพระผู้สร้างและองค์ผู้พิพากษาเหนือสรรพสิ่ง พระองค์ทรงสามารถประกาศด้วยสิทธิอำนาจว่าพระองค์จะไม่ทรงถือโทษในการกระทำของเราเพราะพระสัญญาที่พระองค์ทรงมีต่ออับราฮัม (ข้อ 20) ซึ่งสำเร็จสมบูรณ์ในการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู

การทรงยกโทษในความล้มเหลวที่เราไม่อาจดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระเจ้า ถือเป็นของประทานแห่งพระพรอันยิ่งใหญ่ที่เราไม่คู่ควร เมื่อเราได้เข้าใจมากขึ้นถึงประโยชน์ของการทรงยกโทษโดยสมบูรณ์ของพระองค์แล้ว ขอให้เราตอบสนองด้วยการสรรเสริญและขอบพระคุณ

ความกล้าหาญจากผู้เลี้ยงแกะ

ผู้คนเกือบ 107,000 ชีวิตในสนามกีฬายืนรอด้วยใจจดจ่อ เมื่อเซ็ธ สมอล นักเตะทีมอเมริกันฟุตบอลมหาวิทยาลัยเท็กซัสเอแอนด์เอ็มลงสนามขณะที่เหลือเวลาสองวินาทีในการแข่งขัน เมื่อทีมเอแอนด์เอ็มมีคะแนนเสมอ 38-38 กับทีมที่ดีที่สุดในประเทศซึ่งครองแชมป์มาอย่างยาวนาน การยิงประตูได้จะเป็นการปิดเกมแห่งชัยชนะที่พลิกผันครั้งใหญ่ สมอลดูสงบนิ่งเมื่อเขายืนต่อแถวเพื่อยิงประตู ทั้งสนามโห่ร้องด้วยความโกลาหลเมื่อลูกบอลพุ่งเข้าประตูเพื่อทำคะแนนแห่งชัยชนะ

เมื่อนักข่าวถามถึงการเตรียมตัวสำหรับช่วงเวลาที่เคร่งเครียดนั้น สมอลกล่าวว่าเขาย้ำกับตัวเองด้วยประโยคแรกจากพระธรรมสดุดี 23 “พระเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าดุจเลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจะไม่ขัดสน” เมื่อสมอลต้องการกำลังและความเชื่อมั่น เขาใช้การเปรียบเทียบอันลึกซึ้งส่วนตัวว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะของเขา

สดุดี 23 เป็นพระธรรมอันเป็นที่รักเพราะพระคำบทนี้ยืนยันว่าเราสามารถสงบนิ่งหรือได้รับการเล้าโลมใจ เพราะเรามีองค์ผู้เลี้ยงที่ทรงสัตย์ซื่อและรักเรา ผู้ทรงคอยดูแลเรา ดาวิดเป็นพยานถึงความกลัวที่เกิดขึ้นจริงในสถานการณ์ที่ตึงเครียดหรือยากลำบาก และการปลอบโยนที่พระเจ้าทรงจัดเตรียม (ข้อ 4) คำว่า “เล้าโลม[ใจ]” สื่อถึงความแน่นอน หรือความมั่นใจและความกล้าหาญที่จะเดินหน้าไป เพราะการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระองค์ที่คอยชี้นำเรา

เมื่อเราเดินเข้าสู่สถานการณ์ที่ท้าทายโดยไม่รู้ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราจะมีใจที่กล้าหาญได้เมื่อเราย้ำกับตัวเองว่าพระผู้เลี้ยงที่ดีทรงเดินไปกับเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา