รักผ่านคำอธิษฐาน
เป็นเวลาหลายปีแล้วที่จอห์นเป็นคนค่อนข้างฉุนเฉียวเมื่ออยู่ที่โบสถ์ เขาอารมณ์ร้าย เรียกร้องสูง และหยาบคายอยู่บ่อยครั้ง เขาบ่นอยู่เสมอว่าไม่ได้รับการ “รับใช้” ที่ดีพอ และอาสาสมัครและเจ้าหน้าที่ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง จริงๆแล้วเขาเป็นคนที่ยากที่จะรัก
ดังนั้นเมื่อผมได้ยินว่าเขาเป็นมะเร็ง จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะอธิษฐานเผื่อเขา จิตใจของผมเต็มไปด้วยความทรงจำถึงคำพูดร้ายๆและท่าทีที่ไม่น่ารักของเขา แต่เมื่อระลึกถึงคำสั่งของพระเยซูที่ให้เรารักกัน ผมก็อธิษฐานอย่างเรียบง่ายให้จอห์นทุกวัน ไม่กี่วันต่อมาผมพบว่าผมเริ่มคิดถึงความไม่น่ารักของเขาน้อยลง เขาคงเจ็บปวดน่าดูนะ ผมคิด เขาคงรู้สึกหลงทางอยู่แน่ๆ
จึงได้เข้าใจว่าการอธิษฐานคือการเปิดตัวเรา ความรู้สึกและความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่นต่อพระเจ้า โดยอนุญาตให้พระองค์ได้เข้ามาและมอบมุมมองของพระองค์ให้เรา การมอบเจตจำนงค์และความรู้สึกให้พระองค์ในคำอธิษฐานนั้นเปิดโอกาสให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเปลี่ยนหัวใจของเราอย่างช้าๆแต่มั่นคง แน่นอนว่าการทรงเรียกให้รักศัตรูของพระเยซูนั้นเชื่อมโยงกับการทรงเรียกให้อธิษฐาน “จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญท่าน” (ลก.6:28)
ผมต้องยอมรับว่าผมยังต้องต่อสู้ในการคิดแง่บวกกับจอห์น แต่ด้วยการช่วยเหลือของพระวิญญาณ ผมกำลังเรียนรู้ที่จะมองเขาผ่านสายตาและหัวใจของพระเจ้า ในฐานะเป็นคนที่ควรได้รับการให้อภัยและความรัก
สัตย์ซื่อแต่ไม่ถูกลืม
ขณะที่ฌอนเติบโตขึ้นมานั้นเขาแทบไม่รู้ความหมายของการมีครอบครัว แม่ของเขาเสียชีวิตและพ่อแทบไม่ได้อยู่บ้าน เขามักรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกทอดทิ้ง แต่สามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ๆได้ยื่นมือเข้ามา โดยพาฌอนไปบ้านและให้ลูกๆ ของพวกเขาเป็น “พี่ชาย” และ “พี่สาว” ของฌอนซึ่งทำให้เขามั่นใจว่าเขาได้รับความรัก ทั้งยังพาเขาไปคริสตจักรที่ซึ่งเวลานี้ฌอนเป็นชายหนุ่มที่มีความมั่นใจในฐานะผู้นำเยาวชน
แม้ว่าสามีภรรยาคู่นี้จะมีบทบาทสำคัญในการพลิกชีวิตชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่สิ่งที่พวกเขาทำเพื่อฌอนกลับไม่เป็นที่รับรู้มากนักในหมู่คนส่วนใหญ่ในครอบครัวคริสตจักรของพวกเขา แต่พระเจ้าทรงรู้ และผมเชื่อว่าวันหนึ่งพวกเขาจะได้รับบำเหน็จจากความสัตย์ซื่อนั้น เช่นเดียวกับคนเหล่านั้นที่มีรายชื่อใน “หอแห่งความเชื่อ” พระธรรมฮีบรู 11 เริ่มต้นด้วยรายชื่อบุคคลที่ยิ่งใหญ่ในพระคัมภีร์ แต่กล่าวถึงคนอื่นๆอีกนับไม่ถ้วนที่เราอาจไม่เคยรู้จัก กระนั้นพวกเขาเป็นผู้ที่ “มีชื่อเสียงดีเพราะความเชื่อของเขา” (ข้อ 39) และ “แผ่นดินโลก ผู้เขียนบันทึกว่า ไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย” (ข้อ 38)
แม้เมื่อการกระทำด้วยความเมตตาของเราไม่มีใครสังเกตเห็น พระเจ้าทรงเห็นและทรงรู้ สิ่งที่เราทำอาจดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อย ไม่ว่าจะเป็นการกระทำที่เอื้อเฟื้อหรือคำพูดหนุนใจ แต่พระเจ้าทรงใช้สิ่งนั้นได้เพื่อนำเกียรติมาสู่พระนามของพระองค์ ในเวลาของพระองค์ และในวิถีทางของพระองค์ พระองค์ทรงรู้แม้ว่าคนอื่นจะไม่รู้
เส้นทางใหม่
บางทีผมไม่น่าตอบตกลงที่จะไปร่วมวิ่งกับไบรอันตั้งแต่แรก ผมอยู่ในต่างแดน และผมไม่รู้เลยว่าเราจะวิ่งไปทางใดและไกลแค่ไหน หรือสภาพเส้นทางเป็นอย่างไร มิหนำซ้ำไบรอันยังเป็นคนที่วิ่งเร็ว ผมจะต้องวิ่งตามเขาจนขาขวิดไหมเนี่ย ผมจะทำอะไรได้นอกจากเชื่อใจไบรอันเพราะเขารู้เส้นทาง เมื่อเราเริ่มวิ่ง ผมยิ่งกังวลมากขึ้น เส้นทางวิ่งนั้นทรหดคดเคี้ยวผ่านป่าทึบและขรุขระ ยังดีที่ไบรอันคอยหันมาดูผมและเตือนผมเวลาที่เส้นทางข้างหน้ายากลำบาก
บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่หลายคนในสมัยพระคัมภีร์รู้สึกเมื่อต้องเข้าไปยังดินแดนที่ไม่คุ้นเคย เช่น อับราฮัมในคานาอัน ชนชาติอิสราเอลในถิ่นทุรกันดาร และสาวกของพระเยซูในการเดินทางเผยแพร่ข่าวประเสริฐ พวกเขาไม่รู้เลยว่าเส้นทางจะเป็นเช่นไร รู้แต่เพียงว่าจะต้องลำบากแน่ แต่พวกเขามีผู้ที่ทรงนำเขา ผู้ทรงรู้หนทางข้างหน้า พวกเขาจำเป็นต้องไว้วางใจว่าพระเจ้าจะประทานกำลังในการรับมือและพระองค์จะดูแลพวกเขา พวกเขาติดตามพระองค์ไปได้เพราะพระองค์ทรงรู้อย่างแน่ชัดว่ามีอะไรคอยอยู่ข้างหน้า
คำรับรองนี้ปลอบใจดาวิดขณะที่ท่านหลบหนี ทั้งที่มีความไม่แน่นอนอย่างมาก ท่านทูลพระเจ้าว่า “เมื่อใจของข้าพระองค์อ่อนระอา พระองค์ทรงทราบทางของข้าพระองค์” (สดด.142:3) จะมีบางครั้งในชีวิตที่เรารู้สึกกลัวสิ่งที่อยู่ข้างหน้า แต่เรารู้ว่า พระเจ้าของเราผู้ทรงดำเนินไปกับเราทรงรู้จักเส้นทางนั้น
ความหวังท่ามกลางความเศร้าโศก
หลุยส์เป็นเด็กผู้หญิงที่ร่าเริงและขี้เล่น เธอจะสร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนที่พบเธอ เมื่ออายุได้ห้าขวบเธอเสียชีวิตลงอย่างน่าเศร้าด้วยโรคหายาก การจากไปอย่างกะทันหันของเธอสร้างความสะเทือนใจให้กับเดย์เดย์และปีเตอร์ผู้เป็นพ่อแม่ และทุกคนที่ทำงานกับพวกเขา เราต่างก็เศร้าโศกไปกับพวกเขาด้วย
กระนั้นเดย์เดย์และปีเตอร์ก็พบพลังที่จะก้าวต่อไป เมื่อผมถามเดย์เดย์ว่า พวกเขารับมือได้อย่างไร เธอบอกว่าพวกเขาได้รับพลังมาจากการมุ่งความสนใจไปยังที่ที่หลุยส์อยู่ นั่นก็คือในอ้อมแขนอันเปี่ยมไปด้วยความรักของพระเยซู “เราชื่นชมยินดีกับลูกสาวของเราผู้ซึ่งเวลาในโลกได้หมดลง เพื่อเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” เธอกล่าว “โดยพระคุณและกำลังจากพระเจ้า เราจึงสามารถเดินผ่านความเศร้าโศกและทำในสิ่งที่พระองค์ทรงมอบหมายให้เราทำต่อไปได้”
เดย์เดย์ได้รับการชูใจจากความเชื่อมั่นที่เธอมีในพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงสำแดงพระองค์เองผ่านทางพระเยซู ความหวังที่พระคัมภีร์พูดถึงนั้นไม่ได้เป็นแค่การมองโลกในแง่ดี แต่เป็นความแน่ใจอย่างแท้จริงในพระสัญญาของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่มีวันผิดสัญญา ในท่ามกลางความโศกเศร้าเราสามารถยึดมั่นในความจริงที่เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจนี้ได้ ดังที่เปาโลได้ปลอบใจผู้ที่กำลังโศกเศร้าเพราะเพื่อนที่จากไปว่า “เราเชื่อว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ และทรงคืนพระชนม์แล้ว โดยพระเยซูนั้น พระเจ้าจะทรงนำบรรดาคนที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์” (1ธส.4:14) ขอให้ความหวังนี้ทำให้เราได้รับกำลังและการชูใจแม้ในท่ามกลางความเศร้าโศกในวันนี้
กิจวัตรประจำอันเป็นพระพร
เมื่อมองดูฝูงชนในยามเช้าหลั่งไหลเข้ามาในรถไฟ ผมรู้สึกได้ถึงความเคร่งเครียดของวันจันทร์ที่จู่โจมเข้ามา จากใบหน้าที่ง่วงเหงาและไม่พอใจของผู้คนในตู้โดยสารที่แออัด ผมบอกได้เลยว่าไม่มีใครตั้งตารอคอยที่จะได้ไปทำงาน สีหน้าบึ้งตึงขึ้นเมื่อคนแย่งพื้นที่และพยายามเบียดเสียดเข้ามา วันปกติธรรมดาอีกวันที่เรากลับสู่การทำงานกันอีกครั้ง
แล้วผมก็นึกได้ว่าเมื่อปีก่อน รถไฟคงจะว่างเปล่าเพราะการล็อกดาวน์จากโควิด 19 การล็อกดาวน์ทำให้กิจวัตรประจำของเรายุ่งเหยิง แม้แต่จะออกไปทานอาหารก็ไม่อาจทำได้ และบางคนก็คิดถึงการไปทำงานที่ออฟฟิศจริงๆ แต่ตอนนี้เราเกือบจะกลับมาเป็นปกติแล้ว และหลายคนก็กลับไปทำงานตามปกติ ผมจึงตระหนักว่า “กิจวัตรประจำ” นั้นเป็นข่าวดี และเรื่อง “น่าเบื่อ” ก็เป็นพระพร!
กษัตริย์ซาโลมอนได้ข้อสรุปที่คล้ายคลึงกัน หลังจากทรงไตร่ตรองถึงความไร้จุดหมายในการตรากตรำทุกวัน (ปญจ.2:17-23) บางครั้งมันดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด “อนิจจัง” และไร้ซึ่งรางวัลตอบแทน (ข้อ 21) แต่แล้วพระองค์ก็ตระหนักว่าการได้กิน ดื่ม และทำงานในแต่ละวันก็เป็นพระพรจากพระเจ้า (ข้อ 24)
เมื่อเราต้องสูญเสียกิจวัตรประจำไป เราจึงเห็นได้ว่ากิจกรรมง่ายๆเหล่านี้คือความเพลิดเพลิน ให้เราขอบคุณพระเจ้าว่านี่เป็นของประทานจากพระเจ้าแก่มนุษย์ ที่จะให้มนุษย์ได้กินดื่มและเพลิดเพลินในบรรดาการงานของเขา (3:13)
บากบั่นในพระเยซู
ขณะที่วิ่งอยู่ในป่า ผมพยายามหาทางลัดและใช้เส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ด้วยความสงสัยว่าตัวเองหลงทางหรือเปล่า ผมจึงถามคนที่กำลังวิ่งมาจากอีกทางหนึ่งว่าผมมาถูกทางแล้วใช่ไหม
“ใช่” เขาตอบอย่างมั่นใจ เมื่อเห็นใบหน้าไม่มั่นใจของผม เขารีบพูดต่อว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก ผมลองทางที่ผิดมาหมดแล้ว! แต่ไม่เป็นไร ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการวิ่ง”
ช่างเป็นคำอธิบายที่ตรงกับการเดินทางฝ่ายวิญญาณของผมเสียเหลือเกิน! กี่ครั้งแล้วที่ผมหลงไปจากพระเจ้า พ่ายแพ้การทดลอง และหันความสนใจไปยังสิ่งต่างๆในชีวิต แต่พระเจ้าก็ทรงยกโทษให้ผมทุกครั้งและช่วยผมให้ก้าวต่อไป ทั้งๆที่ทรงรู้ว่าผมจะต้องล้มลงอีกแน่ พระเจ้าทรงทราบว่าเรามีแนวโน้มที่จะหลงไปในทางที่ผิด แต่พระองค์ทรงพร้อมเสมอที่จะให้อภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าเราสารภาพบาปของเราและยอมให้พระวิญญาณของพระองค์เปลี่ยนแปลงเรา
เปาโลเองก็รู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางฝ่ายวิญญาณ ท่านตระหนักดีถึงบาปในอดีตและความอ่อนแอของท่านในเวลานั้น และรู้ด้วยว่าท่านยังขาดความสมบูรณ์อย่างพระคริสต์ที่ท่านปรารถนาจะได้รับ (ฟป.3:12) “แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่ง” ท่านกล่าว “คือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า ข้าพเจ้ากำลังบากบั่นมุ่งไป” (ข้อ 13-14) การสะดุดล้มเป็นส่วนหนึ่งของการเดินกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงขัดเกลาเราผ่านความผิดพลาดของเรา พระคุณของพระองค์ทำให้เราสามารถบากบั่นมุ่งไปได้ในฐานะลูกที่ได้รับการอภัยแล้ว
ไม่เคยอยู่ไกลเกินไป
ราจเชื่อวางใจในพระเยซูให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขาในช่วงวัยรุ่น แต่ไม่นานเขาก็ละทิ้งความเชื่อและดำเนินชีวิตห่างจากพระเจ้า วันหนึ่งเขาตัดสินใจรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพระเยซูและกลับไปโบสถ์อีกครั้ง เขากลับถูกต่อว่าโดยผู้หญิงคนหนึ่งที่ตำหนิเรื่องที่เขาหายไปจากโบสถ์หลายปี คำต่อว่าได้เพิ่มความรู้สึกผิดและละอายใจให้กับราจ ผมหมดหวังแล้วใช่ไหม เขาสงสัยแล้วเขาก็ระลึกถึงการที่พระคริสต์ทรงให้โอกาสซีโมนเปโตรใหม่อีกครั้ง (ยน.21:15-17) แม้ว่าท่านจะเคยปฏิเสธพระองค์ (ลก.22:34, 60-61)
ไม่ว่าจะมีคำตำหนิใดก็ตามที่เปโตรคาดว่าจะต้องเจอ สิ่งที่ท่านได้รับกลับเป็นการให้อภัยและให้โอกาสแก้ไข พระเยซูไม่แม้แต่จะพูดถึงการที่เปโตรปฏิเสธพระองค์ แต่กลับให้โอกาสท่านยืนยันถึงความรักที่มีต่อพระคริสต์และดูแลบรรดาผู้ติดตามพระองค์ (ยน.21:15-17) คำตรัสของพระเยซูก่อนที่เปโตรจะปฏิเสธพระองค์ได้ถูกทำให้สำเร็จ “เมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” (ลก.22:32)
ราจทูลขอการอภัยและโอกาสใหม่ในแบบเดียวกันจากพระเจ้า และวันนี้เขาไม่เพียงเดินใกล้ชิดพระเยซู แต่ร่วมรับใช้ในคริสตจักร และสนับสนุนผู้เชื่อคนอื่นๆด้วย ไม่ว่าเราจะหลงหายจากพระเจ้าไปไกลเท่าไร พระองค์ไม่เพียงพร้อมที่จะให้อภัยเราและยินดีต้อนรับเรากลับมาเท่านั้น แต่ทรงพร้อมที่จะให้โอกาสเราใหม่เสมอ เพื่อเราจะสามารถรัก รับใช้ และถวายเกียรติแด่พระองค์ เราไม่เคยอยู่ไกลจากพระเจ้าเกินไป อ้อมแขนแห่งความรักของพระองค์ยังคงเปิดกว้างสำหรับเรา
นี่เป็นหมายสำคัญหรือเปล่า
ข้อเสนอฟังดูดีและตรงกับความต้องการของปีเตอร์ หลังจากถูกเลิกจ้างผู้หาเลี้ยงครอบครัวเล็กๆเพียงคนเดียวนี้ก็อธิษฐานของานอย่างสิ้นหวัง “นี่ต้องเป็นการตอบคำอธิษฐานจากพระเจ้าอย่างแน่นอน” เพื่อนของเขาออกความเห็น
แต่เมื่อได้อ่านเกี่ยวกับนายจ้างใหม่ ปีเตอร์กลับรู้สึกกังวล บริษัทนี้เคยลงทุนในธุรกิจน่าสงสัยและเคยถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต ในที่สุดปีเตอร์ก็ปฏิเสธข้อเสนอแม้จะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทำเช่นนั้น “ผมเชื่อว่าพระเจ้าทรงต้องการให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้อง” เขาบอกกับผม “เพียงแต่ผมต้องวางใจว่าพระองค์จะทรงจัดเตรียมเพื่อผม”
เรื่องของปีเตอร์ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ดาวิดพบกับซาอูลในถ้ำ ดูเหมือนท่านจะได้รับโอกาสอันยอดเยี่ยมในการฆ่าชายที่ไล่ล่าท่าน แต่ดาวิดปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่า “พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้ข้าพเจ้ากระทำสิ่งนี้ต่อ...ผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมตั้งไว้” (1 ซมอ.24:6) ดาวิดระมัดระวังในการแยกแยะระหว่างการตีความสถานการณ์ด้วยตนเอง กับพระบัญชาของพระเจ้าที่ให้เชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์และทำสิ่งที่ถูกต้อง
แทนที่จะพยายามมองหา “หมายสำคัญ” ในสถานการณ์ใดๆอยู่เสมอ ขอให้มองไปที่พระเจ้าและความจริงของพระองค์ เพื่อจะมีสติปัญญาและคำชี้แนะในการแยกแยะสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา พระองค์จะทรงช่วยเราให้ทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระองค์
ส่วนของคุณและส่วนของพระเจ้า
เมื่อจานีสเพื่อนของฉันถูกทาบทามให้บริหารงานในแผนกของเธอหลังทำงานได้เพียงไม่กี่ปี เธอรู้สึกว่าทำไม่ได้ หลังจากอธิษฐานเรื่องนี้ เธอรู้สึกว่าพระเจ้าอยากให้เธอรับตำแหน่ง แต่เธอยังกลัวว่าจะไม่สามารถรับผิดชอบได้ “ข้าพระองค์จะนำด้วยประสบการณ์แค่เล็กน้อยได้อย่างไร” เธอถามพระเจ้า “ทำไมพระองค์วางข้าพระองค์ไว้ที่นี่ถ้าข้าพระองค์จะล้มเหลว”
หลังจากนั้น จานีสได้อ่านเรื่องการทรงเรียกของอับรามในปฐมกาล 12 และสังเกตว่าส่วนของท่านคือ “ออกจากเมือง...ไปยังดินแดนที่ (พระเจ้า)จะบอกให้เจ้ารู้...ฝ่ายอับรามก็ไป” (ข้อ 1,4) นี่เป็นการกระทำที่สุดโต่ง เพราะไม่มีใครอาจหาญแบบนี้ในสมัยโบราณ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้ท่านวางใจในพระองค์โดยการทิ้งทุกอย่างที่ท่านรู้ไว้ข้างหลัง และพระองค์จะทรงทำส่วนที่เหลือ แล้วจะมีอัตลักษณ์เช่นไร เจ้าจะเป็นชนชาติใหญ่ การจัดเตรียมล่ะ เราจะอวยพรเจ้า ชื่อเสียงล่ะ ชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือ แล้วเพื่อจุดมุ่งหมายใด บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า ท่านทำผิดครั้งใหญ่บ้างในระหว่างทาง แต่ “อับราฮัมมีความเชื่อ...ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน” (ฮบ.11:8)
ความเข้าใจนี้ได้เอาความหนักใจออกไปจากจานีส “ฉันไม่ต้องกังวลเรื่อง ‘ความสำเร็จ’ ในงานของฉัน” เธอบอกฉันหลังจากนั้น “ฉันแค่ต้องจดจ่ออยู่ที่การวางใจในพระเจ้าที่จะทรงช่วยให้ฉันสามารถทำงานได้” เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียมความเชื่อที่เราจำเป็นต้องมีแล้ว ขอให้เราวางใจในพระองค์ด้วยสิ้นสุด
ชีวิตของเรา