ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Leslie Koh

ทดลองและทดสอบ

สแตนลี่ย์รักในความยืดหยุ่นและอิสระของงานที่เขาทำในฐานะคนขับรถรับจ้างส่วนบุคคล โดยเฉพาะการที่เขาสามารถเริ่มและหยุดงานได้ตามเวลาที่ต้องการ และไม่ต้องรายงานเรื่องเวลาทำงานและความเคลื่อนไหวของตนให้กับใคร แต่เขากล่าวว่านั่นกลับเป็นเรื่องยากที่สุด

“การทำงานแบบนี้ทำให้มีเรื่องชู้สาวเข้ามาได้ง่ายมาก” เขายอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ผมรับผู้โดยสารทุกประเภท แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนในแต่ละวันรวมทั้งภรรยาของผมด้วย” การต่อต้านการทดลองนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และเพื่อนๆคนขับรถหลายคนก็ต้านทานไม่ไหว เขาอธิบายว่า “สิ่งที่หยุดผมไว้คือการคิดว่าพระเจ้าจะทรงคิดเช่นไร และภรรยาของผมจะรู้สึกอย่างไร”

พระเจ้าผู้ทรงสร้างเราแต่ละคนทรงทราบถึงจุดอ่อนของเรา ความปรารถนาที่มี และทรงรู้ว่าเราถูกล่อลวงได้ง่ายเพียงใด แต่ตามที่ 1 โครินธ์ 10:11-13 เตือนว่า เราสามารถขอความช่วยเหลือจากพระองค์ได้ “พระเจ้าทรงสัตย์ธรรม พระองค์จะไม่ทรงให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้” เปาโลกล่าวว่า “เมื่อท่านถูกทดลองนั้น [พระเจ้า ]จะทรงโปรดให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ด้วย เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้” (ข้อ 13) “ทางที่จะหลีกเลี่ยงได้” นั้นอาจเป็นความกลัวต่อผลที่ตามมา เป็นความรู้สึกผิด เป็นการคิดถึงข้อพระคัมภีร์ มีสิ่งที่เบี่ยงเบนความสนใจในเวลานั้นพอดี หรือสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้ เมื่อเราขอกำลังจากพระเจ้า พระวิญญาณจะหันสายตาของเราจากสิ่งที่ล่อลวงเรา และช่วยให้เรามองไปยังทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ซึ่งพระองค์ประทานให้

เวลาของพระเจ้า

แม็กรอคอยการไปเที่ยวต่างประเทศที่เธอวางแผนไว้แล้ว แต่เช่นเดียวกับที่เธอทำมาตลอด เธออธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน “ก็แค่วันหยุดเท่านั้นเอง” เพื่อนของเธอทัก “ทำไมเธอต้องปรึกษาพระเจ้าด้วย” แต่แม็กเชื่อในการวางมอบทุกอย่างไว้กับพระองค์ ครั้งนี้เธอรู้สึกว่าพระเจ้าหนุนใจให้เธอยกเลิกการเดินทาง เธอจึงทำตามนั้น และต่อมาในช่วงเวลาที่เธอควรจะอยู่ที่นั่น ได้เกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่ประเทศนั้น เธอบอกว่า “ฉันรู้สึกว่าพระเจ้าทรงปกป้องฉัน”

โนอาห์ก็พึ่งพาในการปกป้องของพระเจ้าเช่นกันเมื่อท่านและครอบครัวรออยู่ในเรือเป็นเวลาเกือบสองเดือนหลังจากน้ำท่วมลดลง หลังจากต้องอยู่ในเรือมานานกว่าสิบเดือน ท่านคงกระตือรือร้นอยากออกมาข้างนอก ในที่สุดแล้ว “น้ำก็แห้งจากแผ่นดิน” และ “พื้นดินแห้ง” (ปฐก.8:13) แต่โนอาห์ไม่ได้พึ่งพาแค่สิ่งที่ท่านมองเห็น ท่านออกจากเรือตอนที่พระเจ้าบอกให้ออกมา (ข้อ 15-19) ท่านเชื่อวางใจว่าพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่ดีสำหรับการรอคอยที่ยาวนานมากขึ้น บางทีพื้นดินอาจยังไม่ปลอดภัยพอก็เป็นได้

เมื่อเราอธิษฐานในเรื่องการตัดสินใจของชีวิต โดยใช้สติปัญญาที่พระเจ้ามอบให้และรอคอยการทรงนำของพระองค์ เราสามารถวางใจในเวลาของพระองค์ได้ โดยรู้ว่าองค์พระผู้สร้างผู้ทรงปัญญาของเรารู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเรา ดังที่ผู้เขียนสดุดีกล่าวไว้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า แต่ข้าพระองค์วางใจในพระองค์...วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” (สดด.31:14-15)

ความหวังในพระเจ้า

เจเรมี่ไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะต้องเจอเข้ากับอะไร เมื่อเขาไปถึงมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนหลักสูตรสามปีและขอห้องที่ถูกที่สุดที่มีในหอพัก “มันเลวร้ายมาก” เขาเล่า “ห้องพักและห้องน้ำแย่มาก” แต่เขามีเงินไม่มากและมีทางเลือกน้อยนิด “ทั้งหมดที่ผมสามารถทำได้” เขาบอก “คือการคิดว่า ผมมีบ้านดีๆที่จะกลับไปในอีกสามปีข้างหน้า ดังนั้นผมจะอยู่กับสิ่งนี้และใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดที่นี่”

เรื่องราวของเจเรมี่สะท้อนถึงความท้าทายในแต่ละวันของการดำเนินชีวิตใน “เรือนดิน” คือร่างกายมนุษย์ที่ต้องตาย (2 คร.5:1) ซึ่งอาศัยในโลกที่กำลังล่วงไป (1 ยน.2:17) ดังนั้นเราจึง “ครวญคร่ำเป็นทุกข์” (2 คร.5:4) ขณะดิ้นรนเพื่อรับมือกับความยากลำบากมากมายของชีวิตที่ถาโถมเข้าใส่เรา

สิ่งที่ทำให้เราดำเนินต่อไปได้คือความหวังอันแน่นอนว่าวันหนึ่งเราจะมี “กายใหม่” (ข้อ 4) คือร่างกายที่ฟื้นขึ้นใหม่และเป็นอมตะ และอาศัยอยู่ในโลกที่ปราศจากการคร่ำครวญและความอนิจจัง (รม.8:19-22) อย่างในปัจจุบัน ความหวังนี้ทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในปัจจุบันที่พระเจ้าประทานด้วยความรักให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด พระองค์ยังทรงช่วยให้เราสามารถใช้ของประทานและความสามารถที่พระองค์ประทานให้ได้ เพื่อเราจะสามารถรับใช้พระองค์และผู้อื่น และนั่นจึงเป็นเหตุให้ “เราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดีหรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยของพระองค์” (2 คร.5:9)

พระเจ้าทรงควบคุมอยู่

แครอลไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงเกิดขึ้นพร้อมกัน ราวกับว่าเรื่องงานยังไม่เลวร้ายพอ ลูกสาวของเธอยังมากระดูกเท้าแตกที่โรงเรียน และตัวเธอเองติดเชื้อร้ายแรง ฉันทำอะไรจึงสมควรได้รับสิ่งนี้ แครอลรู้สึกสงสัย สิ่งเดียวที่เธอทำได้คือ ทูลขอกำลังจากพระเจ้า

โยบไม่รู้ว่าเหตุใดหายนะจึงโจมตีท่านอย่างหนักเช่นกัน ความเจ็บปวดและการสูญเสียนั้นใหญ่ยิ่งกว่าที่แครอลเผชิญมากนัก ไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าท่านรับรู้ถึงการต่อสู้ในจักรวาลเพื่อจิตวิญญาณของท่าน ซาตานต้องการทดสอบความเชื่อของโยบ โดยอ้างว่าท่านจะหันจากพระเจ้าถ้าท่านสูญเสียทุกสิ่งที่มี (โยบ 1:6-12) เมื่อเกิดภัยพิบัติ เพื่อนของโยบยืนกรานว่าท่านกำลังถูกลงโทษเพราะบาปของท่าน แม้นั่นจะไม่ใช่สาเหตุ แต่โยบคงต้องสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นเรา สิ่งที่โยบไม่รู้คือ พระเจ้าทรงอนุญาตให้มันเกิดขึ้น

เรื่องราวของโยบให้บทเรียนที่ทรงพลังมากในด้านการทนทุกข์และด้านความเชื่อ เราอาจพยายามค้นหาสาเหตุที่อยู่เบื้องหลังความเจ็บปวดของเรา แต่อาจมีเรื่องราวเบื้องหลังที่ใหญ่กว่านั้น ซึ่งเราจะไม่มีวันเข้าใจในช่วงชีวิตของเรา

เช่นเดียวกับโยบ เราสามารถยึดมั่นในสิ่งที่เรารู้ ซึ่งก็คือ พระเจ้าทรงควบคุมอยู่อย่างสมบูรณ์ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะพูดออกมา แต่ในท่ามกลางความเจ็บปวดนั้น โยบยังคงมองไปที่พระเจ้าและวางใจในอธิปไตยสูงสุดของพระองค์ “พระเจ้าประทาน และพระเจ้าทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระเจ้า” (ข้อ 21) ขอให้เรายังคงวางใจในพระเจ้าต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และแม้ว่าเราจะไม่อาจเข้าใจได้ก็ตาม

ด้วยวิธีการง่ายๆ

ตอนที่เอลซี่ป่วยเป็นมะเร็งเธอเตรียมพร้อมที่จะกลับไปบ้านบนสวรรค์เพื่อไปอยู่กับพระเยซู แต่เธอกลับมาหายดี แม้โรคร้ายจะทำให้เธอเคลื่อนไหวไม่ได้ และยังทำให้เธอสงสัยว่าเหตุใดพระเจ้าจึงยังให้เธอมีชีวิตอยู่ “ข้าพระองค์จะทำการดีอะไรได้อีก” เธอถามพระองค์ “ข้าพระองค์มีเงินและความสามารถไม่มาก และยังเดินไม่ได้ ข้าพระองค์จะทำประโยชน์ให้พระองค์ได้อย่างไร”

แต่แล้วเธอก็พบวิธีง่ายๆในการรับใช้ผู้อื่น โดยเฉพาะกับคนทำความสะอาดบ้านที่เป็นผู้อพยพ เธอซื้ออาหารให้หรือไม่ก็มอบเงินเล็กน้อยให้ทุกครั้งที่พบพวกเขา เงินที่ให้อาจจะน้อยนิดแต่มีส่วนช่วยพวกคนงานในการยังชีพได้ ขณะที่ทำเช่นนั้น เธอพบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดูเธอผ่านญาติมิตรที่มอบของขวัญและเงินให้เธอ ทำให้เธอสามารถเป็นพรกับผู้อื่นต่อได้

เมื่อเธอแบ่งปันเรื่องราวนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าเอลซี่ได้นำการทรงเรียกที่ให้รักซึ่งกันและกันใน 1 ยอห์น 4:19 มาปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมจริงๆ “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” เช่นเดียวกับความจริงในกิจการ 20:35 ที่ย้ำเตือนเราว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ”

เอลซี่ให้เพราะเธอได้รับและเธอก็ได้รับการหนุนน้ำใจเมื่อให้ออกไป เธอไม่ได้ใช้อะไรมากมายไปกว่าหัวใจที่รักและขอบพระคุณ และความเต็มใจที่จะให้ในสิ่งที่เธอมี ซึ่งพระเจ้าก็ทรงเพิ่มพูนสิ่งเหล่านั้นกลับมาให้ในวงจรแห่งการให้และการรับอันงดงาม ขอให้เราทูลขอพระองค์จะประทานหัวใจที่สำนึกในพระคุณ และมีใจกว้างขวางในการให้ตามที่พระองค์ทรงนำเรา!

วันที่ 3- พระคุณสำหรับวันนี้ | เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย

เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย
เพียง 6 เดือนชีวิตของเจอรัลด์พังทลาย วิกฤติเศรษฐกิจทำลายธุรกิจและทรัพย์สิน ลูกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่ของเขาสะเทือนใจมากจนหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต ภรรยาซึมเศร้า ลูกสาวสองคนเก็บตัว เขาได้แต่พูดอย่างผู้เขียนสดุดีว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (สดุดี 22:1)

เจอรัลด์ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยหวังว่าวันหนึ่งพระเจ้าผู้ทรงให้พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ จะปลดปล่อยเขาและครอบครัวจากความเจ็บปวดไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ชื่นชมยินดี เป็นความหวังว่าพระเจ้าจะตอบเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือ ดังดาวิดผู้เขียนสดุดีซึ่งแน่วแน่ที่จะวางใจพระเจ้ายามลำบาก โดยยึดมั่นในความหวังว่าพระเจ้าจะปลดปล่อยและช่วยกู้ท่าน (ข้อ 4-5)

ความหวังนั้นค้ำจุนเจอรัลด์ไว้ ตลอดหลายปีเมื่อมีคนถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบได้เพียงแค่ว่า “ครับ ผมกำลังไว้วางใจพระเจ้า”

พระเจ้าทรงยกย่องความวางใจของเจอรัลด์ ทรงปลอบโยน เสริมกำลังเรี่ยวแรงและความกล้าหาญแก่เขามาตลอดหลายปี ครอบครัวของเขาค่อยๆ ฟื้นจากวิกฤติ และต่อมาไม่นาน เจอรัลด์ก็ได้หลานปู่คนแรก ตอนนี้เสียงร้องไห้ของหลาน กลายเป็นคำพยานถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า “ผมไม่ถามอีกต่อไปว่า ‘เหตุไฉนพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพระองค์’ เพราะพระเจ้าอวยพรผม”

ยามที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเหลือ ยังคงมีความหวัง

เขียนโดย เลสลี่ โคห์

คิดใคร่ครวญ :
มีสิ่งใดที่ช่วยให้คุณระลึกถึงและยึดมั่นในความหวังที่แน่นอนและมั่นคงว่าจะได้รับการปลดปล่อย การไว้วางใจพระเจ้าช่วยค้ำจุนคุณอย่างไรในช่วงยากลำบาก

อธิษฐาน :
เมื่อฉันรู้สึกถูกทอดทิ้ง ฉันยึดมั่นในความหวังที่มาจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ซึ่งวันหนึ่งจะปลดปล่อยฉันสู่ความชื่นชมยินดีนิรันดร์

วันที่ 3- พระคุณสำหรับวันนี้ | เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย

เมื่อทุกสิ่งดูเหมือนสูญเสีย
เพียง 6 เดือนชีวิตของเจอรัลด์พังทลาย วิกฤติเศรษฐกิจทำลายธุรกิจและทรัพย์สิน ลูกประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แม่ของเขาสะเทือนใจมากจนหัวใจล้มเหลวเสียชีวิต ภรรยาซึมเศร้า ลูกสาวสองคนเก็บตัว เขาได้แต่พูดอย่างผู้เขียนสดุดีว่า “พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (สดุดี 22:1)

เจอรัลด์ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยหวังว่าวันหนึ่งพระเจ้าผู้ทรงให้พระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ จะปลดปล่อยเขาและครอบครัวจากความเจ็บปวดไปสู่ชีวิตนิรันดร์ที่ชื่นชมยินดี เป็นความหวังว่าพระเจ้าจะตอบเสียงร้องทูลขอความช่วยเหลือ ดังดาวิดผู้เขียนสดุดีซึ่งแน่วแน่ที่จะวางใจพระเจ้ายามลำบาก โดยยึดมั่นในความหวังว่าพระเจ้าจะปลดปล่อยและช่วยกู้ท่าน (ข้อ 4-5)

ความหวังนั้นค้ำจุนเจอรัลด์ไว้ ตลอดหลายปีเมื่อมีคนถามว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาตอบได้เพียงแค่ว่า “ครับ ผมกำลังไว้วางใจพระเจ้า”

พระเจ้าทรงยกย่องความวางใจของเจอรัลด์ ทรงปลอบโยน เสริมกำลังเรี่ยวแรงและความกล้าหาญแก่เขามาตลอดหลายปี ครอบครัวของเขาค่อยๆ ฟื้นจากวิกฤติ และต่อมาไม่นาน เจอรัลด์ก็ได้หลานปู่คนแรก ตอนนี้เสียงร้องไห้ของหลาน กลายเป็นคำพยานถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้า “ผมไม่ถามอีกต่อไปว่า ‘เหตุไฉนพระองค์จึงทอดทิ้งข้าพระองค์’ เพราะพระเจ้าอวยพรผม”

ยามที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเหลือ ยังคงมีความหวัง

เขียนโดย เลสลี่ โคห์

คิดใคร่ครวญ :
มีสิ่งใดที่ช่วยให้คุณระลึกถึงและยึดมั่นในความหวังที่แน่นอนและมั่นคงว่าจะได้รับการปลดปล่อย การไว้วางใจพระเจ้าช่วยค้ำจุนคุณอย่างไรในช่วงยากลำบาก

อธิษฐาน :
เมื่อฉันรู้สึกถูกทอดทิ้ง ฉันยึดมั่นในความหวังที่มาจากการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ซึ่งวันหนึ่งจะปลดปล่อยฉันสู่ความชื่นชมยินดีนิรันดร์

ในอ้อมแขนของพระเจ้า

เสียงของเครื่องกรอฟันทำให้ซาร่าห์วัยห้าขวบหวาดกลัว เธอกระโดดออกจากเก้าอี้หมอฟันและไม่ยอมกลับไปนั่งอีก หมอฟันพยักหน้าอย่างเข้าใจและบอกกับพ่อของเธอว่า “คุณพ่อช่วยนั่งเก้าอี้ด้วยครับ” เจสันนึกว่าเขาจะต้องแสดงให้ลูกสาวเห็นว่ามันง่ายแค่ไหน แต่แล้วหมอฟันก็หันไปหาเด็กหญิงแล้วพูดว่า “ทีนี้ หนูปีนขึ้นมานั่งบนตักคุณพ่อหน่อย” ในตอนนี้เมื่อพ่อโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขนที่ให้ความมั่นใจ ซาร่าห์ก็รู้สึกผ่อนคลายและหมอฟันจึงสามารถทำงานต่อได้

ในวันนั้น เจสันได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญถึงเรื่องความอบอุ่นใจจากการสถิตอยู่ด้วยของพระบิดาในสวรรค์ “บางครั้งพระเจ้า [เลือกที่จะไม่] เปลี่ยนแปลงสิ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่” เขาพูด “แต่พระเจ้าทรงสำแดงให้ผมเห็นว่า ‘เราจะอยู่ตรงนั้นกับเจ้า’”

สดุดี 91 พูดถึงการทรงสถิตที่อบอุ่นใจและฤทธิ์เดชของพระเจ้าซึ่งประทานกำลังให้เราในการเผชิญการทดลอง การรู้ว่าเราสามารถเข้าไปพักสงบในอ้อมแขนอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้นั้้นทำให้เรามีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ดังที่พระองค์ทรงสัญญาต่อคนเหล่านั้นที่รักพระองค์ว่า “เมื่อเขาร้องทูลเรา เราจะตอบเขา เราจะอยู่กับเขาในยามลำบาก” (ข้อ 15)

ชีวิตมีอุปสรรคและการทดลองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้มากมาย และเราจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดและทรมานอย่างหนีไม่พ้น แต่ด้วยอ้อมแขนอันมั่นคงของพระเจ้าที่โอบกอดเราไว้ เราจะอดทนต่อสถานการณ์และวิกฤตการณ์ของเราได้ และยอมให้พระองค์เสริมกำลังความเชื่อของเราให้เข้มแข็งขึ้นขณะที่เราเติบโตผ่านเหตุการณ์เหล่านั้น

รับใช้เพื่อเห็นแก่พระเจ้า

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธแห่งอังกฤษเสด็จสวรรคตในเดือนกันยายนปี 2022 ทหารหลายพันนายถูกส่งไปร่วมขบวนแห่พระบรมศพ บทบาทของพวกเขาแต่ละคนคงจะไม่เป็นที่สังเกตเห็นในหมู่ฝูงชนจำนวนมาก แต่หลายคนถือว่านั่นเป็นเกียรติยศสูงสุด ทหารคนหนึ่งกล่าวว่านี่เป็น “โอกาสสุดท้ายที่จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อพระองค์” สำหรับเขาแล้วความสำคัญของหน้าที่นี้ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่ เขาทำ แต่เป็นผู้ที่ เขาทำถวายต่างหาก

คนเลวีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลเครื่องใช้ในพลับพลาก็มีเป้าหมายที่คล้ายกัน วงศ์เกอร์โชน วงศ์โคฮาท และวงศ์เมรารีได้รับมอบหมายต่างจากพวกปุโรหิตให้ทำหน้าที่ที่ดูเหมือนจำเจ คือ ทำความสะอาดเครื่องเรือน คันประทีป ผ้าม่าน เสา หลักหมุด และเชือกโยง (กดว.3:25-26, 28, 31, 36-37) แต่หน้าที่ของพวกเขาก็ได้รับการมอบหมายอย่างเฉพาะเจาะจงจากพระเจ้า คือทรงแต่งตั้งให้ “ปฏิบัติงานที่พลับพลา” (ข้อ 8) และได้รับการบันทึกไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อคนรุ่นหลัง

ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดกำลังใจอย่างมาก! ทุกวันนี้สิ่งที่พวกเราหลายคนทำทั้งที่ทำงาน ที่บ้าน หรือที่คริสตจักรอาจดูเล็กน้อยในสายตาของโลกที่ให้คุณค่ากับตำแหน่งและเงินเดือน แต่พระเจ้าทรงมองต่างออกไป ถ้าเราทำงานและรับใช้เพื่อเห็นแก่พระองค์ โดยพยายามทำให้ดีที่สุดและทำเพื่อถวายเกียรติแด่พระองค์ แม้จะเป็นงานที่เล็กน้อยที่สุด ถ้าเช่นนั้นงานของเราก็มีความสำคัญเพราะเรากำลังรับใช้องค์พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา