ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

ของขวัญที่เป็นไปไม่ได้

ฉันดีใจมากที่หาของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับวันเกิดของแม่สามีได้ เป็นสร้อยข้อมือที่มีอัญมณีประจำเดือนเกิดของท่านด้วย! การหาของขวัญที่สมบูรณ์แบบให้กับใครสักคนได้นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสมอ แต่ถ้าหากของขวัญที่ใครคนหนึ่งต้องการนั้นเกินกำลังของเราที่จะให้ได้ล่ะ มีหลายคนหวังว่าเราจะมอบความสบายใจ การหยุดพัก หรือแม้แต่ความอดทนให้กับคนอื่นได้ ถ้าสิ่งเหล่านั้นสามารถหาซื้อและนำมาห่อผูกโบว์ให้ได้ก็คงจะดี!

ของขวัญเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนๆหนึ่งจะมอบให้ใคร แต่พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่มีเลือดเนื้อของมนุษย์ได้ทรงมอบของขวัญที่ “เป็นไปไม่ได้” นี้ให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ คือของขวัญแห่งสันติสุข ก่อนที่จะทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และจากเหล่าสาวกไป พระเยซูได้ปลอบใจพวกเขาโดยสัญญาว่าจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ที่จะ “ทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ยน.14:26) พระองค์ทรงเสนอว่าจะมอบสันติสุขของพระองค์ให้เป็นของขวัญที่ยั่งยืนนานและไม่เสื่อมคลาย ในเวลาที่จิตใจของพวกเขาเป็นทุกข์หรือเมื่อพบเจอกับความกลัว พระองค์เองคือสันติสุขของเรากับพระเจ้า กับผู้อื่น และเป็นสันติสุขภายในเรา

เราอาจไม่มีความสามารถที่จะมอบความอดทนที่มากขึ้นเป็นพิเศษให้กับคนที่เรารัก หรือมอบสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้ตามที่เขาต้องการ เราไม่มีฤทธิ์อำนาจที่จะมอบสันติสุขที่เราทุกคนต้องการอย่างที่สุดเพื่อจะแบกรับความทุกข์ยากของชีวิตได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถนำเราให้พูดกับพวกเขาถึงเรื่องของพระเยซู ผู้ประทานให้และผู้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุขอันแท้จริงและยั่งยืนนาน

โครงการศิลปะบนชุดเดรสสีแดง

โครงการศิลปะบนชุดเดรสสีแดงนี้เกิดขึ้นโดย เคิร์สตี้ แมคคลาวด์ศิลปินชาวอังกฤษ และได้กลายมาเป็นงานนิทรรศการที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลก เป็นเวลาสิบสามปีที่ผ้าไหมสีแดงเข้มจำนวนแปดสิบสี่ผืนเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรับการปักลวดลายจากผู้หญิงมากกว่าสามร้อยคน (และผู้ชายอีกจำนวนหนึ่ง) จากนั้นจึงนำชิ้นผ้าเหล่านี้มาทำเป็นชุดเดรสยาว ที่บอกเล่าเรื่องราวของศิลปินแต่ละคนที่มีส่วนร่วม ซึ่งหลายคนเป็นคนชายขอบและคนยากไร้

เช่นเดียวกับชุดเดรสยาวสีแดงเข้มชุดนี้ เครื่องแต่งกายที่อาโรนและลูกหลานของท่านสวมใส่นั้นก็ทำโดย “ช่างฝีมือ” จำนวนมาก (อพย.28:3) คำบัญชาของพระเจ้าเรื่องเครื่องแต่งกายของปุโรหิตซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆที่บอกเล่าเรื่องราวที่คนอิสราเอลทุกคนมีส่วนร่วม รวมถึงการสลักชื่อชนเผ่าต่างๆบนแก้วโกเมนที่จะอยู่บนบ่าของปุโรหิต “เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงระลึกถึงพวกเขาเสมอ” (ข้อ 12 TNCV) เสื้อคลุม รัดประคดและหมวกทำให้ปุโรหิต “สมเกียรติและงดงาม” ขณะเมื่อพวกเขาปรนนิบัติพระเจ้าและนำประชาชนในการนมัสการ (ข้อ 40)

ในฐานะผู้เชื่อพระเยซูในยุคพันธสัญญาใหม่ เราร่วมกันเป็นปุโรหิตของบรรดาผู้เชื่อ โดยรับใช้พระเจ้าและนำกันและกันในการนมัสการ (1 ปต.2:4-5, 9) โดยมีพระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของเรา (ฮบ.4:14) แม้ว่าเราจะไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายพิเศษใดๆเพื่อบ่งบอกว่าพวกเราเป็นปุโรหิต แต่โดยความช่วยเหลือจากพระองค์ เราจึง “สวม[ตัวเรา]ด้วยใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12)

เทศกาลแห่งการนมัสการ

การร่วมในงานประชุมขนาดใหญ่อาจทำให้คุณเปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่า 1,200 คนในงานประชุมใหญ่หลายวันในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา นักวิจัยดาเนียล ยุดคินและเพื่อนร่วมงานของเขาได้เรียนรู้ว่า การชุมนุมหรือเทศกาลขนาดใหญ่สามารถส่งผลกระทบต่อเข็มทิศทางศีลธรรมของเรา และอาจส่งผลต่อความตั้งใจของเราในการแบ่งปันทรัพยากรกับผู้อื่น งานวิจัยของพวกเขาพบว่าร้อยละ 63 ของผู้เข้าร่วมงานได้รับประสบการณ์แห่งการ “เปลี่ยนแปลง” ในงานชุมนุม ทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและมีน้ำใจต่อเพื่อน ครอบครัว และแม้แต่คนที่แปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารวมตัวกับผู้อื่นเพื่อนมัสการพระเจ้า เราจะได้สัมผัสมากกว่าแค่ “การเปลี่ยนแปลง” ทางสังคมจากการชุมนุมทางโลก แต่เราจะได้สื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง ประชากรของพระเจ้ามีประสบการณ์เชื่อมโยงกับพระองค์เช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อพวกเขารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มในสมัยโบราณเพื่อร่วมเทศกาลอันศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งปี พวกเขาเดินทางโดยปราศจากเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อไปยังพระวิหารปีละสามครั้งเพื่อร่วม “เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง” (ฉธบ.16:16) การชุมนุมเหล่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งการรำลึก การนมัสการ และการชื่นชมยินดี “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”ร่วมกับครอบครัว คนรับใช้ คนต่างชาติ และคนอื่นๆ(ข้อ 11)

ให้เรารวมตัวกับผู้อื่นในการนมัสการ เพื่อช่วยซึ่งกันและกันให้ชื่นชมยินดี ในพระเจ้าและเชื่อวางใจในความสัตย์ซื่อของพระองค์เรื่อยไป

ช็อกโกแลตเกล็ดหิมะ

ชาวเมืองออลเทน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่างตะลึงกับเศษช็อกโกแลตที่โปรยปรายลงมาทั่วเมือง ระบบระบายอากาศของโรงงานช็อกโกแลตในบริเวณใกล้เคียงทำงานผิดปกติ โดยปล่อยผงโกโก้ออกไปในอากาศและทำให้บริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยละอองผงของขนมหวาน การเคลือบด้วยช็อกโกแลตฟังดูเหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับคนที่คลั่งไคล้ช็อกโกแลต!

แม้ว่าช็อกโกแลตจะไม่ได้ให้คุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอต่อความต้องการของคนๆหนึ่ง แต่พระเจ้าประทานอาหารดุจฝนจากท้องฟ้าให้กับคนอิสราเอลที่เพียงพอ เมื่อพวกเขาเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเริ่มคร่ำครวญถึงอาหารนานาชนิดที่ตนทิ้งไว้เมื่อออกจากอียิปต์ พระเจ้าจึงตรัสว่าจะประทาน “อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝน” เพื่อค้ำจุนพวกเขา (อพย.16:4) ทุกวันเมื่อน้ำค้างยามเช้าเหือดแห้ง จะยังคงมีอาหารเกล็ดเล็กๆเหลืออยู่ ชนชาติอิสราเอลประมาณสองล้านคนได้รับคำสั่งให้เก็บรวบรวมเท่าที่พวกเขาพอรับประทานอิ่มในวันนั้น เป็นเวลาสี่สิบปีที่พวกเขาวนเวียนในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยมานาซึ่งเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ

เรารู้เรื่องมานาเพียงเล็กน้อยว่า “เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง” (ข้อ 31) แม้ว่ามานาอาจฟังดูไม่น่าดึงดูดเท่าการกินช็อกโกแลต แต่ความหวานชื่นในการจัดเตรียมของพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์นั้นชัดเจน มานานำเราไปยังพระเยซูผู้ทรงเรียกพระองค์เองว่า “อาหารแห่งชีวิต” (ยน.6:48) ซึ่งค้ำจุนเราทุกวันและให้ความมั่นใจเรื่องชีวิตนิรันดร์แก่เรา (ข้อ 51)

ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

เมื่อลูกสาวของฉันอายุสิบแปดปี เธอก้าวเข้าสู่ช่วงวัยใหม่ของชีวิตคือการบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ตอนนี้เธอมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า และในไม่ช้าก็จะเริ่มใช้ชีวิตหลังเรียนจบมัธยมปลาย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ฉันตระหนักถึงความเร่งด่วนว่า ฉันเหลือเวลาอันมีค่าที่เธอยังอยู่ในการดูแลของฉันอีกไม่มากแล้ว ที่จะถ่ายทอดสติปัญญาที่เธอจำเป็นต้องมีในการเผชิญกับโลกนี้ด้วยตัวเอง เช่น การจัดการด้านการเงิน การระแวดระวังต่อสิ่งเย้ายวนทางโลก และการตัดสินใจอย่างถูกต้อง

การตระหนักถึงหน้าที่ในการสอนลูกสาวให้พร้อมรับมือกับชีวิตเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะฉันรักและปรารถนาให้เธอมีชีวิตที่ดี แต่ขณะทำหน้าที่อันสำคัญนี้ ฉันยังตระหนักด้วยว่านี่ไม่ใช่งานของฉันคนเดียวหรือเป็นงานของฉันตั้งแต่ต้น ในถ้อยคำที่เปาโลกล่าวแก่ชาวเธสะโลนิกา กลุ่มคนที่ท่านถือว่าเป็นบุตรในความเชื่อเพราะท่านได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซู ท่านตักเตือนให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (1ธส.5:14-15) แต่ที่สุดแล้วท่านได้มอบการเติบโตของพวกเขาไว้กับพระเจ้า ท่านยอมรับว่าพระเจ้าจะทรง “ชำระ [พวกเขา] ให้บริสุทธิ์หมดจด” (ข้อ 23 TNCV)

เปาโลวางใจให้พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้ คือการเตรียม “วิญญาณ จิตใจ และร่างกาย” ของพวกเขาเพื่อการเสด็จกลับมาของพระเยซู (ข้อ 23) แม้จดหมายของท่านถึงชาวเธสะโลนิกาจะมีคำแนะนำต่างๆ แต่การที่ท่านไว้วางใจในพระเจ้าในเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเขาและการทรงจัดเตรียมสอนเราว่า ที่สุดแล้วการเติบโตในชีวิตของผู้คนที่เราห่วงใยนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า (1คร.3:6)

เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ

ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว ในคืนก่อนที่เราจะเติมอากาศให้กับสนามหญ้านั้น มีพายุลมแรงได้พัดเอาเมล็ดของต้นเมเปิ้ลร่วงหล่นลงมาด้วยการพัดเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อเครื่องเติมอากาศแยกดินที่ยึดกันแน่นโดยการดึง “แกน” เล็กๆออกจากดิน มันก็ได้ปลูกเมล็ดเมเปิ้ลกว่าร้อยเมล็ดในสวนของฉัน อีกเพียงสองอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันก็มีป่าต้นเมเปิ้ลที่เริ่มโตขึ้นในสนามหญ้า!

เมื่อฉันเริ่มสำรวจเจ้าต้นไม้ที่อยู่ผิดที่ผิดทางนี้ (ด้วยความหงุดหงิดใจ) ฉันประหลาดใจกับความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตใหม่จำนวนมากที่เริ่มต้นขึ้นจากต้นไม้เพียงต้นเดียว สำหรับฉันต้นไม้เล็กๆแต่ละต้นกลายเป็นภาพของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งฉันในฐานะคนหนึ่งคนสามารถแบ่งปันกับคนอื่นได้ เราแต่ละคนจะมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่จะ “ตอบทุกคน...ว่าท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด” (1 ปต.3:15) ในช่วงชีวิตของเรา

เมื่อเรา “ทนทุกข์เพราะเหตุประพฤติการชอบธรรม” ด้วยความหวังในพระเยซู (ข้อ 14) คนรอบข้างจะมองเห็นและสิ่งนี้อาจสร้างความสงสัยแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากเราพร้อมเมื่อพวกเขาถาม เราอาจได้แบ่งปันเมล็ดพันธุ์นั้นที่พระเจ้าจะนำมาซึ่งชีวิตใหม่ เราไม่จำเป็นต้องแบ่งปันกับทุกคนภายในครั้งเดียวเหมือนกับเป็นลมพายุฝ่ายจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงไปในหัวใจที่พร้อมจะรับได้ด้วยความอ่อนโยนและอ่อนสุภาพ

การค้นพบสิ่งทรงสร้าง

ครูเบรา-โวรอนญ่าเป็นถ้ำในประเทศจอร์เจีย ทวีปยูเรเซียที่มีความลึกที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบมา คณะนักสำรวจได้ทำการสำรวจความลึกที่มืดและน่ากลัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นโพรงแนวดิ่งความยาวถึง 2,197 เมตร หรือเท่ากับ 7,208 ฟุตลึกลงไปในพื้นโลก! ถ้ำที่คล้ายกันซึ่งมีอยู่ประมาณสี่ร้อยแห่งตั้งอยู่ในส่วนอื่นๆของประเทศและทั่วโลก การค้นพบถ้ำใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาและมีการบันทึกสถิติความลึกใหม่ๆเอาไว้

ความลึกลับของสรรพสิ่งยังคงถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เพิ่มพูนมากขึ้น และทำให้เราต้องอัศจรรย์ใจกับความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในฝีพระหัตถ์พระเจ้าบนโลกนี้ที่พระองค์เรียกให้เราดูแล (ปฐก.1:26-28) ผู้เขียนสดุดีเชิญชวนให้เรา “ร้องเพลง” และ “กระทำเสียงชื่นบาน” ถวายพระเจ้าเพราะความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (ข้อ 1) ในขณะที่เราจะเฉลิมฉลองวันคุ้มครองโลกในวันพรุ่งนี้ ให้เราพิจารณาพระราชกิจแห่งการทรงสร้างอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า ทุกสิ่งในพระราชกิจนั้นทั้งที่เราค้นพบแล้วหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นเหตุผลให้เราก้มกราบนมัสการพระองค์ (ข้อ 6)

พระเจ้าไม่เพียงทรงรู้ถึงความใหญ่โตและขนาดของสิ่งที่ทรงสร้าง แต่ยังทรงรู้ถึงความลึกล้ำในใจของเราทั้งหลายด้วย และเราจะต้องพบเจอกับฤดูกาลของชีวิตที่มืดและอาจจะน่ากลัวเช่นเดียวกับถ้ำในจอร์เจีย แต่เรารู้ว่าเวลาเหล่านั้นจะอยู่ในการทรงดูแลอันทรงฤทธิ์แต่อ่อนโยนของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีบันทึกไว้ว่า เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็น “แกะแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 7)

การรักษาที่ลึกกว่าเดิม

ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ปี 2020 รูปปั้นพระคริสต์พระผู้ไถ่ ที่มีชื่อเสียงซึ่งมองไปยังเมืองริโอ เดอ จาเนโรในประเทศบราซิลได้รับการประดับไฟให้ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงสวมชุดแพทย์ การนำเสนอภาพของพระคริสต์ในฐานะแพทย์นั้นก็เพื่อเป็นการยกย่องบุคลากรด้านสาธารณสุขในแนวหน้าที่กำลังต่อสู้กับการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโคโรนา ภาพนั้นทำให้คำบรรยายที่พูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นดูมีชีวิตขึ้นมา (มก.2:17)

พระเยซูทรงรักษาคนมากมายจากความเจ็บป่วยทางกายในขณะทรงทำพระราชกิจบนโลก ไม่ว่าจะเป็นชายตาบอดบารทิเมอัส (มก.10:46-52) คนโรคเรื้อน (ลก.5:12-16) คนง่อย (มธ.9:1-8) นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นพระองค์แสดงความห่วงใยในสุขภาพของผู้ที่ติดตามพระองค์โดยทรงทวีคูณอาหารธรรมดาๆเพื่อเลี้ยงดูฝูงชนที่หิวโหย (ยน.6:1-13) การอัศจรรย์แต่ละครั้งเปิดเผยถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และความอันรักแท้จริงของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์

อย่างไรก็ตามการเยียวยารักษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ คือการยอมสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ ที่ได้พยากรณ์ไว้โดยผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “ที่ท่าน [พระเยซู]ต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” จากความทุกข์ที่เลวร้ายที่สุดของเรา นั่นคือการแยกขาดจากพระเจ้าจากผลของความบาป (อสย.53:5) แม้พระเยซูไม่ได้รักษาความเจ็บป่วยทั้งหมดของเรา แต่เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงรักษาความต้องการในส่วนที่ลึกที่สุดของเรา นั่นคือการเยียวยารักษาที่นำเรากลับมาสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าอีกครั้ง

ดนตรีบำบัด

เมื่อเบลล่าวัยห้าขวบต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลในรัฐนอร์ทดาโกต้า เธอได้รับการบำบัดด้วยดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา หลายคนเคยได้สัมผัสถึงผลลัพธ์อันทรงพลังของดนตรีที่มีต่ออารมณ์แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยหลายคนได้ทำการบันทึกข้อมูลทางคลีนิคถึงผลดีในการรักษา ในขณะนี้ดนตรีได้ถูกกำหนดให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเหมือนกับเบลล่า และผู้ป่วยอื่นๆที่กำลังทนทุกข์จากโรคพาร์กินสัน ภาวะสมองเสื่อม และผู้บอบช้ำทางจิตใจ

กษัตริย์ซาอูลทรงเข้าหาดนตรีบำบัดเมื่อพระองค์ทุกข์ทรมาน มหาดเล็กเห็นความทรมานของพระองค์และแนะนำให้หาคนที่สามารถดีดพิณถวาย โดยหวังจะทำให้พระองค์ “หายดี” (1ซมอ.16:16) พวกเขานำเสนอดาวิดบุตรชายของเจสซี และซาอูลทรงพอพระทัยในตัวดาวิดและขอให้ดาวิด “อยู่รับราชการ [กับพระองค์]” (ข้อ 22) ดาวิดดีดพิณถวายซาอูลเมื่อพระองค์ขาดความสงบสุข ทำให้พระองค์ผ่อนคลายจากความปวดร้าว

เราอาจเพิ่งค้นพบทางวิทยาศาสตร์ถึงผลลัพธ์ของดนตรีที่มีต่อเราซึ่งพระเจ้าทรงทราบมาตั้งแต่แรก ในฐานะพระผู้สร้างทั้งร่างกายของเราและดนตรีนั้น พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมยาเพื่อสุขภาพที่พร้อมให้เราทุกคนเข้าถึงได้ไว้แล้วไม่ว่าเราจะอยู่ในยุคสมัยใด หรือการไปพบแพทย์จะเป็นเรื่องยากง่ายเพียงไรแม้กระทั่งในเวลาที่ไม่มีหนทางให้เราได้สดับฟัง เราก็ยังสามารถร้องเพลงถวายพระเจ้าในท่ามกลางความสุขและในยามทุกข์ของเรา (สดด.59:16; กจ.16:25)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา