ทุ่งหญ้าร้องเพลง
ฉันมักหยอกล้อแม่สามีด้วยความรักอยู่บ่อยๆในเรื่องที่เธอสามารถพูดคุยกับสุนัขของเธอได้ เธอตอบสนองต่อเสียงเห่าของพวกมันด้วยความเข้าใจจากความรัก และเธอกับเจ้าของสุนัขจากทุกมุมโลกอาจฟังเสียงเจ้าตูบหัวเราะด้วยก็เป็นได้ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสัตว์หลายชนิดรวมทั้ง สุนัข วัว สุนัขจิ้งจอก แมวน้ำ และนกแก้ว ล้วนมี “พฤติกรรมการเล่นเสียง” หรือที่รู้กันว่าเป็นเสียงหัวเราะ การระบุเสียงเหล่านี้จะช่วยแยกความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการเล่นของสัตว์กับสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการต่อสู้กันในมุมมองของมนุษย์
การหัวเราะและการแสดงความสุขของสัตว์ ทำให้เราได้เห็นภาพอันน่าชื่นชมยินดีว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างอื่นๆมีวิธีสรรเสริญพระเจ้าตามวิถีของมันอย่างไร เมื่อกษัตริย์ดาวิดมองดูสิ่งรอบตัว ท่านได้เห็นว่า “เนินเขาคาดเอวด้วยความชื่นบาน” และป่าพงกับหุบเขา “โห่ร้อง” ด้วยความชื่นบาน (สดด.65:12-13) ดาวิดระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงดูแลและทำให้แผ่นดินอุดมสมบูรณ์ ทรงประทานทั้งความงามและการค้ำจุนดูแล
แม้สิ่งรอบตัวเราจะไม่ได้ “ร้องเพลง” ออกมาจริงๆ แต่ทุกสิ่งเป็นพยานถึงพระเจ้าที่ยังทรงกระทำกิจอยู่ในการทรงสร้างของพระองค์ และในทางกลับกันก็ได้เชิญชวนให้เราสรรเสริญพระองค์ด้วยเสียงของเรา ขอให้เราในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของ “ผู้ที่อยู่ในเขตแผ่นดินโลก” จง “เกรงกลัวต่อหมายสำคัญของพระองค์” และตอบสนองต่อพระองค์ด้วย “[บทเพลงแห่ง]ความชื่นบาน” (ข้อ 8 TNCV) เราวางใจได้ว่าพระองค์ทรงสดับฟังและเข้าใจเสียงเหล่านั้น
พูดตามที่พระเจ้าทรงช่วยเรา
โดยปกติแล้วไม่มีใครคิดว่าผีเสื้อเป็นสัตว์ที่มีเสียงดัง เสียงกระพือปีกของผีเสื้อจักรพรรดิตัวเดียวนั้นเบาจนเราแทบจะไม่ได้ยิน แต่ในป่าฝนของเม็กซิโกซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดนั้นเสียงกระพือปีกของพวกมันดังจนน่าประหลาดใจ เมื่อผีเสื้อจักรพรรดินับล้านตัวกระพือปีกพร้อมกัน เสียงจะดังราวกับน้ำตกที่ไหลเชี่ยว
ภาพเดียวกันนี้เกิดขึ้นเมื่อสัตว์ปีกที่แตกต่างกันสี่ตัวปรากฏขึ้นในนิมิตของเอเสเคียล แม้พวกมันจะมีจำนวนน้อยกว่าผีเสื้อ แต่ท่านเปรียบเสียงกระพือปีกของพวกมันเหมือน “เสียงของน้ำมากหลาย” (อสค.1:24) เมื่อสัตว์เหล่านั้นหยุดนิ่งและหุบปีกลง เอเสเคียลได้ยินเสียงของพระเจ้าบอกให้ท่าน “กล่าวถ้อยคำ [ของพระเจ้า ] ให้ [ชนอิสราเอล] ฟัง” (2:7)
เช่นเดียวกับผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมคนอื่นๆ เอเสเคียลได้รับหน้าที่ให้พูดความจริงกับประชากรของพระเจ้า ในวันนี้พระเจ้าขอให้เราทุกคนแบ่งปันความจริงถึงพระราชกิจอันดีที่พระองค์ทรงกระทำในชีวิตของเรากับผู้คนที่พระองค์ทรงวางไว้รอบตัวเรา (1 ปต.3:15) บางครั้งจะมีคนตั้งคำถามกับเรา ซึ่งเป็นเหมือนคำเชิญให้แบ่งปันคำพยานด้วยเสียงที่ “ดัง” ราวกับเสียงน้ำตก แต่บางครั้งคำเชื้อเชิญนั้นอาจเป็นแค่เสียงกระซิบเบาๆ เช่น การที่เราเห็นว่ามีคนต้องการความช่วยเหลือโดยที่ไม่ได้พูดออกมา ไม่ว่าคำเชื้อเชิญให้แบ่งปันความรักของพระเจ้าจะดังราวกับเสียงของผีเสื้อนับล้านตัว หรือเบาราวกับผีเสื้อเพียงตัวเดียว เราต้องทำเช่นเดียวกับเอเสเคียล คือเงี่ยหูฟังสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เราพูด
บำเหน็จของความถ่อมใจ
แครี่นั้นเป็นเหมือนกับครูจำนวนมากที่อุทิศเวลานับไม่ถ้วนให้กับอาชีพของเธอ โดยมักตรวจให้คะแนนรายงาน และพูดคุยกับนักเรียนและผู้ปกครองจนเย็นค่ำ เพื่อรักษามาตรฐานในการทำงานเช่นนี้ไว้ เธอจึงพึ่งพาการช่วยเหลือและสนับสนุนจากกลุ่มเพื่อนร่วมงาน งานที่ท้าทายของเธอจึงง่ายขึ้นด้วยการทำงานร่วมกัน ผลวิจัยจากนักการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้พบว่า การทำงานร่วมกันจะส่งผลดีมากขึ้นเมื่อคนที่เราทำงานด้วยนั้นแสดงความถ่อมใจ เมื่อเพื่อนร่วมงานเต็มใจที่จะยอมรับจุดอ่อนของตน คนอื่นๆก็จะรู้สึกปลอดภัยที่จะแบ่งปันความรู้ให้กันและกัน ซึ่งจะช่วยทุกคนในกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พระคัมภีร์สอนเรื่องที่มีความสำคัญมากยิ่งกว่าแค่การทำงานร่วมกันของความถ่อมใจ และการมี “ความยำเกรงพระเจ้า” ซึ่งก็คือการเข้าใจอย่างถูกต้องว่าเราเป็นใครเมื่อเทียบกับความงดงาม ฤทธิ์อำนาจและความโอ่อ่าตระการของพระเจ้า ความเข้าใจนี้จะส่งผลให้เกิด “ความมั่งคั่ง เกียรติและชีวิต” (สภษ.22:4) ความถ่อมใจจะนำให้เราอยู่ในชุมชนอย่างเกิดผลทั้งในระบบเศรษฐกิจของโลกนี้ และของพระเจ้า เพราะเราพยายามที่จะทำประโยชน์ให้เพื่อนมนุษย์ผู้เป็นพระฉายของพระองค์เช่นกัน
เราไม่ได้ยำเกรงพระเจ้าเพื่อต้องการจะได้รับ “ความมั่งคั่ง เกียรติและชีวิต” สำหรับตัวเราเอง นั่นไม่ใช่ความถ่อมใจที่แท้จริง แต่เราเลียนแบบพระเยซูผู้ “ได้กลับทรงสละและทรงรับสภาพทาส” (ฟป.2:7) เพื่อเราจะเป็นส่วนหนึ่งของพระกายที่ร่วมมือกันด้วยความถ่อมใจเพื่อทำงานของพระองค์ ถวายเกียรติแด่พระองค์ และนำความหมายของชีวิตไปยังโลกรอบตัวเรา
จุดสนใจที่ถูกต้อง
เป็นเวลากว่าหนึ่งปีแล้วที่เราได้รู้จักกับ คา เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มเซลในคริสตจักรของเราที่พบกันทุกสัปดาห์ เพื่อพูดคุยถึงสิ่งที่เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เย็นวันหนึ่งระหว่างที่เรามีประชุมตามปกติ คาพูดถึงการเคยเข้าร่วมแข่งขันกีฬาโอลิมปิก เขาพูดถึงมันแบบธรรมดาจนฉันเกือบจะไม่ทันได้สังเกตเกือบไป ทันใดนั้นฉันจึงได้รู้ว่าฉันรู้จักกับนักกีฬาโอลิมปิกผู้ซึ่งเคยแข่งขันในรอบชิงเหรียญทองแดง! ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย แต่สำหรับคา แม้ความสำเร็จด้านกีฬาจะเป็นเรื่องพิเศษในชีวิตของเขา แต่มีสิ่งที่สำคัญกว่าซึ่งเป็นหัวใจแห่งตัวตนของเขา นั่นคือ ครอบครัว ชุมชน และความเชื่อของเขา
เรื่องราวในลูกา 10:1-23 อธิบายถึงสิ่งที่ควรเป็นหัวใจแห่งอัตลักษณ์ตัวตนของเรา เมื่อทั้งเจ็ดสิบสองคนที่พระเยซูส่งออกไปประกาศเรื่องแผ่นดินของพระเจ้ากลับมาจากการเดินทาง พวกเขารายงานต่อพระองค์ว่า “ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกข้าพระองค์โดยพระนามของพระองค์” (ข้อ 17) แต่แม้พระเยซูทรงยอมรับว่าได้ประทานฤทธิ์เดชมหาศาลและการคุ้มครองแก่พวกเขา พระองค์ตรัสว่าพวกเขาให้ความสนใจในสิ่งที่ผิด พระองค์ทรงกำชับว่าพวกเขาควรชื่นชมยินดีเพราะ “ชื่อของท่านจดไว้ในสวรรค์” (ข้อ 20)
ไม่ว่าพระเจ้าจะประทานความสำเร็จหรือความสามารถใดให้แก่เรา แต่เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับความชื่นชมยินดีของเราคือ ถ้าเรามอบถวายตนเองแด่พระเยซู ชื่อของเราจะถูกจดไว้ในสวรรค์ และเราจะมีความสุขกับการมีพระองค์สถิตอยู่ด้วยในชีวิตทุกวัน
ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น
พ่อของฟิลลิปทุกข์ทรมานจากอาการป่วยทางจิตขั้นรุนแรงและออกจากบ้านไปอาศัยอยู่ข้างถนน หลังจากที่ซินดี้กับฟิลลิปลูกชายคนเล็กใช้เวลาหนึ่งวันในการตามหาเขา ฟิลลิปมีเหตุผลที่จะเป็นห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของพ่อ เขาถามแม่ว่าพ่อและคนอื่นๆที่ไม่มีบ้านอยู่จะอบอุ่นไหม จากเรื่องนี้ พวกเขาจึงเริ่มลงมือในการพยายามรวบรวมและแจกจ่ายผ้าห่มและอุปกรณ์กันหนาวให้กับคนจรจัดในพื้นที่ เป็นเวลากว่าทศวรรษที่ซินดี้มองว่านี่คืองานในชีวิตของเธอ โดยให้เครดิตกับลูกชายและความเชื่อในพระเจ้าอันลึกซึ้งของเธอ ที่ปลุกเธอให้เข้าใจความจริงถึงความยากลำบากของการไร้ซึ่งที่หลับนอนอันอบอุ่น
พระคัมภีร์สอนเรามานานแล้วให้ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น ในพระธรรมอพยพ โมเสสบันทึกกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งเพื่อเป็นแนวทางแก่เราในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ที่ขาดแคลนทรัพยากร เมื่อเราได้รับการกระตุ้นให้ตอบสนองความต้องการของผู้อื่น เราจะต้อง “ไม่ปฏิบัติเหมือนเป็นข้อตกลงทางธุรกิจ” และไม่ควรสร้างความได้เปรียบหรือกำไรจากสิ่งนั้น (อพย.22:25) หากเสื้อคลุมของบุคคลใดถูกยึดเป็นหลักประกัน ก็จะต้องส่งคืนก่อนตะวันตกดิน “เพราะเขาอาจมีเสื้อคลุมตัวนั้นตัวเดียวเป็นเครื่องปกคลุมร่างกาย มิฉะนั้นเวลานอนเขาจะเอาอะไรห่มเล่า” (ข้อ 27)
ขอให้เราทูลต่อพระเจ้าที่จะทรงเปิดดวงตาและหัวใจของเราให้มองเห็นว่าจะช่วยบรรเทาความทุกข์ทรมานของผู้ที่กำลังทนทุกข์ได้อย่างไร ไม่ว่าเราจะพยายามตอบสนองความต้องการของคนๆเดียวหรือของคนจำนวนมากเหมือนที่ซินดี้กับฟิลลิปได้กระทำ เราก็ได้ถวายเกียรติแด่พระองค์โดยปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างให้เกียรติและเอาใจใส่
ข้าพระองค์เป็นผู้ใด
ในฐานะสมาชิกของกลุ่มผู้นำในพันธกิจท้องถิ่น หน้าที่หนึ่งของฉันคือการเชิญคนให้มาร่วมกับเราในฐานะหัวหน้ากลุ่มอภิปราย ในคำเชิญของฉันจะอธิบายถึงข้อผูกมัดด้านเวลาและให้ภาพคร่าวๆถึงวิธีการที่ผู้นำจะใช้ในการมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในกลุ่มย่อยของตน ทั้งในการประชุมและระหว่างการพูดคุยทางโทรศัพท์ ฉันมักลังเลที่จะเรียกร้องจากคนอื่นเพราะรู้ว่าพวกเขาจะต้องเสียสละในการมาเป็นผู้นำ แต่บางครั้งคำตอบของพวกเขาทำให้ฉันรู้สึกตื้นตัน “ผมรู้สึกเป็นเกียรติ” แทนที่จะกล่าวอ้างเหตุผลดีๆ เพื่อปฏิเสธ พวกเขากลับพูดถึงความซาบซึ้งต่อพระเจ้าในทุกสิ่งที่ทรงกระทำในชีวิตของพวกเขาว่าเป็นเหตุผลที่พวกเขาอยากจะตอบแทนด้วยการให้
เมื่อถึงเวลาที่จะต้องถวายเพื่อสร้างพระนิเวศน์ของพระเจ้า ดาวิดตอบสนองในทำนองเดียวกันว่า “แต่ข้าพระองค์เป็นผู้ใดและชนชาติของข้าพระองค์เป็นผู้ใด ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะสามารถถวายแด่พระองค์ด้วยความเต็มใจเช่นนี้” (1พศด.29:14) น้ำใจอันกว้างขวางของดาวิดถูกขับเคลื่อนด้วยความซาบซึ้งในพระราชกิจของพระเจ้าที่มีในชีวิตของท่านและประชากรอิสราเอล คำตอบของท่านแสดงให้เห็นถึงความถ่อมใจและการรับรู้ถึงความดีของพระเจ้าที่มีต่อ “คนต่างด้าวต่างแดนต่อพระพักตร์พระองค์” (ข้อ 15)
การถวายเพื่อพันธกิจของพระเจ้าไม่ว่าจะเป็นด้านเวลา ความสามารถ หรือทรัพย์สิน ล้วนแต่สะท้อนถึงความกตัญญูที่เรามีต่อพระองค์ผู้ประทานให้เราก่อน ทุกสิ่งที่เรามีล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระองค์ (ข้อ 14) เราจึงสามารถถวายแด่พระองค์ด้วยความกตัญญูเป็นการตอบแทน
ของขวัญที่เป็นไปไม่ได้
ฉันดีใจมากที่หาของขวัญที่สมบูรณ์แบบสำหรับวันเกิดของแม่สามีได้ เป็นสร้อยข้อมือที่มีอัญมณีประจำเดือนเกิดของท่านด้วย! การหาของขวัญที่สมบูรณ์แบบให้กับใครสักคนได้นั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีเสมอ แต่ถ้าหากของขวัญที่ใครคนหนึ่งต้องการนั้นเกินกำลังของเราที่จะให้ได้ล่ะ มีหลายคนหวังว่าเราจะมอบความสบายใจ การหยุดพัก หรือแม้แต่ความอดทนให้กับคนอื่นได้ ถ้าสิ่งเหล่านั้นสามารถหาซื้อและนำมาห่อผูกโบว์ให้ได้ก็คงจะดี!
ของขวัญเช่นนี้เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่คนๆหนึ่งจะมอบให้ใคร แต่พระเยซูผู้ทรงเป็นพระเจ้าที่มีเลือดเนื้อของมนุษย์ได้ทรงมอบของขวัญที่ “เป็นไปไม่ได้” นี้ให้กับผู้ที่เชื่อในพระองค์ คือของขวัญแห่งสันติสุข ก่อนที่จะทรงเสด็จขึ้นสู่สวรรค์และจากเหล่าสาวกไป พระเยซูได้ปลอบใจพวกเขาโดยสัญญาว่าจะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ที่จะ “ทรงสอนท่านทั้งหลายทุกสิ่ง และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่ท่านแล้ว” (ยน.14:26) พระองค์ทรงเสนอว่าจะมอบสันติสุขของพระองค์ให้เป็นของขวัญที่ยั่งยืนนานและไม่เสื่อมคลาย ในเวลาที่จิตใจของพวกเขาเป็นทุกข์หรือเมื่อพบเจอกับความกลัว พระองค์เองคือสันติสุขของเรากับพระเจ้า กับผู้อื่น และเป็นสันติสุขภายในเรา
เราอาจไม่มีความสามารถที่จะมอบความอดทนที่มากขึ้นเป็นพิเศษให้กับคนที่เรารัก หรือมอบสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นได้ตามที่เขาต้องการ เราไม่มีฤทธิ์อำนาจที่จะมอบสันติสุขที่เราทุกคนต้องการอย่างที่สุดเพื่อจะแบกรับความทุกข์ยากของชีวิตได้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์สามารถนำเราให้พูดกับพวกเขาถึงเรื่องของพระเยซู ผู้ประทานให้และผู้เป็นตัวแทนแห่งสันติสุขอันแท้จริงและยั่งยืนนาน
โครงการศิลปะบนชุดเดรสสีแดง
โครงการศิลปะบนชุดเดรสสีแดงนี้เกิดขึ้นโดย เคิร์สตี้ แมคคลาวด์ศิลปินชาวอังกฤษ และได้กลายมาเป็นงานนิทรรศการที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลก เป็นเวลาสิบสามปีที่ผ้าไหมสีแดงเข้มจำนวนแปดสิบสี่ผืนเดินทางไปทั่วโลกเพื่อรับการปักลวดลายจากผู้หญิงมากกว่าสามร้อยคน (และผู้ชายอีกจำนวนหนึ่ง) จากนั้นจึงนำชิ้นผ้าเหล่านี้มาทำเป็นชุดเดรสยาว ที่บอกเล่าเรื่องราวของศิลปินแต่ละคนที่มีส่วนร่วม ซึ่งหลายคนเป็นคนชายขอบและคนยากไร้
เช่นเดียวกับชุดเดรสยาวสีแดงเข้มชุดนี้ เครื่องแต่งกายที่อาโรนและลูกหลานของท่านสวมใส่นั้นก็ทำโดย “ช่างฝีมือ” จำนวนมาก (อพย.28:3) คำบัญชาของพระเจ้าเรื่องเครื่องแต่งกายของปุโรหิตซึ่งประกอบด้วยรายละเอียดต่างๆที่บอกเล่าเรื่องราวที่คนอิสราเอลทุกคนมีส่วนร่วม รวมถึงการสลักชื่อชนเผ่าต่างๆบนแก้วโกเมนที่จะอยู่บนบ่าของปุโรหิต “เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงระลึกถึงพวกเขาเสมอ” (ข้อ 12 TNCV) เสื้อคลุม รัดประคดและหมวกทำให้ปุโรหิต “สมเกียรติและงดงาม” ขณะเมื่อพวกเขาปรนนิบัติพระเจ้าและนำประชาชนในการนมัสการ (ข้อ 40)
ในฐานะผู้เชื่อพระเยซูในยุคพันธสัญญาใหม่ เราร่วมกันเป็นปุโรหิตของบรรดาผู้เชื่อ โดยรับใช้พระเจ้าและนำกันและกันในการนมัสการ (1 ปต.2:4-5, 9) โดยมีพระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิตของเรา (ฮบ.4:14) แม้ว่าเราจะไม่ได้สวมเครื่องแต่งกายพิเศษใดๆเพื่อบ่งบอกว่าพวกเราเป็นปุโรหิต แต่โดยความช่วยเหลือจากพระองค์ เราจึง “สวม[ตัวเรา]ด้วยใจเมตตา ใจปรานี ใจถ่อม ใจอ่อนสุภาพ ใจอดทนไว้นาน” (คส.3:12)
เทศกาลแห่งการนมัสการ
การร่วมในงานประชุมขนาดใหญ่อาจทำให้คุณเปลี่ยนไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ หลังจากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากกว่า 1,200 คนในงานประชุมใหญ่หลายวันในสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา นักวิจัยดาเนียล ยุดคินและเพื่อนร่วมงานของเขาได้เรียนรู้ว่า การชุมนุมหรือเทศกาลขนาดใหญ่สามารถส่งผลกระทบต่อเข็มทิศทางศีลธรรมของเรา และอาจส่งผลต่อความตั้งใจของเราในการแบ่งปันทรัพยากรกับผู้อื่น งานวิจัยของพวกเขาพบว่าร้อยละ 63 ของผู้เข้าร่วมงานได้รับประสบการณ์แห่งการ “เปลี่ยนแปลง” ในงานชุมนุม ทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับเพื่อนมนุษย์มากขึ้นและมีน้ำใจต่อเพื่อน ครอบครัว และแม้แต่คนที่แปลกหน้าอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเรารวมตัวกับผู้อื่นเพื่อนมัสการพระเจ้า เราจะได้สัมผัสมากกว่าแค่ “การเปลี่ยนแปลง” ทางสังคมจากการชุมนุมทางโลก แต่เราจะได้สื่อสารกับพระเจ้าโดยตรง ประชากรของพระเจ้ามีประสบการณ์เชื่อมโยงกับพระองค์เช่นนั้นอย่างไม่ต้องสงสัยเมื่อพวกเขารวมตัวกันในกรุงเยรูซาเล็มในสมัยโบราณเพื่อร่วมเทศกาลอันศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งปี พวกเขาเดินทางโดยปราศจากเครื่องอำนวยความสะดวกเพื่อไปยังพระวิหารปีละสามครั้งเพื่อร่วม “เทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เทศกาลสัปดาห์ และเทศกาลอยู่เพิง” (ฉธบ.16:16) การชุมนุมเหล่านี้เป็นช่วงเวลาแห่งการรำลึก การนมัสการ และการชื่นชมยินดี “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า”ร่วมกับครอบครัว คนรับใช้ คนต่างชาติ และคนอื่นๆ(ข้อ 11)
ให้เรารวมตัวกับผู้อื่นในการนมัสการ เพื่อช่วยซึ่งกันและกันให้ชื่นชมยินดี ในพระเจ้าและเชื่อวางใจในความสัตย์ซื่อของพระองค์เรื่อยไป