ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

เกียรติที่มาพร้อมกับความถ่อมใจ

ในฐานะครูโรงเรียนประถมศึกษา เจนนี่เพื่อนของฉันมักจะพานักเรียนไปที่ห้องเรียนสำหรับวิชาอื่นๆ เช่น ดนตรีหรือศิลปะ เมื่อครูบอกให้เข้าแถวเพื่อเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะพยายามผลักคนอื่นออกไปเพื่อช่วงชิงตำแหน่งที่ยืน บางคนก็พยายามเบียดขึ้นไปยืนอยู่หัวแถว วันหนึ่งเจนนี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจโดยให้ทุกคนกลับหลังหัน ทำให้ตำแหน่งในแถวที่พวกเขาเคยอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั้นกลับตาลปัตรจากหัวแถวกลายเป็นท้ายแถว พวกเขาตกใจส่งเสียงร้อง “นี่มันอะไรกัน”

เมื่อพระเยซูทรงสังเกตเห็นการแย่งชิงตำแหน่งในลักษณะเดียวกันบนโต๊ะอาหารเย็น พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการเล่าคำอุปมาที่ทำให้แขกของพระองค์ประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงใช้เรื่องราวในงานเลี้ยงสมรส เพื่อสอนพวกเขาว่า “อย่านั่งในที่อันมีเกียรติ” แต่ให้ “นั่งในที่ต่ำ” ก่อน (ลก.14:8-10) พระคริสต์ทรงทำให้บรรทัดฐานทางสังคมสับสน โดยตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับการยกขึ้น” (ข้อ 11)

หลักการแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่นำมาปฏิบัติได้ยาก ด้วยเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ว่า มนุษย์ยังคงถูกล่อลวงให้มุ่งความสนใจไปที่ “ชัยชนะ” อย่างไรก็ดี การเลือกตำแหน่งที่อยู่ท้ายสุดในเวลานี้ก็เพื่อเราจะได้เป็นคนแรกในภายหลัง แต่พระเยซูทรงหนุนใจเราให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และคาดหวังความช่วยเหลือจากพระองค์ในการปรับเปลี่ยนความคิดของเราเพื่อจะมองเห็นว่า การเป็นคนถ่อมใจ เป็นคนสุดท้าย และคนที่ต่ำต้อยนั้น เป็นการอยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง

ความชื่นบานนิรันดร์

ในปี 2014 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ได้ติดตั้งป้ายจราจรที่บอกผู้คนที่กำลังข้ามถนนให้ทำท่าทางตลกๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างช่วงเวลาแห่งอารมณ์ขันให้กับ “คนเดินถนนที่บ้าบอ” รวมถึงคนที่ดูด้วย เพื่อพวกเขาจะสร้างวันที่สดใสให้แก่กันและกัน การได้เห็นความบ้าๆบอๆในช่วงสั้นๆนี้เป็นการให้กำลังใจคนที่กำลังจิตตกได้ชั่วขณะหนึ่ง

พระคัมภีร์ยอมรับว่ามีฤดูกาลแห่งความยากลำบากและทุกข์เข็ญที่ทำให้เรารู้สึกเสียขวัญและโศกเศร้า พระธรรมบทเพลงคร่ำครวญและสดุดีหลายบทได้พูดถึงความเจ็บปวดดังกล่าว แต่พระคัมภีร์ก็ชี้ให้เราเห็นด้วยว่า สิ่งที่ทำให้เรามีความชื่นบานนิรันดร์ได้ในทุกสถานการณ์ ก็คือการทรงสถิตของพระเจ้า ดาวิดเขียนถ้อยคำในสดุดี 16 ด้วยดวงตาที่เพ่งมองถึงอนาคตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ พวกเราที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ภายหลังการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู จะรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าได้ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์

อารมณ์ขันและความร่าเริงสามารถยกระดับจิตวิญญาณของเราได้ในยามที่เราทุกข์ยากลำบากแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เราจะมีความชื่นบานนิรันดร์ที่คอยค้ำจุนเราตลอดช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตได้นั้น เราจะต้อง “ลี้ภัย” ในพระเจ้า (ข้อ 1) ผู้ประทานคำปรึกษาและเตือนสอนเรา (ข้อ 7) พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา แต่จะ “สำแดงวิถีแห่งชีวิต” แก่เรา และทำให้เรา “มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น” (ข้อ 11)

สวมพระคริสต์

โรส เทอร์เนอร์นักจิตวิทยาแฟชั่นแห่งสถาบันแฟชั่นลอนดอน ได้ศึกษาผลกระทบของเสื้อผ้าที่มีต่อวิธีคิด พฤติกรรม และแม้แต่การที่เสื้อผ้าส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดร่างกายเราที่สุด จึงเปรียบเสมือน “ผิวหนังชั้นที่สอง” และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับทุกเรื่องในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น การแต่งกายที่เหมาะสมกับงาน “ช่วยสร้างแรงจูงใจและสมาธิ” ในที่ทำงาน และการสวมเครื่องแต่งกายที่มาจากสมัยเก่าที่มีคุณค่าทางจิตใจ อาจทำให้รู้สึกสบายใจในสถานการณ์ที่ตึงเครียดได้

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อคำเผยพระวจนะของอิสยาห์เรื่องผลแห่งการสละพระชนม์ของพระเยซู ท่านบันทึกถึงการปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นเชลยในบาบิโลนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยรับรองว่าวันหนึ่งพวกเขาจะ “สร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะซ่อมเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (อสย.61:4) ในวันนั้นพวกเขาจะสวม “เสื้อแห่งความชอบธรรม” (ข้อ 10)

คำเผยพระวจะของอิสยาห์เป็นจริงในส่วนแรกเมื่อคนในชาติกลับคืนสู่กรุงเยรูซาเล็ม และสำเร็จสมบูรณ์เมื่อ “พระเจ้าได้ทรงกระทำ [พระเยซู ] ...ให้บาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร.5:21) ความชอบธรรมนั้นอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเรากับพระเจ้าเมื่อเราวางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ พระเจ้าไม่ได้เห็นว่าเราสวมเสื้อแห่งความละอายหรือน่าขายหน้าเพราะบาปของเรา แต่ทรงเห็นเราสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมตลอดเป็นนิตย์ของพระเยซู ซึ่งเป็น “ผิวหนังชั้นที่สอง” ที่ปกคลุมเราด้วยความชื่นชมยินดีในวันนี้และชั่วนิรันดร์

ช่วงเวลาหยุดพัก

เจฟ กัลโลเวย์ อดีตนักกีฬาโอลิมปิกและเป็นโค้ชสอนการวิ่ง เขาสอนวิธีฝึกวิ่งมาราธอนที่ขัดกับสัญชาตญาณคนทั่วไป ทั้งนักแข่งมาราธอนหน้าใหม่และผู้มีประสบการณ์ล้วนประหลาดใจเมื่อรู้ว่า เขาสนับสนุนวิธี “วิ่ง/เดิน” คือ การวิ่งในช่วงนาทีที่กำหนดสลับกับการเดินช่วงสั้นๆ สมมุติฐานของวิธีนี้คือการสลับเดินช่วงสั้นๆทำให้ร่างกายได้พักชั่วคราว และช่วยให้นักวิ่งจบการ
แข่งขันเร็วกว่าการที่พวกเขาวิ่งอย่างเดียวตลอดระยะทาง 42 กิโลเมตร

ความสำคัญของการหยุดพักไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการวิ่ง การหยุดพักช่วยให้เรามีความทรหดอดทนในระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในตลอดพระคัมภีร์ เริ่มจากพระธรรมอพยพ ในพันธสัญญาเดิมนั้นการหยุดพักเป็นการทำตามแบบของพระเจ้าในช่วงเวลาของการทรงสร้าง คือ ทำการงานทั้งสิ้นในหกวัน “แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า” (อพย.20:10) เพราะพระเจ้าทรง “สร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก” (ข้อ 11)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าเราต้องพักบ่อยแค่ไหน (รม.14:5-6; คส.2:16-17) การหยุดพักในรูปแบบและช่วงเวลาที่เราพอใจนั้นก็เพื่อเป็นการฟื้นฟู การเลือกที่จะหยุดพักยังเป็นการแสดงออกถึงการวางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราต้องการอย่างสัตย์ซื่อด้วย เราไม่สามารถและไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งตลอดเวลา

เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน

แพตตี้ใช้เวลาช่วงบ่ายที่ฝั่งแม่น้ำใกล้บ้าน เธอเหวี่ยงเบ็ดตกปลาที่เกี่ยวเหยื่อไว้ลงไปในน้ำ เธอเพิ่งย้ายมาอยู่บริเวณนี้ไม่นาน เธอจึงไม่ได้หวังที่จะจับปลาแต่กำลังมองหาเพื่อนใหม่ สายเบ็ดของเธอไม่ได้เกี่ยวตัวหนอนหรือเหยื่อล่อทั่วไป แต่เธอใช้คันเบ็ดแข็งแรงพิเศษสำหรับตกปลาขนาดใหญ่เพื่อส่งห่อคุกกี้ให้กับผู้คนที่ล่องแพไปตามแม่น้ำในช่วงฤดูร้อน เธอใช้วิธีที่สร้างสรรค์นี้เพื่อพบปะเพื่อนบ้านใหม่ๆ ซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนจะชอบขนมหวานนี้!

แพตตี้ใช้วิธี “เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน” จริงๆแม้พระเยซูจะไม่ได้หมายความตามตัวอักษรเช่นนี้ในตอนที่ทรงเรียกเปโตรและอันดรูว์ให้ติดตามพระองค์ตลอดชีวิต สองคนพี่น้องเป็นชาวประมงที่ขยันขันแข็งกำลังทอดแหในทะเลกาลิลี พระเยซูทรงขัดจังหวะการทำงานของพวกเขาด้วยการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ตรัสว่าจะทรงตั้งพวกเขาให้เป็น “ผู้หาคน” แทนการหาปลา (มธ.4:19) หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ทรงเรียกชาวประมงอีกสองคนคือยากอบและยอห์นด้วย พวกเขาทั้งหมดทิ้งอวนและเรือทันทีเพื่อเดินทางไปกับพระเยซู

ในทำนองเดียวกันกับชาวประมงที่กลายมาเป็นสาวกกลุ่มแรก พระเยซูคริสต์ก็ทรงเรียกให้เราติดตามพระองค์และใส่ใจในสิ่งอันเป็นนิรันดร์ คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย เราสามารถบอกกับคนรอบข้างเราถึงสิ่งที่ให้ความอิ่มใจได้อย่างแท้จริง นั่นคือความหวังอันยั่งยืนของชีวิตที่มีในพระเยซู (ยน.4:13-14)

จากปากของ...

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณสามารถเข้าใจสิ่งที่สุนัขของคุณกำลังพูดได้ เทคโนโลยีใหม่ใช้การจำแนก “เสียงเห่า” เพื่อช่วยบอกความรู้สึกของสุนัขเมื่อพวกมันเห่า ปลอกคอเทคโนโลยีขั้นสูงแปลเสียงเห่าของสุนัขโดยใช้ฐานข้อมูลจากเสียงเห่ามากกว่าหมื่นเสียง เพื่อจำแนกความรู้สึกท่ีพวกมันกำลังแสดงออก แม้ว่าปลอกคอจะไม่สามารถแปลเป็นคำพูดได้ แต่ก็ได้ช่วยสร้างความเข้าใจระหว่างสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของมากขึ้น

พระเจ้าทรงใช้สัตว์เพื่อเรียกความสนใจของบาลาอัมเช่นกัน บาลาอัมนั่งลาไปโมอับเพื่อตอบสนองต่อพระดำรัสของพระเจ้าที่สั่งให้ “ไป...แต่เจ้าจงกระทำตามที่เราสั่งเจ้าเท่านั้น” (กดว.22:20) ลาหยุดเดินเมื่อเห็นทูตสวรรค์ของพระเจ้า “ถือดาบยืนอยู่ในหนทาง” แต่บาลาอัมมองไม่เห็น (ข้อ 23) บาลาอัมพยายามที่จะไปต่อ พระเจ้าจึงให้ลาพูดเป็นภาษามนุษย์ เมื่อตาของบาลาอัมถูกเปิดให้มองเห็นอันตรายแล้ว “บาลาอัมก็ก้มศีรษะซบหน้าลงกราบ” (ข้อ 31) และยอมรับว่าตั้งใจอยากที่จะได้รับรางวัลหรือได้สาปแช่งคนของพระเจ้าซึ่งตรงข้ามกับพระดำรัสของพระองค์ (ข้อ 15-18, 37-38) เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้กระทำบาป เพราะข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านยืนอยู่ในหนทางกั้นข้าพเจ้า” (ข้อ 34)

ขอให้เราเอาใจใส่ในคำชี้แนะที่พระเจ้าได้ประทานแก่เราในพระคัมภีร์ และประทานผ่านการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมถึงคำปรึกษาด้วยสติปัญญาจากผู้อื่น ไม่ใช่แค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่ภายในใจด้วย

ความสว่างของพระคริสต์

ฉันกับสามีชื่นชมยินดีทุกครั้งที่ได้ไปนมัสการที่คริสตจักรของเราในคืนก่อนวันคริสต์มาส ในช่วงปีแรกๆของชีวิตแต่งงาน เรามีธรรมเนียมพิเศษอย่างหนึ่ง โดยหลังจากจบการนมัสการเราจะสวมเสื้อผ้าที่อบอุ่นเพื่อเดินป่าขึ้นไปบนเนินเขาใกล้ๆที่ซึ่งเราร้อยดวงไฟส่องสว่าง 350 ดวงเป็นรูปดาวไว้บนเสาสูง บ่อยครั้งท่ามกลางหิมะเราจะพูดคุยกันเบาๆที่นั่นเพื่อรำลึกถึงการทรงบังเกิดอันอัศจรรย์ของพระเยซูขณะที่มองลงไปยังตัวเมือง ในเวลาเดียวกันจากหุบเขาเบื้องล่างผู้คนจำนวนมากในเมืองก็เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวสว่างไสวที่ร้อยเรียงไว้้

ดาวดวงนั้นเป็นเครื่องเตือนใจถึงการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอด พระคัมภีร์กล่าวถึงโหราจารย์ “จากทิศตะวันออก” มายังกรุงเยรูซาเล็มเพื่อเสาะหา “กุมารผู้ที่บังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชาวยิว” (มธ.2:1-2) พวกเขาเฝ้าดูท้องฟ้าและได้เห็นดวงดาว “ปรากฏขึ้น” (ข้อ 2) การเดินทางนำพวกเขาออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังบ้านเบธเลเฮม ดาวนั้น “ได้นำหน้าเขาไป จนมาหยุดอยู่เหนือสถานที่ที่กุมารอยู่นั้น” (ข้อ 9) ที่นั่นพวกเขา “กราบถวายนมัสการกุมารนั้น” (ข้อ 11)

พระคริสต์ทรงเป็นแหล่งแห่งความสว่างในชีวิตเราทั้งในเชิงคำอุปมาเปรียบเทียบ (ในฐานะผู้นำทางเรา) และตามความเป็นจริงในฐานะที่ทรงเป็นพระผู้สร้างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวในท้องฟ้า (คส.1:15-16) เช่นเดียวกับที่โหราจารย์มี “ความยินดียิ่งนัก” เมื่อพวกเขาเห็นดวงดาวของพระองค์ (มธ. 2:10) ความยินดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราก็คือการได้รู้จักพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อสถิตท่ามกลางเรา “เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์” (ยน. 1:14)!

หนุนใจกันในพระคริสต์

ครูในโรงเรียนที่รัฐอินเดียน่า แนะนำให้นักเรียนของเธอเขียนข้อความหนุนใจและสร้างแรงบันดาลใจแก่เพื่อนร่วมชั้น หลายวันต่อมาเมื่อเกิดโศกนาฏกรรมในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่อีกด้านของประเทศ ข้อความของพวกเขาช่วยหนุนใจเพื่อนนักเรียนในยามที่ต้องรับมือกับความเจ็บปวดและความกลัวว่าอาจเกิดเหตุการณ์กับพวกเขาได้เช่นกัน

การหนุนใจและความห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่ในใจของเปาโลเช่นกัน เมื่อท่านเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อในเมืองเธสะโลนิกา คนเหล่านั้นสูญเสียเพื่อนๆ และเปาโลกำชับพวกเขาให้หวังใจในคำสัญญาของพระเยซูที่จะเสด็จกลับมาและนำบรรดาคนที่พวกเขารักกลับสู่ชีวิตอีกครั้ง (1ธส.4:14) แม้พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นเมื่อใด แต่เปาโลเตือนว่าในฐานะผู้เชื่อพวกเขาไม่จำเป็นต้องรอคอยด้วยความกลัวการพิพากษาของพระเจ้าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา (5:9) แต่จะรอคอยด้วยความมั่นใจในเรื่องชีวิตอนาคตกับพระองค์ และในระหว่างนั้น “จงหนุนใจกันและต่างคนต่างจงก่อกันขึ้น” (ข้อ 11)

เมื่อเราประสบกับการสูญเสียอันเจ็บปวดหรือเหตุการณ์ร้ายแรงที่ไม่ทันตั้งตัว เป็นเรื่องง่ายที่จะถูกครอบงำด้วยความกลัวและความโศกเศร้า แต่ถ้อยคำของเปาโลเป็นประโยชน์กับเราในปัจจุบันเหมือนในเวลานั้นที่ได้เขียนไว้ ขอให้เรารอคอยด้วยความหวังว่าพระคริสต์จะทรงฟื้นฟูทุกสิ่ง และในระหว่างนั้นเราสามารถหนุนใจกันและกันได้ ทั้งด้วยข้อความ คำพูด การปรนนิบัติกัน และการสวมกอด

ส่งมอบความช่วยเหลือ

เมื่อหน้าที่การงานนำพาเฮเธอร์ไปยังบ้านของทิมเพื่อส่งอาหารให้แก่เขา เขาขอให้เธอช่วยแกะปมที่มัดถุงอาหาร ทิมล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่อสองสามปีก่อนทำให้ไม่สามารถแก้ปมด้วยตัวเองได้อีกแล้ว เฮเธอร์ยินดีช่วยอย่างยิ่ง ในตลอดทั้งวันนั้นเฮเธอร์คิดเรื่องทิมหลายครั้ง และเธอรู้สึกอยากจะเตรียมของบางอย่างให้แก่เขา ต่อมาเมื่อทิมพบว่าเฮเธอร์นำโกโก้ร้อนและผ้าห่มสีแดงมาวางไว้ที่หน้าประตูบ้านของเขาพร้อมกับข้อความให้กำลังใจ เขาตื้นตันใจจนน้ำตาไหล

การส่งอาหารของเฮเธอร์มีความหมายมากยิ่งกว่าที่เธอคิดไว้แต่แรก เช่นเดียวกับตอนที่เจสซีส่งดาวิดบุตรชายคนเล็กของเขาให้นำอาหารไปให้กับพวกพี่ชายขณะที่คนอิสราเอล “​วาง​แนว​ไว้​ต่อสู้​กับ​คน​ฟีลิสเตีย​” (1 ซมอ.17:2) เมื่อดาวิดมาถึงพร้อมกับเสบียงทั้งขนมปังและเนยแข็ง ท่านรู้ว่าโกลิอัททำให้คนของพระเจ้าหวาดกลัวด้วยการกล่าวท้าทายพวกเขาทุกวัน (ข้อ 8-10, 16, 24) ดาวิดรู้สึกโกรธที่โกลิอัทท้าท้าย “กองทัพ​ของ​พระ​เจ้า​” (ข้อ 26) และต้องการจะตอบโต้ ท่านทูลกษัตริย์ซาอูลว่า “อย่า​ให้​จิตใจ​ของ​ผู้ใด​ฝ่อ​ไป​เพราะ​ชาย​คน​นั้น​เลย ผู้รับ​ใช้​ของ​ฝ่า​พระ​บาท​จะ​ไป​สู้​รบ​กับ​คน​ฟีลิสเตีย​คน​นี้” (ข้อ 32)

บางครั้งพระเจ้าก็ทรงใช้สถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเราเพื่อนำเราไปยังที่ที่พระองค์ทรงต้องการใช้เรา ขอให้เราเปิดตา (และใจ) เพื่อจะเห็นว่าพระองค์ทรงต้องการให้เรารับใช้ใครสักคนในที่ใดและอย่างไร

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา