ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

ที่ลี้ภัยที่ไว้วางใจได้

หนึ่งในความทรงจำวัยเด็กที่ชัดเจนที่สุดของลูกสาวฉันคือ วันที่พ่อของเธอสอนให้ขี่จักรยานโดยไม่มีล้อเสริม มีช่วงหนึ่งที่สามีของฉันทรงตัวโดยวางเท้าไว้ที่ดุมล้อหลัง (ขณะที่เธอวางเท้าบนแป้นถีบและทั้งคู่จับแฮนด์จักรยานด้วยกัน) เพื่อที่พวกเขาจะไหลลงเนินเล็กๆได้อย่างราบรื่น เธอจำได้ว่าพ่อหัวเราะอย่างมีความสุข ซึ่งตรงข้ามกับเธออย่างสิ้นเชิงที่เวลานั้นเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวมากสำหรับเธอ ช่วงเวลานั้นสั้นมาก เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็วจนพ่อไม่ทันที่จะหยุดและเข้าใจความรู้สึกของเธอ วันนี้เมื่อพวกเขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สามีฉันจึงตอบสนองต่อความทรงจำของเธออย่างอ่อนโยนด้วยการให้ความมั่นใจกับเธอว่า เขารู้ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย

เรื่องราวของพวกเขาเป็นภาพเปรียบเทียบที่เหมาะสมในยามที่เราเองประสบกับความกลัวในชีวิต “เนินเขา” อาจดูใหญ่และน่ากลัวเมื่อมองจากตำแหน่งของเรา และความเสี่ยงที่เราจะบาดเจ็บก็ดูเหมือนจริงมาก แต่พระคัมภีร์รับรองกับเราว่าเพราะ “พระเจ้าอยู่ฝ่าย[เรา]” เราจึงไม่จำเป็นต้อง “กลัว” (สดด.118:6) แม้ว่าความช่วยเหลือจากมนุษย์อาจทำให้เราผิดหวัง แต่พระองค์ทรงเป็นที่ลี้ภัยที่ไว้วางใจได้ในยามเมื่อเรารู้สึกว่าปัญหานั้นท่วมท้น (ข้อ 8-9)

พระเจ้าทรงเป็น “ผู้ทรงช่วย” ของเรา (ข้อ 7) ซึ่งหมายความว่าเราไว้วางใจให้พระองค์ดูแลเราได้ในเวลาที่ยากลำบากและน่ากลัวที่สุดในชีวิต แม้ว่าเราอาจต้องทนต่อการล้มพลาด รอยแผลเป็นและความเจ็บปวด แต่การทรงสถิตที่ช่วยให้รอดของพระองค์เป็น “กำลัง” ของเรา (ข้อ 14) และปกป้องเรา

ทางข้ามของแกะ

การจราจรหยุดชะงักแต่ฉันไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร บนถนนมีรถอยู่ไม่กี่คัน และฉันก็มองไม่เห็นต้นเหตุที่ชัดเจน ทันใดนั้น ฉันทั้งประหลาดใจและตื่นเต้นมากที่เห็นแกะจำนวนหลายพันตัวโผล่ออกมาและข้ามทางด่วน ในฐานะผู้มาอยู่ใหม่ในไอดาโฮ ฉันยังไม่คุ้นเคยกับการอพยพประจำปีของแกะเพื่อไปยังเชิงเขาบอยซีในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี เจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ท้องถิ่นจะต้อนฝูงแกะของตนไปยังเชิงเขา ซึ่งพวกมันจะเล็มกินหญ้าพื้นเมืองในช่วงฤดูร้อน

เนื่องจากฉันเคยอาศัยอยู่แต่ในเขตเมืองและชานเมืองมาตลอดชีวิต ภาพที่เห็นนั้นจึงน่าตื่นตาตื่นใจสำหรับฉัน แต่ในสมัยของเอเสเคียล (และในประวัติศาสตร์หลายตอนที่พระคัมภีร์บันทึกไว้) แกะเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิต ผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลได้นำสิ่งที่ผู้คนคุ้นเคย เช่น แกะและการเลี้ยงแกะ มาถ่ายทอดถึงสิ่งที่พระเจ้าต้องการบอกพวกเขาเกี่ยวกับการปลอบโยนและความหวัง

เอเสเคียลกล่าวคำปลอบโยนและถ้อยคำแห่งความหวังแก่คนอิสราเอล โดยบอกกับพวกเขาว่า แม้พวกเขาจะต้องเผชิญกับความยากลำบากหลายปีในบาบิโลน อันเป็นผลของการกบฏต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงนำพวกเขากลับคืนสู่ “แผ่นดิน​ของ​เขา​เอง” (อสค.34:13) จากนั้นพระเจ้าจะทรงเป็นดั่งผู้เลี้ยงแกะที่ “​เลี้ยง​เขา​ใน​ลาน​หญ้า​อย่าง​ดี​” และพวกเขาจะ “นอน​ลง​ใน​ลาน​หญ้า​ที่​ดี” (ข้อ 14)

พระเจ้าทรงดูแลประชากรของพระองค์ในลักษณะเดียวกันนี้ เราสามารถไว้วางใจพระองค์ผู้ทรงเป็นผู้เลี้ยงของเราว่า จะทรงนำเราในชีวิตข้างหน้าให้ไปสู่ลานหญ้าที่ดี (ข้อ 13-14) ถึงแม้เราอาจรู้สึก “กระจัด​กระจาย​ไป” เหมือนแกะที่อยู่ท่ามกลางความยากลำบาก (ข้อ 12) ก็ตาม

ร้องสรรเสริญพระเจ้า

เมื่อการมองเห็นของไดอาน่าเริ่มพร่ามัวลง เธอเป็นกังวลมากขึ้น เธอยังมีปัญหาในการคิดและพูดซ้ำไปมาด้วย อาการของเธอทำให้หมอเชื่อว่าไม่ใช่ปัญหาจากดวงตาแต่เป็นปัญหาจากสมอง พวกเขาพบว่าเธอมีเนื้องอกใหญ่ในสมองที่ต้องกำจัดออก ไดอาน่ากังวลว่าการผ่าตัดจะทำให้เธอสูญเสียความสามารถในการร้องเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอรักและทำร่วมกับคนในครอบครัว ศัลยแพทย์ของเธอจึงทำสิ่งที่น่าทึ่งโดยให้เธอรู้สึกตัวขณะทำการผ่าตัดแบบไม่เจ็บปวด และขอให้เธอร้องเพลงระหว่างการผ่าตัดเพื่อเขาจะรู้ว่าเขาได้รักษาระบบประสาทส่วนนั้นเอาไว้ได้ ทั้งสองคนยังบันทึกการร้องเพลงคู่ระหว่างการผ่าตัดไว้ด้วย

เช่นเดียวกับไดอาน่า กษัตริย์ดาวิดผู้ทรงประพันธ์เพลงสดุดีหลายบทในพระคัมภีร์ ก็ทรงรักในการร้องเพลง พระองค์มักจะร้องสรรเสริญพระเจ้าทั้งในการคร่ำครวญและความชื่นชมยินดี เมื่อดาวิดได้รับการช่วยกู้จากศัตรู พระองค์รู้ว่าพระเจ้าเป็นผู้นำพระองค์ “ออกมาจากศัตรู” (2 ซมอ.22:49) เพราะพระราชกิจที่ดีเลิศของพระเจ้า ดาวิดจึงประกาศว่า “ข้าแต่พระเจ้า เพราะเหตุนี้ข้าพระองค์ขอเชิดชูพระองค์ในหมู่ประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญพระนามของพระองค์” (ข้อ 50)

พระเจ้ายังทรงกระทำพระราชกิจในโลกนี้และในชีวิตของเราแต่ละคน ทรงช่วยเราจากโรคร้ายของความบาปที่ระบาดมาถึงเราทุกคน ขอให้เราเป็นเหมือนดาวิดที่จะให้หัวใจของเราจดจ่ออยู่ในการสรรเสริญพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ

เปลี่ยนโดยพระวิญญาณ

เมื่อนีล ดักลาสขึ้นเครื่องบินไปไอร์แลนด์ เขาพบว่าที่นั่งของเขามีผู้โดยสารคนอื่นนั่งอยู่ เขาจึงเริ่มบทสนทนาเพื่อหาทางแก้ปัญหานี้ เมื่อผู้โดยสารคนนั้นเงยหน้าขึ้นตอบ นีลก็ได้พบกับคนที่หน้าตาเหมือนเขามาก! ขณะที่ทั้งคู่ถ่ายภาพร่วมกัน ผู้โดยสารที่มองดูอยู่ต่างหัวเราะให้กับความคล้ายคลึงของชายทั้งสอง หลังจากนั้นพวกเขาก็พบกันอีกครั้งเมื่อเข้าพักที่โรงแรมเดียวกัน และพบกันครั้งที่สามในผับท้องถิ่น เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาก็พบว่าภาพที่ถ่ายคู่กันนั้นกระจายไปทั่วสื่อออนไลน์ เพราะหน้าตาที่คล้ายกันอย่างมากของพวกเขา

การมีรูปร่างหน้าตาเหมือนใครอีกคนเป็นเรื่องน่าประหลาดใจสำหรับพวกเราที่ไม่มีฝาแฝด แต่พระคัมภีร์บอกว่าเราจะเริ่มเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นเมื่อเราติดตามพระองค์ ในพันธสัญญาเดิม ผิวหน้าของโมเสสเปลี่ยนไปอย่างมากเนื่องจากท่านได้เข้าเฝ้าพระเจ้าหน้าต่อหน้า จนกระทั่ง “ด้วยรัศมี...ทำให้พวกอิสราเอลแลดูหน้าของโมเสสไม่ได้” (2 คร.3:7; ดู อพย.34:33-35)

ในวันนี้ เราเห็นพระสิริของพระเยซูปรากฏอยู่ในผู้ที่ “เปลี่ยนไปเป็นเหมือนพระฉายขององค์พระผู้เป็นเจ้า” โดยผ่านการทำงานของพระวิญญาณ (2 คร.3:18;ดูข้อ 8) ความรู้ในเรื่องของพระเจ้าและความรักที่เรามีต่อพระองค์ซึ่งเพิ่มพูนขึ้นนั้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณและทางศีลธรรมที่มองเห็นได้ทั้งภายในและภายนอก เมื่อพระเจ้าทรง “เปลี่ยนแปลง” จิตใจและความคิดของเรานั้น เพื่อนร่วมทางที่อยู่ในเส้นทางชีวิตของเราจะเห็นสิ่งนี้ได้อย่างชัดเจน

เกียรติที่มาพร้อมกับความถ่อมใจ

ในฐานะครูโรงเรียนประถมศึกษา เจนนี่เพื่อนของฉันมักจะพานักเรียนไปที่ห้องเรียนสำหรับวิชาอื่นๆ เช่น ดนตรีหรือศิลปะ เมื่อครูบอกให้เข้าแถวเพื่อเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะพยายามผลักคนอื่นออกไปเพื่อช่วงชิงตำแหน่งที่ยืน บางคนก็พยายามเบียดขึ้นไปยืนอยู่หัวแถว วันหนึ่งเจนนี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจโดยให้ทุกคนกลับหลังหัน ทำให้ตำแหน่งในแถวที่พวกเขาเคยอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านั้นกลับตาลปัตรจากหัวแถวกลายเป็นท้ายแถว พวกเขาตกใจส่งเสียงร้อง “นี่มันอะไรกัน”

เมื่อพระเยซูทรงสังเกตเห็นการแย่งชิงตำแหน่งในลักษณะเดียวกันบนโต๊ะอาหารเย็น พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการเล่าคำอุปมาที่ทำให้แขกของพระองค์ประหลาดใจอย่างไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงใช้เรื่องราวในงานเลี้ยงสมรส เพื่อสอนพวกเขาว่า “อย่านั่งในที่อันมีเกียรติ” แต่ให้ “นั่งในที่ต่ำ” ก่อน (ลก.14:8-10) พระคริสต์ทรงทำให้บรรทัดฐานทางสังคมสับสน โดยตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับการยกขึ้น” (ข้อ 11)

หลักการแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในเรื่องนี้อาจเป็นสิ่งที่นำมาปฏิบัติได้ยาก ด้วยเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ว่า มนุษย์ยังคงถูกล่อลวงให้มุ่งความสนใจไปที่ “ชัยชนะ” อย่างไรก็ดี การเลือกตำแหน่งที่อยู่ท้ายสุดในเวลานี้ก็เพื่อเราจะได้เป็นคนแรกในภายหลัง แต่พระเยซูทรงหนุนใจเราให้ทำตามแบบอย่างของพระองค์ และคาดหวังความช่วยเหลือจากพระองค์ในการปรับเปลี่ยนความคิดของเราเพื่อจะมองเห็นว่า การเป็นคนถ่อมใจ เป็นคนสุดท้าย และคนที่ต่ำต้อยนั้น เป็นการอยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติอย่างแท้จริง

ความชื่นบานนิรันดร์

ในปี 2014 ผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในนอร์เวย์ได้ติดตั้งป้ายจราจรที่บอกผู้คนที่กำลังข้ามถนนให้ทำท่าทางตลกๆ โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างช่วงเวลาแห่งอารมณ์ขันให้กับ “คนเดินถนนที่บ้าบอ” รวมถึงคนที่ดูด้วย เพื่อพวกเขาจะสร้างวันที่สดใสให้แก่กันและกัน การได้เห็นความบ้าๆบอๆในช่วงสั้นๆนี้เป็นการให้กำลังใจคนที่กำลังจิตตกได้ชั่วขณะหนึ่ง

พระคัมภีร์ยอมรับว่ามีฤดูกาลแห่งความยากลำบากและทุกข์เข็ญที่ทำให้เรารู้สึกเสียขวัญและโศกเศร้า พระธรรมบทเพลงคร่ำครวญและสดุดีหลายบทได้พูดถึงความเจ็บปวดดังกล่าว แต่พระคัมภีร์ก็ชี้ให้เราเห็นด้วยว่า สิ่งที่ทำให้เรามีความชื่นบานนิรันดร์ได้ในทุกสถานการณ์ ก็คือการทรงสถิตของพระเจ้า ดาวิดเขียนถ้อยคำในสดุดี 16 ด้วยดวงตาที่เพ่งมองถึงอนาคตนิรันดร์ร่วมกับพระองค์ พวกเราที่มีชีวิตอยู่ในวันนี้ภายหลังการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู จะรู้ถึงการทรงสถิตของพระเจ้าได้ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์

อารมณ์ขันและความร่าเริงสามารถยกระดับจิตวิญญาณของเราได้ในยามที่เราทุกข์ยากลำบากแม้จะเป็นเพียงช่วงสั้นๆ แต่เราจะมีความชื่นบานนิรันดร์ที่คอยค้ำจุนเราตลอดช่วงเวลาที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตได้นั้น เราจะต้อง “ลี้ภัย” ในพระเจ้า (ข้อ 1) ผู้ประทานคำปรึกษาและเตือนสอนเรา (ข้อ 7) พระองค์จะไม่มีวันทอดทิ้งเรา แต่จะ “สำแดงวิถีแห่งชีวิต” แก่เรา และทำให้เรา “มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น” (ข้อ 11)

สวมพระคริสต์

โรส เทอร์เนอร์นักจิตวิทยาแฟชั่นแห่งสถาบันแฟชั่นลอนดอน ได้ศึกษาผลกระทบของเสื้อผ้าที่มีต่อวิธีคิด พฤติกรรม และแม้แต่การที่เสื้อผ้าส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน เพราะเสื้อผ้าเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดร่างกายเราที่สุด จึงเปรียบเสมือน “ผิวหนังชั้นที่สอง” และเตรียมเราให้พร้อมสำหรับทุกเรื่องในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่น การแต่งกายที่เหมาะสมกับงาน “ช่วยสร้างแรงจูงใจและสมาธิ” ในที่ทำงาน และการสวมเครื่องแต่งกายที่มาจากสมัยเก่าที่มีคุณค่าทางจิตใจ อาจทำให้รู้สึกสบายใจในสถานการณ์ที่ตึงเครียดได้

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยานี้ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งต่อคำเผยพระวจนะของอิสยาห์เรื่องผลแห่งการสละพระชนม์ของพระเยซู ท่านบันทึกถึงการปลดปล่อยชาวยิวจากการเป็นเชลยในบาบิโลนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยรับรองว่าวันหนึ่งพวกเขาจะ “สร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะซ่อมเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (อสย.61:4) ในวันนั้นพวกเขาจะสวม “เสื้อแห่งความชอบธรรม” (ข้อ 10)

คำเผยพระวจะของอิสยาห์เป็นจริงในส่วนแรกเมื่อคนในชาติกลับคืนสู่กรุงเยรูซาเล็ม และสำเร็จสมบูรณ์เมื่อ “พระเจ้าได้ทรงกระทำ [พระเยซู ] ...ให้บาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 คร.5:21) ความชอบธรรมนั้นอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องของเรากับพระเจ้าเมื่อเราวางใจในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ พระเจ้าไม่ได้เห็นว่าเราสวมเสื้อแห่งความละอายหรือน่าขายหน้าเพราะบาปของเรา แต่ทรงเห็นเราสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมตลอดเป็นนิตย์ของพระเยซู ซึ่งเป็น “ผิวหนังชั้นที่สอง” ที่ปกคลุมเราด้วยความชื่นชมยินดีในวันนี้และชั่วนิรันดร์

ช่วงเวลาหยุดพัก

เจฟ กัลโลเวย์ อดีตนักกีฬาโอลิมปิกและเป็นโค้ชสอนการวิ่ง เขาสอนวิธีฝึกวิ่งมาราธอนที่ขัดกับสัญชาตญาณคนทั่วไป ทั้งนักแข่งมาราธอนหน้าใหม่และผู้มีประสบการณ์ล้วนประหลาดใจเมื่อรู้ว่า เขาสนับสนุนวิธี “วิ่ง/เดิน” คือ การวิ่งในช่วงนาทีที่กำหนดสลับกับการเดินช่วงสั้นๆ สมมุติฐานของวิธีนี้คือการสลับเดินช่วงสั้นๆทำให้ร่างกายได้พักชั่วคราว และช่วยให้นักวิ่งจบการ
แข่งขันเร็วกว่าการที่พวกเขาวิ่งอย่างเดียวตลอดระยะทาง 42 กิโลเมตร

ความสำคัญของการหยุดพักไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องการวิ่ง การหยุดพักช่วยให้เรามีความทรหดอดทนในระยะยาวซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต และเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกล่าวถึงในตลอดพระคัมภีร์ เริ่มจากพระธรรมอพยพ ในพันธสัญญาเดิมนั้นการหยุดพักเป็นการทำตามแบบของพระเจ้าในช่วงเวลาของการทรงสร้าง คือ ทำการงานทั้งสิ้นในหกวัน “แต่วันที่เจ็ดนั้นเป็นสะบาโตของพระเจ้าของเจ้า” (อพย.20:10) เพราะพระเจ้าทรง “สร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก” (ข้อ 11)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ไม่มีการกำหนดอย่างชัดเจนว่าเราต้องพักบ่อยแค่ไหน (รม.14:5-6; คส.2:16-17) การหยุดพักในรูปแบบและช่วงเวลาที่เราพอใจนั้นก็เพื่อเป็นการฟื้นฟู การเลือกที่จะหยุดพักยังเป็นการแสดงออกถึงการวางใจในพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมสิ่งที่เราต้องการอย่างสัตย์ซื่อด้วย เราไม่สามารถและไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งตลอดเวลา

เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน

แพตตี้ใช้เวลาช่วงบ่ายที่ฝั่งแม่น้ำใกล้บ้าน เธอเหวี่ยงเบ็ดตกปลาที่เกี่ยวเหยื่อไว้ลงไปในน้ำ เธอเพิ่งย้ายมาอยู่บริเวณนี้ไม่นาน เธอจึงไม่ได้หวังที่จะจับปลาแต่กำลังมองหาเพื่อนใหม่ สายเบ็ดของเธอไม่ได้เกี่ยวตัวหนอนหรือเหยื่อล่อทั่วไป แต่เธอใช้คันเบ็ดแข็งแรงพิเศษสำหรับตกปลาขนาดใหญ่เพื่อส่งห่อคุกกี้ให้กับผู้คนที่ล่องแพไปตามแม่น้ำในช่วงฤดูร้อน เธอใช้วิธีที่สร้างสรรค์นี้เพื่อพบปะเพื่อนบ้านใหม่ๆ ซึ่งทุกคนก็ดูเหมือนจะชอบขนมหวานนี้!

แพตตี้ใช้วิธี “เหวี่ยงเบ็ดหาเพื่อน” จริงๆแม้พระเยซูจะไม่ได้หมายความตามตัวอักษรเช่นนี้ในตอนที่ทรงเรียกเปโตรและอันดรูว์ให้ติดตามพระองค์ตลอดชีวิต สองคนพี่น้องเป็นชาวประมงที่ขยันขันแข็งกำลังทอดแหในทะเลกาลิลี พระเยซูทรงขัดจังหวะการทำงานของพวกเขาด้วยการทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ พระองค์ตรัสว่าจะทรงตั้งพวกเขาให้เป็น “ผู้หาคน” แทนการหาปลา (มธ.4:19) หลังจากนั้นไม่นานพระองค์ทรงเรียกชาวประมงอีกสองคนคือยากอบและยอห์นด้วย พวกเขาทั้งหมดทิ้งอวนและเรือทันทีเพื่อเดินทางไปกับพระเยซู

ในทำนองเดียวกันกับชาวประมงที่กลายมาเป็นสาวกกลุ่มแรก พระเยซูคริสต์ก็ทรงเรียกให้เราติดตามพระองค์และใส่ใจในสิ่งอันเป็นนิรันดร์ คือ ชีวิตฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เรามีปฏิสัมพันธ์ด้วย เราสามารถบอกกับคนรอบข้างเราถึงสิ่งที่ให้ความอิ่มใจได้อย่างแท้จริง นั่นคือความหวังอันยั่งยืนของชีวิตที่มีในพระเยซู (ยน.4:13-14)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา