ผลงานชิ้นเอกที่ถูกบดบัง
ในหนังสือ ดิ แอตแลนติก อาเธอร์ ซี. บรูคส์ ผู้เขียนได้เล่าถึงการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กงในประเทศไต้หวัน ที่มีการรวบรวมศิลปะจีนไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มัคคุเทศก์ประจำพิพิธภัณฑ์ได้ถามว่า “คุณคิดถึงอะไรเมื่อผมขอให้คุณลองจินตนาการถึงงานศิลปะขึ้นมาอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้เริ่ม” บรูคส์ตอบว่า “น่าจะเป็นผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า” มัคคุเทศก์คนนั้นตอบว่า “มีวิธีมองอีกแบบหนึ่ง คืองานศิลปะนั้นมีอยู่แล้ว และหน้าที่ของศิลปินคือเพียงแค่เปิดเผยมันออกมา”
ในเอเฟซัส 2:10 คำว่าฝีพระหัตถ์ บางครั้งแปลว่า “ฝีมือช่างผู้ชำนาญ” หรือ “ผลงานชิ้นเอก” มาจากคำภาษากรีกคือ โพเอมา ซึ่งกลายมาเป็นคำว่าโพเอทรี ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าบทกลอน พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นงานศิลปะคือบทกวีที่มีชีวิต ถึงกระนั้นศิลปะของเราได้ถูกบดบังเอาไว้ ตามที่กล่าวไว้ว่า “ท่านตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (ข้อ 1) คำพูดของมัคคุเทศก์คนนั้นแปลความได้ว่า “ศิลปะ (แห่งชีวิตเรา)นั้นมีอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของพระเจ้าองค์อัครศิลปินที่จะเปิดเผยมันออกมา” แท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงกำลังรื้อฟื้นให้เราคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ “พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วย
พระกรุณา...ทรงกระทำให้เรามีชีวิต” (ข้อ 4-5)
เมื่อเราเผชิญปัญหาและความยากลำบาก เรายังคงอุ่นใจได้ที่รู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นองค์อัครศิลปินกำลังทำหน้าที่อยู่ “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟป.2:13) ขอให้รู้ว่าพระเจ้ากำลังกระทำกิจอยู่ภายในเราเพื่อจะเปิดเผยผลงานชิ้นเอกของพระองค์
มีโอกาสน้อยที่สุด
ฮอลลีวูดได้มอบสายลับที่ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษให้กับเรา เขาขับรถแอสตันมาร์ตินส์ที่เฉิดฉายและรถสปอร์ตสุดหรูอื่นๆ แต่อดีตหัวหน้าซีไอเอ จอนนา เมนเดซ ให้ภาพความจริงที่ตรงกันข้าม เธอกล่าวว่า สายลับต้องเป็น “ชายร่างเล็กผมสีดอกเลา” เป็นคนธรรมดาๆไม่เฉิดฉาย “คุณต้องการให้พวกเขาเป็นคนที่ถูกลืมอย่างง่ายดาย” สายลับที่ดีที่สุดคือคนที่ดูเหมือนสายลับน้อยที่สุด
เมื่อผู้สอดแนมสองคนของอิสราเอลเข้าไปในเมืองเยรีโค ราหับเป็นผู้ซ่อนพวกเขาจากทหารของกษัตริย์ (ยชว.2:4) เธอดูเหมือนเป็นคนที่มีโอกาสน้อยที่สุดที่พระเจ้าจะว่าจ้างให้เป็นตัวแทนหน่วยสืบราชการลับ เพราะมีสามข้อที่คัดค้านเธอ ได้แก่ เธอเป็นชาวคานาอัน เป็นผู้หญิงและเป็นโสเภณี แต่ราหับเริ่มเชื่อในพระเจ้าของคนอิสราเอล “พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบน” (ข้อ 11) เธอซ่อนผู้สอดแนมของพระเจ้าไว้ใต้ป่านบนหลังคา ช่วยเหลือในการหลบหนีของพวกเขาอย่างกล้าหาญ พระเจ้าประทานบำเหน็จเพื่อตอบแทนความเชื่อของเธอ “ส่วนราหับหญิงโสเภณี และครอบครัวบิดาของนาง และสารพัดที่เป็นของนาง โยชูวาได้ไว้ชีวิต” (6:25)
บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเรามีโอกาสน้อยที่สุดที่พระเจ้าจะทรงใช้ บางทีเราอาจมีข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่รู้สึก “เฉิดฉาย” พอที่จะเป็นผู้นำ หรือมีอดีตที่มัวหมอง แต่ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยผู้เชื่อ “ธรรมดาๆ” ที่พระเจ้าทรงไถ่ คนเช่นราหับที่ได้รับภารกิจพิเศษเพื่ออาณาจักรของพระองค์ ขอให้มั่นใจเถิดว่า พระองค์ทรงมีพระประสงค์จากเบื้องบนแม้กับคนที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดในพวกเรา
แสงสว่างเล็กๆนับพัน
วนอุทยานดิสมอลส์แคนยอนทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอลาบาม่า เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี นักท่องเที่ยวจะมากันเยอะในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนของริ้นฟักตัวออกมากลายเป็นหนอนเรืองแสง ในเวลากลางคืนหนอนเรืองแสงเหล่านี้จะเปล่งแสงสีฟ้าแพรวพราย และการอยู่รวมตัวกันของหนอนนับพันตัวเหล่านี้ก่อให้เกิดแสงสว่างอันน่าทึ่ง
อัครทูตเปาโลได้เขียนถึงผู้เชื่อในพระคริสต์ว่าเป็นเหมือนหนอนเรืองแสงนี้เช่นกัน ท่านอธิบายว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (อฟ.5:8) แต่บางครั้งเราสงสัยว่า “แสงสว่างเล็กๆของฉัน” จะมีความหมายอะไร เปาโลไม่ได้แนะนำให้เราทำคนเดียว ท่านเรียกให้เราเป็น “ลูกของความสว่าง” (ข้อ 8) และอธิบายว่าเรา “เข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับธรรมิกชนในความสว่าง” (คส.1:12) การเป็นความสว่างในโลกนั้นเป็นการกระทำที่ร่วมมือกัน เป็นการทำงานของพระกายพระคริสต์ เป็นการทำงานของคริสตจักร เปาโลตอกย้ำเรื่องนี้ด้วยภาพของเราที่เป็น “หนอนเรืองแสง” ที่นมัสการร่วมกัน “ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ” (อฟ.5:19)
เมื่อเราเกิดท้อใจและคิดว่าคำพยานชีวิตของเราเป็นเพียงจุดเล็กๆท่ามกลางความมืดมิดของผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เวลานั้นให้เรามีความมั่นใจจากพระคัมภีร์ เราไม่ได้อยู่ตามลำพัง เมื่อเราร่วมมือกันตามการทรงนำของพระเจ้า เราจะสร้างความแตกต่างและเปล่งแสงอันงดงาม เหมือนกับที่ชุมนุมของหนอนเรืองแสงที่ดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างมากมาย
พระเจ้าผู้ไม่เปลี่ยนแปลง
รูปภาพหนึ่งที่โด่งดัง เป็นภาพของรอยรองเท้าบูทที่เหยียบลงบนพื้นสีเทา รอยเท้านั้นเป็นของ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศที่ทิ้งไว้บนดวงจันทร์ในค.ศ. 1969 นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ารอยเท้านั้นน่าจะยังอยู่ที่นั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากหลายปีที่ผ่านไป หากไม่มีลมหรือน้ำก็จะไม่มีสิ่งใดบนดวงจันทร์ที่สึกกร่อน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูมิประเทศของดวงจันทร์จะยังคงอยู่ที่นั่น
แต่การตรึกตรองถึงการทรงสถิตอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้านั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า ยากอบบันทึกว่า “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง” (ยก.1:17) อัครทูตกล่าวถึงเรื่องนี้ในบริบทของการต่อสู้ของตัวเรา “เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” (ข้อ 2) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเราเป็นที่รักของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และไม่เปลี่ยนแปลง!
ในยามยากลำบาก เราจะต้องระลึกถึงการจัดเตรียมอย่างไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า บางทีเราอาจจำเนื้อร้องของบทเพลงนมัสการที่ยิ่งใหญ่ “พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ” ได้ว่า “ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเหมือนเงา...ความรักเมตตาของพระองค์ไม่ทรงแปรปรวน ถ้วนทุกสมัยสืบไปเป็นนิจนิรันดร์” ใช่แล้ว พระเจ้าของเราได้ทิ้งรอยพระบาทถาวรของพระองค์ไว้บนโลกของเรา พระองค์จะอยู่ที่นั่นเพื่อเราเสมอ ความสัตย์ซื่อของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก
พื้นที่ในใจ
นี่คือคำแนะนำบางประการสำหรับวันหยุด ครั้งต่อไปที่คุณเดินทางผ่านเมืองมิดเดิลตัน รัฐวิสคอนซิน คุณอาจอยากไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มัสตาร์ดแห่งชาติ สำหรับผู้ที่รู้สึกว่ามัสตาร์ดแค่แบบเดียวก็เพียงพอแล้ว สถานที่อันน่าตื่นตาตื่นใจนี้เก็บรวบรวมมัสตาร์ด 6,090 ชนิดจากทั่วโลก ที่เมืองแมคลีน รัฐเท็กซัส คุณอาจประหลาดใจที่เจอพิพิธภัณฑ์ลวดหนาม หรือแปลกใจมากขึ้นไปอีกที่มีคนหลงใหลใน... การฟันดาบ
เรื่องนี้กำลังบอกถึงสิ่งที่เราเลือกให้ความสำคัญ นักเขียนท่านหนึ่งบอกว่า คุณอาจทำสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการใช้เวลาช่วงบ่ายที่พิพิธภัณฑ์กล้วย (แม้เราจะขอทำอย่างอื่นแทน)
เราหัวเราะด้วยความขบขัน แต่ก็ต้องยอมรับโดยดีว่าเราต่างมีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง คือพื้นที่ในใจที่เรายกย่องรูปเคารพบางอย่างที่เราสร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าตรัสสั่งเราว่า “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพย.20:3) และ “อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น” (ข้อ 5) แต่เราก็ยังทำอยู่ เราสร้างพระต่างๆขึ้นมา อาจเป็นพระแห่งความมั่งคั่ง ความลุ่มหลง หรือความสำเร็จ หรือมี “ทรัพย์สมบัติ” เพื่อความพึงพอใจบางอย่างที่เราเทิดทูนไว้ลับๆ
เป็นเรื่องง่ายที่จะพลาดประเด็นสำคัญเมื่ออ่านพระธรรมตอนนี้ ใช่แล้ว พระเจ้าทรงถือว่าเราต้องรับผิดชอบต่อพิพิธภัณฑ์แห่งความบาปที่เราสร้างขึ้น แต่พระองค์ยังตรัสถึงการ “แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รัก[พระองค์]...จนถึงพันชั่วอายุคน” (ข้อ 6) พระองค์ทรงทราบว่า “พิพิธภัณฑ์” ของเราไร้สาระเพียงใด พระองค์ทรงทราบว่าความพึงพอใจที่แท้จริงของเราอยู่ในความรักที่เรามีต่อพระองค์เท่านั้น
งานวิจัยเกี่ยวกับคุณย่า/ยาย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมอรีใช้การสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อศึกษาสมองของพวกคุณย่า/ยาย พวกเขาวัดการตอบสนองความรู้สึกร่วมที่คุณย่า/ยายมีต่อรูปภาพที่มีหลานๆของตนเอง ลูกๆที่โตแล้ว และเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก ผลการศึกษาพบว่าพวกคุณย่า/ยายมีความรู้สึกร่วมต่อหลานของตัวเองมากกว่าลูกที่โตแล้ว นี่เป็นผลมาจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ตัวแปรที่น่ารัก” หลานๆของพวกเขา “เป็นที่หลงรัก” มากกว่าผู้ใหญ่
ก่อนที่เราจะพูดว่า “แหม!” เราอาจต้องพิจารณาคำพูดของเจมส์ ริลลิ่งผู้ทำการศึกษานี้ว่า “ถ้าหลานของพวกเขากำลังยิ้ม (คุณย่า/ยาย) ก็รู้สึกได้ถึงความสุขของเด็ก และถ้าหลานร้องไห้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ของเด็ก”
ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งบรรยาย “ภาพสแกน (MRI)” ถึงความรู้สึกของพระเจ้าขณะมองดูประชากรของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี…ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ศฟย.3:17) พระคัมภีร์บางฉบับแปลความตอนนี้ว่า “เจ้าจะทำให้พระทัยของพระองค์เปี่ยมด้วยความยินดี และจะทรงร้องเพลงด้วยเสียงดัง” เช่นเดียวกับคุณย่า/ยายที่เห็นอกเห็นใจ พระเจ้าก็ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเรา “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา” (อสย.63:9) และพระองค์รู้สึกถึงความยินดีของเรา “เพราะพระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์” (สดด. 149:4)
เมื่อเราท้อแท้ ก็เป็นการดีที่จะระลึกว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกต่อเราจริงๆ ทรงไม่ใช่พระเจ้าที่เย็นชาและห่างไกล แต่เป็นผู้ที่รักและเปรมปรีดิ์ในตัวเรา นี่คือเวลาที่จะเข้าใกล้พระองค์ สัมผัสถึงรอยยิ้มและฟังพระองค์ร้องเพลง
พระเจ้ากำลังตรัสกับเรา
ผมรับสายโทรศัพท์จากหมายเลขที่ไม่รู้จัก บ่อยครั้งที่ผมจะปล่อยให้สายเหล่านั้นเข้าไปที่กล่องรับข้อความ แต่ครั้งนี้ผมรับสาย ผู้ที่สุ่มโทรมาขอเวลาผมเพียงหนึ่งนาทีด้วยความสุภาพเพื่อแบ่งปันข้อพระคำสั้นๆ เขายกพระธรรมวิวรณ์ 21:3-5 ที่กล่าวถึงการที่พระเจ้า “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขา” เขาพูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นหลักประกันและความหวังของเรา ผมบอกเขาว่าผมรู้จักพระเยซูในฐานะองค์พระผู้ช่วยให้รอดเป็นการส่วนตัวแล้ว แต่ผู้ที่โทรมาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงการ “เป็นพยาน” กับผมเท่านั้น เขาขออธิษฐานกับผมด้วย และเขาอธิษฐานขอพระเจ้าประทานกำลังใจและเรี่ยวแรงแก่ผม
การรับสายครั้งนั้นเตือนผมถึง “การทรงเรียก” ครั้งหนึ่งในพระคัมภีร์ ที่พระเจ้าทรงเรียกเด็กชายซามูเอลในเวลากลางคืน (1ซมอ.3:4-10) ซามูเอลได้ยินเสียงเรียกสามครั้งและคิดว่าเป็นเสียงของเอลีปุโรหิตชรา ในครั้งสุดท้ายตามคำแนะนำของเอลี ซามูเอลตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่เรียก “ขอตรัสเถิด เพราะผู้รับใช้ของพระองค์คอยฟังอยู่” (ข้อ 10) เช่นเดียวกันไม่ว่าจะเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน พระเจ้าอาจกำลังตรัสกับเรา เราจำเป็นต้อง “รับสาย”ซึ่งอาจหมายถึงการใช้เวลาเข้าเฝ้าและฟังเสียงของพระองค์มากขึ้น
ผมคิดถึง “การทรงเรียก” ในอีกรูปแบบหนึ่งด้วยว่า บางครั้งเราก็อาจได้เป็นผู้สื่อสารที่ส่งพระคำของพระเจ้าให้แก่ใครบางคน เราอาจรู้สึกว่าเราไม่มีวิธีที่จะช่วยผู้อื่นได้ แต่เมื่อพระเจ้าทรงนำ เราสามารถที่จะโทรศัพท์ไปหาเพื่อนสักคนและถามว่า “จะเป็นอะไรไหม ถ้าวันนี้ผมจะขออธิษฐานกับคุณ”
การอบรมในทางธรรม
ช่วงปลายยุคปี 1800 ผู้คนในที่ต่างๆได้พัฒนาวิธีในการทำพันธกิจที่คล้ายคลึงกันในช่วงเวลาเดียวกัน ครั้งแรกคือในปี 1877 ที่เมืองมอนทรีออล แคนาดา อีกแนวคิดหนึ่งเริ่มขึ้นที่นครนิวยอร์กในปี 1878 โดยภายในปี 1922 มีการดำเนินโครงการไปราวห้าพันโครงการทุกช่วงฤดูร้อนในทวีปอเมริกาเหนือ
ประวัติศาสตร์ยุคแรกของค่ายฝึกอบรมพระคัมภีร์ภาคฤดูร้อน(ฝคร.)จึงเริ่มต้นขึ้น ภาระใจอันแรงกล้าที่กระตุ้นผู้บุกเบิกค่ายฝคร. คือความปรารถนาที่อยากให้คนหนุ่มสาวรู้จักพระคัมภีร์
เปาโลมีภาระใจในทำนองเดียวกันต่อทิโมธีคนหนุ่มซึ่งอยู่ในการดูแลของท่าน โดยกล่าวว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” และเตรียมเราให้ “พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทธ.3:16-17) แต่นี่ไม่ใช่แค่คำแนะนำอย่างใจดีว่า “เป็นการดีที่เราจะอ่านพระคัมภีร์” คำแนะนำของเปาโลนี้อยู่ต่อจากคำเตือนที่น่ากลัวว่า “ในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค” (ข้อ 1) และมีผู้สอนเท็จที่ทำให้ “ไม่อาจที่จะเข้าถึงหลักความจริงได้เลย” (ข้อ 7) จึงจำเป็นที่เราจะต้องปกป้องตนเองด้วยพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์ทำให้เราซึมซับความรู้ในเรื่องพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งทำให้เรา “มีปัญญา ที่จะมาถึงความรอดได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 15 TNCV)
การศึกษาพระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้สำหรับเด็กเท่านั้น แต่สำหรับผู้ใหญ่ด้วย และไม่ใช่สำหรับฤดูร้อนเท่านั้น แต่สำหรับทุกวัน เปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์” (ข้อ 15) และไม่เคยสายเกินไปที่จะเริ่มต้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงใดของชีวิต สติปัญญาในพระคัมภีร์จะเชื่อมโยงเรากับพระเยซู นี่คือบทเรียน ฝคร.ของพระเจ้าสำหรับเราทุกคน
มองเห็นพระเยซู
ในวัยสี่เดือนลีโอไม่เคยมองเห็นพ่อแม่ เขาเกิดมาพร้อมกับอาการซึ่งพบได้น้อยมากที่ทำให้สายตาของเขาพร่ามัว สำหรับลีโอแล้วมันเหมือนกับการมีชีวิตอยู่ในหมอกหนาทึบ แต่ภายหลังจักษุแพทย์ได้ทำแว่นตาพิเศษให้กับเขา
พ่อของลีโอโพสต์วิดีโอตอนที่แม่ของเขาสวมแว่นตาให้เขาครั้งแรก เรามองดูตาของลีโอค่อยๆโฟกัส รอยยิ้มฉีกกว้างบนใบหน้าของเขาเมื่อเขามองเห็นแม่อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ช่างเป็นอะไรที่มีค่านัก ณ ช่วงเวลานั้นที่ลีโอได้มองเห็นอย่างชัดเจน
ยอห์นบันทึกบทสนทนาของพระเยซูกับพวกสาวก ฟีลิปทูลพระองค์ว่า “ขอสำแดงพระบิดาให้ข้าพระองค์ทั้งหลายได้เห็น” (ยน.14:8) แม้จะผ่านช่วงเวลาทั้งหมดมาด้วยกัน สาวกของพระเยซูก็ยังจำผู้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ได้ พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระบิดาและพระบิดาทรงอยู่ในเรา” (ข้อ10) ก่อนหน้านั้นพระองค์ได้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต” (ข้อ 6) นี่คือคำตรัสครั้งที่หกจากเจ็ดครั้งที่พระเยซูตรัสว่า “เราเป็น” พระองค์กำลังบอกให้เรามองผ่านแว่นตาของคำว่า “เราเป็น” เหล่านี้เพื่อจะเห็นผู้ที่พระองค์ทรงเป็นอย่างแท้จริง นั่นคือพระเจ้าพระองค์เอง
พวกเราก็เหมือนกับเหล่าสาวก ในเวลายากลำบาก เราล้มลุกคลุกคลานและเริ่มมีสายตาพร่าเลือน เราไม่ได้จดจ่ออยู่กับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำและสามารถกระทำได้ เมื่อลีโอตัวน้อยสวมแว่นตาพิเศษนั้น เขามองเห็นพ่อแม่ได้ชัดเจน บางทีเราอาจต้องสวมแว่นตาของพระเจ้าเพื่อที่เราจะเห็นว่าพระเยซูเป็นใครได้อย่างชัดเจน