มอบถวายแด่พระเจ้า
จั๊ดสัน แวน ดีเวนเทอร์เกิดในฟาร์มแห่งหนึ่ง เขาเรียนวาดรูป ศึกษาศิลปะและกลายมาเป็นครูสอนศิลปะ แต่พระเจ้ามีแผนการสำหรับเขาที่ต่างออกไป เพื่อนๆเห็นคุณค่าของงานที่เขาทำในคริสตจักรและหนุนใจให้เขาออกไปประกาศ จั๊ดสันรู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้าเช่นกัน แต่เป็นเรื่องยากที่เขาจะทิ้งความรักในการสอนศิลปะ เขาปล้ำสู้กับพระเจ้า แต่ “ในที่สุด” เขาบันทึกว่า “ชั่วโมงที่สำคัญยิ่งในชีวิตมาถึงแล้ว และข้าพเจ้าขอมอบถวายทุกสิ่ง”
เราไม่อาจจิตนาการได้ถึงหัวใจที่แตกสลายของอับราฮัมเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้เสียสละอิสอัคบุตรชาย เมื่อเริ่มเข้าใจคำบัญชาของพระเจ้าที่ให้ “ถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา” (ปฐก.22:2) เราถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ถวายสิ่งมีค่าใดเป็นเครื่องบูชา ในท้ายที่สุดเรารู้ว่าพระองค์ทรงไว้ชีวิตอิสอัค (ข้อ 12) แต่ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้คืออับราฮัมเต็มใจมอบถวายสิ่งที่มีค่าที่สุดของตน ท่านไว้วางใจพระเจ้าที่จะทรงจัดเตรียมในท่ามกลางการทรงเรียกที่ยากที่สุด
เราบอกว่าเรารักพระเจ้า แต่เราเต็มใจที่จะสละสิ่งที่เรารักที่สุดไหม จั๊ดสันทำตามการทรงเรียกของพระเจ้าเข้าสู่งานประกาศข่าวประเสริฐ และต่อมาได้ประพันธ์บทเพลงนมัสการอันทรงคุณค่า “ข้าฯมอบทุกสิ่งแด่พระเยซู” ในเวลาไม่นานนักพระเจ้าได้ทรงเรียกให้เขากลับสู่งานสอน นักเรียนคนหนึ่งของเขาคือชายหนุ่มที่ชื่อบิลลี่ เกรแฮม
แผนการของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรานั้นมีจุดมุ่งหมายที่เราคาดไม่ถึง พระองค์ทรงรอคอยที่เราจะยอมสละสิ่งที่เรารักที่สุด ซึ่งดูเป็นเรื่องเล็กน้อยที่เราพอจะทำได้ เพราะในท้ายที่สุดพระองค์ได้ทรงสละพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อเรา
ให้อภัยและไม่จดจำ
จิลล์ ไพรซ์เกิดมาพร้อมกับโรคไฮเปอร์ธีมีเซียหรือโรคความจำดี คือการสามารถจดจำรายละเอียดทั้งหมดทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเธอได้ เธอสามารถย้อนนึกถึงเหตุการณ์ใดๆที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตของเธอได้
ภาพยนตร์ทีวีเรื่อง สายสืบความทรงจำมรณะ (Unforgettable) มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำรวจหญิงที่มีโรคความจำดี ซึ่งทำให้เธอได้เปรียบมากในเกมโชว์ตอบคำถามและการแก้ปัญหาอาชญากรรม อย่างไรก็ตามสำหรับจิลล์ ไพรซ์สภาวะนี้ไม่สนุกเท่าไหร่นัก เธอไม่สามารถลืมช่วงเวลาในชีวิตที่เธอถูกวิจารณ์ ประสบการณ์การสูญเสีย หรือการทำบางสิ่งที่เธอเสียใจอย่างสุดซึ้ง ภาพเหล่านั้นฉายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในหัวของเธอ
พระเจ้าของเราทรงมีความจำดีเลิศ พระองค์ทรงรอบรู้ทุกอย่าง พระคัมภีร์บอกเราว่าความรู้ความเข้าใจของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด แต่กระนั้นเราพบสิ่งที่ทำให้อุ่นใจที่สุดในพระธรรมอิสยาห์ “เรา เราคือพระองค์นั้นผู้ลบล้างความทรยศของเจ้า...และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (43:25) พระธรรมฮีบรูเสริมเรื่องนี้ว่า “เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์โดย...พระเยซูคริสต์...และ [พระเจ้า]จะไม่จดจำบาปกับการอธรรมของ[เรา]ทั้งหลายอีกต่อไป” (ฮบ.10:10,17)
เมื่อเราสารภาพบาปต่อพระเจ้า เราก็หยุดฉายภาพบาปนั้นซ้ำไปซ้ำมาในความคิดของเราได้ เราต้องปล่อยมันไปเช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงทำ “อย่าจดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น อย่าพิเคราะห์สิ่งเก่าก่อน” (อสย.43:18) ในความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระเจ้าทรงเลือกที่จะไม่จดจำในเรื่องบาปของเราเพื่อต่อต้านเรา ขอให้เราจดจำความจริงในข้อนี้
ความงามแทนขี้เถ้า
ภายหลังเหตุไฟป่าที่ทำลายล้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรัฐโคโลราโด หน่วยงานแห่งหนึ่งได้เสนอการให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาครอบครัวในการค้นหาสิ่งของมีค่าจากเถ้าถ่าน สมาชิกครอบครัวได้พูดถึงสิ่งของมีค่าที่พวกเขาหวังว่าจะยังคงปลอดภัย แต่น้อยมากที่ยังคงอยู่ ชายคนหนึ่งพูดถึงแหวนแต่งงานของเขาอย่างทะนุถนอม เขาวางไว้บนตู้เสื้อผ้าในห้องนอนชั้นบน เวลานี้ตัวบ้านไม่เหลือแล้ว สิ่งที่อยู่ในนั้นไหม้เกรียมเป็นเศษซากหรือละลายทับถมกันเป็นชิ้นเดียวอยู่ที่ชั้นใต้ดิน ผู้ทำการค้นหามองหาแหวนในมุมเดิมที่เคยเป็นห้องนอน แต่ไม่พบ
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เขียนถึงการทำลายกรุงเยรูซาเล็มที่กำลังจะมาถึงอย่างโศกสลด ที่ซึ่งจะถูกทำให้ราบเป็นหน้ากลอง ในทำนองเดียวกันมีหลายครั้งที่เรารู้สึกว่าชีวิตที่เราสร้างมานั้นถูกทำให้เหลือแต่เถ้าถ่าน เรารู้สึกว่าไม่เหลืออะไรแล้ว ทั้งในด้านความรู้สึกและในฝ่ายวิญญาณ แต่อิสยาห์ให้ความหวังว่า “พระองค์ [พระเจ้า] ทรงใช้ข้าพเจ้ามาให้เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ...เพื่อเล้าโลมบรรดาคนที่ไว้ทุกข์” (อสย.61:1-2) พระเจ้าทรงเปลี่ยนโศกนาฏกรรมของเราให้เป็นสง่าราศี “[พระองค์จะ]ประทานมาลัยแทนขี้เถ้าให้เขา” (ข้อ 3) พระองค์ทรงสัญญาว่า “เขาทั้งหลายจะสร้างสิ่งปรักหักพังโบราณขึ้นใหม่ เขาจะเสริมที่ทิ้งร้างแต่เก่าก่อนขึ้น” (ข้อ 4)
บริเวณสถานที่ประสบเหตุไฟไหม้นั้น สตรีคนหนึ่งค้นหาเถ้าถ่านที่ฝั่งตรงข้าม ที่นั่นเธอพบแหวนแต่งงานของสามีซึ่งยังคงอยู่ในกล่องเล็กๆ ในความสิ้นหวังของคุณนั้น พระเจ้าทรงเข้าถึงกองขี้เถ้าของคุณและดึงสิ่งหนึ่งที่มีค่าอย่างแท้จริงออกมา นั่นก็คือตัวคุณ
ผลงานชิ้นเอกที่ถูกบดบัง
ในหนังสือ ดิ แอตแลนติก อาเธอร์ ซี. บรูคส์ ผู้เขียนได้เล่าถึงการไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์แห่งชาติกู้กงในประเทศไต้หวัน ที่มีการรวบรวมศิลปะจีนไว้มากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก มัคคุเทศก์ประจำพิพิธภัณฑ์ได้ถามว่า “คุณคิดถึงอะไรเมื่อผมขอให้คุณลองจินตนาการถึงงานศิลปะขึ้นมาอย่างหนึ่งที่ยังไม่ได้เริ่ม” บรูคส์ตอบว่า “น่าจะเป็นผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า” มัคคุเทศก์คนนั้นตอบว่า “มีวิธีมองอีกแบบหนึ่ง คืองานศิลปะนั้นมีอยู่แล้ว และหน้าที่ของศิลปินคือเพียงแค่เปิดเผยมันออกมา”
ในเอเฟซัส 2:10 คำว่าฝีพระหัตถ์ บางครั้งแปลว่า “ฝีมือช่างผู้ชำนาญ” หรือ “ผลงานชิ้นเอก” มาจากคำภาษากรีกคือ โพเอมา ซึ่งกลายมาเป็นคำว่าโพเอทรี ในภาษาอังกฤษที่แปลว่าบทกลอน พระเจ้าทรงสร้างเราให้เป็นงานศิลปะคือบทกวีที่มีชีวิต ถึงกระนั้นศิลปะของเราได้ถูกบดบังเอาไว้ ตามที่กล่าวไว้ว่า “ท่านตายแล้วโดยการละเมิด และการบาป” (ข้อ 1) คำพูดของมัคคุเทศก์คนนั้นแปลความได้ว่า “ศิลปะ (แห่งชีวิตเรา)นั้นมีอยู่แล้ว และเป็นหน้าที่ของพระเจ้าองค์อัครศิลปินที่จะเปิดเผยมันออกมา” แท้จริงแล้ว พระเจ้าทรงกำลังรื้อฟื้นให้เราคืนสู่สภาพเดิมที่เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ “พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วย
พระกรุณา...ทรงกระทำให้เรามีชีวิต” (ข้อ 4-5)
เมื่อเราเผชิญปัญหาและความยากลำบาก เรายังคงอุ่นใจได้ที่รู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นองค์อัครศิลปินกำลังทำหน้าที่อยู่ “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟป.2:13) ขอให้รู้ว่าพระเจ้ากำลังกระทำกิจอยู่ภายในเราเพื่อจะเปิดเผยผลงานชิ้นเอกของพระองค์
มีโอกาสน้อยที่สุด
ฮอลลีวูดได้มอบสายลับที่ดึงดูดความสนใจเป็นพิเศษให้กับเรา เขาขับรถแอสตันมาร์ตินส์ที่เฉิดฉายและรถสปอร์ตสุดหรูอื่นๆ แต่อดีตหัวหน้าซีไอเอ จอนนา เมนเดซ ให้ภาพความจริงที่ตรงกันข้าม เธอกล่าวว่า สายลับต้องเป็น “ชายร่างเล็กผมสีดอกเลา” เป็นคนธรรมดาๆไม่เฉิดฉาย “คุณต้องการให้พวกเขาเป็นคนที่ถูกลืมอย่างง่ายดาย” สายลับที่ดีที่สุดคือคนที่ดูเหมือนสายลับน้อยที่สุด
เมื่อผู้สอดแนมสองคนของอิสราเอลเข้าไปในเมืองเยรีโค ราหับเป็นผู้ซ่อนพวกเขาจากทหารของกษัตริย์ (ยชว.2:4) เธอดูเหมือนเป็นคนที่มีโอกาสน้อยที่สุดที่พระเจ้าจะว่าจ้างให้เป็นตัวแทนหน่วยสืบราชการลับ เพราะมีสามข้อที่คัดค้านเธอ ได้แก่ เธอเป็นชาวคานาอัน เป็นผู้หญิงและเป็นโสเภณี แต่ราหับเริ่มเชื่อในพระเจ้าของคนอิสราเอล “พระเจ้าของท่านเป็นพระเจ้าของสวรรค์เบื้องบน” (ข้อ 11) เธอซ่อนผู้สอดแนมของพระเจ้าไว้ใต้ป่านบนหลังคา ช่วยเหลือในการหลบหนีของพวกเขาอย่างกล้าหาญ พระเจ้าประทานบำเหน็จเพื่อตอบแทนความเชื่อของเธอ “ส่วนราหับหญิงโสเภณี และครอบครัวบิดาของนาง และสารพัดที่เป็นของนาง โยชูวาได้ไว้ชีวิต” (6:25)
บางครั้งเราอาจรู้สึกว่าเรามีโอกาสน้อยที่สุดที่พระเจ้าจะทรงใช้ บางทีเราอาจมีข้อจำกัดทางร่างกาย ไม่รู้สึก “เฉิดฉาย” พอที่จะเป็นผู้นำ หรือมีอดีตที่มัวหมอง แต่ประวัติศาสตร์เต็มไปด้วยผู้เชื่อ “ธรรมดาๆ” ที่พระเจ้าทรงไถ่ คนเช่นราหับที่ได้รับภารกิจพิเศษเพื่ออาณาจักรของพระองค์ ขอให้มั่นใจเถิดว่า พระองค์ทรงมีพระประสงค์จากเบื้องบนแม้กับคนที่ดูไม่น่าเป็นไปได้ที่สุดในพวกเรา
แสงสว่างเล็กๆนับพัน
วนอุทยานดิสมอลส์แคนยอนทางตะวันตกเฉียงเหนือของรัฐอลาบาม่า เป็นสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากในแต่ละปี นักท่องเที่ยวจะมากันเยอะในเดือนพฤษภาคมและมิถุนายน ซึ่งเป็นเวลาที่ตัวอ่อนของริ้นฟักตัวออกมากลายเป็นหนอนเรืองแสง ในเวลากลางคืนหนอนเรืองแสงเหล่านี้จะเปล่งแสงสีฟ้าแพรวพราย และการอยู่รวมตัวกันของหนอนนับพันตัวเหล่านี้ก่อให้เกิดแสงสว่างอันน่าทึ่ง
อัครทูตเปาโลได้เขียนถึงผู้เชื่อในพระคริสต์ว่าเป็นเหมือนหนอนเรืองแสงนี้เช่นกัน ท่านอธิบายว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (อฟ.5:8) แต่บางครั้งเราสงสัยว่า “แสงสว่างเล็กๆของฉัน” จะมีความหมายอะไร เปาโลไม่ได้แนะนำให้เราทำคนเดียว ท่านเรียกให้เราเป็น “ลูกของความสว่าง” (ข้อ 8) และอธิบายว่าเรา “เข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับธรรมิกชนในความสว่าง” (คส.1:12) การเป็นความสว่างในโลกนั้นเป็นการกระทำที่ร่วมมือกัน เป็นการทำงานของพระกายพระคริสต์ เป็นการทำงานของคริสตจักร เปาโลตอกย้ำเรื่องนี้ด้วยภาพของเราที่เป็น “หนอนเรืองแสง” ที่นมัสการร่วมกัน “ปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ” (อฟ.5:19)
เมื่อเราเกิดท้อใจและคิดว่าคำพยานชีวิตของเราเป็นเพียงจุดเล็กๆท่ามกลางความมืดมิดของผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เวลานั้นให้เรามีความมั่นใจจากพระคัมภีร์ เราไม่ได้อยู่ตามลำพัง เมื่อเราร่วมมือกันตามการทรงนำของพระเจ้า เราจะสร้างความแตกต่างและเปล่งแสงอันงดงาม เหมือนกับที่ชุมนุมของหนอนเรืองแสงที่ดึงดูดความสนใจของคนได้อย่างมากมาย
พระเจ้าผู้ไม่เปลี่ยนแปลง
รูปภาพหนึ่งที่โด่งดัง เป็นภาพของรอยรองเท้าบูทที่เหยียบลงบนพื้นสีเทา รอยเท้านั้นเป็นของ บัซซ์ อัลดริน นักบินอวกาศที่ทิ้งไว้บนดวงจันทร์ในค.ศ. 1969 นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่ารอยเท้านั้นน่าจะยังอยู่ที่นั่นอย่างไม่เปลี่ยนแปลงหลังจากหลายปีที่ผ่านไป หากไม่มีลมหรือน้ำก็จะไม่มีสิ่งใดบนดวงจันทร์ที่สึกกร่อน ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นบนภูมิประเทศของดวงจันทร์จะยังคงอยู่ที่นั่น
แต่การตรึกตรองถึงการทรงสถิตอยู่อย่างไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้านั้นยอดเยี่ยมยิ่งกว่า ยากอบบันทึกว่า “ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง” (ยก.1:17) อัครทูตกล่าวถึงเรื่องนี้ในบริบทของการต่อสู้ของตัวเรา “เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” (ข้อ 2) ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ก็เพราะเราเป็นที่รักของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และไม่เปลี่ยนแปลง!
ในยามยากลำบาก เราจะต้องระลึกถึงการจัดเตรียมอย่างไม่เปลี่ยนแปลงของพระเจ้า บางทีเราอาจจำเนื้อร้องของบทเพลงนมัสการที่ยิ่งใหญ่ “พระองค์ผู้ทรงสัตย์ซื่อ” ได้ว่า “ไม่ทรงเปลี่ยนแปลงเหมือนเงา...ความรักเมตตาของพระองค์ไม่ทรงแปรปรวน ถ้วนทุกสมัยสืบไปเป็นนิจนิรันดร์” ใช่แล้ว พระเจ้าของเราได้ทิ้งรอยพระบาทถาวรของพระองค์ไว้บนโลกของเรา พระองค์จะอยู่ที่นั่นเพื่อเราเสมอ ความสัตย์ซื่อของพระองค์ใหญ่ยิ่งนัก
พื้นที่ในใจ
นี่คือคำแนะนำบางประการสำหรับวันหยุด ครั้งต่อไปที่คุณเดินทางผ่านเมืองมิดเดิลตัน รัฐวิสคอนซิน คุณอาจอยากไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มัสตาร์ดแห่งชาติ สำหรับผู้ที่รู้สึกว่ามัสตาร์ดแค่แบบเดียวก็เพียงพอแล้ว สถานที่อันน่าตื่นตาตื่นใจนี้เก็บรวบรวมมัสตาร์ด 6,090 ชนิดจากทั่วโลก ที่เมืองแมคลีน รัฐเท็กซัส คุณอาจประหลาดใจที่เจอพิพิธภัณฑ์ลวดหนาม หรือแปลกใจมากขึ้นไปอีกที่มีคนหลงใหลใน... การฟันดาบ
เรื่องนี้กำลังบอกถึงสิ่งที่เราเลือกให้ความสำคัญ นักเขียนท่านหนึ่งบอกว่า คุณอาจทำสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าการใช้เวลาช่วงบ่ายที่พิพิธภัณฑ์กล้วย (แม้เราจะขอทำอย่างอื่นแทน)
เราหัวเราะด้วยความขบขัน แต่ก็ต้องยอมรับโดยดีว่าเราต่างมีพิพิธภัณฑ์ของตัวเอง คือพื้นที่ในใจที่เรายกย่องรูปเคารพบางอย่างที่เราสร้างขึ้นมาเอง พระเจ้าตรัสสั่งเราว่า “อย่ามีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” (อพย.20:3) และ “อย่ากราบไหว้หรือปรนนิบัติรูปเหล่านั้น” (ข้อ 5) แต่เราก็ยังทำอยู่ เราสร้างพระต่างๆขึ้นมา อาจเป็นพระแห่งความมั่งคั่ง ความลุ่มหลง หรือความสำเร็จ หรือมี “ทรัพย์สมบัติ” เพื่อความพึงพอใจบางอย่างที่เราเทิดทูนไว้ลับๆ
เป็นเรื่องง่ายที่จะพลาดประเด็นสำคัญเมื่ออ่านพระธรรมตอนนี้ ใช่แล้ว พระเจ้าทรงถือว่าเราต้องรับผิดชอบต่อพิพิธภัณฑ์แห่งความบาปที่เราสร้างขึ้น แต่พระองค์ยังตรัสถึงการ “แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รัก[พระองค์]...จนถึงพันชั่วอายุคน” (ข้อ 6) พระองค์ทรงทราบว่า “พิพิธภัณฑ์” ของเราไร้สาระเพียงใด พระองค์ทรงทราบว่าความพึงพอใจที่แท้จริงของเราอยู่ในความรักที่เรามีต่อพระองค์เท่านั้น
งานวิจัยเกี่ยวกับคุณย่า/ยาย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอมอรีใช้การสแกนด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อศึกษาสมองของพวกคุณย่า/ยาย พวกเขาวัดการตอบสนองความรู้สึกร่วมที่คุณย่า/ยายมีต่อรูปภาพที่มีหลานๆของตนเอง ลูกๆที่โตแล้ว และเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จัก ผลการศึกษาพบว่าพวกคุณย่า/ยายมีความรู้สึกร่วมต่อหลานของตัวเองมากกว่าลูกที่โตแล้ว นี่เป็นผลมาจากสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ตัวแปรที่น่ารัก” หลานๆของพวกเขา “เป็นที่หลงรัก” มากกว่าผู้ใหญ่
ก่อนที่เราจะพูดว่า “แหม!” เราอาจต้องพิจารณาคำพูดของเจมส์ ริลลิ่งผู้ทำการศึกษานี้ว่า “ถ้าหลานของพวกเขากำลังยิ้ม (คุณย่า/ยาย) ก็รู้สึกได้ถึงความสุขของเด็ก และถ้าหลานร้องไห้ พวกเขาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดและความทุกข์ของเด็ก”
ผู้เผยพระวจนะคนหนึ่งบรรยาย “ภาพสแกน (MRI)” ถึงความรู้สึกของพระเจ้าขณะมองดูประชากรของพระองค์ว่า “พระองค์ทรงเปรมปรีดิ์เพราะเจ้าด้วยความยินดี…ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์จะทรงเริงโลดเพราะเจ้าด้วยร้องเพลงเสียงดัง” (ศฟย.3:17) พระคัมภีร์บางฉบับแปลความตอนนี้ว่า “เจ้าจะทำให้พระทัยของพระองค์เปี่ยมด้วยความยินดี และจะทรงร้องเพลงด้วยเสียงดัง” เช่นเดียวกับคุณย่า/ยายที่เห็นอกเห็นใจ พระเจ้าก็ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเรา “พระองค์ทรงทุกข์พระทัยในความทุกข์ใจทั้งสิ้นของเขา” (อสย.63:9) และพระองค์รู้สึกถึงความยินดีของเรา “เพราะพระเจ้าทรงปรีดีในประชากรของพระองค์” (สดด. 149:4)
เมื่อเราท้อแท้ ก็เป็นการดีที่จะระลึกว่าพระเจ้าทรงมีความรู้สึกต่อเราจริงๆ ทรงไม่ใช่พระเจ้าที่เย็นชาและห่างไกล แต่เป็นผู้ที่รักและเปรมปรีดิ์ในตัวเรา นี่คือเวลาที่จะเข้าใกล้พระองค์ สัมผัสถึงรอยยิ้มและฟังพระองค์ร้องเพลง