มุมมองที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา
ในปีค.ศ. 1968 อเมริกาติดหล่มอยู่กับสงครามในเวียดนาม ความรุนแรงทางเชื้อชาติปะทุขึ้นในเมืองต่างๆ และบุคคลสาธารณะสองคนถูกลอบสังหาร หนึ่งปีก่อนหน้านั้น ไฟไหม้ได้คร่าชีวิตนักบินอวกาศสามคนบนฐานปล่อยจรวด และความคิดที่จะไปดวงจันทร์ดูเหมือนเป็นความเพ้อฝัน อย่างไรก็ตาม ยานอะพอลโล 8 ก็ถูกปล่อยขึ้นไปได้สำเร็จก่อนวันคริสต์มาสไม่กี่วัน
นี่กลายเป็นภารกิจแรกที่มนุษย์ขึ้นโคจรรอบดวงจันทร์ นักบินอวกาศคือ บอร์แมน แอนเดอร์ส และโลเวลล์ ทุกคนเป็นผู้เชื่อซึ่งได้ทำการถ่ายทอดสดการอ่านพระวจนะตอนหนึ่งในวันก่อนวันคริสต์มาส “ในปฐมกาลพระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐก.1:1) ในเวลานั้น นี่เป็นรายการออกอากาศทางทีวีที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก และผู้คนนับล้านได้ร่วมกันมองดูภาพของโลกในมุมมองเดียวกับที่พระเจ้าทรงเห็น ซึ่งได้กลายมาเป็นภาพถ่ายที่โด่งดังในปัจจุบัน แล้วแฟรงก์ บอร์แมนจบการอ่านด้วยประโยคที่ว่า “และพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ข้อ 10)
บางครั้งเป็นเรื่องยากที่เราจะมองเห็นตัวเอง มองความยากลำบากทั้งหมดที่เราติดหล่มอยู่ แล้วยังมองเห็นสิ่งดีๆได้ แต่ให้เรามองย้อนกลับไปสู่เรื่องราวการทรงสร้างและเห็นถึงมุมมองที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา “พระองค์จึงทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์” (ข้อ 27) ให้เราจับคู่มุมมองนี้กับอีกมุมมองหนึ่งของพระองค์ที่ว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก” (ยน.3:16) ในวันนี้ขอให้ระลึกว่าพระเจ้าทรงสร้างคุณ ทรงเห็นว่าดีโดยไม่คำนึงถึงความบาป และทรงรักคุณผู้ที่พระองค์ได้ทรงสร้าง
คำสั่งห้ามติดต่อ
ชายคนหนึ่งยื่นฟ้องให้ศาลออกคำสั่งห้ามพระเจ้าติดต่อกับเขา เขาอ้างว่าพระเจ้า “ไร้ความเมตตาอย่างยิ่ง” ต่อเขา และทรงแสดง “ทัศนคติเชิงลบอย่างร้ายแรง” ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะยกฟ้องคดีดังกล่าว โดยกล่าวว่าชายผู้นี้ไม่ได้ต้องการความช่วยเหลือจากศาล แต่จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือด้านสุขภาพจิต นี่เป็นเรื่องจริงที่น่าขบขันแต่ก็น่าเศร้าเช่นกัน
แล้วเราแตกต่างจากชายคนนั้นหรือ บางครั้งเราไม่อยากพูดหรือว่า “ได้โปรดหยุดเถอะพระเจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่ไหวแล้ว” โยบพูดเช่นนั้น ท่านสู้คดีกับพระเจ้า หลังจากอดทนกับโศกนาฏกรรมอันโหดร้ายเกินบรรยายที่เกิดขึ้นกับตัวท่าน โยบกล่าวว่า “ข้า...ปรารถนาจะสู้คดีของข้ากับพระเจ้า” (โยบ 13:3) และจินตนาการถึงการนำ “พระองค์ขึ้นศาล” (9:3 THA-ERV) ท่านถึงกับออกคำสั่งห้ามว่า “ขอทรงหดพระหัตถ์ให้ไกลจากข้าพระองค์ และขออย่าให้ความครั่นคร้ามพระองค์ทำให้ข้าพระองค์คร้ามกลัว” (13:21) โยบไม่ได้โต้แย้งในเรื่องความบริสุทธิ์ของตัวท่านเอง แต่ในสิ่งที่ท่านมองว่าเป็นความรุนแรงอันไร้เหตุผลของพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเห็นชอบแล้วหรือที่จะบีบบังคับ” (10:3)
บางครั้งเรารู้สึกว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม ในความเป็นจริงแล้วเรื่องราวของโยบนั้นซับซ้อนและไม่ได้มีคำตอบที่ง่าย ในตอนท้ายพระเจ้าทรงให้โยบได้รับทรัพย์สมบัติจำนวนมากกลับคืน แต่นั่นไม่ใช่แผนการที่พระองค์เตรียมไว้ให้เราเสมอไป บางทีเราอาจพบคำชี้ขาดในสิ่งที่โยบยอมรับในที่สุดว่า “ข้าพระองค์จึงกล่าวถึงสิ่งที่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจ สิ่งที่ประหลาดเกินแก่ข้าพระองค์ซึ่งข้าพระองค์ไม่ทราบ” (42:3) ประเด็นสำคัญก็คือพระเจ้าทรงมีเหตุผลที่เราไม่อาจล่วงรู้ และมีความหวังอันอัศจรรย์อยู่ในเหตุผลเหล่านั้น
หลังกรงขัง
ควอร์เตอร์แบ็กดาวเด่นในวงการอเมริกันฟุตบอลก้าวขึ้นไปบนเวทีที่ไม่ใช่สนามกีฬา เขาพูดกับนักโทษสามร้อยคนในเรือนจำเอเวอร์เกลดส์ในไมอามี รัฐฟลอริดา โดยแบ่งปันถ้อยคำจากพระธรรมอิสยาห์
ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่เรื่องของภาพอันน่าตื่นเต้นของนักกีฬาชื่อดัง แต่เป็นจิตวิญญาณมากมายที่แตกสลายและเจ็บปวด ในช่วงเวลาพิเศษนี้พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ในเรือนจำ ผู้สังเกตการณ์คนหนึ่งทวีตข้อความว่า “ห้องอธิษฐานเริ่มปะทุขึ้นด้วยการนมัสการและเสียงสรรเสริญ” พวกผู้ชายร้องไห้และอธิษฐานด้วยกัน ในท้ายที่สุดนักโทษประมาณยี่สิบเจ็ดคนได้มอบชีวิตให้พระคริสต์
ในทางหนึ่งทางใด เราทุกคนต่างก็อยู่ในคุกที่เราสร้างขึ้นเอง ติดอยู่ในกรงขังแห่งความโลภ ความเห็นแก่ตัวและการเสพติด แต่อัศจรรย์เหลือล้นที่พระเจ้าทรงปรากฏพระองค์ ในเช้าวันนั้นที่เรือนจำพระวจนะข้อสำคัญคือ “เรากำลังกระทำสิ่งใหม่ งอกขึ้นมาแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือ” (อสย.43:19) พระวจนะตอนนี้หนุนใจให้เรา “ลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้ว” และ “อย่าฝังใจกับอดีต” (ข้อ 18 TNCV) เพราะพระเจ้าตรัสว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น...เราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (ข้อ 25)
และพระเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่า “นอกจากเราไม่มีพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด” (ข้อ 11) การมอบชีวิตของเราให้พระคริสต์เท่านั้นที่ทำให้เราเป็นอิสระ พวกเราบางคนจำเป็นต้องทำเช่นนั้น พวกเราบางคนได้ทำแล้ว แต่จำเป็นต้องได้รับการเตือนให้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริงในชีวิตของเราคือใคร เรามั่นใจว่าโดยทางพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงทำ “สิ่งใหม่” อย่างแน่นอน ดังนั้นให้เรามาดูเถิดว่า อะไรงอกขึ้นมาแล้ว!
ประตูชัย
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2023 คริสเตียน อัตซูยิงประตูแห่งชัยชนะให้กับทีมของเขาในการแข่งขันฟุตบอลที่ประเทศตุรกี ผู้เล่นที่โด่งดังระดับนานาชาติคนนี้เรียนรู้การเล่นกีฬาชนิดนี้ขณะยังเป็นเด็กวิ่งเท้าเปล่าอยู่ในประเทศกาน่าบ้านเกิด อัตซูเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ เขาบอกว่า “พระเยซูคือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของผม” อัตซูแบ่งปันข้อพระคัมภีร์ในโซเชียลมีเดีย เปิดเผยความเชื่อของตน และถ่ายทอดออกมาเป็นการกระทำโดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่โรงเรียนสอนเด็กกำพร้าแห่งหนึ่ง
หนึ่งวันหลังจากยิงประตูชัย ได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ถล่มเมืองอันทักยา ซึ่งในสมัยพระคัมภีร์คือเมืองอันทิโอก ตึกอพาร์ตเม้นต์ของคริสเตียน อัตซูถล่มลงมา และเขาได้ไปอยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดของเขา
สองพันปีที่แล้วเมืองอันทิโอกเป็นต้นกำเนิดของคริสตจักรยุคแรก “ในเมืองอันทิโอกนั่นเอง พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก” (กจ.11:26) อัครสาวกคนหนึ่งชื่อบารนานัส ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น “คนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 24) เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการนำผู้คนมาหาพระคริสต์ “คนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 24)
เราไม่ได้มองไปที่ชีวิตของคริสเตียน อัตซูเพื่อยกย่องเขา แต่มองถึงโอกาสในชีวิตของเขา ไม่ว่าสถานการณ์ในชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร เราไม่รู้ว่าเมื่อใดที่พระเจ้าจะทรงรับเราไปอยู่กับพระองค์ เราจึงควรถามตัวเองให้ดีว่า เราจะเป็นอย่างบารนาบัสหรือคริสเตียน อัตซู ในการสำแดงความรักของพระคริสต์แก่ผู้อื่นได้อย่างไร และนี่คือประตูชัยที่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
ยำเกรงพระเจ้า
โรคโฟเบียหรือภาวะกลัว หมายถึง “ความกลัวอย่างไม่มีเหตุผล” ในสิ่งของหรือสถานการณ์บางอย่าง เช่น โรคกลัวแมงมุม (แม้บางคนอาจแย้งว่าการกลัวแมงมุมเป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่สุด) นอกจากนั้นยังมีโรคกลัวลูกโป่ง โรคกลัวช็อกโกแลต และโรคกลัวอีกประมาณสี่ร้อยชนิดที่มีอยู่จริงและมีการบันทึกข้อมูลไว้ ดูเหมือนว่าคนเราจะกลัวอะไรได้เกือบทุกอย่าง
พระคัมภีร์พูดถึงความกลัวของชนชาติอิสราเอลหลังจากได้รับพระบัญญัติสิบประการว่า “คนทั้งหลายเมื่อได้ยินได้เห็นฟ้าร้อง ฟ้าแลบ...ต่างก็ยืนตัวสั่นอยู่แต่ไกล” (อพย.20:18) โมเสสปลอบใจพวกเขาโดยกล่าวถ้อยคำที่น่าสนใจที่สุดว่า “อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อลองใจท่านทั้งหลาย เพื่อพวกท่านจะได้ยำเกรงพระองค์” (ข้อ 20) ดูเหมือนโมเสสจะย้อนแย้งในตัวเอง “อย่ากลัวเลย แต่จงเกรงกลัว” อันที่จริง คำภาษาฮีบรูที่แปลว่า “ความกลัว” มีความหมายอย่างน้อยสองประการ คือ ความหวาดกลัวจนตัวสั่นต่อบางสิ่งบางอย่าง หรือความยำเกรงอย่างสูงต่อพระเจ้า
เราอาจหัวเราะเมื่อรู้ว่ามีโรคกลัวลูกโป่งและโรคกลัวช็อกโกแลต แต่สาระสำคัญที่สุดเกี่ยวกับโรคกลัวเหล่านี้คือ เราสามารถกลัวอะไรได้ทุกอย่าง ความกลัวคืบคลานเข้ามาในชีวิตเราเหมือนแมงมุม และโลกอาจเป็นสถานที่ที่น่ากลัว ขณะที่เราต่อสู้กับโรคกลัวนี้และความหวาดกลัวต่างๆ ขอให้เราระลึกเสมอว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่น่ายำเกรง และพระองค์ประทานการปลอบประโลมแก่เราในเวลานี้ในท่ามกลางความมืดมิด
พระหัตถกิจของพระเจ้า
วันที่ 12 กรกฎาคม 2022 นักวิทยาศาสตร์เฝ้ารอภาพแรกของอวกาศห้วงลึกจากกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เว็บบ์ กล้องโทรทรรศน์ล้ำสมัยนี้สามารถมองเข้าไปในจักรวาลได้ไกลกว่าที่มนุษย์เคยมองมาก่อน ทันใดนั้นภาพที่น่าทึ่งก็ปรากฏขึ้น เป็นภาพสีอวกาศเต็มรูปแบบของกลุ่มก๊าซเนบิวลากระดูกงูเรือที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในลักษณะนี้ นักดาราศาสตร์นาซ่าคนหนึ่งอ้างคำกล่าวของคาร์ล เซแกน ผู้ซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้าว่า “ที่ไหนสักแห่ง มีบางสิ่งที่เหลือเชื่อรออยู่”
บางครั้งผู้คนอาจมองตรงไปที่พระเจ้าแต่ไม่เห็นพระองค์ แต่ดาวิดผู้ประพันธ์เพลงสดุดีมองไปในท้องฟ้าและรู้ว่ากำลังเห็นอะไร “พระองค์ทรงตั้งเกียรติสิริของพระองค์เหนือฟ้าสวรรค์” (สดด.8:1 TNCV) เซแกนพูดถูกว่า “มีบางสิ่งที่เหลือเชื่อรออยู่” แต่เขาไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่ดาวิดรับรู้ได้อย่างชัดเจน “เมื่อข้าพระองค์มองดูฟ้าสวรรค์อันเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ดวงจันทร์และดวงดาวซึ่งพระองค์ได้ทรงสถาปนาไว้ มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ทรงระลึกถึงเขา”
(ข้อ 3-4)
เมื่อเราเห็นภาพของห้วงอวกาศที่ลึกที่สุด เรารู้สึกอัศจรรย์ใจและก็ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยี แต่เพราะเราได้เห็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เรารู้สึกพิศวงเพราะในความยิ่งใหญ่ไพศาลแห่งการทรงสร้าง พระเจ้าทรงมอบอำนาจให้เรา “ครอบครองบรรดาพระหัตถกิจของพระองค์” (ข้อ 6) ใช่แล้วที่มี “บางสิ่งที่เหลือเชื่อรออยู่” พระเจ้าทรงรอคอยที่จะนำผู้เชื่อในพระเยซูมาหาพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จกลับมา นั่นเป็นภาพที่น่าทึ่งที่สุดในบรรดาภาพทั้งปวง
พร้อมลุยเพื่อพระเจ้า
หนังสือเรื่องทีมเงาอัจฉริยะ (Hidden Figures) เล่าถึงการเตรียมตัวของจอห์น เกล็นในการบินสู่อวกาศ ในปีค.ศ. 1962 คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ซึ่งอาจยังมีข้อบกพร่องอยู่ เกล็นไม่ไว้ใจพวกมันและกังวลเกี่ยวกับการคำนวณตัวเลขสำหรับการปล่อยยาน เขารู้จักผู้หญิงอัจฉริยะคนหนึ่งในห้องด้านหลังที่สามารถคำนวณตัวเลขเหล่านั้นได้ เขาเชื่อใจเธอ “ถ้าเธอบอกว่าตัวเลขถูกต้อง” เกล็นกล่าว “ผมก็พร้อมลุย”
แคทเธอรีน จอห์นสันเป็นครูและคุณแม่ลูกสาม เธอรักพระเยซูและรับใช้ในคริสตจักรของเธอ พระเจ้าทรงอวยพรให้แคทเธอรีนมีสมองที่พิเศษ นาซ่าได้ทาบทามเธอให้มาช่วยในโครงการอวกาศในช่วงปลายทศวรรษที่ 1950 เธอคือ “ผู้หญิงฉลาด” หนึ่งใน “มนุษย์สมองกล” ที่่พวกเขาว่าจ้างในเวลานั้น
เราอาจไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นนักคำนวณที่ฉลาดหลักแหลม แต่พระเจ้าทรงเรียกเราทั้งหลายเพื่อสิ่งอื่น “พระคุณนั้นทรงโปรดประทานแก่เราทุกๆคนตามขนาดที่พระคริสต์ประทานให้” (อฟ.4:7) เราต้อง “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) เราเป็นอวัยวะของร่างกายที่ “ทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสม” (ข้อ 16)
การคำนวณของแคทเธอรีนยืนยันแนววิถีโคจร การทะยานสู่วงโคจรของเกล็นประสบความสำเร็จอย่างงดงามชนิดที่เรียกได้ว่า “เข้าเป้า” แต่นี่เป็นเพียงการทรงเรียกหนึ่งในหลายๆอย่างของแคทเธอรีน เธอยังถูกเรียกให้เป็นแม่ ครู และผู้รับใช้ในคริสตจักรด้วย เราอาจต้องถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเรียกเราให้ทำอะไรไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยหรือใหญ่โต เรา “พร้อมลุย” โดยใช้ของประทานแห่งพระคุณที่ทรงมอบให้ และ “ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (ข้อ 1) หรือไม่
“เราเป็น”
แจ็คเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและวรรณคดีที่ฉลาดปราดเปรื่อง เขาประกาศตัวว่าเป็นผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าตอนอายุสิบห้าปี และในวัยผู้ใหญ่ก็ยังยืนกรานที่จะปกป้อง “ความเชื่อว่าไม่มีพระเจ้า” ของเขา เพื่อนคริสเตียนหลายคนพยายามโน้มน้าวเขา แต่แจ็คบอกว่า “ทุกคนและทุกสิ่งล้วนเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง” แต่เขาต้องยอมรับว่าพระคัมภีร์แตกต่างจากวรรณกรรมและเทพนิยายอื่นๆ เขาเขียนถึงพระกิตติคุณว่า “หากว่าเทพนิยายกลายเป็นความจริง เกิดขึ้นจริงๆก็คงจะเป็นเช่นนี้”
อพยพ 3 ได้กลายเป็นพระคัมภีร์บทที่มีอิทธิพลต่อแจ็คมากที่สุด พระเจ้าเรียกโมเสสให้นำชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ โมเสสถามพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์” (ข้อ 11) พระเจ้าตรัสว่า “เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” (ข้อ 14) พระธรรมตอนนี้เป็นการเล่นคำและชื่อที่ซับซ้อน แต่สะท้อนถึงการทรงสถิตอยู่นิรันดร์ของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล น่าสนใจที่ต่อมาพระเยซูก็ทรงสะท้อนสิ่งเดียวกัน เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เรา [เป็น]อยู่ก่อนอับราฮัมเกิด”(ยน.8:58)
พระธรรมตอนนี้ส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อแจ็ค หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ซี.เอส.- ลูอิส นี่คือทั้งหมดที่พระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวทรงจำเป็นต้องบอก คือบอกว่าพระองค์เป็น “ผู้ซึ่งเราเป็น” ในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตนั้น ลูอิส “ยอมจำนนและยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า” นี่คือจุดเริ่มต้นการเดินทางของลูอิสไปสู่การต้อนรับพระเยซู
บางทีเราอาจสงสัยในความเชื่อเหมือนลูอิส หรืออาจมีความเชื่อแบบอุ่นๆ ไม่เย็นไม่ร้อน เราคงต้องถามตัวเองว่าพระเจ้าทรงเป็น “ผู้ซึ่งเราเป็น” จริงๆในชีวิตของเราหรือไม่
โลหิตพระเยซู
สีแดงไม่ใช่สีที่จะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติทุกครั้งบนสิ่งของที่เราทำขึ้น คุณจะใส่สีสันที่สดใสของแอปเปิ้ลลงบนเสื้อยืดหรือลิปสติกได้อย่างไร ในยุคแรกเม็ดสีของสีแดงนั้นทำจากดินหรือหินสีแดง ในช่วงทศวรรษที่ 1400 ชนเผ่าแอซเท็กได้คิดค้นวิธีการใช้แมลงโคชินีลทำสีย้อมแดง ในปัจจุบันแมลงตัวเล็กๆชนิดเดียวกันนี้ยังคงเป็นแหล่งที่ให้สีแดงกับโลกของเรา
ในพระคัมภีร์นั้นสีแดงหมายถึงตำแหน่งกษัตริย์ และยังหมายถึงบาปและความละอาย นอกจากนี้ยังเป็นสีของเลือดอีกด้วย เมื่อทหาร “เปลื้องฉลองพระองค์ [พระเยซู]ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมพระองค์” (มธ.27:28) สัญลักษณ์ทั้งสามนี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวในภาพของสีแดงแห่งความโศกสลดคือ พระเยซูทรงถูกเยาะเย้ยในฐานะผู้ที่จะเป็นกษัตริย์ พระองค์สวมความอับอายและทรงถูกสวมด้วยเสื้อคลุมสีเลือดซึ่งพระโลหิตของพระองค์จะทรงหลั่งออกในไม่ช้า แต่ถ้อยคำของอิสยาห์ได้พยากรณ์ล่วงหน้าถึงพระสัญญาที่พระเยซูผู้ทรงถูกปกคลุมด้วยสีแดงเข้มนี้จะทรงช่วยเราให้พ้นจากสีแดงแห่งมลทินบาป “ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ” (1:18)
คือแมลงโคชินีลที่ใช้ทำสีย้อมแดงนั้นมีสีภายนอกที่ขาวคล้ายน้ำนม แต่เมื่อถูกบดขยี้พวกมันก็จะปลดปล่อยเลือดสีแดงออกมา ข้อเท็จจริงเล็กน้อยนี้สะท้อนคำพูดของอิสยาห์ว่า “ [พระเยซู] ฟกช้ำเพราะความบาปผิดของเรา” (อสย.53:5)
พระเยซูผู้ไม่มีบาปทรงอยู่ตรงนี้เพื่อช่วยเราที่เต็มไปด้วยความบาปเหมือนสีแดงเข้มให้ได้รับความรอด คุณเห็นไหมว่าในการสิ้นพระชนม์อย่างฟกช้ำของพระองค์ พระเยซูทรงทนทุกข์กับสีแดงเข้มทุกประการเพื่อคุณจะขาวอย่างหิมะ