ขนมปัง!
ฉันอยู่ที่เมืองเล็กในประเทศเม็กซิโก ทุกเช้าและเย็นคุณจะได้ยินเสียงร้องดังชัดเจนว่า “ขนมปัง” ชายคนหนึ่งปั่นจักรยานมาพร้อมกับตะกร้าใบใหญ่ เพื่อขายขนมปังรสเค็มหวานสดใหม่นานาชนิด ฉันเคยอยู่ในเมืองใหญ่ที่ต้องออกไปซื้อขนมปังตามร้านเบเกอรี่ ฉันจึงชอบที่มีขนมปังอบใหม่มาส่งให้ถึงหน้าประตู
เปลี่ยนจากเรื่องการบริโภคอาหารฝ่ายร่างกายมาเป็นความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ ฉันคิดถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์” (ยน.6:51)
มีคนเคยบอกว่า การประกาศข่าวประเสริฐจริงๆ แล้วเป็นเหมือนการที่ขอทานคนหนึ่งบอกกับขอทานอีกคนว่าไปพบอาหารที่ไหน พวกเราหลายคนอาจพูดว่า “ครั้งหนึ่ง ฉันเคยหิวกระหายและอดอยากในฝ่ายวิญญาณเพราะความบาปที่มี แต่แล้วฉันก็ได้ยินข่าวดี มีคนบอกฉันว่าให้ไปรับอาหารได้จากพระเยซู และชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป”
เวลานี้เรามีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบที่ต้องชี้ทางให้คนไปถึงอาหารแห่งชีวิต เราสามารถแบ่งปันเรื่องพระเยซูให้กับเพื่อนบ้าน ในที่ทำงาน ที่โรงเรียน ที่พบปะสังสรรค์ต่างๆ เราพูดคุยถึงพระเยซูได้ทั้งในขณะที่นั่งรอ อยู่บนรถเมล์ หรือบนรถไฟ เรานำข่าวประเสริฐไปถึงผู้อื่นได้โดยผ่านทางประตูแห่งมิตรภาพ
พระเยซูทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ให้เราบอกข่าวดีนี้แก่ทุกคน
เรียนนับ
ลูกชายฉันกำลังเรียนนับหนึ่งถึงสิบ เขานับทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นไปถึงต้นไม้ เขานับสิ่งที่ฉันมักจะมองข้าม เช่น ดอกไม้ตามทางไปโรงเรียนหรือนิ้วเท้าของฉัน
ลูกยังสอนให้ฉันกลับมานับอีกครั้ง บ่อยครั้งที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่ยังทำไม่เสร็จหรือสิ่งที่ฉันไม่มี จนฉันพลาดโอกาสที่จะมองเห็นสิ่งดีรอบตัว ฉันลืมนับเพื่อนใหม่ในปีนี้ และคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ ลืมนับน้ำตาแห่งความสุขและช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะกับเพื่อนดีๆ
สิบนิ้วของฉันไม่พอนับพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้ทุกวัน “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้วก็มีมากมายเหลือที่จะนับ พระเจ้าของข้าพระองค์” (สดุดี 40:5) ยิ่งไปกว่านั้น ทำอย่างไรเราจึงจะเริ่มนับพระพรทั้งสิ้นเรื่องความรอด การคืนดีและชีวิตนิรันดร์ได้
ให้เราร่วมกับดาวิดในการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระดำริอันประเสริฐที่ทรงมีต่อเราและทุกสิ่งที่ทรงทำเพื่อเรา เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระดำริของพระองค์ประเสริฐแก่ข้าพระองค์จริงๆ รวมกันเข้าก็ไพศาลนักหนา ถ้าข้าพระองค์จะนับก็มากกว่าเม็ดทราย“ (สดุดี 139:17-18)
ให้เราเรียนนับอีกครั้ง
ทำดีต่อไป
ลูกชายฉันรักการอ่าน ถ้าเขาอ่านหนังสือมากกว่าที่โรงเรียนกำหนดเขาจะได้ใบประกาศนียบัตรเป็นรางวัลกำลังใจเล็กน้อยที่ช่วยผลักดันให้เขาทำดีต่อไป
เมื่อเปาโลเขียนถึงชาวเธสะโลนิกา ท่านไม่ได้กระตุ้นคนเหล่านั้นด้วยรางวัลแต่ด้วยคำหนุนใจ ท่านกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้เนื่องจากเราได้สอนท่านถึงวิธีดำเนินชีวิตซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและท่านดำเนินอย่างนั้นอยู่แล้ว เราจึงขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงดำเนินให้ดียิ่งขึ้นอีก” (1 เธสะโลนิกา 4:1) คริสเตียนเหล่านี้กำลังดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเปาโลหนุนใจพวกเขาให้ทำดียิ่งขึ้นอีกเพื่อพระองค์
วันนี้คุณกับฉันอาจกำลังทำดีที่สุดเพื่อจะรู้จักและรักพระองค์ และทำให้พระบิดาพอพระทัย ให้เรานำถ้อยคำของเปาโลมาเป็นกำลังใจให้เราดำเนินต่อไปในความเชื่อ
แต่ให้เราก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง วันนี้เราจะหนุนใจใครด้วยถ้อยคำของเปาโลได้บ้าง คุณคิดถึงใครที่บากบั่นติดตามพระเจ้าและแสวงหาที่จะเป็นที่พอพระทัยพระองค์ ให้คุณส่งข้อความหรือโทรไปหนุนใจเขาให้ดำเนินต่อไปในเส้นทางแห่งความเชื่อ สิ่งที่คุณพูดอาจเป็นกำลังใจที่เขาต้องการ เพื่อที่จะติดตามและปรนนิบัติรับใช้พระเยซูต่อไป
กลิ่นหอมหวาน
ผู้ผลิตน้ำหอมคนหนึ่งในนิวยอร์คประกาศว่า เธอแยกแยะกลิ่นที่ผสมผสานกันได้และเดาได้ว่าผู้ผลิตน้ำหอมนี้คือใครจากการสูดดมเพียงครั้งเดียว เธอสามารถบอกได้ว่า “นี่เป็นฝีมือของเจนนี่” เมื่อเปาโลเขียนจดหมายถึงผู้ติดตามพระคริสต์ในเมืองโครินธ์ ท่านใช้ตัวอย่างที่ทำให้พวกเขาคิดถึงกองทัพโรมที่เผาเครื่องหอมเมื่อพิชิตเมืองได้ (2 คร.2:14) นายพลจะเดินเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยกองทหารของเขาและต่อด้วยกองทัพที่พ่ายแพ้ สำหรับพวกโรม กลิ่นของเครื่องหอมหมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับเชลยศึกกลับหมายถึงความตาย
เปาโลกล่าวว่า สำหรับพระเจ้าเราเป็นกลิ่นหอมแห่งชัยชนะของพระคริสต์เหนือความบาป พระเจ้าประทานกลิ่นหอมของพระคริสต์แก่เราเพื่อเราจะเป็นเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญซึ่งมีกลิ่นอันหอมหวาน แต่เราจะใช้ชีวิตเพื่อกระจายกลิ่นหอมนี้ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร เราสามารถแสดงความกรุณาและความรัก และบอกเล่าข่าวประเสริฐกับคนอื่นเพื่อพวกเขาจะได้พบทางแห่งความรอด เราสามารถยอมให้พระวิญญาณสำแดงความรักความปลาบปลื้มใจและความปรานีผ่านชีวิตของเราได้ (กาลาเทีย 5:22-23)
คนอื่นมองดูเราและพูดว่า “นี่เป็นผลงานของพระเยซู” หรือไม่ เรายอมให้พระองค์กระจายกลิ่นหอมของพระองค์ผ่านเราแล้วบอกคนอื่นเรื่องพระองค์ไหม พระองค์ทรงเป็นผู้ผลิตน้ำหอมที่ดีที่สุด เป็นกลิ่นหอมอันงดงามที่สุดตลอดไป
ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า
ฉันได้งานประจำทำครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี และได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเรื่องวินัยในการเก็บเงิน ฉันทำงานเก็บเงินจนมีเงินเพียงพอสำหรับค่าเล่าเรียนหนึ่งปี แต่แล้วแม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน ฉันรู้ว่า ฉันมีเงินพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่
ความรักที่ฉันมีต่อแม่สำคัญกว่าแผนการในอนาคตของฉันในทันที ฉันคิดถึงข้อความในหนังสือเรื่อง ความปรารถนาและความบริสุทธิ์ (Passion and Purity) โดย เอลิซาเบธ เอลเลียต ที่ว่า “ถ้าเรายึดสิ่งที่เราได้รับเอาไว้โดย ไม่ยอมปล่อยแม้ในเวลาที่ต้องปล่อย หรือไม่ยอมให้พระเจ้าใช้สิ่งนั้นอย่างที่พระองค์ผู้ประทานให้ต้องการใช้ เราก็กำลังทำให้จิตวิญญาณของเราหยุดเติบโต เรามักผิดพลาดเรื่องนี้ เราพูดว่า ‘ถ้าพระเจ้าให้ฉัน ก็เป็นของฉัน ฉันจะใช้ทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ’ ไม่ใช่เลย แท้จริงคือ สิ่งนี้เป็นของเราเพื่อเราจะได้ขอบคุณพระเจ้า เพื่อเราจะถวายกลับคืนให้พระองค์... เพื่อเราจะแจกจ่ายออกไป”
ฉันจึงตระหนักว่า งานที่ฉันได้รับ และวินัยการออมเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ ฉันสามารถให้กับครอบครัวด้วยใจกว้างขวาง เพราะฉันแน่ใจว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยเรื่องการเรียนของฉันด้วยวิธีอื่น และพระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้น
วันนี้ พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราอธิษฐานอย่างดาวิดใน 1 พงศาวดาร 29:14 ว่า “เพราะว่าสิ่งของทุกอย่างมาจากพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถวายของที่เป็นของพระองค์แด่พระองค์เท่านั้น”
จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน
จากหน้าต่างห้อง ฉันมองเห็นเนินเขาเซรโร เดล โบร์เรโก (Cerro del Borrego) หรือ “เนินเขาลูกแกะ” ซึ่งสูง 1,700 เมตร กองทัพฝรั่งเศสได้บุกเข้าเม็กซิโกในปี 1862 ขณะที่ศัตรูตั้งค่ายอยู่ที่สวนออริซาบา กองทหารเม็กซิกันตั้งฐานที่มั่นอยู่บนยอดเขา แต่นายพลฝ่ายเม็กซิกันละเลยที่จะวางเวรยามทางขึ้นยอดเขา ขณะที่กองทหารเม็กซิกันกำลังหลับ ทหารฝรั่งเศสก็ได้เข้าโจมตีและสังหารทหารไป 2,000 นาย
เรื่องนี้ทำให้ฉันคิดถึงภูเขาอีกลูกหนึ่งคือภูเขามะกอกเทศ และสวนที่เชิงเขาซึ่งเหล่าสาวกนอนหลับอยู่ พระเยซูตำหนิพวกเขาว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง” (มก.14:38)
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะหลับไหลหรือขาดความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตคริสเตียน การทดลองจู่โจมในเวลาที่เราอ่อนแอที่สุด เมื่อเราละเลยชีวิตฝ่ายวิญญาณในบางด้าน เช่น การอธิษฐานและศึกษาพระคัมภีร์ เราย่อมกลายเป็นคนเผลอหลับและไม่ทันระวังตัว ทำให้ตกเป็นเป้าที่ง่ายดายต่อการโจมตีของศัตรูคือซาตาน (1 ปต.5:8)
เราจำเป็นต้องตื่นตัวต่อการจู่โจมต่างๆ ที่อาจเข้ามา และเฝ้าระวังอธิษฐาน หากเรายังคงเฝ้าระวังและอธิษฐานเผื่อตัวเราเองและผู้อื่น พระวิญญาณจะช่วยให้เราสามารถต่อต้านการทดลองได้
เพราะผมรักพ่อ
หนึ่งวันก่อนที่สามีของฉันจะกลับจากการไปทำงานต่างเมือง ลูกชายพูดว่า “แม่ครับ ผมอยากให้พ่อกลับบ้าน” ฉันถามเหตุผลและคิดว่า ลูกคงตอบว่าอยากได้ของฝากหรืออยากเล่นบอลกับพ่อ แต่เขากลับตอบอย่างจริงจังว่า “ผมอยากให้พ่อกลับมาเพราะผมรักพ่อ”
คำตอบของลูกทำให้ฉันคิดถึงพระเยซู และพระสัญญาว่าจะเสด็จกลับมา พระองค์ตรัสว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน” (วว.22:20) ฉันอยากให้พระองค์กลับมา แต่เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะฉันจะได้อยู่ต่อพระพักตร์ ห่างไกลจากโรคภัยและความตายหรือ หรือเพราะฉันเหนื่อยกับการอยู่บนโลกใบนี้ หรือเป็นเพราะคุณรักพระองค์มากกว่าชีวิตตนเอง หรือเพราะทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณ หรือเพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อกว่าใคร คุณจึงอยากจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป
ฉันดีใจที่ลูกคิดถึงพ่อตอนพ่อไม่อยู่ คงไม่ดีนักถ้าเขาไม่สนใจเลยว่า พ่อจะกลับหรือไม่ หรือกลัวว่าพ่อกลับมาแล้วจะทำให้แผนการชีวิตที่เขาวางไว้ต้องสะดุดลง เรารู้สึกอย่างไรกับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ขอให้เรารอคอยวันนั้นด้วยใจร้อนรน และพูดได้อย่างจริงใจว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดเสด็จมาเถิด เรารักพระองค์”
หลุดพันจากความกลัว
ความกลัวแอบเข้ามาในใจฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต มันสร้างมโนภาพว่าฉันหมดหนทางและสิ้นหวัง ทั้งยังขโมยเอาสันติสุขและสมาธิไป ฉันกลัวอะไร ฉันกังวัลเรื่องความปลอดภัยของครอบครัว สุขภาพของคนที่ฉันรัก ฉันตระหนกกับการตกงานหรือความสัมพันธ์ที่จบลง ความกลัวทำให้ฉันสนใจแต่ตัวเองและเปิดเผยให้เห็นหัวใจที่ขาดความเชื่อวางใจ
เมื่อความกลัวและความกังวลปะทุขึ้น ให้เราอ่านคำอธิษฐานของดาวิดใน สดุดี 34 ที่ว่า “ข้าพเจ้าได้แสวงพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากความกลัวทั้งสิ้นของข้าพเจ้า” (สดุดี 34:4) แล้วพระเจ้าทรงช่วยเราพ้นจากความกลัวอย่างไร เมื่อเรา “เพ่งดูพระองค์” (สดุดี 34:5) เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระองค์ ความกลัวจะเลือนหายไป เราเชื่อว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่ แล้วดาวิดก็ได้พูดถึงความกลัวอีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ความกลัวที่ฉุดรั้งเรา แต่เป็นความเคารพยำเกรงอย่างสุดใจที่เรามีต่อพระองค์ผู้ทรงล้อมเราไว้และช่วยเราให้รอด (สดุดี 34:7) เราสามารถลี้ภัยอยู่ในพระองค์ได้เพราะพระองค์ประเสริฐ (สดุดี 34:8)
ความยำเกรงในความประเสริฐของพระเจ้า ทำให้เรามองความกลัวอย่างถูกต้อง เมื่อเราระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด และทรงรักเรามากแค่ไหน เราสามารถคลายความกังวลและเข้าสู่สันติสุขของพระองค์ ดาวิดสรุปว่า “เพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน” (สดุดี34:9) เราค้นพบว่าในความยำเกรงพระเจ้า เราจะได้รับการปลดปล่อยจากความกลัว
ภาษาแห่งความรัก
ตอนที่ยายของฉันเป็นมิชชันนารีที่เม็กซิโก ท่านมีปัญหากับการเรียนภาษาสเปน วันหนึ่งท่านไปตลาด ยื่นรายการสิ่งของให้เด็กที่มาช่วยท่านและพูดว่า “เขียนไว้เป็นสองลิ้น” แต่ความจริงท่านต้องการจะสื่อว่าท่านเขียนไว้เป็นสองภาษา คนขายเนื้อได้ยินจึงคิดว่าท่านต้องการซื้อลิ้นวัวสองลิ้น ซึ่งยายไม่รู้เลยจนกระทั่งกลับถึงบ้านแล้ว ท่านไม่เคยทำอาหารจากลิ้นวัวมาก่อน
ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อเรียนภาษาที่สอง รวมถึงการเรียนภาษาแห่งความรักของพระเจ้าด้วย บางครั้งคำพูดเราขัดแย้งกันเอง เพราะเราสรรเสริญพระเจ้า แต่พูดให้ร้ายคนอื่น ธรรมชาติบาปของเราต่อต้านชีวิตใหม่ในพระคริสต์ สิ่งที่เราพูดแสดงให้เห็นว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากเพียงไร
เราต้องขจัด “ลิ้น” เก่าของเรา วิธีเดียวที่จะเรียนรู้ภาษาแห่งความรักได้ก็คือการให้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเหนือคำพูดของเรา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเรา พระองค์ประทานการรู้จักบังคับตน เพื่อให้เราพูดสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ขอให้เรามอบทุกถ้อยคำไว้กับพระองค์ “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอทรงรักษาประตู ริมฝีปากของข้าพระองค์” (สดด.141:3)