ผู้เขียน

ดูทั้งหมด
Keila Ochoa

Keila Ochoa

Keila and her husband are very busy parents of two young children. She helps Media Associates International with their training ministry for writers around the world and has written several books in Spanish for children, teens, and women. She teaches in an International School. When she has time, she enjoys reading, talking to friends over a cup of hot chocolate, and watching a good movie.

บทความ โดย Keila Ochoa

ขนมปัง!

ฉันอยู่ที่เมืองเล็กในประเทศเม็กซิโก ทุกเช้าและเย็นคุณจะได้ยินเสียงร้องดังชัดเจนว่า “ขนมปัง” ชายคนหนึ่งปั่นจักรยานมาพร้อมกับตะกร้าใบใหญ่ เพื่อขายขนมปังรสเค็มหวานสดใหม่นานาชนิด ฉันเคยอยู่ในเมืองใหญ่ที่ต้องออกไปซื้อขนมปังตามร้านเบเกอรี่ ฉันจึงชอบที่มีขนมปังอบใหม่มาส่งให้ถึงหน้าประตู

เปลี่ยนจากเรื่องการบริโภคอาหารฝ่ายร่างกายมาเป็นความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณ ฉันคิดถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า “เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์” (ยน.6:51)

มีคนเคยบอกว่า การประกาศข่าวประเสริฐจริงๆ แล้วเป็นเหมือนการที่ขอทานคนหนึ่งบอกกับขอทานอีกคนว่าไปพบอาหารที่ไหน พวกเราหลายคนอาจพูดว่า “ครั้งหนึ่ง ฉันเคยหิวกระหายและอดอยากในฝ่ายวิญญาณเพราะความบาปที่มี แต่แล้วฉันก็ได้ยินข่าวดี มีคนบอกฉันว่าให้ไปรับอาหารได้จากพระเยซู และชีวิตฉันก็เปลี่ยนไป”

เวลานี้เรามีสิทธิพิเศษและความรับผิดชอบที่ต้องชี้ทางให้คนไปถึงอาหารแห่งชีวิต เราสามารถแบ่งปันเรื่องพระเยซูให้กับเพื่อนบ้าน ในที่ทำงาน ที่โรงเรียน ที่พบปะสังสรรค์ต่างๆ เราพูดคุยถึงพระเยซูได้ทั้งในขณะที่นั่งรอ อยู่บนรถเมล์ หรือบนรถไฟ เรานำข่าวประเสริฐไปถึงผู้อื่นได้โดยผ่านทางประตูแห่งมิตรภาพ

พระเยซูทรงเป็นอาหารแห่งชีวิต ให้เราบอกข่าวดีนี้แก่ทุกคน

เรียนนับ

ลูกชายฉันกำลังเรียนนับหนึ่งถึงสิบ เขานับทุกอย่างตั้งแต่ของเล่นไปถึงต้นไม้ เขานับสิ่งที่ฉันมักจะมองข้าม เช่น ดอกไม้ตามทางไปโรงเรียนหรือนิ้วเท้าของฉัน

ลูกยังสอนให้ฉันกลับมานับอีกครั้ง บ่อยครั้งที่ฉันหมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่างๆ ที่ยังทำไม่เสร็จหรือสิ่งที่ฉันไม่มี จนฉันพลาดโอกาสที่จะมองเห็นสิ่งดีรอบตัว ฉันลืมนับเพื่อนใหม่ในปีนี้ และคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ ลืมนับน้ำตาแห่งความสุขและช่วงเวลาแห่งเสียงหัวเราะกับเพื่อนดีๆ

สิบนิ้วของฉันไม่พอนับพระพรทั้งหมดที่พระเจ้าประทานให้ทุกวัน “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์ได้ทรงทวีพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระองค์และพระดำริของพระองค์แก่ข้าพระองค์ ไม่มีผู้ใดเทียบเทียมพระองค์ ถ้าข้าพระองค์จะประกาศและบอกกล่าวแล้วก็มีมากมายเหลือที่จะนับ พระเจ้าของข้าพระองค์” (สดุดี 40:5) ยิ่งไปกว่านั้น ทำอย่างไรเราจึงจะเริ่มนับพระพรทั้งสิ้นเรื่องความรอด การคืนดีและชีวิตนิรันดร์ได้

ให้เราร่วมกับดาวิดในการสรรเสริญพระเจ้าสำหรับพระดำริอันประเสริฐที่ทรงมีต่อเราและทุกสิ่งที่ทรงทำเพื่อเรา เมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระดำริของพระองค์ประเสริฐแก่ข้าพระองค์จริงๆ รวมกันเข้าก็ไพศาลนักหนา ถ้าข้าพระองค์จะนับก็มากกว่าเม็ดทราย“ (สดุดี 139:17-18)

ให้เราเรียนนับอีกครั้ง

ทำดีต่อไป

ลูกชายฉันรักการอ่าน ถ้าเขาอ่านหนังสือมากกว่าที่โรงเรียนกำหนดเขาจะได้ใบประกาศนียบัตรเป็นรางวัลกำลังใจเล็กน้อยที่ช่วยผลักดันให้เขาทำดีต่อไป

เมื่อเปาโลเขียนถึงชาวเธสะโลนิกา ท่านไม่ได้กระตุ้นคนเหล่านั้นด้วยรางวัลแต่ด้วยคำหนุนใจ ท่านกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้เนื่องจากเราได้สอนท่านถึงวิธีดำเนินชีวิตซึ่งจะเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าและท่านดำเนินอย่างนั้นอยู่แล้ว เราจึงขอวิงวอนและเตือนสติท่านในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า จงดำเนินให้ดียิ่งขึ้นอีก” (1 เธสะโลนิกา 4:1) คริสเตียนเหล่านี้กำลังดำเนินชีวิตให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และเปาโลหนุนใจพวกเขาให้ทำดียิ่งขึ้นอีกเพื่อพระองค์

วันนี้คุณกับฉันอาจกำลังทำดีที่สุดเพื่อจะรู้จักและรักพระองค์ และทำให้พระบิดาพอพระทัย ให้เรานำถ้อยคำของเปาโลมาเป็นกำลังใจให้เราดำเนินต่อไปในความเชื่อ

แต่ให้เราก้าวต่อไปอีกขั้นหนึ่ง วันนี้เราจะหนุนใจใครด้วยถ้อยคำของเปาโลได้บ้าง คุณคิดถึงใครที่บากบั่นติดตามพระเจ้าและแสวงหาที่จะเป็นที่พอพระทัยพระองค์ ให้คุณส่งข้อความหรือโทรไปหนุนใจเขาให้ดำเนินต่อไปในเส้นทางแห่งความเชื่อ สิ่งที่คุณพูดอาจเป็นกำลังใจที่เขาต้องการ เพื่อที่จะติดตามและปรนนิบัติรับใช้พระเยซูต่อไป

กลิ่นหอมหวาน

ผู้ผลิตน้ำหอมคนหนึ่งในนิวยอร์คประกาศว่า เธอแยกแยะกลิ่นที่ผสมผสานกันได้และเดาได้ว่าผู้ผลิตน้ำหอมนี้คือใครจากการสูดดมเพียงครั้งเดียว เธอสามารถบอกได้ว่า “นี่เป็นฝีมือของเจนนี่” เมื่อเปาโลเขียนจดหมายถึงผู้ติดตามพระคริสต์ในเมืองโครินธ์ ท่านใช้ตัวอย่างที่ทำให้พวกเขาคิดถึงกองทัพโรมที่เผาเครื่องหอมเมื่อพิชิตเมืองได้ (2 คร.2:14) นายพลจะเดินเข้าไปเป็นคนแรก ตามด้วยกองทหารของเขาและต่อด้วยกองทัพที่พ่ายแพ้ สำหรับพวกโรม กลิ่นของเครื่องหอมหมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับเชลยศึกกลับหมายถึงความตาย

เปาโลกล่าวว่า สำหรับพระเจ้าเราเป็นกลิ่นหอมแห่งชัยชนะของพระคริสต์เหนือความบาป พระเจ้าประทานกลิ่นหอมของพระคริสต์แก่เราเพื่อเราจะเป็นเครื่องบูชาแห่งการสรรเสริญซึ่งมีกลิ่นอันหอมหวาน แต่เราจะใช้ชีวิตเพื่อกระจายกลิ่นหอมนี้ไปถึงคนอื่นได้อย่างไร เราสามารถแสดงความกรุณาและความรัก และบอกเล่าข่าวประเสริฐกับคนอื่นเพื่อพวกเขาจะได้พบทางแห่งความรอด เราสามารถยอมให้พระวิญญาณสำแดงความรักความปลาบปลื้มใจและความปรานีผ่านชีวิตของเราได้ (กาลาเทีย 5:22-23)

คนอื่นมองดูเราและพูดว่า “นี่เป็นผลงานของพระเยซู” หรือไม่ เรายอมให้พระองค์กระจายกลิ่นหอมของพระองค์ผ่านเราแล้วบอกคนอื่นเรื่องพระองค์ไหม พระองค์ทรงเป็นผู้ผลิตน้ำหอมที่ดีที่สุด เป็นกลิ่นหอมอันงดงามที่สุดตลอดไป

ทุกสิ่งมาจากพระเจ้า

ฉันได้งานประจำทำครั้งแรกตอนอายุ 18 ปี และได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญเรื่องวินัยในการเก็บเงิน ฉันทำงานเก็บเงินจนมีเงินเพียงพอสำหรับค่าเล่าเรียนหนึ่งปี แต่แล้วแม่ต้องเข้ารับการผ่าตัดฉุกเฉิน ฉันรู้ว่า ฉันมีเงินพอจ่ายค่ารักษาพยาบาลของแม่

ความรักที่ฉันมีต่อแม่สำคัญกว่าแผนการในอนาคตของฉันในทันที ฉันคิดถึงข้อความในหนังสือเรื่อง ความปรารถนาและความบริสุทธิ์ (Passion and Purity) โดย เอลิซาเบธ เอลเลียต ที่ว่า “ถ้าเรายึดสิ่งที่เราได้รับเอาไว้โดย ไม่ยอมปล่อยแม้ในเวลาที่ต้องปล่อย หรือไม่ยอมให้พระเจ้าใช้สิ่งนั้นอย่างที่พระองค์ผู้ประทานให้ต้องการใช้ เราก็กำลังทำให้จิตวิญญาณของเราหยุดเติบโต เรามักผิดพลาดเรื่องนี้ เราพูดว่า ‘ถ้าพระเจ้าให้ฉัน ก็เป็นของฉัน ฉันจะใช้ทำอะไรก็ได้ที่ฉันต้องการ’ ไม่ใช่เลย แท้จริงคือ สิ่งนี้เป็นของเราเพื่อเราจะได้ขอบคุณพระเจ้า เพื่อเราจะถวายกลับคืนให้พระองค์... เพื่อเราจะแจกจ่ายออกไป”

ฉันจึงตระหนักว่า งานที่ฉันได้รับ และวินัยการออมเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ ฉันสามารถให้กับครอบครัวด้วยใจกว้างขวาง เพราะฉันแน่ใจว่าพระเจ้าทรงสามารถช่วยเรื่องการเรียนของฉันด้วยวิธีอื่น และพระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้น

วันนี้ พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราอธิษฐานอย่างดาวิดใน 1 พงศาวดาร 29:14 ว่า “เพราะว่าสิ่งของทุกอย่างมาจากพระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถวายของที่เป็นของพระองค์แด่พระองค์เท่านั้น”

จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน

จากหน้าต่างห้อง ฉันมองเห็นเนินเขาเซรโร เดล โบร์เรโก (Cerro del Borrego) หรือ “เนินเขาลูกแกะ” ซึ่งสูง 1,700 เมตร กองทัพฝรั่งเศสได้บุกเข้าเม็กซิโกในปี 1862 ขณะที่ศัตรูตั้งค่ายอยู่ที่สวนออริซาบา กองทหารเม็กซิกันตั้งฐานที่มั่นอยู่บนยอดเขา แต่นายพลฝ่ายเม็กซิกันละเลยที่จะวางเวรยามทางขึ้นยอดเขา ขณะที่กองทหารเม็กซิกันกำลังหลับ ทหารฝรั่งเศสก็ได้เข้าโจมตีและสังหารทหารไป 2,000 นาย

เรื่องนี้ทำให้ฉันคิดถึงภูเขาอีกลูกหนึ่งคือภูเขามะกอกเทศ และสวนที่เชิงเขาซึ่งเหล่าสาวกนอนหลับอยู่ พระเยซูตำหนิพวกเขาว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐาน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลอง จิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริง แต่กายยังอ่อนกำลัง” (มก.14:38)

เป็นเรื่องง่ายที่เราจะหลับไหลหรือขาดความระมัดระวังในการดำเนินชีวิตคริสเตียน การทดลองจู่โจมในเวลาที่เราอ่อนแอที่สุด เมื่อเราละเลยชีวิตฝ่ายวิญญาณในบางด้าน เช่น การอธิษฐานและศึกษาพระคัมภีร์ เราย่อมกลายเป็นคนเผลอหลับและไม่ทันระวังตัว ทำให้ตกเป็นเป้าที่ง่ายดายต่อการโจมตีของศัตรูคือซาตาน (1 ปต.5:8)

เราจำเป็นต้องตื่นตัวต่อการจู่โจมต่างๆ ที่อาจเข้ามา และเฝ้าระวังอธิษฐาน หากเรายังคงเฝ้าระวังและอธิษฐานเผื่อตัวเราเองและผู้อื่น พระวิญญาณจะช่วยให้เราสามารถต่อต้านการทดลองได้

เพราะผมรักพ่อ

หนึ่งวันก่อนที่สามีของฉันจะกลับจากการไปทำงานต่างเมือง ลูกชายพูดว่า “แม่ครับ ผมอยากให้พ่อกลับบ้าน” ฉันถามเหตุผลและคิดว่า ลูกคงตอบว่าอยากได้ของฝากหรืออยากเล่นบอลกับพ่อ แต่เขากลับตอบอย่างจริงจังว่า “ผมอยากให้พ่อกลับมาเพราะผมรักพ่อ”

คำตอบของลูกทำให้ฉันคิดถึงพระเยซู และพระสัญญาว่าจะเสด็จกลับมา พระองค์ตรัสว่า “เราจะมาในเร็วๆ นี้แน่นอน” (วว.22:20) ฉันอยากให้พระองค์กลับมา แต่เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะฉันจะได้อยู่ต่อพระพักตร์ ห่างไกลจากโรคภัยและความตายหรือ หรือเพราะฉันเหนื่อยกับการอยู่บนโลกใบนี้ หรือเป็นเพราะคุณรักพระองค์มากกว่าชีวิตตนเอง หรือเพราะทรงร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคุณ หรือเพราะพระองค์ทรงสัตย์ซื่อกว่าใคร คุณจึงอยากจะอยู่กับพระองค์ตลอดไป

ฉันดีใจที่ลูกคิดถึงพ่อตอนพ่อไม่อยู่ คงไม่ดีนักถ้าเขาไม่สนใจเลยว่า พ่อจะกลับหรือไม่ หรือกลัวว่าพ่อกลับมาแล้วจะทำให้แผนการชีวิตที่เขาวางไว้ต้องสะดุดลง เรารู้สึกอย่างไรกับการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ขอให้เรารอคอยวันนั้นด้วยใจร้อนรน และพูดได้อย่างจริงใจว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดเสด็จมาเถิด เรารักพระองค์”

หลุดพันจากความกลัว

ความกลัวแอบเข้ามาในใจฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต มันสร้างมโนภาพว่าฉันหมดหนทางและสิ้นหวัง ทั้งยังขโมยเอาสันติสุขและสมาธิไป ฉันกลัวอะไร ฉันกังวัลเรื่องความปลอดภัยของครอบครัว สุขภาพของคนที่ฉันรัก ฉันตระหนกกับการตกงานหรือความสัมพันธ์ที่จบลง ความกลัวทำให้ฉันสนใจแต่ตัวเองและเปิดเผยให้เห็นหัวใจที่ขาดความเชื่อวางใจ

เมื่อความกลัวและความกังวลปะทุขึ้น ให้เราอ่านคำอธิษฐานของดาวิดใน สดุดี 34 ที่ว่า “ข้าพเจ้าได้แสวงพระเจ้าและพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า และทรงช่วยกู้ข้าพเจ้าจากความกลัวทั้งสิ้นของข้าพเจ้า” (สดุดี 34:4) แล้วพระเจ้าทรงช่วยเราพ้นจากความกลัวอย่างไร เมื่อเรา “เพ่งดูพระองค์” (สดุดี 34:5) เมื่อเราจดจ่ออยู่ที่พระองค์ ความกลัวจะเลือนหายไป เราเชื่อว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่ แล้วดาวิดก็ได้พูดถึงความกลัวอีกประเภทหนึ่ง ไม่ใช่ความกลัวที่ฉุดรั้งเรา แต่เป็นความเคารพยำเกรงอย่างสุดใจที่เรามีต่อพระองค์ผู้ทรงล้อมเราไว้และช่วยเราให้รอด (สดุดี 34:7) เราสามารถลี้ภัยอยู่ในพระองค์ได้เพราะพระองค์ประเสริฐ (สดุดี 34:8)

ความยำเกรงในความประเสริฐของพระเจ้า ทำให้เรามองความกลัวอย่างถูกต้อง เมื่อเราระลึกว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ใด และทรงรักเรามากแค่ไหน เราสามารถคลายความกังวลและเข้าสู่สันติสุขของพระองค์ ดาวิดสรุปว่า “เพราะผู้ที่ยำเกรงพระองค์ไม่ขาดแคลน” (สดุดี34:9) เราค้นพบว่าในความยำเกรงพระเจ้า เราจะได้รับการปลดปล่อยจากความกลัว

ภาษาแห่งความรัก

ตอนที่ยายของฉันเป็นมิชชันนารีที่เม็กซิโก ท่านมีปัญหากับการเรียนภาษาสเปน วันหนึ่งท่านไปตลาด ยื่นรายการสิ่งของให้เด็กที่มาช่วยท่านและพูดว่า “เขียนไว้เป็นสองลิ้น” แต่ความจริงท่านต้องการจะสื่อว่าท่านเขียนไว้เป็นสองภาษา คนขายเนื้อได้ยินจึงคิดว่าท่านต้องการซื้อลิ้นวัวสองลิ้น ซึ่งยายไม่รู้เลยจนกระทั่งกลับถึงบ้านแล้ว ท่านไม่เคยทำอาหารจากลิ้นวัวมาก่อน

ความผิดพลาดเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เมื่อเรียนภาษาที่สอง รวมถึงการเรียนภาษาแห่งความรักของพระเจ้าด้วย บางครั้งคำพูดเราขัดแย้งกันเอง เพราะเราสรรเสริญพระเจ้า แต่พูดให้ร้ายคนอื่น ธรรมชาติบาปของเราต่อต้านชีวิตใหม่ในพระคริสต์ สิ่งที่เราพูดแสดงให้เห็นว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้ามากเพียงไร

เราต้องขจัด “ลิ้น” เก่าของเรา วิธีเดียวที่จะเรียนรู้ภาษาแห่งความรักได้ก็คือการให้พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าเหนือคำพูดของเรา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานในเรา พระองค์ประทานการรู้จักบังคับตน เพื่อให้เราพูดสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย ขอให้เรามอบทุกถ้อยคำไว้กับพระองค์ “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงตั้งยามเฝ้าปากของข้าพระองค์ ขอทรงรักษาประตู ริมฝีปากของข้าพระองค์” (สดด.141:3)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา