ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Katara Patton

ความกล้าหาญในพระคริสต์

ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 แมรี่ แมคดาวล์อาศัยอยู่ในโลกที่ห่างไกลจากคอกม้าอันแสนโหดร้ายของชิคาโก แม้ว่าบ้านของเธอจะอยู่ห่างออกไปแค่ราวสามสิบสองกิโลเมตรแต่เธอก็รู้น้อยมากเกี่ยวกับสภาพแรงงานอันน่าสยดสยองที่ทำให้คนงานที่นั่นต้องนัดหยุดงาน เมื่อเธอทราบถึงความยากลำบากที่พวกเขาและครอบครัวต้องเผชิญ แมคดาวล์ก็ย้ายมาอาศัยอยู่กับพวกเขาและเรียกร้องให้มีการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เธอให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการ รวมถึงสอนเด็กๆในโรงเรียนที่ตั้งอยู่หลังร้านเล็กๆ

การยืนหยัดเพื่อให้ผู้อื่นมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแม้จะไม่ได้สร้างผลกระทบโดยตรง ก็เป็นสิ่งที่พระนางเอสเธอร์ทำเช่นกัน เอสเธอร์เป็นราชินีแห่งเปอร์เซีย (อสธ.2:17) และมีสิทธิพิเศษแตกต่างจากชนอิสราเอลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชาติที่ถูกเนรเทศไปอยู่ทั่วเปอร์เซีย แต่เอสเธอร์ให้ความสำคัญกับคนอิสราเอลในเปอร์เซียและยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อพวกเขาโดยกล่าวว่า “ฉันจะเข้าเฝ้าพระราชาแม้ว่าเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ถ้าฉันพินาศ ฉันก็พินาศ” (4:16) เธอสามารถอยู่เงียบๆก็ได้ เพราะพระราชาผู้เป็นพระสวามีนั้นไม่รู้ว่าเธอเป็นชาวยิว (2:10) แต่เธอเลือกที่จะไม่เพิกเฉยต่อคำร้องขอความช่วยเหลือจากญาติของเธอ เธอทำการด้วยความกล้าหาญเพื่อเปิดเผยแผนการอันชั่วร้ายที่จะทำลายล้างชาวยิว

เราอาจจะไม่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับแมรี่ แมคดาวล์หรือพระนางเอสเธอร์ได้ แต่ขอให้เราเลือกที่จะมองเห็นความเดือดร้อนของผู้อื่น และใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเหลือพวกเขา

พร้อมอธิษฐานเสมอ

เพื่อนร่วมงานคนหนึ่งเล่าว่าชีวิตอธิษฐานของเธอดีขึ้นเพราะผู้จัดการของเรา ฉันประทับใจเมื่อคิดว่าผู้นำที่น่าอึดอัดใจของเราแบ่งปันข้อคิดบางอย่างที่มีคุณค่าฝ่ายวิญญาณกับเธอและมีอิทธิพลต่อการอธิษฐานของเธอ แต่ฉันเข้าใจผิด เพื่อนและเพื่อนร่วมงานอธิบายต่อว่า “ทุกครั้งที่ฉันเห็นเขาเข้ามา ฉันก็เริ่มอธิษฐาน” เวลาในการอธิษฐานของเธอพัฒนาขึ้นเพราะเธออธิษฐานมากขึ้นก่อนสนทนากับเขาทุกครั้ง เธอรู้ว่าเธอต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้าในการทำงานร่วมกับผู้จัดการซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทาย และเธอร้องทูลพระองค์มากขึ้นเพราะเหตุนี้

การอธิษฐานของเพื่อนร่วมงานในเวลาที่ลำบากและเมื่อต้องมีปฏิสัมพันธ์นั้นเป็นสิ่งที่ฉันนำมาใช้ นอกจากนี้ยังเป็นการทำตามพระวจนะจากพระธรรม 1 เธสะโลนิกา เมื่อเปาโลเตือนผู้เชื่อในพระเยซูว่า “จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (5:17-18) ไม่ว่าเราจะพบเจอกับอะไร การอธิษฐานเป็นวิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดเสมอ เพราะทำให้เราเชื่อมต่อกับพระเจ้าและเชิญให้พระวิญญาณของพระองค์ทรงนำเรา (กท.5:16) แทนที่จะพึ่งพาในการจัดการของมนุษย์ การอธิษฐานช่วยให้เรา “อยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน” (1 ธส.5:13) แม้ในยามที่เราเผชิญกับความขัดแย้ง

เพราะพระเจ้าทรงช่วยเรา เราจึงสามารถชื่นชมยินดีในพระองค์ อธิษฐานในทุกกรณีและขอบพระคุณได้บ่อยครั้ง และสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เราอยู่ร่วมกับพี่น้องในพระเยซูได้อย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากยิ่งขึ้น

ไวในการฟัง

ฉันรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นขณะเปิดปากพูดหักล้างข้อกล่าวหาที่เพื่อนรักคนหนึ่งกำลังกล่าวหาฉัน สิ่งที่ฉันโพสต์ออนไลน์ไม่มีส่วนไหนเกี่ยวข้องกับเธออย่างที่เธอพูดเป็นนัย แต่ก่อนที่ฉันจะตอบ ฉันกล่าวคำอธิษฐานเบาๆ แล้วฉันก็สงบลงและได้ยินสิ่งที่เธอพูดและความเจ็บปวดเบื้องหลังคำพูดนั้น เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ซับซ้อนกว่าที่มองเห็นภายนอก เพื่อนของฉันกำลังเจ็บปวด แล้วความต้องการปกป้องตนเองของฉันก็สลายไปเมื่อฉันเลือกที่จะช่วยเพื่อนจัดการกับความเจ็บปวดของเธอ

ในระหว่างการสนทนานี้ ฉันได้เรียนรู้ความหมายของสิ่งที่ยากอบบันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ของวันนี้เมื่อท่านเรียกร้องให้พวกเรา “จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ” (1:19) การรับฟังสามารถช่วยให้เราได้ยินสิ่งที่อาจซ่อนอยู่เบื้องหลังคำพูด และหลีกเลี่ยงความโกรธที่ “ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า” (ข้อ 20) การฟังช่วยให้เราได้ยินเสียงหัวใจของผู้พูด ฉันคิดว่าการหยุดและอธิษฐานช่วยฉันได้มากเกี่ยวกับเพื่อนคนนี้ ฉันรู้สึกได้ถึงคำพูดของเธอมากกว่าการปกป้องตัวของฉันเอง บางทีถ้าฉันไม่หยุดเพื่ออธิษฐาน ฉันคงจะโต้กลับในสิ่งที่คิดและบอกให้รู้ว่าฉันขุ่นเคืองใจเพียงใด

แม้ว่าฉันจะไม่ได้ทำตามคำสอนของยากอบได้เสมอไป แต่วันนั้นฉันคิดว่าฉันทำได้ การหยุดเพื่ออธิษฐานก่อนที่จะปล่อยให้ความโกรธและความขุ่นเคืองเข้าครอบงำ เป็นกุญแจสำคัญของการไวในการฟังและช้าในการพูด ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทานสติปัญญาเพื่อจะทำเช่นนี้ได้บ่อยขึ้น (สภษ.19:11)

พระปัญญาของพระเจ้าช่วยให้รอดชีวิต

ผู้ให้บริการไปรษณีย์คนหนึ่งรู้สึกกังวลเมื่อเห็นกองจดหมายของลูกค้ารายหนึ่ง พนักงานไปรษณีย์คนนั้นรู้ว่าหญิงชราอาศัยอยู่ตามลำพังและมักจะมารับจดหมายของเธอทุกวัน พนักงานจึงตัดสินใจอย่างชาญฉลาดด้วยการเล่าความกังวลให้กับเพื่อนบ้านของหญิงชราฟัง เพื่อนบ้านคนนี้ได้แจ้งไปยังเพื่อนบ้านอีกคนซึ่งมีกุญแจบ้านสำรองของหญิงชรา พวกเขาจึงพากันเข้าไปในบ้านและพบเธอนอนอยู่บนพื้น เธอล้มเมื่อสี่วันก่อนและไม่อาจลุกขึ้นหรือขอความช่วยเหลือได้ โดยสติปัญญา ความห่วงใย และการตัดสินใจอย่างเหมาะสมของพนักงานไปรษณีย์ได้ช่วยชีวิตเธอไว้

พระธรรมสุภาษิตกล่าวว่า “คนฉลาดนำผู้อื่นมาถึงชีวิต” (11:30 TNCV) สติปัญญาและความเข้าใจที่มาจากการทำสิ่งที่ถูกต้องและดำเนินชีวิตตามพระปัญญาของพระเจ้า ไม่เพียงเป็นพรกับตัวเราเองเท่านั้นแต่กับคนที่เราพบเจอด้วย ผลของการที่เราดำเนินชีวิตในสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระองค์และในทางของพระองค์นั้นจะนำมาซึ่งชีวิตที่ดีงามและมีชีวิตชีวา และผลของเรายังกระตุ้นให้เราใส่ใจผู้อื่นและดูแลเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพวกเขา

ดังที่ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตยืนยันตลอดทั้งเล่มว่าจะพบปัญญาได้จากการพึ่งพาพระเจ้า ปัญญาถือว่า “ดีกว่าทับทิม และสิ่งที่เจ้าปรารถนาทั้งหมดจะเปรียบเทียบกับปัญญาไม่ได้” (8:11) ปัญญาที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้นั้นมีเพื่อคอยชี้นำทางให้กับเราไปตลอดชีวิต และปัญญานั้นอาจช่วยชีวิตของใครคนหนึ่งให้ได้รับชีวิตนิรันดร์

มองเห็นด้วยความเชื่อ

ในระหว่างการเดินเล่นตอนเช้าของฉัน แสงแดดส่องกระทบผืนน้ำของทะเลสาบมิชิแกนในมุมที่พอดีทำให้เกิดภาพอันงดงาม ฉันขอให้เพื่อนหยุดรอขณะที่ฉันตั้งกล้องเพื่อจะถ่ายภาพ เนื่องด้วยตำแหน่งของดวงอาทิตย์ทำให้ฉันมองไม่เห็นภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ก่อนที่จะกดถ่าย แต่จากที่เคยทำแบบนี้มาก่อน ฉันรู้สึกได้ว่ามันจะเป็นภาพที่งดงามมาก ฉันบอกเพื่อนว่า “เรามองไม่เห็นมันในตอนนี้ แต่ภาพถ่ายประเภทนี้จะออกมาดีเสมอ”

การดำเนินด้วยความเชื่อในชีวิตนี้ก็มักจะเหมือนกับการถ่ายรูปภาพนั้น คุณไม่สามารถเห็นรายละเอียดทุกอย่างบนหน้าจอได้เสมอไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ได้ภาพที่สวยงาม บางครั้งคุณก็ไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงทำงาน แต่คุณมั่นใจว่าพระองค์ทรงอยู่ด้วย ดังที่ผู้เขียนฮีบรูบันทึกไว้ว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” (11:1) โดยความเชื่อเราวางใจและมั่นใจในพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามองไม่เห็นหรือไม่เข้าใจในสิ่งที่พระองค์ทรงกำลังทำ

ด้วยความเชื่อ การมองไม่เห็นไม่ได้ขัดขวางเราจากการ “กดถ่ายภาพ” มันอาจแค่ทำให้เราต้องอธิษฐานมากขึ้นและแสวงหาการชี้แนะจากพระเจ้า เรายังสามารถพึ่งพาในความรู้จากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตเมื่อมีคนดำเนินด้วยความเชื่อ (ข้อ 4-12) เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราเอง สิ่งที่พระเจ้าทรงเคยทำมาก่อน พระองค์จะทรงกระทำได้อีกครั้ง

ทางเลือก

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากการเสียชีวิตของเพื่อนรักคนหนึ่ง ฉันได้พูดคุยกับแม่ของเธอ ฉันลังเลที่จะถามว่าท่านเป็นอย่างไรบ้างเพราะฉันคิดว่าอาจเป็นคำถามที่ไม่ค่อยเหมาะ เนื่องจากท่านกำลังเศร้าเสียใจ แต่ฉันขจัดความลังเลนั้นออกไปและถามคำถามง่ายๆว่าท่านไหวไหม ท่านตอบฉันว่า “แม่อยากจะบอกว่า แม่เลือกความชื่นชมยินดี”

คำพูดของท่านช่วยฉันไว้ในวันนั้นขณะที่ฉันพยายามต่อสู้ให้หลุดพ้นจากสถานการณ์ที่ไม่น่าพึงใจนักในชีวิตของตัวเอง และถ้อยคำนั้นก็ยังทำให้ฉันนึกถึงคำสั่งของโมเสสต่อคนอิสราเอลในช่วงท้ายของเฉลยธรรมบัญญัติ ก่อนที่โมเสสจะเสียชีวิตและก่อนที่คนอิสราเอลจะเข้าไปยังดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าต้องการให้พวกเขารู้ว่าพวกเขามีทางเลือก โมเสสบอกว่า “ข้าพเจ้าตั้งชีวิตและความตาย...ไว้ต่อหน้าท่าน เพราะฉะนั้นท่านจงเลือกเอาข้างชีวิต” (ฉธบ.30:19) พวกเขาสามารถเลือกที่จะทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าและมีชีวิตที่ดี หรือเลือกที่จะหันเหไปจากพระองค์และมีชีวิตอยู่กับผลแห่ง “ความตายและสิ่งร้าย” (ข้อ 15)

เราเองต้องเลือกว่าจะมีชีวิตอย่างไรด้วยเช่นกัน เราอาจเลือกความชื่นชมยินดีโดยการเชื่อและวางใจในพระสัญญาของพระเจ้าสำหรับชีวิตของเรา หรืออาจเลือกที่จะจดจ่อกับส่วนที่เป็นด้านลบและยากลำบากของเส้นทางที่เราเดินอยู่ แล้วปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นขโมยเอาความชื่นชมยินดีไปจากเรา เราจะต้องฝึกฝนและพึ่งพาให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยเรา แต่เราสามารถเลือกความยินดี โดยรู้ว่า “พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง” (รม.8:28)

พระเจ้าปกคลุมบาปของเรา

เมื่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคนหนึ่งต้องหางานทำเพื่อเลี้ยงดูครอบครัวในช่วงทศวรรษ 1950 เธอจึงตกลงรับงานพิมพ์ดีด ปัญหาเดียวที่มีคือเธอไม่ใช่คนพิมพ์ดีดเก่งและมักจะพิมพ์ผิดอยู่เสมอ เธอมองหาวิธีปกปิดข้อผิดพลาดและในที่สุดก็ได้สร้างสิ่งที่เรียกว่าลิควิดเปเปอร์ ซึ่งเป็นน้ำยาลบคำผิดสีขาวที่ใช้ทาทับเพื่อปกปิดคำที่พิมพ์ผิด เมื่อมันแห้งแล้ว คุณจะสามารถพิมพ์ทับได้ราวกับว่าไม่มีข้อผิดพลาด

พระเยซูทรงเสนอวิธีที่ทรงพลังและมีความหมายมากกว่าอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในการจัดการกับบาปของเรา ซึ่งไม่ใช่การปกปิด แต่เป็นการให้อภัยอย่างสมบูรณ์ ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้ปรากฏในตอนต้นของพระธรรมยอห์นบทที่ 8 ที่ผู้หญิงคนหนึ่งถูกจับฐานล่วงประเวณี (ข้อ 3-4) พวกธรรมาจารย์ต้องการให้พระเยซูทำบางอย่างกับหญิงคนนั้นและบาปของเธอ ธรรมบัญญัติกล่าวว่าเธอควรถูกหินขว้าง แต่พระคริสต์ไม่ทรงวุ่นวายอยู่กับสิ่งที่ธรรมบัญญัติกล่าวหรือไม่ได้กล่าว พระองค์ประทานคำเตือนอย่างเรียบง่ายว่าทุกคนล้วนทำบาป (ดู รม.3:23) และตรัสว่าใครก็ตามที่ไม่ได้ทำบาปก็ให้ “เอาหินขว้าง” หญิงนั้น (ยน.8:7) ไม่มีหินแม้แต่ก้อนเดียวถูกขว้างออกไป

พระเยซูทรงเสนอการเริ่มต้นใหม่ให้กับเธอ โดยตรัสว่าพระองค์ก็ไม่ทรงเอาโทษเธอและกำชับว่า “อย่าทำผิดอีก” (ข้อ 11) พระคริสต์ประทานทางออกในการยกโทษบาปของเธอ และ “พิมพ์” วิถีใหม่ในการดำเนินชีวิตลงเหนืออดีตของเธอข้อเสนอแบบเดียวกันนั้นก็ได้ทรงมอบให้กับเราด้วยโดยพระคุณของพระองค์

หน้ากากพระพร

เมื่อมีการผ่อนคลายข้อกำหนดของการสวมหน้ากากอนามัยในช่วงการแพร่ระบาดลง ฉันมีปัญหาที่มักจะลืมเก็บหน้ากากไว้ใกล้มือสำหรับในที่ที่ยังต้องใช้อยู่ เช่น ที่โรงเรียนของลูกสาว วันหนึ่งเมื่อฉันต้องใช้หน้ากาก ฉันพบเพียงอันเดียวในรถ ซึ่งเป็นอันที่ฉันเลี่ยงไม่สวมเพราะมีคำว่า พระพร เขียนคาดไว้ด้านหน้า

ฉันชอบสวมหน้ากากที่ไม่มีข้อความ และเชื่อว่าคำนั้นบนหน้ากากที่ฉันเจอมีการใช้กันมากเกินไป แต่ฉันไม่มีทางเลือกจึงสวมหน้ากากอย่างไม่เต็มใจ และเมื่อฉันเกือบจะแสดงความรำคาญต่อพนักงานต้อนรับคนใหม่ที่โรงเรียน ฉันยั้งตัวเองไว้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะคำพูดบนหน้ากากของฉัน ฉันไม่ต้องการดูเหมือนเป็นคนหน้าซื่อใจคด เดินไปทั่วโดยมีคำว่า พระพร เขียนหวัดๆไว้ที่ปาก ขณะเดียวกันก็แสดงความไม่อดกลั้นใจต่อคนที่พยายามทำงานกับระบบที่ซับซ้อน

แม้ตัวหนังสือบนหน้ากากเตือนฉันให้นึกถึงการเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ แต่ถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่อยู่ในใจของฉันควรเป็นเครื่องเตือนใจที่แท้จริงให้อดกลั้นใจต่อผู้อื่น ตามที่เปาโลเขียนถึงชาวโครินธ์ว่า “ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระคริสต์...ได้เขียนไว้มิใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และมิได้เขียนไว้ที่แผ่นศิลา แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจมนุษย์” (2คร.3:3) พระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ “ประทานชีวิต” (ข้อ 6) ทรงช่วยให้เราดำเนินชีวิตด้วย “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข” และใช่แล้ว “ความอดกลั้นใจ” (กท.5:22) เราได้รับ พระพร อย่างแท้จริงจากการทรงสถิตของพระองค์ภายในเรา!

ความเชื่อของเด็ก

ขณะที่ยายบุญธรรมของเรานอนอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาลหลังจากเกิดเส้นเลือดในสมองอุดตันหลายครั้ง หมอไม่แน่ใจว่าสมองของท่านได้รับความเสียหายมากน้อยเพียงใด พวกเขาต้องรอจนยายมีอาการดีกว่านี้อีกหน่อยก่อนที่จะตรวจการทำงานของสมอง ยายพูดน้อยมากและสิ่งที่ท่านพูดส่วนใหญ่เราก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่เมื่อยายวัย 86 ที่ดูแลลูกสาวของฉันมา 12 ปีเห็นหน้าฉัน ท่านก็เปิดปากอันแห้งผากและถามว่า “เคย์ล่าเป็นอย่างไรบ้าง” คำแรกที่ท่านพูดกับฉันนั้นเป็นเรื่องลูกสาวของฉันที่ท่านรักของท่านอย่างเต็มหัวใจ

พระเยซูก็ทรงรักเด็กด้วยเช่นกัน และพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพวกเขาแม้เหล่าสาวกจะไม่เห็นด้วย พ่อแม่บางคนแสวงหาพระคริสต์และมอบลูกๆให้กับพระองค์ พระองค์ทรงเลือกที่จะอวยพรเด็กๆขณะที่พระองค์ “ถูกต้องทารกนั้น” (ลก.18:15) แต่ไม่ใช่ทุกคนจะดีใจที่พระองค์อวยพรเด็กๆ บรรดาสาวกต่อว่าพวกพ่อแม่และขอให้เลิกรบกวนพระเยซูได้แล้ว แต่พระเยซูทรงเข้ามาห้ามและบอกว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา” (ข้อ 16) พระองค์เรียกพวกเขาว่าเป็นตัวอย่างของการที่เราจะได้รับแผ่นดินของพระเจ้า คือเพียงแค่เราพึ่งพา ไว้วางใจ และบริสุทธิ์ใจ

เด็กเล็กนั้นมักไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่ในใจ เห็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ขณะที่พระบิดาในสวรรค์ทรงช่วยให้เรามีความไว้วางใจเหมือนเด็กอีกครั้งนั้น ก็ขอให้เราเชื่อและพึ่งพาในพระองค์อย่างตรงไปตรงมาเหมือนเช่นเด็กเล็กๆ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา