ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Katara Patton

พระเจ้าทรงจัดเตรียม

แซลลี่เพื่อนรักของฉันอยากจัดงานวันเกิดให้เพื่อนคนหนึ่งของเธอ เธอรู้ว่าเพื่อนกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก และแซลลี่ก็อยากช่วยทำให้เธอรู้สึกมีความสุขขึ้น อย่างไรก็ตามแซลลี่ไม่มีงานทำและไม่มีเงินเก็บมากพอที่จะซื้ออาหารสำหรับจัดงานเลี้ยงดีๆ เธอจึงดูในตู้เย็นและตู้ในครัวว่าพอจะมีอะไรอยู่บ้าง แล้วเธอก็รังสรรค์อาหารอันงดงามที่ประกอบไปด้วยของหลายอย่างที่เธอซื้อมาไว้ก่อนหน้านี้และที่มีอยู่แล้วที่บ้าน

เมื่อแซลลี่แบ่งปันเมนูสร้างสรรค์ที่เธอคิดขึ้นให้ฉันฟัง ฉันนึกถึงเรื่องราวของเอลียาห์และหญิงม่าย (1 พกษ.17:7-16) หญิงม่ายแทบจะไม่มีอาหารอยู่เลย อันที่จริงแล้วเธอบอกกับผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ว่าเธอกำลังจะทำอาหารที่มีเหลืออยู่เพียงเล็กน้อยสำหรับตัวเองและลูกชาย“แล้วก็จะตาย”ด้วยความอดอยาก (ข้อ 12) และเธอมีเพียงแป้งและน้ำมันมะกอกอยู่เล็กน้อย เพียงพอสำหรับมื้อสุดท้ายของพวกเขาเท่านั้น

แต่เอลียาห์รับรองกับหญิงนั้นว่า “แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด” จนกว่าพระเจ้าจะทรงส่งฝนมาอีกครั้ง (ข้อ 14) หญิงม่ายวางใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยผ่านเอลียาห์ แม้จะคิดว่าตัวเธอมีไม่เพียงพอ แต่เธอก็พบว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งที่เธอต้องการแม้ว่าในครัวของเธอจะว่างเปล่า

หญิงม่ายได้พบสิ่งที่เธอต้องการเช่นเดียวกับเพื่อนของฉัน ให้เราทำตามแบบอย่างนี้ โดยดำเนินชีวิตด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และพักอยู่ในการจัดเตรียมของพระเจ้าที่มีเพื่อเรา

คืนสุดท้ายของคุณย่า

ย่าของฉันมีกิจวัตรที่ทำเป็นประจำทุกคืนวันเสาร์ ก่อนเข้านอนเธอจะเตรียมเสื้อผ้าและรองเท้าเพื่อใส่ไปโบสถ์ตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เธอจะไปร่วมนมัสการรอบเช้าเสมอ และต้องการเตรียมตัวให้พร้อมเพื่อจะตื่นนอนและออกเดินทางแต่เช้าโดยไม่ล่าช้า ในคืนวันเสาร์หนึ่ง เธอต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน หลังจากนั้นพระเยซูทรงเรียกเธอและเธอก็จากไป เมื่อปู่ของฉันกลับจากโรงพยาบาล เขาก็พบเสื้อผ้าของเธอวางอยู่ เธอเตรียมพร้อมแล้วที่จะไปโบสถ์และพบกับพระเจ้าของเธอ

กิจวัตรของคุณย่าทำให้ฉันนึกถึงสติปัญญาของเพื่อนเจ้าสาวในคำอุปมาที่ปรากฏอยู่ในมัทธิวบทที่ 25 ในตอนนี้พระคริสต์ทรงบอกเหล่าสาวกของพระองค์ให้เตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จมาของพระองค์ โดยตรัสว่า “จงเฝ้าระวังอยู่” เพราะไม่มีใครรู้ “กำหนดวันหรือโมงนั้น” ที่พระองค์จะเสด็จกลับมา (ข้อ 13) ดังนั้นจึงเป็นการดีที่เราจะเตรียมตัวไว้ให้พร้อม หากเรารอจนนาทีสุดท้ายถึงค่อยเตรียมตัว เราก็อาจจะเป็นเหมือน “คนโง่” (ข้อ 3) ที่น้ำมันหมดเพราะไม่ได้เตรียมน้ำมันสำรองมา หลังจากที่พวกเธอกลับไปเอาน้ำมันได้ไม่นาน เจ้าบ่าวก็มาถึง

เราอาจจะไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าออกมาเตรียมเช่นเดียวกับย่าของฉัน แต่กิจวัตรของย่าแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาของเธอที่จะไปคริสตจักรและพบกับพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ ขอให้เราใช้สติปัญญาเช่นเดียวกับเธอเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต คือการรับใช้พระเยซูเมื่อพระองค์ทรงนำเรา และเตรียมพร้อมสำหรับการเสด็จกลับมาของพระองค์

คำอธิษฐานของคุณยาย

ในงานรวมญาติของครอบครัวเมื่อหลายปีก่อน แม่ของฉันได้เล่าถึงข้อความที่ท่านเขียนเพื่อยกย่องคุณยายของท่าน ผู้หญิงที่ฉันไม่เคยพบแต่ได้ยินแม่พูดถึงบ่อยๆ แม่เขียนว่าท่านจำได้ว่าคุณยายซูซานตื่น “ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น” และอธิษฐานเผื่อครอบครัว ความทรงจำอันแจ่มชัดนี้ส่งผลกระทบต่อแม่ของฉัน และเป็นความทรงจำที่ฉันยังคงยึดเอาไว้ทุกวันแม้ฉันจะไม่เคยพบกับคุณทวดของฉันเลย

เรื่องเล่านี้ทำให้ฉันนึกถึงผู้หญิงที่พระธรรมสุภาษิต 31 บรรยายไว้ เธอดูแลครอบครัวด้วยวิธีการต่างๆมากมาย เธอลุกขึ้น “ตั้งแต่ยังมืดอยู่” (ข้อ 15) เธอทำหลายสิ่งเพื่อดูแลครอบครัวของเธอ เช่น เตรียมอาหาร ซื้อไร่นา ปลูกสวนองุ่น ทำการค้าที่ได้กำไร เย็บเสื้อผ้า และทำงานอื่นๆอีกหลายอย่างจนลุล่วง ซึ่งทั้งหมดล้วนทำเพื่อดูแลผู้คนที่เธอรัก และเธอยังหยิบยื่นสิ่งที่มีให้แก่ “คนยากจน [และ] ...คนขัดสน” (ข้อ 20)

ในช่วงเวลาที่พระธรรมสุภาษิต 31 ถูกเขียนขึ้นนั้นการช่วยดูแลครอบครัว ไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นได้จากงานมากมายที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ตอนนี้ และไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกันสำหรับคุณทวดของฉันซึ่งเกิดในช่วงทศวรรษที่ 1800 แต่การอธิษฐานเบาๆตอนเช้าตรู่และในตลอดทั้งวัน ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้สามารถจดจ่อและได้รับการหนุนใจ ขณะที่พระเจ้าทรงช่วยพวกเธอให้ดำเนินชีวิตตามการทรงเรียกในการดูแลครอบครัวของตนเองและผู้อื่น

มือที่ช่วยเหลือ

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1900 มีกฎหมายที่จำกัดไม่ให้คนผิวดำและผู้อพยพในสหรัฐอเมริกาเช่าหรือซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองโคโรนาโด รัฐแคลิฟอร์เนีย ชายผิวดำชื่อกัส ทอมป์สัน (ซึ่งเกิดมาเป็นทาส) ได้ซื้อที่ดินและสร้างบ้านพักในโคโรนาโดก่อนที่จะมีการผ่านกฎหมายที่มีการเลือกปฏิบัตินี้ ในปีค.ศ.1939 กัสได้ให้ครอบครัวชาวเอเชียเช่าและในที่สุดก็ได้ขายที่ดินผืนนั้นให้พวกเขา เกือบแปดสิบห้าปีต่อมา สมาชิกในครอบครัวชาวเอเชียได้ขายที่ดินผืนนี้และบริจาครายได้เพื่อช่วยเหลือนักศึกษาผิวดำ และพวกเขากำลังดำเนินการจัดตั้งศูนย์แห่งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยประจำเมืองซานดิเอโก โดยตั้งชื่อศูนย์ตามชื่อของกัสและเอ็มม่าภรรยาของเขา

พระธรรมเลวีนิติมีการพูดถึงความหมายของการปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างดีเช่นกัน พระเจ้าทรงสอนประชากรของพระองค์ว่า “ถ้าพี่น้องของเจ้ายากจนลงและเลี้ยงตัวเอง อยู่กับเจ้าไม่ได้ เจ้าจะต้องเลี้ยงดูเขาให้เขาอยู่กับเจ้าอย่างคนต่างด้าวและคนที่อาศัยอยู่” (25:35) พระองค์ทรงสอนให้ประชาชนปฏิบัติต่อกันอย่างดีและเป็นธรรมโดยเฉพาะต่อผู้ที่ขัดสน พวกเขาต้องช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากและไม่สามารถดูแลตัวเองได้ด้วยความ “ยำเกรงพระเจ้า” (ข้อ 36) พวกเขาต้องปฏิบัติต่อคนเหล่านั้นเหมือนปฏิบัติต่อ “คนต่างด้าวและคนที่อาศัยอยู่” (ข้อ 35) ด้วยการต้อนรับและความรัก

กัส ทอมป์สันและภรรยาช่วยเหลือครอบครัวที่แตกต่างจากพวกเขา และครอบครัวนั้นได้ตอบแทนด้วยการเป็นพรให้กับผู้อื่นอีกมากมาย ให้เราแสดงความเมตตาสงสารของพระเจ้าต่อผู้ที่ขัดสน เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงช่วยเราสำแดงความรักของพระองค์ต่อพวกเขา

ความมีน้ำใจในพระเยซู

ระหว่างการเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิพลเมืองของสหรัฐอเมริกา ลีอาห์ เชส แม่ครัวที่มีชื่อเสียงของรัฐนิวออลีนส์ทำในสิ่งที่เธอทำได้ เธอเตรียมอาหารและเลี้ยงดูฝูงชนที่มาเดินขบวนเรียกร้องความเสมอภาคสำหรับทุกคน เธอกล่าวว่า “ฉันแค่ทำอาหารเลี้ยงฝูงชน พวกเขากำลังต่อสู้เพื่อบางสิ่ง และพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะต้องพบเจออะไรเมื่อออกไปที่นั่น พวกเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาบนถนน แต่เมื่ออยู่ที่นี่พวกเขารู้ว่าฉันจะเลี้ยงอาหารพวกเขา นั่นคือสิ่งที่ฉันทำให้กับพวกเขาได้”

บางครั้งของประทานเรื่องความมีน้ำใจอาจจะถูกมองข้าม แต่ของประทานนี้ก็สำคัญเท่ากับของประทานอื่นๆในการรับใช้กันและกันในพระคริสต์ นักธุรกิจหญิงคนหนึ่งชื่อลิเดีย “เป็นคนขายผ้าสีม่วง” (กจ.16:14) ได้แสดงน้ำใจต่ออัครทูตเปาโลและกลุ่มผู้ร่วมประกาศข่าวดีเรื่องพระเยซูแก่ชาวเมืองมาซิโดเนีย (ข้อ 11-15) เธอให้สิ่งที่มีคือบ้านของเธอเพื่อช่วยกลุ่มผู้เดินทาง หลังจากเปิดใจรับข่าวประเสริฐ ลิเดียมุ่งมั่นที่จะจัดเตรียมที่พักให้แก่เหล่าผู้ประกาศ โดยกล่าวว่า “ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในตึกของข้าพเจ้าเถิด” (ข้อ 15) เช่นเดียวกับพวกผู้เรียกร้องสิทธิความเสมอภาค เปาโลและพวกผู้ประกาศจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องอาหารเพราะความมีน้ำใจของลิเดีย

ของประทานในการมีน้ำใจนี้อาจเป็นการให้ความช่วยเหลือคนทุกกลุ่มทั้งที่เป็นผู้เชื่อและผู้ที่ต้องการพระเยซู ขอให้เรารับใช้ผู้อื่นตามที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นไว้ให้กับเราเพื่อช่วยเหลือพวกเขา

บทสรุป - คำตรัสสุดท้ายของพระเยซู

ฉันไม่เคยได้ยินเจ็ดคำสุดท้ายของพระคริสต์มาก่อน จนกระทั่งได้เข้าร่วมกับคริสตจักรปัจจุบันที่ฉันไปในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ฉันยังจำได้ว่าเคยค้นหาพระคัมภีร์หลังจากที่ได้ยินว่ามีการเทศนาถึง “เจ็ดคำสุดท้าย” เพื่อนับถ้อยคำที่พระเยซูตรัสก่อนจะสิ้นพระชนม์ แต่ฉันก็ไม่เคยหาเจ็ดคำนั้นเจอเลย แต่ต่อมา ฉันได้ร่วมนมัสการในหัวข้อ เจ็ดคำสุดท้าย เป็นครั้งแรกที่โบสถ์ของฉันในวันศุกร์ประเสริฐ ระหว่างการประชุมนี้ ห้องนมัสการแออัดไปด้วยสมาชิกเกือบทั้งหมดของคริสตจักรและแขกผู้มาเยือน เพื่อรับฟังคำเทศนาจากศิษยาภิบาลเจ็ดคน ศิษยาภิบาลเหล่านี้แบ่งปันจากพระกิตติคุณ สอนถึงคำพูดเจ็ดประโยคที่พระเยซูตรัสขณะทรงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน และนั่นคือตอนที่ฉันได้เข้าใจ และได้เรียนรู้ถ้อยคำทั้งเจ็ดที่พระเยซูทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์

ศุกร์ประเสริฐแต่ละครั้งที่ฉันเข้าร่วมนมัสการและได้ฟังคำเทศนาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากถ้อยคำทั้งเจ็ด เป็นการเทศนาที่ยาวมากหากฟังในคราวเดียว ฉันได้ยินสิ่งใหม่ๆ ที่ต่างออกไปและให้แรงบันดาลใจ แก่ฉันให้ยึดมั่นในองค์พระเยซูมากขึ้น ในพระลักษณะอันน่าทึ่งของพระองค์ และในแบบอย่างที่พระองค์ทรงสำแดงแก่เหล่าสาวกขณะทรงสิ้นพระชนม์

เมื่อฉันได้ยิน "โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขา" (ลูกา 23:34) ฉันเห็นพระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการให้อภัย แม้กระทั่งในเรื่องที่ยากที่สุดของชีวิต เช่น เมื่อมีการกระทำอย่างมุ่งร้ายเพื่อสร้างความเจ็บปวดต่อตัวฉันหรือคนที่ฉันรัก ฉันจะให้อภัยได้อย่างไร ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูผ่านมุมมองและความเจ็บปวดของพระองค์

เมื่อฉันได้ยิน "วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม" (ลูกา 23:43) ฉันไม่เพียงได้ยินพระเยซูทรงให้อภัย แต่ฉันเห็นพระองค์ฟื้นใจคนบาปกลับขึ้นมาใหม่ ฉันเห็นพระองค์สำแดงพระวจนะที่กล่าวว่า พระองค์จะทรงลบบาปของทุกคนที่หันมาหาพระองค์และประทานชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าอดีตของเราจะเป็นเช่นไร (ดู มัทธิว 9:2 และ ยอห์น 3:16) ฉันเห็นความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงอยู่กับเราตลอดไป

เมื่อฉันได้ยิน "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" และกับสาวกที่พระองค์ทรงรัก "จงดูมารดาของท่านเถิด" (ยอห์น 19:26-27) ฉันเห็นพระคริสต์ทรงห่วงใยผู้อื่นแม้ในขณะที่ทรงทุกข์ทรมานแสนสาหัส…

บทสรุป - คำตรัสสุดท้ายของพระเยซูมีความหมายต่อฉันอย่างไร

ฉันไม่เคยได้ยินเจ็ดคำสุดท้ายของพระคริสต์มาก่อน จนกระทั่งได้เข้าร่วมกับคริสตจักรปัจจุบันที่ฉันไปในชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ ฉันยังจำได้ว่าเคยค้นหาพระคัมภีร์หลังจากที่ได้ยินว่ามีการเทศนาถึง “เจ็ดคำสุดท้าย” เพื่อนับถ้อยคำที่พระเยซูตรัสก่อนจะสิ้นพระชนม์ แต่ฉันก็ไม่เคยหาเจ็ดคำนั้นเจอเลย แต่ต่อมา ฉันได้ร่วมนมัสการในหัวข้อ เจ็ดคำสุดท้าย เป็นครั้งแรกที่โบสถ์ของฉันในวันศุกร์ประเสริฐ ระหว่างการประชุมนี้ ห้องนมัสการแออัดไปด้วยสมาชิกเกือบทั้งหมดของคริสตจักรและแขกผู้มาเยือน เพื่อรับฟังคำเทศนาจากศิษยาภิบาลเจ็ดคน ศิษยาภิบาลเหล่านี้แบ่งปันจากพระกิตติคุณ สอนถึงคำพูดเจ็ดประโยคที่พระเยซูตรัสขณะทรงถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน และนั่นคือตอนที่ฉันได้เข้าใจ และได้เรียนรู้ถ้อยคำทั้งเจ็ดที่พระเยซูทรงตรัสก่อนสิ้นพระชนม์

ศุกร์ประเสริฐแต่ละครั้งที่ฉันเข้าร่วมนมัสการและได้ฟังคำเทศนาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากถ้อยคำทั้งเจ็ด เป็นการเทศนาที่ยาวมากหากฟังในคราวเดียว ฉันได้ยินสิ่งใหม่ๆ ที่ต่างออกไปและให้แรงบันดาลใจ แก่ฉันให้ยึดมั่นในองค์พระเยซูมากขึ้น ในพระลักษณะอันน่าทึ่งของพระองค์ และในแบบอย่างที่พระองค์ทรงสำแดงแก่เหล่าสาวกขณะทรงสิ้นพระชนม์

เมื่อฉันได้ยิน "โอพระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขา" (ลูกา 23:34) ฉันเห็นพระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างของการให้อภัย แม้กระทั่งในเรื่องที่ยากที่สุดของชีวิต เช่น เมื่อมีการกระทำอย่างมุ่งร้ายเพื่อสร้างความเจ็บปวดต่อตัวฉันหรือคนที่ฉันรัก ฉันจะให้อภัยได้อย่างไร ฉันต้องขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าและระลึกถึงคำตรัสของพระเยซูผ่านมุมมองและความเจ็บปวดของพระองค์

เมื่อฉันได้ยิน "วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม" (ลูกา 23:43) ฉันไม่เพียงได้ยินพระเยซูทรงให้อภัย แต่ฉันเห็นพระองค์ฟื้นใจคนบาปกลับขึ้นมาใหม่ ฉันเห็นพระองค์สำแดงพระวจนะที่กล่าวว่า พระองค์จะทรงลบบาปของทุกคนที่หันมาหาพระองค์และประทานชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าอดีตของเราจะเป็นเช่นไร (ดู มัทธิว 9:2 และ ยอห์น 3:16) ฉันเห็นความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงอยู่กับเราตลอดไป

เมื่อฉันได้ยิน "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" และกับสาวกที่พระองค์ทรงรัก "จงดูมารดาของท่านเถิด" (ยอห์น 19:26-27) ฉันเห็นพระคริสต์ทรงห่วงใยผู้อื่นแม้ในขณะที่ทรงทุกข์ทรมานแสนสาหัส…

ไม่ฉุนเฉียวง่าย

เมื่อฉันเข้ามาในคริสตจักรหลังจากที่มีการกักตัวช่วงโควิดเป็นเวลาหลายเดือน ฉันตื่นเต้นที่ได้พบสมาชิกที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาระยะหนึ่ง ฉันตระหนักว่ามีบางคนโดยเฉพาะผู้สูงอายุที่ไม่ได้กลับมา ทั้งด้วยเหตุผลเรื่องความปลอดภัยและอื่นๆ แต่น่าเศร้าที่บางคนก็จากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษเมื่อได้เห็นสามีภรรยาสูงวัยคู่หนึ่งเดินเข้ามาในห้องนมัสการและนั่งตรงที่นั่งประจำด้านหลังฉัน ฉันโบกมือให้เขาทั้งสอง สามีโบกมือตอบขณะที่ภรรยาของเขาได้แต่จ้องมองที่ฉันโดยไม่มีรอยยิ้ม ฉันรู้สึกเจ็บปวดและสงสัยว่าเพราะเหตุใด

สองสามสัปดาห์ต่อมาฉันสังเกตเห็นหญิงผู้เป็นภรรยาคนนั้น ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนที่เป็นเหมือนผู้ดูแลเมื่อเธอต้องยืนขึ้นหรือนั่งลง เพื่อนสูงวัยของฉันป่วยมากและจำฉันไม่ได้ ฉันดีใจที่ไม่ได้ต่อว่าหรือโกรธตอนที่เธอไม่ได้ตอบสนองการทักทายของฉัน

พระธรรมสุภาษิตหลายตอนให้คำแนะนำเกี่ยวกับการมีชีวิตอย่างมีสติปัญญา และการไม่ฉุนเฉียวง่ายก็เป็นเหมือนอัญมณี แท้จริงแล้ว สุภาษิตกล่าวว่า “สามัญสำนึกที่ดี...และที่มองข้าม[ความผิด]ไปเสียก็เป็นศักดิ์ศรีแก่เขา” (ข้อ 11) การเลือกที่จะไม่ฉุนเฉียวและเรียนรู้ที่จะ “โกรธช้า” (ข้อ 11) จะนำศักดิ์ศรีมาสู่เรา อาจต้องอาศัยความอดทนและ “ปัญญา” (ข้อ 8) แต่รางวัลที่จะได้รับนั้นก็ควรค่าแก่การที่เราจะมองข้ามตัวเอง และเลือกที่จะรักผู้อื่น

ความสุขยินดีของการให้

หญิงคนหนึ่งตั้งหน้าตั้งตาถักเสื้อกันหนาวขณะอยู่บนเที่ยวบินห้าชั่วโมง ในขณะที่ถักไหมพรมเข้าออกแต่ละห่วง เธอสังเกตว่ามีทารกวัยห้าเดือนมองดูการเคลื่อนไหวของเธออย่างสนอกสนใจ เธอจึงเกิดความคิดว่า แทนที่จะถักเสื้อกันหนาวที่กำลังทำอยู่ให้เสร็จ เธอน่าจะถักหมวกให้กับผู้ชมตัวน้อยของเธอ เธอต้องทำหมวกให้เสร็จภายในเวลาที่เหลือของเที่ยวบินคือเพียงหนึ่งชั่วโมง! เมื่อหญิงคนนี้นำหมวกใบเล็กไปให้แม่ของเด็กน้อย ทั้งครอบครัวรับไว้ด้วยความยินดีขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆพากันยิ้มและปรบมือ

ของขวัญที่สร้างความประหลาดใจมักจะทำให้ผู้รับรู้สึกยินดี ไม่ว่าจะเป็นของขวัญที่เราต้องการจริงๆหรือเพียงแค่อยากได้ ของขวัญเหล่านี้อาจเป็นสิ่งที่ผู้ให้สำแดงความเมตตาของพระคริสต์กับเรา ในคริสตจักรยุคแรก ทาบิธาเป็นที่รู้จักในเรื่องการบริจาคเสื้อผ้าและ “กระทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว” (กจ.9:36) เมื่อเธอเสียชีวิต ผู้ที่ได้รับบริจาคพากันชี้ให้ดู “เสื้อผ้าต่างๆซึ่ง [เธอ]ทำ” (ข้อ 39) พวกเขาเป็นพยานถึงความเมตตาและการที่เธอได้สัมผัสชีวิตของพวกเขา

ในเหตุการณ์พลิกผันอันแสนอัศจรรย์นี้ เปโตรซึ่งประกอบด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทำให้ทาบิธากลับมามีชีวิต (ข้อ 40) สิ่งที่ท่านทำนำความยินดีมาสู่ผู้คนที่รักเธอ และนำคนเป็นอันมากมาเชื่อในพระคริสต์ (ข้อ 42)

การสำแดงความเมตตาของเราอาจเป็นคำพยานที่น่าจดจำที่สุดที่เราได้ทำ เมื่อพระเจ้าทรงจัดเตรียม ให้เราแบ่งปันของขวัญที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้อื่นในวันนี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา