ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Huang

วางใจในพระนามของพระองค์

ตอนเป็นเด็กมีช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันกลัวการไปโรงเรียน พวกเด็กผู้หญิงบางคนรังแกฉันโดยกลั่นแกล้งอย่างโหดร้าย ดังนั้นในช่วงพักฉันจะไปหลบภัยในห้องสมุดซึ่งเป็นที่ที่ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องราวของคริสเตียนหลายเล่ม ฉันจำครั้งแรกที่อ่านพระนาม “พระเยซู” ได้ อย่างไรก็ตามฉันได้รู้ว่านี่คือชื่อของคนผู้หนึ่งที่รักฉัน หลายเดือนต่อมา เมื่อใดก็ตามที่ฉันมาโรงเรียนโดยรู้สึกกลัวการทรมานที่รออยู่ตรงหน้า ฉันจะอธิษฐาน “พระเยซู ขอทรงปกป้องฉัน” ฉันรู้สึกเข้มแข็งและสงบมากขึ้นเพราะรู้ว่าพระองค์ทรงเฝ้ามองฉันอยู่ ต่อมาเด็กหญิงพวกนั้นก็เบื่อที่จะรังแกฉันและเลิกไป

หลายปีผ่านไปและการวางใจในพระนามของพระองค์ยังคงช่วยค้ำจุนฉันในยามยากลำบาก การวางใจในพระนามของพระองค์คือการเชื่อว่า สิ่งที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับพระลักษณะของพระองค์นั้นเป็นความจริง ซึ่งทำให้ฉันได้พักสงบในพระองค์

ดาวิดเองก็รู้ดีถึงความมั่นคงปลอดภัยในการวางใจในพระนามพระเจ้า เมื่อท่านเขียนสดุดีบทที่ 9 ท่านมีประสบการณ์กับพระเจ้าแล้วว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ครอบครองสูงสุด ทรงเที่ยงธรรมและสัตย์ซื่อ (ข้อ 7-8, 10, 16) ดาวิดจึงได้แสดงความวางใจในพระนามของพระเจ้าด้วยการเข้าสู้รบกับศัตรูโดยไม่ได้วางใจในอาวุธหรือทักษะทางทหาร แต่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงปกป้องท่านเหนืออื่นใดในฐานะที่ทรงเป็น “ที่กำบังเข้มแข็งของคนที่ถูกกดขี่” (ข้อ 9)

เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ฉันร้องออกพระนามพระองค์และได้พบว่าพระองค์ทรงเป็นตามพระนามนั้น ขอให้เราวางใจในพระนามของพระเยซูเสมอ ซึ่งเป็นพระนามของผู้ที่รักเรา

เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือ

วันนั้นเป็นเช้าวันจันทร์ แต่เจียหมิงเพื่อนของฉันไม่ได้อยู่ที่สำนักงาน เขาอยู่ที่บ้านกำลังทำความสะอาดห้องน้ำ เขาว่างงานมาหนึ่งเดือนแล้ว บริษัทของเขาปิดตัวลงเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19 และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตทำให้เจียหมิงเต็มไปด้วยความกลัว ผมต้องเลี้ยงดูครอบครัว เขาคิด ผมจะไปขอความช่วยเหลือจากที่ไหนได้

ในสดุดี 121:1 นักแสวงบุญที่ไปยังกรุงเยรูซาเล็มได้ถามคำถามคล้ายๆกันว่า เขาจะขอความช่วยเหลือได้จากที่ไหน การเดินทางไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์บนภูเขาศิโยนนั้นยาวนานและอาจเป็นอันตรายได้ โดยนักเดินทางต้องอดทนกับการปีนป่ายที่ยากลำบาก ความท้าทายที่พวกเขาเผชิญอาจเหมือนกับการเดินทางอันยากลำบากที่เราเผชิญในชีวิตปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วย ปัญหาความสัมพันธ์ การสูญเสียคนที่เรารัก ความเครียดในที่ทำงาน หรือในกรณีของเจียหมิงคือ ปัญหาด้านการเงินและการว่างงาน

แต่เรามีกำลังใจได้ในความจริงที่ว่า พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะทรงช่วยเรา (ข้อ 2) พระองค์ทรงเฝ้าดูชีวิตของเรา (ข้อ 3, 5, 7-8) และทรงรู้ว่าเราต้องการสิ่งใด Shamar ซึ่งแปลว่า “เฝ้าดู” ในภาษาฮีบรูหมายถึง “พิทักษ์รักษา” พระผู้สร้างจักรวาลเป็นผู้พิทักษ์ของเรา เราอยู่ในการอารักขาของพระองค์ “พระเจ้าดูแลผมและครอบครัว” เจียหมิงแบ่งปันเมื่อเร็วๆนี้ “และในเวลาที่เหมาะสม พระองค์ทรงจัดเตรียมงานสอนให้กับผม”

เมื่อเราวางใจและเชื่อฟังพระเจ้า เราสามารถมองไปข้างหน้าได้ด้วยความหวัง โดยรู้ว่าเราอยู่ในอาณาเขตการคุ้มครองภายใต้พระปัญญาและความรักของพระองค์

พระเจ้าทรงเห็นคุณ

เช้าตรู่อาจเป็นเวลาที่เจ็บปวดสำหรับอัลม่าเพื่อนของฉันผู้เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวของลูกสองคน เธอบอกว่า “เวลาที่ทุกอย่างเงียบสงบ ความวิตกจะปรากฏขึ้น เวลาที่ฉันทำงานบ้าน ฉันกังวลเรื่องการเงิน และสุขภาพและการเรียนของลูกๆ”

เมื่อสามีทิ้งเธอไป อัลม่าแบกรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกด้วยตัวคนเดียว “มันยาก” เธอบอก “แต่ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเห็นฉันและครอบครัวของฉัน พระองค์ประทานกำลังให้ฉันสามารถทำงานสองแห่ง ทรงจัดเตรียมสำหรับความจำเป็นของพวกเรา และทรงให้ลูกๆของฉันมีประสบการณ์กับการทรงนำของพระองค์ในแต่ละวัน”

ฮาการ์ สาวใช้ชาวอียิปต์เข้าใจความหมายของการที่พระเจ้าทรงมองเห็นนาง หลังจากตั้งครรภ์กับอับราม นางเริ่มดูหมิ่นซาราย (ปฐก.16:4) ผู้ตอบโต้ด้วยการข่มเหงนาง ทำให้นางต้องหนีไปในทะเลทราย ฮาการ์ต้องอยู่ตัวคนเดียว เผชิญกับอนาคตที่มืดมนและสิ้นหวังสำหรับตนเองและลูกในครรภ์

แต่ในทะเลทรายนั้นเอง “ทูตพระเจ้า” (ข้อ 7) พบเธอและกล่าวว่า “พระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า” (ข้อ 11) ทูตพระเจ้าบอกฮาการ์ว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป และรับรองเรื่องอนาคตของเธอ จากเรื่องของฮาการ์เราได้รู้จักหนึ่งในพระนามของพระเจ้า คือ เอล โรอี “พระเจ้าผู้ทอดพระเนตรเห็นข้าพระองค์” (ข้อ 13 TNCV)

คุณอาจกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ยากลำบาก รู้สึกหลงทางและโดดเดี่ยวเหมือนกับฮาการ์ แต่จงจำไว้ว่าแม้ในที่รกร้างว่างเปล่า พระเจ้าทรงเห็นคุณ จงยื่นแขนออกหาพระองค์ และวางใจให้พระองค์ทรงนำคุณไป

ความเย่อหยิ่งและการล่อลวง

พระเจ้าผู้ทรงรัก ขอบพระคุณสำหรับการลงโทษที่เป็นการสะกิดเตือนอันอ่อนโยนของพระองค์ ฉันคอตกเมื่อพึมพำคำพูดยากๆเหล่านั้น ข้าพระองค์เย่อหยิ่งมากที่คิดว่าทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง หลายเดือนที่ฉันสนุกกับโครงการที่ประสบความสำเร็จ และรางวัลต่างๆได้กล่อมให้ฉันวางใจในความสามารถตนเองและปฏิเสธการทรงนำของพระเจ้า จนมีโครงการหนึ่งที่ท้าทายที่ทำให้ตระหนักว่าฉันไม่ได้ฉลาดอย่างที่คิด จิตใจที่เย่อหยิ่งล่อลวงให้ฉันเชื่อว่าฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า

อาณาจักรเอโดมอันทรงอำนาจได้รับการตีสอนจากพระเจ้าเพราะความเย่อหยิ่งของตน เอโดมตั้งอยู่ท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ทำให้ดูเหมือนศัตรูไม่อาจทำลายได้ (อบด.1:3) อีกทั้งเป็นประเทศที่มั่งคั่ง ตั้งอยู่ใจกลางยุทธศาสตร์ของเส้นทางการค้า และอุดมไปด้วยทองแดงซึ่งเป็นสินค้ามูลค่าสูงในยุคโบราณ เอโดมเต็มไปด้วยของดีและก็เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ชาวเมืองเชื่อว่าอาณาจักรของตนไม่มีใครทำลายได้ แม้เมื่อพวกเขากดขี่ประชากรของพระเจ้า (ข้อ 10-14) แต่พระเจ้าใช้ผู้เผยพระวจนะโอบาดีห์มาประกาศการพิพากษา บรรดาประชาชาติจะลุกขึ้นต่อต้านเอโดม และอาณาจักรที่ครั้งหนึ่งเคยทรงอำนาจจะไม่มีทางป้องกันและอับอาย (ข้อ 1-2)

ความเย่อหยิ่งล่อลวงให้คิดว่าเราใช้ชีวิตตามเงื่อนไขของตนเองได้โดยไม่มีพระเจ้า ทำให้เรารู้สึกปลอดภัยจากผู้มีอำนาจ จากการลงโทษและความอ่อนแอ แต่พระเจ้าทรงเรียกให้เราถ่อมตัวลง (1 ปต.5:6) เมื่อเราหันจากความเย่อหยิ่งและเลือกการกลับใจ พระเจ้าก็จะทรงนำเราไปสู่การไว้วางใจทั้งสิ้นในพระองค์

ทรงรู้

ลีอากำลังจะเริ่มทำงานเป็นพยาบาลในประเทศไต้หวัน เธอจะสามารถส่งเสียครอบครัวได้ดีกว่าการอยู่ในกรุงมะนิลาที่โอกาสด้านการงานมีอยู่อย่างจำกัด ในคืนก่อนออกเดินทาง เธอบอกวิธีการกับพี่สาวซึ่งจะเป็นคนดูแลลูกสาววัยห้าขวบของเธอว่า “เขาจะยอมกินวิตามิน ถ้าเอาเนยถั่วหนึ่งช้อนให้เขากินด้วย” ลีอาอธิบายว่า “อย่าลืมว่าเขาเป็นเด็กขี้อาย อีกหน่อยเขาจะค่อยๆกล้าเล่นกับลูกพี่ลูกน้องเอง และเขากลัวความมืด...”

วันรุ่งขึ้นขณะมองออกไปนอกหน้าต่างเครื่องบิน ลีอาอธิษฐานว่า ข้าแต่พระเจ้า ไม่มีใครู้จักลูกสาวของข้าพระองค์ดีเหมือนข้าพระองค์ ข้าพระองค์อยู่กับลูกไม่ได้ แต่พระองค์ทรงทำได้

เรารู้จักคนที่เรารัก และเราสังเกตรายละเอียดทุกอย่างของพวกเขาเพราะพวกเขามีค่าสำหรับเรา เมื่อเราไม่สามารถอยู่กับพวกเขาได้เพราะสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวย เรามักจะวิตกว่าเมื่อไม่มีใครรู้จักเขาดีเท่าเรา พวกเขาอาจตกอยู่ในอันตรายได้ง่ายกว่า

ในพระธรรมสดุดี 139 ดาวิดเตือนเราว่าพระเจ้าทรงรู้จักเราดีกว่าใคร และทรงรู้จักคนที่เรารักเป็นอย่างดีด้วย (ข้อ 1-4) พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้สร้างของพวกเขา (ข้อ 13-15) พระองค์จึงทรงเข้าใจในความต้องการทุกอย่างที่พวกเขามี พระองค์ทรงรู้ว่าในแต่ละวันจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของพวกเขา (ข้อ 16) พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วยและจะไม่มีวันทอดทิ้งพวกเขา (ข้อ 5, 7-10)

เมื่อคุณกังวลถึงใคร จงฝากเขาไว้กับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงรู้จักคนเหล่านั้นดีที่สุด และรักพวกเขามากที่สุด

การเอื้อเฟื้อที่แท้จริง

“คูมาอิน กา นา บา” (คุณกินอะไรมารึยัง) นี่คือสิ่งที่คุณจะได้ยินเสมอเมื่อมาเยือนบ้านส่วนใหญ่ในฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นบ้านเกิดของฉัน เป็นวิธีการแสดงความเอาใจใส่และความมีน้ำใจต่อแขกของชาวฟิลิปปินส์ และไม่ว่าคุณจะตอบอย่างไร เจ้าของบ้านจะเตรียมบางอย่างให้คุณกินเสมอ คนฟิลิปปินส์เชื่อว่าการมีน้ำใจที่แท้จริงนั้นไม่ใช่แค่พูดทักทายตามธรรมเนียม แต่ยังต้องทำมากกว่านั้นเพื่อแสดงความเอื้อเฟื้อจริงๆ

เรเบคาห์ก็เข้าใจเรื่องการเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี งานบ้านประจำวันของเธอนั้นรวมถึงการไปตักน้ำจากบ่อน้ำนอกเมืองและแบกเหยือกที่หนักอึ้งนั้นกลับบ้าน เมื่อคนใช้ของอับราฮัมซึ่งกระหายน้ำมากจากการเดินทาง ขอดื่มน้ำเล็กน้อยจากเหยือกของเธอ เธอไม่ลังเลที่จะให้เขาดื่ม (ปฐก.24:17-18)

แต่แล้วเรเบคาห์ก็ทำมากกว่านั้นอีก เมื่อเธอเห็นว่าอูฐของผู้มาเยือนกระหายน้ำ เธอจึงรีบกลับไปตักน้ำให้พวกมัน (ข้อ 19-20) เธอไม่รีรอที่จะช่วยเหลือ แม้นั่นจะหมายถึงการต้องเดินกลับไปที่บ่อน้ำอีกรอบหนึ่ง (หรือมากกว่านั้น) และกลับมาพร้อมกับเหยือกอันหนักอึ้ง

ชีวิตเป็นเรื่องยากสำหรับคนจำนวนมาก และบ่อยครั้งการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เล็กๆน้อยๆในทางปฏิบัติสามารถหนุนจิตชูใจพวกเขาได้ การเป็นช่องทางส่งต่อความรักของพระเจ้าไม่ได้หมายความถึงการเทศนาที่ทรงพลังหรือการตั้งคริสตจักรเสมอไป บางครั้งอาจเป็นแค่การให้น้ำดื่มกับใครสักคน

สันติสุขของพระองค์

เป็นเวลาหลายเดือนที่ฉันต้องรับมือกับการใช้เล่ห์กลและการเมืองในที่ทำงานอย่างหนักหน่วง ความวิตกกังวลเป็นนิสัยของฉัน ฉันจึงประหลาดใจที่ตนเองมีสันติสุข แทนที่จะรู้สึกวิตกฉันสามารถตอบโต้อย่างใจเย็นและมีสติ ฉันรู้ว่าสันติสุขนี้มาจากพระเจ้าเท่านั้น

ในทางตรงกันข้าม มีช่วงเวลาอื่นในชีวิตฉันที่ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี แต่ฉันกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ ฉันรู้ว่านั่นเป็นเพราะฉันวางใจในความสามารถของตนเอง แทนที่จะวางใจในพระเจ้าและการทรงนำของพระองค์ เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันตระหนักว่าสันติสุขที่แท้จริงคือสันติสุขของพระเจ้านั้น ไม่ได้ถูกกำหนดด้วยสถานการณ์ แต่โดยความไว้วางใจในพระองค์

สันติสุขของพระเจ้ามาถึงเราเมื่อใจของเราแน่วแน่ (อสย.26:3) ในภาษาฮีบรู คำว่า แน่วแน่ หมายถึง “การพึ่งพา” เมื่อเราพึ่งพาในพระองค์ เราจะพบกับการทรงสถิตอันสุขสงบของพระองค์ เราวางใจในพระเจ้าได้ โดยระลึกว่าพระองค์จะทำให้ผู้จองหองและคนชั่วถ่อมใจ และกระทำให้วิถีของคนชอบธรรมราบรื่น (ข้อ 5-7)

ตอนที่ฉันได้พบสันติสุขในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากมากกว่าในตอนที่สบายนั้น ฉันค้นพบว่าสันติสุขของพระเจ้าไม่ใช่การไม่มีปัญหาขัดแย้ง แต่เป็นการรับรู้อย่างชัดเจนในส่วนลึกถึงความปลอดภัยแม้อยู่ท่ามกลางความวิตกกังวล เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจของมนุษย์และคุ้มครองจิตใจและความคิดของเราไว้ในท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด (ฟป.4:6-7)

เมื่อคุณก้าวต่อไปไม่ไหว

ในปี 2006 พ่อของฉันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคทางระบบประสาทซึ่งพรากความทรงจำ การพูด และการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายไปจากท่าน ท่านกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงในปี 2011 โดยมีแม่ของฉันเป็นผู้ดูแลที่บ้าน ช่วงที่ท่านเริ่มป่วยเป็นช่วงเวลาอันมืดมิด ฉันหวาดกลัว ฉันไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการดูแลผู้ป่วย และกังวลเรื่องการเงินและสุขภาพของแม่

ข้อความจากบทเพลงคร่ำครวญ 3:22 ช่วยให้ฉันตื่นขึ้นมาในยามเช้าเมื่อแสงที่ส่องมาอึมครึมเหมือนกับสภาพจิตใจของฉัน “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” คำว่า “หยุดยั้ง” ในภาษาฮีบรูหมายความว่า “ใช้จนหมด” หรือ “มาถึงจุดจบ”

ความรักมั่นคงของพระเจ้าช่วยให้เราสามารถก้าวต่อไป ให้เราลุกขึ้นเผชิญหน้ากับวันใหม่ การทดลองอาจทำให้รู้สึกหวั่นไหว แต่มันไม่อาจทำลายเราได้เพราะความรักของพระเจ้ามั่นคงกว่า!

มีหลายครั้งที่พระเจ้าทรงสำแดงความสัตย์ซื่อและความรักแก่ครอบครัวของฉัน ฉันเห็นการจัดเตรียมของพระองค์ผ่านทางน้ำใจของญาติและเพื่อนๆ คำแนะนำที่ดีของแพทย์ การดูแลด้านการเงิน และการย้ำเตือนในจิตใจของเราว่าวันหนึ่งพ่อของฉันจะมีชีวิตที่สมบูรณ์อีกครั้งในสวรรค์

หากคุณกำลังเดินผ่านช่วงเวลาที่มืดมิด อย่าสิ้นหวัง คุณจะไม่ถูกทำลายจากสิ่งที่คุณเผชิญ จงวางใจในความรักอันสัตย์ซื่อของพระเจ้าและการทรงจัดเตรียมสำหรับคุณ

ไม่ธรรมดา

เมื่ออนิต้าเสียชีวิตขณะนอนหลับในวันเกิดอายุครบ 90 ปี ความเงียบของการจากไปอย่างเงียบๆนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเรียบง่ายของชีวิตเธอ เธอเป็นหญิงหม้ายที่ได้อุทิศตนเพื่อลูกหลาน และเป็นเพื่อนกับผู้หญิงที่อายุน้อยกว่าในคริสตจักร

อนิต้าไม่ได้มีความสามารถหรือประสบความสำเร็จด้านใดที่เด่นชัดเป็นพิเศษ แต่ความเชื่อในพระเจ้าที่หยั่งรากลึกนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนที่ได้รู้จักเธอ เพื่อนคนหนึ่งของฉันบอกว่า “เมื่อฉันไม่รู้จะทำอย่างไรกับปัญหา ฉันไม่ได้คิดถึงคำพูดของนักเทศน์หรือนักเขียนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ฉันคิดว่าอนิต้าจะพูดว่าอะไร”

เราหลายคนก็คล้ายกับอนิต้า คือเป็นคนธรรมดาที่ดำเนินชีวิตเรียบง่าย ชื่อของเราจะไม่มีทางไปปรากฏในข่าว และจะไม่มีอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่เรา แต่ชีวิตที่ดำเนินด้วยความเชื่อในพระเยซูไม่มีทางจะเป็นชีวิตที่ธรรมดา บุคคลที่อยู่ในฮีบรู 11 ไม่ได้ถูกเอ่ยชื่อ (ข้อ 35-38) คนเหล่านั้นเดินบนเส้นทางที่ไม่โดดเด่นและไม่ได้รับรางวัลที่ทรงสัญญาไว้ในชีวิตนี้ (ข้อ 39) แต่เพราะเขาเหล่านั้นเชื่อฟังพระเจ้า ความเชื่อของพวกเขาจึงไม่ไร้ค่า พระเจ้าได้ทรงใช้ชีวิตของพวกเขาในหนทางที่ไปไกลยิ่งกว่าความไม่มีชื่อเสียงของพวกเขา (ข้อ 40)

ถ้าคุณรู้สึกท้อแท้กับสถานะในชีวิตที่ดูเหมือนธรรมดาของคุณ อย่าลืมว่าชีวิตที่ดำเนินด้วยความเชื่อในพระเจ้าจะสร้างผลกระทบไปตลอดนิรันดร์ แม้เราจะเป็นเพียงคนธรรมดา เรามีความเชื่อที่ไม่ธรรมดาได้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา