ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Huang

พระเจ้าจะไม่ลืมคุณ

ตอนยังเป็นเด็กฉันชอบสะสมแสตมป์ เมื่ออากง (ปู่หรือตาในภาษาจีน) ทราบถึงงานอดิเรกของฉัน ท่านก็เริ่มเก็บแสตมป์จากจดหมายในที่ทำงานของท่านทุกวัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันไปเยี่ยมพวกท่าน อากงจะมอบซองจดหมายที่
เต็มไปด้วยแสตมป์สวยงามหลากหลายแบบให้ฉัน ท่านบอกฉันครั้งหนึ่งว่า “ถึงอากงจะยุ่งตลอดเวลา แต่อากงจะไม่ลืมหนู”

อากงไม่ได้แสดงความรักอย่างโจ่งแจ้ง แต่ฉันสัมผัสถึงความรักของท่านได้อย่างลึกซึ้ง พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์ต่ออิสราเอลด้วยวิธีการอันล้ำลึกอย่างหาที่สุดมิได้เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เราก็จะไม่ลืมเจ้า” (อสย.49:15) ประชากรของพระองค์คร่ำครวญที่ต้องทนทุกข์ในบาบิโลนเนื่องจากการกราบไหว้รูปเคารพและการไม่เชื่อฟังในอดีต “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงลืมข้าพเจ้าเสียแล้ว” (ข้อ 14) แต่ความรักของพระเจ้าที่มีต่อประชากรของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ทรงสัญญาว่าจะให้อภัยและฟื้นฟูพวกเขา (ข้อ 8-13)

“เราได้สลักเจ้าไว้บนฝ่ามือของเรา” พระเจ้าตรัสกับอิสราเอล ดังที่พระองค์ตรัสกับเราในวันนี้เช่นกัน (ข้อ 16) ขณะที่ฉันใคร่ครวญถึงคำยืนยันของพระองค์นั้น มันย้ำเตือนฉันอย่างลึกซึ้งถึงพระหัตถ์ที่มีรอยตะปูของพระเยซู ซึ่งได้เหยียดออกด้วยความรักเพื่อเราและเพื่อช่วยเราให้รอด (ยน.20:24-27) เช่นเดียวกับแสตมป์และคำพูดอันอ่อนโยนของอากง พระเจ้าก็ได้ทรงยื่นพระหัตถ์แห่งการให้อภัยเพื่อเป็นเครื่องหมายนิรันดร์แห่งความรักของพระองค์ ให้เราขอบพระคุณสำหรับความรักที่ไม่วันเปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันลืมเรา

เชื่อวางใจพระเจ้า

ฉันต้องการยาสองตัวอย่างเร่งด่วน ตัวแรกคือยาแก้แพ้สำหรับแม่ ส่วนอีกตัวคือยาแก้ผิวอักเสบของหลานสาว พวกเขามีอาการแย่ลงแต่ยานั้นไม่มีวางขายในร้านขายยาอีกแล้ว ฉันสิ้นหวังและหมดหนทาง ฉันอธิษฐานซ้ำไปมาว่า พระองค์เจ้าข้า โปรดช่วยพวกเขาด้วยเถิด

หลายสัปดาห์ต่อมาอาการป่วยของพวกเขาดีขึ้น พระเจ้าดูเหมือนจะกำลังตรัสว่า “บางเวลาเราใช้ยาในการรักษา แต่เราคือผู้ที่ควบคุมอย่างแท้จริง ไม่ใช่ยาเหล่านั้น อย่าไว้วางใจในยา แต่จงวางใจในเรา”

ในสดุดีบทที่ 20 กษัตริย์ดาวิดรู้สึกอบอุ่นใจในความเป็นพระเจ้าที่ทรงไว้วางใจได้ ชนชาติอิสราเอลมีกองทัพที่เข้มแข็งแต่พวกเขารู้ว่ากำลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขามาจาก “พระนามพระเจ้าของเรา” (ข้อ 7) พวกเขาไว้วางใจในพระนามของพระองค์คือในผู้ที่พระองค์ทรงเป็น ในพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์และในพระสัญญาที่มั่นคงของพระองค์ พวกเขายึดมั่นในความจริงที่ว่าพระเจ้าผู้ทรงครอบครองและทรงฤทธานุภาพเหนือสถานการณ์ใดๆจะได้ยินคำอธิษฐานของพวกเขาและปลดปล่อยพวกเขาจากศัตรู (ข้อ 6)

แม้พระเจ้าอาจทรงใช้สิ่งของในโลกนี้เพื่อช่วยเรา แต่ในท้ายที่สุดแล้วชัยชนะเหนือปัญหาของเรามาจากพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะประทานวิธีในการแก้ปัญหา หรือประทานพระคุณเพื่อให้เราอดทนได้ ไม่ว่าในทางใดเราก็เชื่อวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงเป็นทุกสิ่งที่ได้สัญญาไว้กับเรา เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกท่วมท้นด้วยปัญหา แต่เราสามารถเผชิญกับมันได้ด้วยความหวังและพระคุณของพระองค์

ยึดพระเยซูไว้

ขณะอยู่ตรงบันไดในตึกที่ทำงาน ฉันเกิดอาการวิงเวียนศีรษะที่ถาโถมเข้ามาจนต้องจับราวบันไดไว้เพราะดูเหมือนบันไดกำลังหมุน ขณะที่หัวใจเต้นแรงและขาอ่อนแรงนั้นฉันยึดราวบันไดไว้แน่นและนึกขอบคุณในความแข็งแรงของมัน ผลตรวจทางการแพทย์ชี้ว่าฉันมีภาวะโลหิตจาง แม้อาการจะไม่รุนแรงและฉันดีขึ้นแล้ว แต่ฉันจะไม่มีวันลืมความรู้สึกอ่อนแอในวันนั้นเลย

นี่เป็นเหตุผลที่ฉันชื่นชมหญิงที่แตะต้องพระเยซู เธอไม่เพียงแต่เดินฝ่าฝูงชนขณะที่อ่อนแรง แต่ยังแสดงถึงความเชื่อโดยการยอมเสี่ยงเพื่อจะสัมผัสพระองค์ด้วย (มธ.9:20-22) เธอมีเหตุผลที่จะกลัว เพราะกฎบัญญัติของยิวถือว่าเธอเป็นผู้มีมลทิน และการนำมลทินของเธอไปสู่ผู้อื่นนั้นอาจนำผลร้ายแรงมาสู่เธอ (ลนต.15:25-27) แต่ความคิดที่ว่า ถ้าเราได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น นำให้เธอเดินต่อไป คำภาษากรีกที่แปลว่า “แตะต้อง” ในมัทธิว 9:21 นั้นไม่ได้หมายถึงการแตะเพียงผิวเผินแต่มีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นคือ “การยึดเอาไว้” หรือ “การทำตัวให้ติด” หญิงนั้นยึดพระเยซูไว้แน่น เธอเชื่อว่าพระองค์จะรักษาเธอได้

ในท่ามกลางฝูงชนมากมายนั้น พระเยซูทรงเห็นความเชื่ออย่างสุดใจของหญิงคนหนึ่ง เช่นเดียวกัน เมื่อเรายอมเสี่ยงโดยความเชื่อและยึดพระคริสต์ไว้ในยามลำบาก พระองค์จะทรงต้อนรับเราและช่วยเหลือเรา เราสามารถเล่าเรื่องของเราให้พระองค์ฟังได้โดยไม่ต้องกลัวการปฏิเสธหรือการลงโทษ พระเยซูทรงบอกกับเราในวันนี้ว่า “ยึดเราไว้”

คุณวางใจในพระเจ้าได้

เมื่อมิกกี้แมวของฉันติดเชื้อที่ตา ฉันหยอดตาให้มันทุกวัน ทันทีที่วางมันที่บนเคาน์เตอร์ในห้องน้ำ มันนั่งลง มองฉันด้วยสายตาตื่นกลัว และเตรียมพร้อมสำหรับของเหลวที่จะพุ่งเข้ามา “เด็กดี” ฉันพึมพำ แม้ว่ามันจะไม่เข้าใจสิ่งที่ฉันทำ แต่ก็ไม่เคยกระโดดหนี ขู่ฟ่อหรือข่วนฉัน แต่จะเบียดตัวเข้ามาใกล้ฉันที่ทำให้มันเจอกับประสบการณ์ยากลำบาก มันรู้ว่าไว้ใจฉันได้

เมื่อดาวิดเขียนพระธรรมสดุดีบทที่ 9 ท่านคงมีประสบการณ์กับความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้ามามากแล้ว ท่านหันไปหาพระองค์เพื่อขอการปกป้องให้พ้นจากศัตรู และพระเจ้าทรงกระทำกิจแทนท่าน (ข้อ 3-6) ในช่วงเวลาที่ดาวิดต้องการ พระเจ้าไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวัง ด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นอย่างไร พระเจ้าทรงฤทธิ์อำนาจและทรงชอบธรรม ทรงรักและทรงสัตย์ซื่อ และด้วยเหตุนี้ดาวิดจึงไว้วางใจพระองค์ ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ไว้วางใจได้

ฉันดูแลมิกกี้ผ่านความเจ็บป่วยมาหลายครั้งตั้งแต่คืนที่ฉันพบมันตอนเป็นลูกแมวตัวเล็กๆที่หิวโหยอยู่ข้างถนน มันรู้ว่ามันจะไว้ใจฉันได้ แม้ว่าฉันจะทำบางอย่างกับมันโดยที่มันไม่เข้าใจก็ตาม ในทำนองเดียวกันการระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราและพระลักษณะของพระองค์ ช่วยให้เราวางใจพระองค์เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังทำ ขอให้เรายังคงวางใจในพระเจ้าต่อไปผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต

สมอแห่งความหวังของเรา

ฉันชูภาพคนนอนใต้เศษลังกระดาษในตรอกสลัวๆขึ้น แล้วถามนักเรียนป. 6 ในชั้นเรียนรวีวันอาทิตย์ว่า “พวกเขาต้องการอะไร” คนหนึ่งตอบว่า “อาหาร” อีกคนตอบว่า “เงิน” เด็กชายคนหนึ่งตอบอย่างครุ่นคิดว่า “ที่ๆปลอดภัย” แล้วเด็กหญิงคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ความหวัง”

เธออธิบายว่า “ความหวังคือการคาดหวังว่าสิ่งดีๆจะเกิดขึ้น” ฉันพบว่าน่าสนใจที่เธอพูดถึงเรื่อง “การคาดหวัง” สิ่งดีๆเมื่อมีปัญหามากมาย ซึ่งการไม่คาดหวังสิ่งดีใดๆดูจะง่ายกว่า แต่ทว่าพระคัมภีร์พูดถึงความหวังในแบบเดียวกับนักเรียนของฉัน หาก “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้” (ฮบ.11:1) เราผู้ที่มีความเชื่อในพระเยซู สามารถ คาดหวังสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นได้

อะไรคือสิ่งดีที่สุดที่ผู้เชื่อในพระคริสต์จะหวังได้ด้วยความมั่นใจ นั่นก็คือ “พระสัญญา…ว่าจะให้เราเข้าสู่การหยุดพักของพระองค์” (4:1 THSV 11) สำหรับผู้เชื่อการหยุดพักที่มาจากพระเจ้านั้นรวมไปถึงสันติสุขจากพระองค์ ความมั่นใจในความรอด การไว้วางใจในกำลังของพระองค์และการรับรองถึงบ้านในอนาคตบนสวรรค์ การรับประกันของพระเจ้าและความรอดที่พระเยซูประทานคือสาเหตุที่ทำให้ความหวังนั้นเป็นเหมือนสมอที่เรายึดมั่นไว้ได้ในเวลาที่จำเป็น (6:18-20) โลกนี้ต้องการความหวัง ซึ่งก็คือความจริงและการรับรองอย่างหนักแน่นของพระเจ้าว่า ทั้งในยามดีหรือยามร้ายพระองค์จะเป็นผู้ตัดสินในท้ายที่สุดและจะไม่ทำให้เราผิดหวัง เมื่อเราวางใจในพระองค์ เรารู้ว่าพระองค์จะทรงทำให้ทุกสิ่งถูกต้องในเวลาของพระองค์

ปล่อยวาง

เจ้าของร้านหนังสือที่คีธทำงานอยู่เพิ่งจะไปพักร้อนได้เพียงสองวัน แต่คีธซึ่งเป็นผู้ช่วยของเขาก็ตื่นตระหนกเสียแล้ว งานดำเนินไปอย่างราบรื่น แต่คีธวิตกว่าตนจะดูแลร้านได้ไม่ดี เขาจึงลนลานเข้าไปจัดการในรายละเอียดยิบย่อยทุกอย่างเท่าที่ทำได้

“หยุดเลย” เจ้านายบอกเขาผ่านวิดีโอคอลในที่สุด “สิ่งที่คุณต้องทำคือทำตามคำแนะนำที่ผมส่งอีเมลถึงคุณทุกวัน ไม่ต้องกังวลคีธ ภาระไม่ได้อยู่ที่คุณ แต่อยู่ที่ผม”

ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งกับนานาประเทศ อิสราเอลได้รับถ้อยคำคล้ายคลึงกันจากพระเจ้า “จงนิ่งเสีย” (สดด.46:10) “หยุดดิ้นรน” พระองค์ตรัสใจความสำคัญว่า “จงทำตามเราที่บอก เราจะต่อสู้แทนเจ้า” อิสราเอลไม่ได้ถูกบอกให้อยู่เฉยๆ หรือพึงพอใจกับสถานการณ์ แต่ให้นิ่งสงบด้วยความตื่นตัว โดยเชื่อฟังพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อในขณะที่ปล่อยวางการควบคุมสถานการณ์และละผลแห่งความพยายามของพวกเขาไว้กับพระองค์

เราก็ถูกเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน และเราทำได้เพราะพระเจ้าที่เราไว้วางใจนั้นทรงอำนาจอธิปไตยสูงสุดเหนือโลกนี้ หาก “พระองค์เปล่งพระสุรเสียง แผ่นดินโลกก็ละลายไป” และหากพระองค์ทรงให้ “สงครามสงบถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 6, 9) ได้นั้น แน่ทีเดียวเราก็สามารถวางใจในความมั่นคงปลอดภัยของพระองค์ผู้ทรงเป็นที่ลี้ภัยและเป็นกำลังของเรา (ข้อ 1) ภาระในการควบคุมชีวิตของเราไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่อยู่ที่พระเจ้า

เมื่อคุณเหน็ดเหนื่อย

ฉันนั่งอยู่ในความเงียบหลังเลิกงาน คอมพิวเตอร์วางอยู่ตรงหน้าฉัน ฉันควรจะยินดีกับงานที่ฉันทำเสร็จในวันนั้น แต่ไม่เลย ฉันเหนื่อย ไหล่ของฉันปวดเมื่อยจากความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในที่ทำงาน และความคิดของฉันก็หมดไปกับการคิดเรื่องความสัมพันธ์ที่มีปัญหา ฉันอยากจะหนีให้พ้นจากทุกสิ่ง ฉันจึงคิดว่าคืนนั้นจะดูทีวี

แต่ฉันหลับตาลงและพึมพำว่า “พระเจ้าข้า” ฉันเหนื่อยเกินกว่าจะพูดอะไรอีก ความอ่อนล้าทั้งหมดของฉันกลั่นออกมาเป็นคำนั้นเพียงคำเดียว และด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันรู้ในทันทีว่าฉันควรจะเข้ามาหาพระองค์

พระเยซูทรงบอกเราผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักว่า “จงมาหาเราและเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28) ไม่ใช่การพักโดยการนอนหลับสนิท ไม่ใช่การหลบลี้หนีจากความจริงที่โทรทัศน์มอบแก่เรา ไม่ใช่แม้แต่ความผ่อนคลายเมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นแหล่งแห่งการพักผ่อนที่ดี แต่การบรรเทาที่สิ่งเหล่านี้มอบให้นั้นคงอยู่เพียงชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์

ในทางตรงกันข้าม การพักที่พระเยซูประทานให้นั้นยั่งยืนและรับประกันโดยพระลักษณะที่ไม่เปลี่ยนแปลงของพระองค์ พระองค์ทรงดีเสมอ พระองค์ประทานให้จิตวิญญาณของเราได้พักอย่างแท้จริงแม้ในท่ามกลางปัญหาเพราะเรารู้ว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ เราสามารถไว้วางใจและยอมจำนนต่อพระองค์ อดทนและเกิดผลแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ด้วยกำลังและการฟื้นฟูที่พระองค์เพียงผู้เดียวสามารถประทานให้ได้

“จงมาหาเรา” พระเยซูตรัสแก่เราว่า “จงมาหาเรา”

เป้าหมายของฉันคืออะไร

“ผมรู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์” ฮาโรลด์กล่าว “เป็นพ่อม่ายที่เกษียณแล้วและลูกๆต่างก็ยุ่งกับครอบครัวของตัวเอง ผมใช้เวลายามบ่ายที่เงียบสงัดนั่งดูเงาบนกำแพง” เขามักจะบอกลูกสาวว่า “พ่อแก่แล้วและใช้ชีวิตมาอย่างคุ้มค่า พ่อไม่มีเป้าหมายอะไรอีกต่อไป พระเจ้าจะมารับพ่อไปเมื่อไหร่ก็ได้”

แต่การสนทนาในบ่ายวันหนึ่งได้เปลี่ยนความคิดของฮาโรลด์ “เพื่อนบ้านของผมมีปัญหากับลูกๆผมจึงอธิษฐานเผื่อเขา” ฮาโรลด์กล่าว “ผมได้แบ่งปันพระกิตติคุณกับเขาในเวลาต่อมา และสิ่งนั้นทำให้ผมตระหนักว่าชีวิตของผมยังมีเป้าหมาย! ตราบที่ยังมีคนไม่เคยได้ยินเรื่องราวของพระเยซู ผมต้องบอกพวกเขาในเรื่องพระผู้ช่วยให้รอด”

เมื่อฮาโรลด์ใช้เวลาที่ได้พบปะกันเป็นปกติประจำทุกวันนั้นด้วยการแบ่งปันความเชื่อ ชีวิตของเพื่อนบ้านก็เปลี่ยนไป ใน 2 ทิโมธี 1 อัครทูตเปาโลกล่าวถึงผู้หญิงสองคนที่พระเจ้าทรงใช้ในลักษณะเดียวกันนี้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆหนึ่ง นั่นคือชีวิตของทิโมธีเพื่อนร่วมงานรุ่นน้องของเปาโล โลอิสยายของทิโมธีและยูนิสมารดาของเขาได้ส่งต่อ “ความเชื่ออย่างจริงใจ” มายังทิโมธี (ข้อ 5) โดยผ่านเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันของครอบครัวธรรมดาๆครอบครัวหนึ่ง หนุ่มน้อยทิโมธีได้เรียนรู้จักความเชื่อที่แท้จริงซึ่งช่วยหล่อหลอมให้เขาเติบโตขึ้นมาเป็นสาวกที่ซื่อสัตย์ของพระเยซู และรับใช้ในฐานะผู้นำของคริสตจักรเมืองเอเฟซัสในที่สุด

ไม่ว่าเราจะมีอายุ ภูมิหลัง หรืออยู่ในสถานการณ์เช่นไร เราต่างมีเป้าหมายนั่นคือการบอกผู้อื่นเรื่องพระเยซู

เมื่อคุณโดดเดี่ยว

ตอนเวลาหนึ่งทุ่ม ฮุยเหลียงกำลังรับประทานข้าวกับลูกชิ้นปลาที่เหลืออยู่ในห้องครัว ในอพาร์ตเมนท์ห้องข้างๆของครอบครัวฉั่วก็กำลังรับประทานอาหารเย็นเช่นกัน เสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยของพวกเขาดังทะลุความเงียบในห้องที่ฮุยเหลียงอาศัยอยู่ตามลำพังหลังจากภรรยาของเขาเสียชีวิตไป หลายปีที่ผ่านมาเขาเรียนรู้ที่จะอยู่กับความเหงา ความรู้สึกเจ็บเหมือนถูกทิ่มแทงกลับกลายเป็นความปวดร้าวอยู่ลึกๆ แต่ในคืนนี้ภาพของชามข้าวหนึ่งใบและตะเกียบหนึ่งคู่บนโต๊ะอาหารทิ่มแทงลึกลงไปในใจของเขา

ก่อนจะเข้านอนในคืนนั้น ฮุยเหลียงอ่านสดุดี 23 ซึ่งเป็นตอนที่เขาโปรดปราน ถ้อยคำที่มีความหมายกับเขามากที่สุดคือประโยคที่ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์” (ข้อ 4) สิ่งที่ทำให้ฮุยเหลียงมีสันติสุขไม่ใช่เพียงแค่การกระทำที่เอาใจใส่ดูแลของผู้เลี้ยงแกะ แต่เป็นการอยู่ด้วยเสมอและการเฝ้ามองรายละเอียดทุกอย่างในชีวิตของแกะนั้นด้วยความรัก (ข้อ 2-5)

การเพียงแค่รู้ว่ามีใครคนหนึ่งอยู่ที่นั่นกับเราทำให้เกิดความอบอุ่นใจในช่วงเวลาแห่งความเหงา พระเจ้าทรงสัญญากับลูกของพระองค์ว่าความรักของพระองค์จะดำรงอยู่กับเราตลอดนิรันดร์กาล (สดด.103:17) และจะไม่ทรงทอดทิ้งเราเลย (ฮบ.13:5) เมื่อเรารู้สึกเหงาและไม่มีใคร ไม่ว่าจะอยู่ในห้องครัวที่เงียบเชียบ หรือบนรถบัสจากที่ทำงานกลับบ้าน หรือแม้แต่ในซูเปอร์มาร์เก็ตที่ผู้คนแออัด เรารับรู้ได้ว่าสายพระเนตรของพระเจ้าองค์พระผู้เลี้ยงของเรามองมาที่เราเสมอ เราสามารถพูดได้ว่า “พระองค์ทรงสถิตกับข้าพระองค์”

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา