ใหม่และแน่นอน
สามปีมาแล้วที่ซูซานไม่ได้ซื้ออะไรให้ตัวเองเลยนอกจากของใช้จำเป็นในบ้าน การระบาดใหญ่ของโควิด 19 ส่งผลกระทบต่อรายได้ของเพื่อนฉันคนนี้ และเธอใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย “วันหนึ่งขณะทำความสะอาดอพาร์ทเมนต์ ฉันสังเกตเห็นว่าข้าวของของฉันดูเก่าและหมองแค่ไหน” เธอเล่า “ในเวลานั้นเองฉันเริ่มคิดถึงการมีสิ่งของใหม่ๆ ที่ทำให้รู้สึกสดชื่นและน่าตื่นเต้น สิ่งต่างๆรอบตัวฉันดูซ้ำซากและน่าเบื่อ ฉันรู้สึกราวกับว่าไม่มีสิ่งใดให้รอคอย”
ซูซานได้พบคำหนุนใจจากพระธรรมเล่มหนึ่งในพระคัมภีร์ที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ซึ่งเขียนโดยเยเรมีย์หลังจากที่กรุงเยรูซาเล็มตกเป็นของบาบิโลน บทเพลงคร่ำครวญบรรยายถึงบาดแผลแห่งความทุกข์โศกที่เกิดแก่ผู้เผยพระวจนะและประชาชน อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความสิ้นหวังและเศร้าเสียใจ ความรักของพระเจ้ายังคงเป็นความหวังที่มั่นคง เยเรมีย์บันทึกไว้ว่า “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด... เป็นของใหม่อยู่ทุกเวลาเช้า” (3:22-23)
ซูซานได้รับการย้ำเตือนว่าความรักมั่นคงของพระเจ้าเกิดขึ้นใหม่อย่างไม่เคยหยุดยั้งในทุกๆวัน เมื่อสถานการณ์ทำให้เรารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้รอคอยอีกต่อไป เราสามารถระลึกถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าได้และรอคอยว่าพระองค์จะจัดเตรียมให้เราอย่างไร เราตั้งความหวังไว้ในพระเจ้าได้อย่างมั่นใจด้วยรู้ว่าความหวังของเราจะไม่สูญเปล่า (ข้อ 24-25) เพราะความหวังนั้นตั้งมั่นอยู่ในความรักมั่นคงและพระเมตตาของพระเจ้า
“ความรักของพระเจ้าคือ ‘สิ่งใหม่’ ของฉันในแต่ละวัน” ซูซานกล่าว “ฉันสามารถมองไปข้างหน้าได้อย่างมีความหวัง”
ความเมตตาผ่านพิซซ่า
คำเชิญให้ร่วมรับประทานอาหารเย็นจากแฮโรลด์ผู้นำคริสตจักรกับแพม ผู้เป็นภรรยาทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่น แต่ก็ทำให้กระวนกระวายใจเช่นกัน ฉันเข้าร่วมกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์ของวิทยาลัยที่สอนแนวคิดที่ขัดแย้งกับคำสอนบางอย่างในพระคัมภีร์ พวกเขาจะต่อว่าฉันในเรื่องนี้ไหม
ระหว่างรับประทานพิซซ่า พวกเขาเล่าเรื่องครอบครัวพวกเขาและถามถึงครอบครัวฉัน พวกเขาฟังฉันคุยเรื่องการบ้าน เรื่องเจ้าบูชิสุนัขของฉัน และผู้ชายที่ฉันแอบชอบ แต่แล้วพวกเขาก็เตือนฉันอย่างอ่อนโยนเกี่ยวกับกลุ่มที่ฉันเข้าร่วมและอธิบายสิ่งที่ผิดในคำสอนของกลุ่มนั้น
คำเตือนของพวกเขานำฉันออกห่างจากคำโกหกในกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์นั้นและเข้ามาใกล้ความจริงของพระคัมภีร์ ในจดหมายฝากของยูดา ท่านใช้ภาษาที่รุนแรงเกี่ยวกับผู้สอนเท็จ กระตุ้นให้ผู้เชื่อ “ต่อสู้เพื่อความเชื่อ” (ยด.1:3TNCV) ท่านเตือนคนทั้งหลายว่า “ในสมัยสุดท้ายจะมีคนเย้ยหยันบังเกิดขึ้น...คือคนที่แยกออกเป็นก๊กๆ...และปราศจากพระวิญญาณ” (ข้อ 18-19) แต่ยูดายังเรียกร้องให้ผู้เชื่อ “สำแดงความเมตตาแก่ผู้ที่สงสัย” (ข้อ 22 TNCV) โดยอยู่เคียงข้างพวกเขา แสดงความเห็นอกเห็นใจโดยไม่ประนีประนอมกับความจริง
แฮโรลด์และแพมรู้ว่าฉันไม่มั่นคงในความเชื่อ แต่แทนที่จะตัดสินฉัน พวกเขาเสนอมิตรภาพก่อนแล้วจึงให้ปัญญา ขอพระเจ้าประทานความรักและความอดทนแบบเดียวกันนี้แก่เรา ที่จะใช้สติปัญญาและความเมตตาเมื่อเรามีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ยังสงสัยอยู่
รับการทรงเรียกและตระเตรียมโดยพระเจ้า
“หน้าที่ของคุณในงานมหกรรมหนังสือนานาชาติ คือจัดรายการวิทยุนอกสถานที่” เจ้านายบอก ซึ่งฉันรู้สึกกลัวเพราะนี่เป็นเรื่องใหม่สำหรับฉัน ฉันอธิษฐาน ข้าพระองค์ไม่เคยทำอะไรแบบนี้ ขอทรงช่วยข้าพระองค์
พระเจ้าทรงจัดเตรียมทรัพยากรและผู้คนเพื่อแนะนำฉัน ทั้งช่างเทคนิคและนักจัดรายการที่มีประสบการณ์ รวมถึงคอยเตือนในรายละเอียดที่ฉันมองข้ามไป เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันรู้ว่าการออกอากาศเป็นไปด้วยดีเพราะพระองค์ทรงรู้ว่าอะไรจำเป็นและทรงกระตุ้นให้ฉันใช้ทักษะต่างๆที่พระองค์ประทานให้
เมื่อพระเจ้าทรงมอบหมายงานให้เรา พระองค์จะทรงเตรียมเราให้พร้อมสำหรับสิ่งนั้นด้วย เมื่อทรงมอบหมายให้เบซาเลลสร้างพลับพลา เบซาเลลเป็นช่างฝีมือที่ชำนาญอยู่แล้ว พระเจ้าทรงจัดเตรียมเขานอกเหนือจากนี้โดยให้เขาประกอบด้วยพระวิญญาณของพระองค์ คือให้เขามีสติปัญญา ความเข้าใจและความรู้ในวิชาการทุกอย่าง (อพย.31:3) อีกทั้งประทานผู้ช่วยอีกคนหนึ่ง คือโอโฮลีอับตลอดจนช่างฝีมือที่เชี่ยวชาญแก่เขาด้วย (ข้อ 6) ด้วยความสามารถที่มาจากพระองค์ ทีมงานจึงวางแผนและจัดทำเต็นท์ เครื่องใช้อื่นๆทั้งหมดในเต็นท์ รวมทั้งเครื่องแต่งกายสำหรับปุโรหิต สิ่งเหล่านี้คือเครื่องมือในการนมัสการพระเจ้าอย่างถูกต้องของคนอิสราเอล (ข้อ 7-11)
เบซาเลล แปลว่า “ในร่มเงา [การปกป้อง]ของพระเจ้า” ช่างผู้ชำนาญนี้ทำงานตลอดช่วงชีวิตภายใต้การคุ้มครอง ฤทธิ์อำนาจ และการจัดเตรียมของพระเจ้า ขอให้เราเชื่อฟังการกระตุ้นของพระองค์ด้วยความกล้าหาญในขณะที่เราทำภารกิจให้สำเร็จลุล่วง พระองค์ทรงรู้ว่าเราต้องการอะไรและจะประทานให้เมื่อใดและอย่างไร
พระเจ้ารู้ถึงความจำเป็นในชีวิตเรา
แลนโด้ ซึ่งเป็นคนขับรถจี๊ปนี่ (รถโดยสารสาธารณะประเภทหนึ่งในฟิลิปปินส์) ในกรุงมะนิลากำลังดื่มกาแฟอยู่ที่ร้านข้างถนน ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตเดินทางไปทำงานอีกครั้งหลังจากการล็อกดาวน์ของโควิด19 เขาคิดในใจว่างานกีฬาวันนี้จะทำให้มีผู้โดยสารมากขึ้น ผมจะมีรายได้ที่หายไปคืนมา แล้วที่สุดก็จะได้หยุดกังวลสักที
เขากำลังจะเริ่มขับรถเมื่อมองเห็นรอนนี่บนม้านั่งใกล้ๆ คนกวาดถนนดูเหมือนกำลังมีปัญหา เหมือนเขาต้องการคุยกับใครสักคน แต่ทุกนาทีมีค่านะ แลนโด้นึกในใจ ยิ่งผู้โดยสารมาก ยิ่งได้เงินมาก ผมช้าไม่ได้หรอก แต่เขารู้สึกว่าพระเจ้าต้องการให้เขาเข้าไปหารอนนี่ และเขาก็ทำตาม
พระเยซูทรงรู้ว่าการไม่กังวลนั้นยากเพียงใด (มธ.6:25-27) พระองค์จึงยืนยันกับเราว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงรู้ถึงสิ่งที่เราต้องการ (ข้อ 32) เราได้รับการย้ำเตือนไม่ให้กังวล แต่ให้วางใจในพระองค์และทุ่มเททำในสิ่งที่พระองค์ต้องการให้เราทำ (ข้อ 31-33) เมื่อเรายอมรับและเชื่อฟังพระประสงค์ของพระเจ้า เรามั่นใจได้ว่าพระบิดาของเราผู้ทรง “ตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ” จะจัดเตรียมให้แก่เราตามน้ำพระทัยของพระองค์ ดังที่พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมให้กับบรรดาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างนั้น (ข้อ 30)
เพราะบทสนทนาของแลนโด้กับรอนนี่ คนกวาดถนนผู้นี้จึงได้อธิษฐานเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ในที่สุด “และพระเจ้ายังทรงจัดเตรียมผู้โดยสารให้เพียงพอในวันนั้นด้วย” แลนโด้แบ่งปันว่า “พระองค์ย้ำเตือนกับผมว่าพระองค์ทรงใส่ใจในความจำเป็นของผม และสิ่งที่ผมควรห่วงคือการติดตามพระองค์”
หัวใจเพื่อพระคริสต์
ตราบใดที่เธอยังคงปิดปากเงียบ ฉันบอกตัวเอง เธอก็จะไม่ทำอะไรผิด ฉันพยายามไม่แสดงความรู้สึกโกรธที่มีต่อเพื่อนร่วมงานออกมาหลังจากที่ตีความสิ่งที่เธอพูดผิดไป เนื่องจากเราต้องเจอกันทุกวัน ฉันจึงตัดสินใจสื่อสารกับเธอเฉพาะเรื่องที่จำเป็น (และตอบโต้เธอด้วยความเงียบ) การที่เราเงียบนั้นผิดตรงไหนล่ะ
พระเยซูตรัสว่าความบาปเริ่มต้นที่ใจ (มธ.15:18-20) การที่ฉันเงียบอาจหลอกให้คนเชื่อว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ฉันหลอกพระเจ้าไม่ได้ พระองค์รู้ว่าฉันปิดบังความโกรธไว้ในใจ ฉันเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่ให้เกียรติพระเจ้าแต่ปาก แต่จิตใจนั้นห่างไกลจากพระองค์ (ข้อ 8) แม้ภายนอกฉันจะไม่ได้แสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่น ฉันไม่เหลือความชื่นชมยินดีและความรู้สึกใกล้ชิดที่เคยมีกับพระบิดาในสวรรค์เมื่อฉันบ่มเพาะและปิดบังความบาปเอาไว้
แต่โดยพระคุณพระเจ้า ฉันสารภาพกับเพื่อนร่วมงานคนนั้นว่าฉันรู้สึกอย่างไรและขอโทษเธอ เธอยกโทษให้ฉัน และในที่สุดเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน พระเยซูตรัสว่า “ความคิดชั่วร้าย...ก็ออกมาจากใจ” (ข้อ 19) สภาพของหัวใจเรานั้นสำคัญเพราะเป็นที่ซึ่งความชั่วร้ายอาศัยอยู่และสามารถไหลบ่าเข้ามาในชีวิตของเราได้ ดังนั้น สถานภาพทั้งภายนอกและภายในของเราจึงสำคัญอย่างมาก
เมื่อพระเยซูทรงหยุด
หลายวันแล้วที่แมวป่วยตัวนั้นส่งเสียงร้องและซุกตัวอยู่ในกล่องใกล้ที่ทำงานของฉัน มันถูกทิ้งข้างถนนโดยคนที่เดินผ่านไปมาไม่ได้สังเกตเห็น จนกระทั่งจุนคนกวาดถนนผ่านมาและนำมันกลับไปบ้านที่เขาอยู่กับสุนัขสองตัวซึ่งเคยเป็นสุนัขจรจัดมาก่อน
“ผมดูแลพวกมันเพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีใครสังเกตห็น” จุนกล่าว “ผมเห็นตัวเองในพวกมัน ไม่ว่าจะอย่างไรไม่เคยมีใครสังเกตเห็นคนกวาดถนน”
เมื่อพระเยซูเสด็จผ่านเมืองเยรีโคระหว่างเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ข้างถนน เขารู้สึกไม่มีใครสังเกตเห็นเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันนี้ เมื่อฝูงชนเดินผ่านไปมาและทุกสายตาจับจ้องไปที่พระคริสต์ ไม่มีใครหยุดช่วยชายขอทานคนนั้น
ไม่มีใครนอกจากพระเยซู ท่ามกลางเสียงฝูงชนที่อลหม่าน พระองค์ได้ยินเสียงร้องของชายผู้ถูกลืม พระคริสต์ตรัสถามว่า “เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” และทรงได้รับคำตอบจากใจว่า “พระองค์เจ้าข้า โปรดให้ข้าพระองค์เห็นได้” พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “จงเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ” (ลก.18:41-42)
บางครั้งเรารู้สึกว่าไม่มีใครสังเกตเห็นเราใช่ไหม เสียงร้องไห้ของเราถูกกลบโดยคนที่ดูเหมือนจะสำคัญกว่าเราหรือเปล่า พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงสังเกตเห็นสิ่งที่โลกไม่สนใจจะเห็น จงร้องขอความช่วยเหลือจากพระองค์! ในขณะที่คนอื่นอาจเดินผ่านเราไป แต่พระองค์จะทรงหยุดเพื่อเรา
เติบโตในพระเยซู
ตอนเป็นเด็ก ฉันมองว่าผู้ใหญ่ฉลาดและไม่มีทางล้มเหลว พวกเขารู้เสมอว่าต้องทำอะไร ฉันคิดอย่างนั้น วันหนึ่งเมื่อฉันโตขึ้นฉันก็จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเหมือนกัน “วันหนึ่ง” ที่ว่านั้นมาถึงเมื่อหลายปีมาแล้ว และทั้งหมดที่ฉันเรียนรู้คือ ฉันก็ยังคงไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรในหลายๆครั้ง ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยในครอบครัว ปัญหาเรื่องงาน หรือความสัมพันธ์ที่ขัดแย้ง ช่วงเวลาเหล่านั้นได้ขจัดเอาภาพลวงตาที่คิดว่าตัวเองมีกำลังและอำนาจควบคุมออกไปแล้ว เหลือไว้เพียงทางเลือกเดียว คือที่ฉันจะหลับตาลงและกระซิบว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วย ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร”
อัครทูตเปาโลเข้าใจความรู้สึกหมดหนทางนี้ “หนาม” ในชีวิตท่านซึ่งอาจเป็นความเจ็บป่วยทางกาย ทำให้ท่านคับข้องใจและเจ็บปวด แต่ด้วยหนามนี้ เปาโลจึงได้มีประสบการณ์กับความรัก พระสัญญาและพระพรของพระเจ้าที่มากพอ จนท่านอดทนและเอาชนะความยากลำบากได้ (2 คร.12:9) ท่านเรียนรู้ว่าความอ่อนแอและการหมดหนทางของตนเองไม่ได้หมายถึงความพ่ายแพ้ เมื่อยอมจำนนต่อพระเจ้าด้วยความไว้วางใจ สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะทรงเข้ามาและกระทำกิจผ่านสถานการณ์เหล่านี้ (ข้อ 9-10)
การที่เราโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หมายความว่าเรารู้ทุกอย่าง แน่นอนว่าเราฉลาดขึ้นตามอายุ แต่ที่สุดแล้วความอ่อนแอมักจะเปิดเผยให้เห็นว่าเราไม่ได้มีอำนาจควบคุมใดๆ แต่ฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของเราอยู่ในพระคริสต์ “เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้น” (ข้อ 10) การ “เป็นผู้ใหญ่” ที่แท้จริงนั้นหมายถึง การที่เรารู้จัก ไว้วางใจและเชื่อฟังในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่จะมาถึงเมื่อเราตระหนักว่าเราต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์
อดทนในพระเยซู
ตอนที่ฉันเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมเมื่อหลายปีก่อน เรามีการนมัสการประจำทุกสัปดาห์ ในการนมัสการครั้งหนึ่งขณะที่นักศึกษากำลังร้องเพลง “องค์พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และทรงใหญ่ยิ่ง” ฉันเห็นอาจารย์ที่เรารักมากสามคนร้องเพลงอย่างสุดหัวใจ ใบหน้าของพวกท่านเปล่งประกายความยินดี ซึ่งเป็นเพราะความเชื่อที่พวกท่านมีต่อพระเจ้าเท่านั้น หลายปีต่อมา ขณะที่อาจารย์แต่ละท่านต้องเผชิญกับอาการป่วยระยะสุดท้าย ความเชื่อนี้เองที่ทำให้ท่านสามารถอดทนได้และเป็นที่หนุนใจแก่ผู้อื่น
วันนี้ ความทรงจำถึงพวกอาจารย์ที่ร้องเพลงนั้นยังคงเป็นกำลังใจให้ฉันสู้ต่อไปเมื่อเกิดการทดลอง สำหรับฉันแล้ว เรื่องของอาจารย์นี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องราวที่น่าประทับใจของผู้ที่มีชีวิตอยู่ด้วยความเชื่อ เรื่องของพวกเขาเตือนเราถึงวิธีการทำตามสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมฮีบรู 12: 2-3 บอก คือให้เราเพ่งมองที่พระเยซูผู้ “ทรงอดทนต่อกางเขน เพื่อความริื่นเริงยินดีที่ได้เตรียมไว้สำหรับพระองค์” (ข้อ 2)
เมื่อเกิดการทดลอง ไม่ว่าจากการถูกข่มเหงหรือความทุกข์ยากในชีวิตซึ่งทำให้ยากที่จะไปต่อ เรามีตัวอย่างจากคนเหล่านั้นที่ยึดพระวจนะของพระเจ้าและวางใจในพระสัญญาของพระองค์ เราสามารถ “วิ่งแข่งด้วยความเพียรพยายามตามที่ได้กำหนดไว้สำหรับเรา” (ข้อ 1) ให้จดจำไว้ว่า พระเยซูและคนเหล่านั้นที่ล่วงหน้าไปก่อนเราสามารถอดทนได้ ผู้เขียนหนุนใจให้เรา “คิดถึงพระองค์...เพื่อว่าท่านทั้งหลายจะได้ไม่รู้สึกท้อถอย” (ข้อ 3)
อาจารย์ของฉันตอนนี้พวกท่านมีความสุขอยู่ในสวรรค์ และท่านน่าจะอยากบอกว่า “ชีวิตแห่งความเชื่อนั้นคุ้มค่าจริงๆ ขอจงสู้ต่อไป”
พระเจ้าทรงอยู่ใกล้
ลอร์เดสเป็นครูสอนร้องเพลงในกรุงมะนิลา เธอสอนนักเรียนแบบตัวต่อตัวเป็นเวลากว่าสามสิบปีแล้ว เมื่อถูกขอให้จัดชั้นเรียนออนไลน์ เธอจึงรู้สึกกังวล “ฉันไม่เก่งเรื่องคอมพิวเตอร์” เธอเล่า “แล็ปท็อปของฉันเก่าแล้วและฉันไม่คุ้นเคยกับแพลตฟอร์มการประชุมผ่านวิดีโอ”
แม้ว่าอาจดูเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับบางคน แต่เรื่องนี้ก็สร้างความเครียดให้กับเธอจริงๆ “ฉันอยู่คนเดียวจึงไม่มีใครคอยช่วย” เธอกล่าว “ฉันกังวลว่านักเรียนจะลาออก และฉันจำเป็นต้องมีรายได้”
ก่อนเริ่มชั้นเรียนทุกครั้ง เธอจะอธิษฐานขอให้แล็ปท็อปใช้การได้ดี “พระธรรมฟีลิปปี 4:5-6 เป็นภาพพื้นหลังบนหน้าจอของฉัน” เธอเล่า “นั่นเป็นวิธีที่ทำให้ฉันยึดมั่นอยู่ในพระวจนะตอนนั้น”
เปาโลเตือนสติเราไม่ให้ทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย เพราะ “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้” (ฟป.4:5) พระสัญญาเรื่องการทรงสถิตอยู่ด้วยนั้นเป็นของเราที่จะต้องยึดไว้ เมื่อเราพักสงบในการทรงสถิตอยู่ใกล้ และมอบทุกสิ่งไว้กับพระองค์ด้วยการอธิษฐานทั้งเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ สันติสุขของพระองค์จะคุ้มครอง “จิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 7)
“พระเจ้าทรงนำฉันไปที่เว็บไซต์ที่แก้ไขข้อผิดพลาดของคอมพิวเตอร์” เธอกล่าว “ทั้งยังทรงประทานนักศึกษาที่มีความอดทนที่เข้าใจข้อจำกัดทางเทคโนโลยีของฉันด้วย” สันติสุข ความช่วยเหลือและการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นของเรา เพื่อที่เราจะชื่นชมยินดีเมื่อเราแสวงหาที่จะติดตามพระองค์ตลอดวันคืนของชีวิต เรากล่าวอย่างมั่นใจได้ว่า “จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่าจงชื่นชมยินดีเถิด” (ข้อ 4)