ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Karen Huang

แสวงหาความรักในพระเจ้า

ตอนเป็นเด็กเมื่อเบนถูกถามว่า “โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร” เขาจะตอบว่า “ผมอยากเป็นเหมือนเดฟ” พี่ชายของเบนเป็นนักกีฬา เข้ากับคนง่าย และเป็นนักเรียนเรียนดี แต่เบนนั้นตรงกันข้าม เขาบอกว่า “ผมเล่นกีฬาไม่เก่ง ขี้อาย และมีปัญหาภาวะการเรียนรู้บกพร่อง ผมอยากสนิทกับเดฟมาตลอด แต่เขาไม่อยากสนิทกับผม เขาเรียกผมว่า ‘คนน่าเบื่อ’”

เบนใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักของพี่ชายโดยเปล่าประโยชน์ จนกระทั่งเบนมาเชื่อพระเยซู เขาจึงได้เรียนรู้ที่จะพักสงบในความรักขององค์พระผู้ช่วยให้รอดของเขา

เลอาห์ภรรยาคนแรกของยาโคบ ใช้เวลามากมายในชีวิตไขว่คว้าความรักจากสามี (ปฐก.29:32-35) แต่ยาโคบก็ยังคงรักแต่ราเชล พระเจ้าทรงเห็นความทุกข์ใจของเลอาห์และชดเชยให้กับการที่เธอถูกปฏิเสธในชีวิต พระองค์ทรงอวยพรเธอโดยให้เธอได้เป็นมารดา ซึ่งถือเป็นเกียรติอันสูงสุดในวัฒนธรรมสมัยนั้น (ข้อ 31) ด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ทอดพระเนตรและฟังเสียงของเลอาห์ซึ่งถูกสามีมองข้ามและไม่รับฟัง (ข้อ 32-33) เธอให้กำเนิดบุตรสาวหนึ่งคนและบุตรชายหกคน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยูดาห์ผู้เป็นบรรพบุรุษของพระเยซู เธอกล่าวตอนคลอดเขาว่า “ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า” (ข้อ 35) เลอาห์มีอายุยืนยาวในคานาอันและถูกฝังไว้ในสถานที่อันทรงเกียรติร่วมกับครอบครัวของยาโคบ (49:29-32)

เมื่อเราถูกมองข้าม ให้เราใช้เรื่องราวของเลอาห์เพื่อปลอบประโลมใจ เราสามารถพักสงบในความรักของพระเจ้าผู้ทรงชดเชยให้กับเราในสิ่งที่ขาดหายไป

พระสัญญาของพระเจ้า

การเห็นพ่อสูญเสียความทรงจำนั้นเจ็บปวด ภาวะสมองเสื่อมเป็นความโหดร้ายที่พรากความทรงจำของผู้คนไปจนไม่เหลืออะไรให้ระลึกถึงเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของพวกเขา คืนหนึ่งฉันมีความฝันซึ่งฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงใช้เพื่อหนุนใจฉัน ในความฝันพระองค์ทรงมีหีบสมบัติเล็กๆอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ “ความทรงจำทั้งหมดของพ่อเจ้าถูกเก็บไว้อย่างปลอดภัยในนี้” พระองค์ทรงบอกฉัน “ในระหว่างนี้เราจะเก็บมันไว้ แล้ววันหนึ่งบนสวรรค์เราจะคืนให้กับเขา”

หลายปีต่อมา ความฝันนี้ปลอบประโลมใจฉันทุกครั้งที่พ่อไม่รู้ว่าฉันเป็นใคร มันเตือนใจฉันว่าโรคที่พ่อเป็นนั้นจะอยู่แค่ชั่วคราว เพราะพ่อเป็นลูกของพระเจ้า วันหนึ่งพ่อจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอย่างถาวร

สิ่งที่ช่วยฉันอีกอย่างคือการนึกถึงว่าเปาโลได้อธิบายถึงความทุกข์ลำบากว่าเป็นสิ่ง “เล็กๆน้อยๆเพียงชั่วคราว” (2 คร.4:17 TNCV) เปาโลไม่ได้ประมาทความทุกข์ยาก เพราะตัวท่านเองผ่านการทนทุกข์มาอย่างหนัก (ข้อ 7-12) ท่านกำลังเน้นย้ำว่า เมื่อเทียบกับความเป็นนิรันดร์และความรุ่งโรจน์ในพระคริสต์ที่เราจะได้รับในอนาคตแล้ว ปัญหาของเราก็เล็กน้อยและคงอยู่เพียงชั่วขณะ พระพรอันรุ่งเรืองทั้งสิ้นในพระเยซูที่เราได้รับแล้วในเวลานี้ รวมถึงพระพรที่เราจะได้รับในอนาคตจะมีมากมายเกินกว่าความทุกข์ยากทั้งหมดนั้นอย่างถาวร (ข้อ 17)

เพราะเรามีพระเจ้าและพระสัญญาของพระองค์ เราจึงเลือกได้ว่าจะไม่หมดกำลังใจ ถึงแม้เราทนทุกข์ เราก็สามารถดำเนินชีวิตในแต่ละวันด้วยความเชื่อโดยพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่จะทำให้เราจำเริญขึ้นใหม่ (ข้อ 16) วันนี้ ให้เรา “จับจ้อง” ที่พระสัญญานิรันดร์ของพระองค์ (ข้อ 18 TNCV)

ความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้

ความกลัวปลุกฉันขึ้นมาตอนตีสามในวันแรกของปีใหม่ ปีที่กำลังมาถึงนี้สร้างความหนักอึ้งให้ฉัน ท่วมท้นฉันด้วยความกลัว ความเจ็บป่วยของคนในครอบครัวทำให้ฉันอ่อนล้า และตอนนี้ความคิดในเรื่องของอนาคตทำให้ฉันกลัว แล้วจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นมากกว่านี้ไหมนะ

สาวกของพระเยซูเข้าใจถึงความกลัวว่าจะมีสิ่งร้ายเกิดขึ้น แม้ว่าอาจารย์ของพวกเขาได้จัดเตรียมและยืนยันกับพวกเขาในวันก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ พวกเขาก็ยังกลัว พวกเขาหลบหนีตอนที่พระองค์ถูกจับ (มธ.26:56) เปโตรปฏิเสธพระองค์ (ยน.18:15-17,25-27) และพวกเขาไปซ่อนตัว (20:19) ความกลัวของพวกเขาในช่วงความโกลาหลของการจับกุมพระเยซูและการตรึงกางเขน รวมถึงการข่มเหงทำให้พวกเขาทำตรงกันข้ามกับคำสั่งของพระองค์ที่ว่า “จงชื่นใจเถิด” และพระสัญญาของพระองค์ที่ว่า “เราได้ชนะโลกแล้ว” (16:33)

แต่การสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์พิสูจน์ให้เห็นถึงสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชเหนือชีวิตและความตาย พระองค์ทรงมีชัยชนะสูงสุด แม้สถานะที่ผิดบาปของโลกนี้จะทำให้เกิดความทุกข์ยาก แต่เราสามารถพักสงบในความจริงที่ว่าทุกสิ่งอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงสติปัญญาและเปี่ยมด้วยความรัก พระเยซูสถิตอยู่กับเรา (16:32-33) ดังเช่นที่สถิตกับเหล่าสาวกผู้ซึ่งในภายหลังได้ออกไปแบ่งปันพระกิตติคุณด้วยความมั่นใจ ขอให้พระสัญญาของพระเจ้าที่บอกว่าพระองค์ทรงควบคุมอยู่นั้นจะเสริมจิตใจเราให้เข้มแข็งที่จะเชื่อวางใจพระองค์ในปีใหม่นี้ และที่เราจะกล้าหาญแม้ในเวลาที่ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

พระเจ้าทรงรู้จักฉัน

เมื่อพี่สาวฉันพบหนังสือนิทานในวัยเด็กของเรา แม่ของฉันซึ่งตอนนี้อายุเจ็ดสิบปีแล้วรู้สึกดีใจมาก ท่านจำรายละเอียดตลกๆทั้งหมดของเจ้าหมีที่ขโมยน้ำผึ้งและถูกฝูงผึ้งที่โมโหไล่ล่าได้ ท่านยังจำได้ว่าฉันกับพี่หัวเราะกันขนาดไหนในขณะที่คอยลุ้นให้เจ้าหมีหนีไปได้ ฉันบอกแม่ว่า “ขอบคุณค่ะที่คอยเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังตอนเรายังเด็ก” ท่านรู้เรื่องราวทั้งหมดของฉันรวมถึงสิ่งที่ฉันเป็นในวัยเด็กด้วย ตอนนี้ฉันโตแล้ว ท่านก็ยังรู้จักและเข้าใจฉัน

พระเจ้าก็เช่นกัน พระองค์ทรงรู้จักเราอย่างลึกซึ้งเกินกว่าที่มนุษย์คนใดจะสามารถรู้จักได้ รวมถึงตัวเราเองด้วย ดาวิดบอกว่าพระองค์ทรง “ตรวจสอบ” เรา (สดด.139:1) พระองค์ทรงตรวจสอบเราด้วยความรักและเข้าใจเราอย่างถ่องแท้ พระเจ้าทรงทราบความคิดของเรา ทรงเข้าใจเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังและความหมายของสิ่งที่เราพูด (ข้อ 2, 4) พระองค์ทรงสนิทสนมคุ้นเคยกับทุกรายละเอียดที่ทำให้เราเป็นเรา และพระองค์ทรงใช้ความรู้นี้เพื่อช่วยเรา (ข้อ 2-5) พระองค์ผู้ทรงรู้จักเรามากที่สุดจะไม่หันหลังใส่เราด้วยความไม่พอใจ แต่จะทรงเข้ามาหาเราด้วยความรักและพระปัญญาของพระองค์

เมื่อเรารู้สึกโดดเดี่ยว ถูกมองข้าม หรือถูกลืม เรารู้สึกมั่นคงได้ในความจริงที่ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราเสมอ ทรงมองเห็นเรา และรู้จักเรา (ข้อ 7-10) พระองค์ทรงรู้จักเราในทุกแง่มุมที่คนอื่นไม่รู้ และอื่นๆอีกมากมาย เราสามารถพูดด้วยความมั่นใจเช่นเดียวกับดาวิดว่า “พระองค์ได้...ทรงรู้จักข้าพระองค์...พระหัตถ์ของพระองค์จะนำข้าพระองค์ และพระหัตถ์ขวาของพระองค์จะยึดข้าพระองค์ไว้” (ข้อ 1, 10)

ยืนหยัดในการอธิษฐาน

มิล่าเป็นผู้ช่วยในร้านเบเกอรี่ เธอรู้สึกว่าไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เมื่อหัวหน้ากล่าวหาว่าเธอขโมยขนมปังลูกเกด การกล่าวโทษโดยไม่มีหลักฐานและการหักเงินเดือนเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในการกระทำที่ไม่ถูกต้องมากมายจากหัวหน้าของเธอ “พระเจ้าข้า โปรดช่วยด้วย” มิล่าอธิษฐานทุกวัน “เป็นเรื่องยากมากที่จะทำงานกับหัวหน้าคนนี้ แต่ลูกต้องการงานนี้”

พระเยซูเล่าถึงเรื่องของหญิงม่ายที่รู้สึกจนมุมและแสวงหา “ความยุติธรรมแก่ [เธอ]ในการสู้ความ” (ลก.18:3) เธอหันไปหาคนมีอำนาจที่จะแก้คดีความของเธอ คือผู้พิพากษา แม้เธอจะรู้ว่าผู้พิพากษานั้นไม่มีความยุติธรรม เธอยังยืนยันที่จะเข้าไปหาเขา

การตอบสนองในท้ายที่สุดของผู้พิพากษา (ข้อ 4-5) นั้นต่างจากพระบิดาในสวรรค์ของเราโดยสิ้นเชิง พระองค์ทรงตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยความรักและการช่วยเหลือ ถ้าการยืนหยัดอย่างไม่ลดละทำให้ผู้พิพากษาอธรรมยอมช่วยหญิงม่ายแล้ว พระเจ้าองค์ผู้พิพากษาผู้เที่ยงธรรมจะสามารถและจะทรงทำเพื่อเรามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด (ข้อ 7-8) เราวางใจให้พระองค์ “ประทานความยุติ-ธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้” ได้ (ข้อ 7) และการยืนหยัดในการอธิษฐานเป็นหนึ่งในวิธีที่แสดงถึงความไว้วางใจของเรา เรายืนหยัดเพราะเรามีความเชื่อว่าพระเจ้าจะตอบสนองด้วยพระปัญญาอันบริบูรณ์ต่อสถานการณ์ของเรา

ท้ายที่สุดหัวหน้าของมิล่าลาออกหลังจากที่พนักงานหลายคนร้องเรียนถึงพฤติกรรมของเธอ ขณะที่เราดำเนินไปด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า ขอให้เรายืนหยัดในการอธิษฐาน โดยรู้ว่าฤทธิ์อำนาจของการอธิษฐานนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ผู้ทรงได้ยินเราและช่วยกู้เรา

พระคัมภีร์บนเบาะหลัง

แอนดรูว์จอดรถโฟล์คสวาเก้นและเจ้าหน้าที่ก็เดินเข้ามา เขาอธิษฐานเช่นเคยเหมือนทุกครั้งว่า “ข้าแต่พระเจ้า เมื่อพระองค์ทรงอยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงทำให้คนตาบอดมองเห็นได้ บัดนี้ขอโปรดให้ดวงตานั้นมองไม่เห็นด้วยเถิด” เจ้าหน้าที่ทำการตรวจค้นรถและไม่พูดอะไรเกี่ยวกับพระคัมภีร์ที่อยู่ในกระเป๋าเดินทางของเขาเลย แอนดรูว์ข้ามพรมแดนมาเพื่อส่งพระคัมภีร์ให้กับคนที่ไม่สามารถเป็นเจ้าของพระคัมภีร์ได้

แอนดรูว์ ฟาน เดอร์ เบลจ์ หรือบราเดอร์แอนดรูว์ พึ่งพาฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าสำหรับงานที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าทรงเรียกเขาให้ทำ นั่นก็คือการนำพระคัมภีร์ไปยังประเทศที่การเป็นคริสเตียนเป็นสิ่งผิดกฎหมาย “ผมเป็นคนธรรมดา” เขากล่าว พร้อมกับย้ำถึงข้อจำกัดด้านการศึกษาและทุนทรัพย์ของตัวเอง “สิ่งที่ผมทำ ใครๆก็ทำได้” ปัจจุบันองค์กรของเขาที่ชื่อโอเพ่นดอร์ (Open Doors International) ได้ทำงานกับผู้เชื่อที่ถูกข่มเหงเพราะพระเยซูทั่วโลก

เมื่อเศรุบบาเบลผู้ว่าราชการของยูดาห์ เผชิญกับภารกิจที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ในการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่หลังจากที่ชาวยิวกลับจากการเป็นเชลย ท่านรู้สึกท้อแท้ แต่พระเจ้าทรงเตือนท่านไม่ให้พึ่งพากำลังหรือความสามารถของมนุษย์ แต่ให้พึ่งพาพระวิญญาณของพระองค์ (ศคย.4:6) พระองค์ทรงให้กำลังใจท่านผ่านนิมิตที่ทรงสำแดงต่อผู้เผยพระวจนะเศคาริยาห์เกี่ยวกับตะเกียงที่ได้รับน้ำมันจากต้นมะกอกที่อยู่ข้างๆ (ข้อ 2-3) เช่นเดียวกับตะเกียงที่ติดไฟเนื่องจากมีน้ำมันหล่อเลี้ยงอยู่ตลอด เศรุบบาเบลและชนอิสราเอลก็สามารถทำงานของพระเจ้าโดยพึ่งพาฤทธิ์อำนาจที่มาจากพระองค์ได้ตลอดเวลา

เมื่อเราพึ่งพาพระเจ้า ขอให้เราวางใจในพระองค์และทำสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้เราทำ

ตอบตกลงด้วยความเชื่อ

เมื่อมีคนถามว่าฉันยินดีจะตอบรับทำงานในความรับผิดชอบใหม่ๆหรือไม่ ฉันอยากจะตอบปฏิเสธ ฉันคิดถึงความท้าทายที่จะตามมาและรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่งพอจะทำงานเหล่านั้น แต่ขณะที่ฉันอธิษฐานและแสวงหาการทรงนำจากพระคัมภีร์และผู้เชื่อคนอื่นๆ ฉันก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ฉันตอบตกลง ฉันได้รับความมั่นใจจากพระคัมภีร์ว่าความช่วยเหลือจะมาจากพระองค์ ดังนั้น ฉันจึงตอบรับงานนั้นแม้จะยังมีความกลัวอยู่บ้าง

ฉันเห็นภาพตัวเองในชนชาติอิสราเอลและผู้สอดแนมทั้งสิบคนที่ล่าถอยจากการเข้าไปยึดครองแผ่นดินคานาอัน (กดว.13:27-29, 31-33; 14:1-4) พวกเขามองเห็นความลำบากและสงสัยว่าพวกเขาจะเอาชนะผู้ที่มีกำลังในแผ่นดินนั้นและทำลายเมืองที่เป็นป้อมปราการนั้นได้อย่างไร “เราเหมือนเป็นตั๊กแตนโม” ผู้สอดแนมกล่าว (13:33) และชนอิสราเอลก็บ่นว่า “พระเจ้านำเราเข้ามาในประเทศนี้ให้ตายด้วยคมกระบี่ทำไมเล่า” (14:3)

มีเพียงโยชูวาและคาเลบเท่านั้นที่จำได้ว่าพระเจ้าทรงสัญญาจะมอบแผ่นดินคานาอันแก่ประชากรของพระองค์ (ปฐก.17:8; กดว.13:2) พวกเขามีความมั่นใจจากพระสัญญาของพระเจ้าและมองข้ามความยากลำบากที่อยู่เบื้องหน้า ไปยังการทรงสถิตและความช่วยเหลือของพระองค์ พวกเขาเผชิญความยากลำบากโดยพึ่งในฤทธานุภาพ การคุ้มครอง และทรัพยากรของพระเจ้า ไม่ใช่ของพวกเขาเอง (กดว.14:6-9)

งานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ฉันทำนั้นไม่ง่าย แต่พระองค์ทรงช่วยให้ฉันผ่านมันไปได้ แม้เราจะหนีไม่พ้นความยากลำบากในการทำงานของพระเจ้า แต่เราสามารถเผชิญหน้ากับมันได้เช่นเดียวกับโยชูวาและคาเลบ โดยรู้ว่า “พระเจ้าสถิตฝ่ายเรา” (ข้อ 9)

ร่วมกันในพระคริสต์

ในจำนวนประชากรสามร้อยคนของเมืองวิททิเออร์ มลรัฐอลาสก้า เกือบทั้งหมดอาศัยรวมกันอยู่ในตึกอพาร์ทเม้นท์ขนาดใหญ่ และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้เมืองวิททิเออร์ถูกเรียกว่า “เมืองใต้ชายคาเดียวกัน” เอมี่อดีตผู้พักอาศัยกล่าวว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องก้าวออกไปนอกอาคารเลย ร้านขายของชำ งานทะเบียนของรัฐ โรงเรียน และที่ทำการไปรษณีย์อยู่ที่ชั้นล่างของตึก แค่โดยสารลิฟต์ไป!”

“เพราะว่าชีวิตที่นั่นสะดวกสบายมาก ฉันจึงอยากอยู่คนเดียวโดยคิดว่าไม่ต้องการใครเลย” เอมี่เล่า “แต่ทว่าผู้ที่พักอาศัยก็มีมิตรไมตรีมาก พวกเขาดูแลกันและกัน ฉันเรียนรู้ว่าพวกเขาต้องการฉัน และฉันก็ต้องการพวกเขา”

บางครั้งเราอาจเป็นเหมือนเอมี่ที่อยากจะเก็บตัวและเลี่ยงการเข้าสังคม คำหลังฟังดูเครียดน้อยกว่า! แต่พระคัมภีร์กล่าวว่าผู้เชื่อในพระเยซูควรมีสมดุลที่ดีระหว่างความสันโดษและการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่ออื่นๆ อัครทูตเปาโลเปรียบผู้เชื่อกับร่างกายมนุษย์ อวัยวะแต่ละส่วนมีหน้าที่ที่แตกต่างกันฉันใด ผู้เชื่อทุกคนก็มีบทบาทที่แตกต่างกันฉันนั้น (รม.12:4) อวัยวะไม่อาจดำรงอยู่ได้โดยลำพัง ผู้เชื่อก็ไม่อาจดำเนินชีวิตในความเชื่อโดยการปลีกตัวอยู่คนเดียวได้ (ข้อ 5) ในท่ามกลางชุมชนคือที่ซึ่งเราใช้ของประทานของเรา (ข้อ 6-8; 1 ปต.4:10) และเติบโตขึ้นเป็นเหมือนพระเยซู (รม.12:9-21)

เราต้องการกันและกัน การอยู่ร่วมกันของเรานั้นอยู่ในพระคริสต์ (ข้อ 5) เมื่อเรา “ดูแลกันและกัน” ด้วยความช่วยเหลือของพระองค์ เราก็สามารถพัฒนาความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับพระองค์และสำแดงความรักของพระองค์ให้ผู้อื่นได้เห็น

โจ๊กที่ดี

เมนูซึ่งขายดีที่สุดที่แผงอาหารของโจเซลินคือโจ๊ก เธอจะคนข้าวอย่างระมัดระวังจนได้เนื้อที่เนียนละเอียด เธอจึงแปลกใจเมื่อลูกค้าประจำพูดว่า “โจ๊กของคุณรสชาติเปลี่ยนไป เนื้อสัมผัสไม่ดีเหมือนก่อน”

ผู้ช่วยคนใหม่ของโจเซลินเป็นคนเตรียมโจ๊กครั้งนี้และอธิบายว่าทำไมมันจึงต่างจากเดิม “ฉันไม่ได้คนนานเท่ากับในสูตรอาหารเพราะฉันทำแบบนี้ที่บ้าน ฉันยังเติมน้ำมันงาเพิ่มด้วยเพราะฉันคิดว่ามันรสชาติดีกว่า” เธอตัดสินใจที่จะไม่สนใจสูตรอาหารและทำตามวิธีของตัวเอง

ในบางครั้งฉันก็ตอบสนองต่อคำสอนของพระเจ้าแบบเดียวกัน แทนที่จะเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ตามที่มีในพระคัมภีร์ทั้งหมด แต่ฉันกลับปรับมันตามความคิดของฉันและทำตามวิธีของตัวเอง

นาอามานผู้บัญชาการกองทัพซีเรียเกือบจะทำพลาดเช่นกัน เมื่อได้ยินพระดำรัสของพระเจ้าผ่านทางผู้เผยพระวจนะเอลีชาให้ไปล้างตัวในแม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะหายจากโรคเรื้อน นายทหารผู้หยิ่งทะนงรู้สึกโกรธ เขามีความคาดหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการมาด้วยวิธีใด โดยเชื่อว่าความคิดตัวเองดีกว่าคำสั่งของพระเจ้า (2 พกษ.5:11-12) แต่คนใช้ของเขาโน้มน้าวให้ฟังคำของเอลีชา (ข้อ 13) และผลคือนาอามานหายจากโรค

เมื่อเราทำตามวิธีของพระเจ้า เราก็ได้พบสันติสุขที่เกินคำอธิบาย ขอให้เราทำงานร่วมกับพระองค์ในการที่จะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จลุล่วง

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา