จัดที่ว่างสำหรับคนอื่น
ทุกปีครอบครัวของฉันจะออกแบบปฏิทินติดผนังตามแบบของเราเอง แต่ในช่วงหลังๆปฏิทินเริ่มจะแน่นขึ้น เราตกแต่งปฏิทินแต่ละเดือนด้วยรูปถ่ายที่เราชอบจากปีก่อนหน้าและเน้นวันที่สำคัญๆ เมื่อครอบครัวของเรามีคู่แต่งงานใหม่และมีเด็กเกิดใหม่ เราจึงต้องวางรูปถ่ายเบียดกันมากขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้มีรูปอยู่บนปฏิทิน ตอนนี้เรามีคนที่เกิดวันเดียวกันถึงสองวัน และวันหยุดบางวันก็ถูกปิดทับด้วยวันครบรอบต่างๆ แต่แทนที่สิ่งนั้นจะทำให้ปฏิทินลดคุณค่าลง สมาชิกใหม่ทุกคนกลับทำให้ปฏิทินมีค่ามากขึ้นสำหรับฉัน
ในอาณาจักรของพระเจ้า การมีคนใหม่มาเข้าร่วมถือเป็นเรื่องที่ดีเสมอ พระคัมภีร์บอกเราว่า “พระเจ้าทรงให้ผู้ว้าเหว่เดียวดายเข้าอยู่ในครอบครัว” (สดด.68:6 TNCV) ความรักและการปกป้องของพระองค์ถูกถ่ายทอดในบริบทของครอบครัว เพราะพระองค์เป็น “พระบิดาของคนกำพร้า” และ “ผู้ป้องกันหญิงม่าย” (ข้อ 5) พระทัยของพระองค์คือการต้อนรับผู้โดดเดี่ยว ผู้อับอาย หรือผู้ถูกปรักปรำ ดังนั้นพระองค์จึง “ทรงนำผู้ถูกจองจำออกมาด้วยการร้องเพลง” (ข้อ 6)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราได้รับฐานะบุตรในครอบครัวของพระเจ้า (กท. 4:5) และเราได้รับพระบัญชาให้ส่งต่อคำเชื้อเชิญที่เปิดกว้างนี้แก่ผู้อื่น (2 คร. 5:20) เช่นเดียวกับปฏิทินครอบครัวของฉัน ยิ่งมีคนรับคำเชิญเข้าร่วมเป็นครอบครัวของพระเจ้ามากเท่าไร ปฏิทินก็จะยิ่งสวยงามมากขึ้นเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าทรัพยากรที่จำกัดจะหมดลง เพราะจะมีที่ว่างเพียงพอสำหรับทุกคน และพระเจ้าทรงยินดีที่มีสมาชิกใหม่เข้ามา
ความกลัวโดยไม่มีสาเหตุ
“ผมรักคุณ ผมจะไม่มีวันทิ้งคุณไป” จูเลียบันทึกข้อความของสามีเอาไว้เพื่ออ่านในเวลาที่เธอรู้สึกกลัว ช่วงวัยเด็กที่มีปัญหาทำให้เธออยู่กับความกลัวว่าคนที่เธอรักจะทอดทิ้งไป เธอมักจะขอคำยืนยันจากสามีและรอสามีกลับมาจากที่ทำงานด้วยความกังวลใจ
การอธิษฐานและได้รับคำปรึกษาช่วยให้จูเลียตอบสนองต่อความกลัวที่มีในทางที่ดีขึ้น “ฉันจะมองความกลัวนั้นภายใต้คำสัญญาที่เปี่ยมด้วยความรักของสามี” เธอบอก“ฉันจะคิดว่าคำสัญญานั้นเป็นความจริง! และจะปฏิบัติตัวตามนั้น”
กษัตริย์เยโรโบอัมก็มีความกลัวอย่างไม่มีสาเหตุเช่นกัน เนื่องจากซาโลมอนละทิ้งความเชื่อ พระเจ้าจึงสัญญากับเยโรโบอัมไว้ว่า “เราจะเอาอาณาจักรออกจากมือบุตรชายของเขา และจะมอบให้เจ้าสิบเผ่า” (1 พกษ.11:35) พระเจ้าทรงยืนยันว่าหากเยโรโบอัมเชื่อฟัง พระองค์จะ “มอบอิสราเอลให้” (ข้อ 38)
แต่เยโรโบอัมก็ยังกลัวว่า “ถ้าชนชาติเหล่านี้ขึ้นไปถวายเครื่องสัตวบูชาในพระนิเวศของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม...จิตใจของชนชาติเหล่านี้จะ...หันไปยังเรโหโบอัมพระราชาแห่งยูดาห์” (1 พกษ.12:27) ความกลัวนี้เป็นเหตุให้พระองค์สร้างสถานนมัสการรูปเคารพในพื้นที่ใกล้ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ราษฎรของพระองค์ไปหาโอรสของซาโลมอน (ข้อ 26-33) ส่งผลให้เยโรโบอัมเผชิญการพิพากษาจากพระเจ้า (14:7-16) พระองค์ควรจะไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้า!
เราไม่จำเป็นต้องจัดการกับความกลัวที่ไม่มีสาเหตุนี้โดยลำพัง พระเจ้าได้ประทานพระสัญญาที่จะปกป้องเราไว้แล้วในพระวจนะของพระองค์ จงยอมให้ความจริงที่เปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ส่องสว่างในความคิดและการก้าวเดินของเรา
ได้รับการค้ำจุนโดยพระเจ้า
ฉันและครอบครัวพาพ่อกลับจากโรงพยาบาลมาบ้าน ท่านเป็นโรคเกี่ยวกับภาวะความเสื่อมของร่างกาย และตอนนี้เรากำลังปรับตัวกับการดูแลท่านตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากจู่ๆพ่อกลายมาเป็นผู้ป่วยติดเตียงที่ต้องให้อาหารทางสายยาง ฉันยังต้องวางแผนเรื่องการรักษากระเพาะอาหารของแม่ และจัดการกับลูกค้าที่เรียกร้องมากในที่ทำงาน ด้วยความรู้สึกท่วมท้น วันหนึ่งฉันจึงใช้เวลาส่วนตัวในห้องน้ำและร้องต่อพระเจ้า พระบิดา โปรดช่วยลูกด้วย โปรดประทานกำลังให้กับลูกที่จะผ่านวันข้างหน้าไปได้
ดาวิดก็รู้สึกท่วมท้นไปด้วยปัญหาเช่นกัน (สดด.55:2-5) เมื่อถูกอับซาโลม โอรสโจมตี ถูกเพื่อนสนิทหักหลัง และไม่มีทางออกในสถานการณ์ความรุนแรงที่ตามมาที่เยรูซาเล็ม ดาวิดกล่าวว่า “ความกลัวและความสะทกสะท้านมาเหนือข้าพระองค์” (ข้อ 5)
แต่ดาวิดเลือกที่จะวางใจในพระเจ้า (ข้อ 23) ท่านเชื่อว่า “[พระเจ้า]จะไม่ทรงยอมให้คนชอบธรรมคลอนแคลนเลย” (ข้อ 22) เวลาหลายปีที่เชื่อวางใจในองค์ผู้ทรงฤทธิ์ได้สอนดาวิดว่าแม้ปัญหาจะทำให้เราหวั่นไหว คนเหล่านั้นที่วางความเชื่อไว้ในพระเจ้าจะไม่มีวันพ่ายแพ้และสิ้นหวังไปตลอด “เขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้” (37:24) ดาวิดรู้ ว่าพระเจ้าจะสนับสนุนท่านด้วยพระกำลังและสติปัญญาของพระองค์ “ฝ่ายข้าพเจ้าร้องทูลต่อพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอด” (55:16)
สิบสี่ปีต่อมาเรายังคงดูแลพ่ออยู่ที่บ้าน ระยะเวลาหลายปีมานี้สอนฉันว่า เมื่อเราวางภาระไว้กับพระองค์ พระองค์จะทรงค้ำจุนเรา (ข้อ 22) พระเจ้าทรงแบกภาระของเราและพระองค์ทรงอุ้มชูเราไว้ด้วย
พระคริสต์สำคัญที่สุด
“ขอเรียนเชิญให้คุณมาเป็นวิทยากรหลักในงานประชุมผู้นำคริสตจักรทั่วประเทศ” หลังอ่านคำเชิญจากองค์กรที่มีชื่อเสียง โจเซ่ตอบว่า “ขอผมอธิษฐานดูก่อน” ต่อมาเขาบอกกับเพื่อนเมื่อปฏิเสธคำเชิญไปว่า “ผมรู้ว่าพระเจ้าทรงเรียกให้ผมทำงานบรรณาธิการในโครงการพันธกิจ การเป็นวิทยากรจะดึงเวลาและพลังงานไปจากงานนั้น ผมจึงปฏิเสธเพื่อจะสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ผมทำ”
สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้ผมทำ คือสิ่งที่โจเซ่ให้ความสำคัญอันดับแรกและเป็นสิ่งที่กำหนดการตัดสินใจของเขา พระเยซูก็ทรงให้พระประสงค์ของพระเจ้ามาเป็นอันดับหนึ่ง เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากรักษาคนเจ็บป่วยและคนที่มีผีสิงเป็นอันมากในเมืองคาเปอรนาอุม พระเยซูเสด็จไปที่เปลี่ยวเพื่ออธิษฐาน (มก.1:32-35) พวกสาวกมาทูลว่า “คนทั้งปวงแสวงหาพระองค์” (ข้อ 37) บางคนที่ตามหาพระองค์อาจมาขอให้รักษาโรค แต่พระคริสต์ไม่ยอมให้ความเร่งด่วนหรือการเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วมากำหนดสิ่งที่พระองค์จะทำต่อไป “ให้เราทั้งหลายไปในตำบลบ้านใกล้เคียง” พระองค์ตรัส “เพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนั้นเอง” (ข้อ 38) พระเยซูทรงทำตามลำดับความสำคัญของพระองค์ คือทำพระราชกิจในแถบที่เหลือของแคว้นกาลิลี รวมถึงการประกาศด้วย (ข้อ 39)
เราจะทราบพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราได้อย่างไร เราสามารถเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยการอธิษฐาน ให้พระปัญญาของพระองค์ในพระคัมภีร์นำเรา และขอคำปรึกษาจากผู้ที่ยึดมั่นในทางของพระองค์ ขอให้เราใช้ชีวิตในการทำสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำ
พระเจ้าทรงรู้ดีที่สุด
ฉันวิตกกังวลในปัญหาสุขภาพของหลานสาววัยรุ่น แต่ฉันรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินเรื่องการรักษาด้วยวิธีธรรมชาติที่ได้ผลดี แต่พี่สาวของฉันรู้สึกว่านั่นอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้เมื่อพิจารณาจากประวัติการรักษาของลูกสาวแล้ว ฉันอยากจะโต้แย้งแต่ก็ห้ามใจไว้ ไม่ว่าฉันจะกังวลในเรื่องหลานสาวมากเพียงใด ฉันก็ต้องยอมตามในการตัดสินใจของคนเป็นแม่
ต่อมาแพทย์ได้บอกเราว่า “การรักษาด้วยวิธีธรรมชาตินั้นอาจทำให้เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง” ถ้าเป็นเรื่องความปลอดภัยของหลานสาวแล้ว แม่ของเธอรู้แน่นอนในแบบที่ฉันไม่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับเธอ
ฉันนึกถึงเหตุการณ์นี้เมื่อฉันวิตกกังวลถึงคนอื่นๆที่ฉันรัก ฉันขอให้พระเจ้าช่วยพวกเขาในแบบที่ฉันคิดว่าควรจะเป็น และฉันจำได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักพวกเขาและรู้จักพวกเขาดีกว่าฉันนั้นทรงรู้ดีที่สุด
ในอิสยาห์ 55:9 พระเจ้าตรัสว่า “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกฉันใด วิถีของเราสูงกว่าทางของเจ้า” คำว่า “ทาง” ในภาษาฮีบรูคือ เดเรค (derek) หมายถึงการกระทำและพฤติกรรมอันชอบธรรมของพระเจ้าที่ตรงกันข้ามกับคนชั่วร้าย พระปัญญาและวิถีอันชอบธรรมของพระเจ้าสูงส่งกว่าปัญญาและทางของเรามากนัก สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนที่เรารักอาจไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการ แต่เราสามารถไว้วางใจว่าพระองค์จะทรงทำงานในชีวิตของพวกเขาตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าดีที่สุด
ให้เรายังคงฝากคนที่เรารักไว้กับพระเจ้าโดยการทูล “เรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า” (ฟป.4:6) พระองค์ผู้เดียวทรงสมบูรณ์แบบในความรัก ความเมตตา พระปัญญา และอำนาจอธิปไตย (อสย.55:3, 7-11)
ความรักของพระเจ้าไม่มีวันหมดสิ้น
เมื่อพ่อของโจซีที่ป่วยและชราย้ายมาอยู่กับเธอ เธอรู้สึกหนักใจกับสิ่งจำเป็นที่ต้องทำในแต่ละวันในการดูแลท่าน ยาที่เธอต้องการซื้อมีราคาแพง ทักษะในการดูแลผู้ป่วยและสติปัญญาที่เธอต้องการเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องสุขภาพของพ่อที่แย่ลง และยังมีงาน “เต็มเวลา” ของเธออีก ทั้งหมดนี้กำลังทำให้เธอหมดแรง เธอพูดว่า “ฉันจะรวบรวมพละกำลัง ทรัพยากรที่มีประโยชน์ สติปัญญาและความรักเอาไว้ และแจกจ่ายออกไปได้อย่างไร”
โจซีพบความหวังในพระธรรมเพลงคร่ำครวญซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับความโศกเศร้าที่เยเรมีย์และประชากรของพระเจ้ารู้สึก กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายโดยพวกบาบิโลน และชาวยิวต้องเผชิญกับการเนรเทศที่ยังไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ความทุกข์ทรมานนั้นท่วมท้นแต่พระเจ้าทรงสัญญาว่า “ความรักมั่นคงของพระเจ้าไม่เคยหยุดยั้ง” (พคค.3:22) แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้อยู่ในดินแดนแห่งพันธสัญญาอีกต่อไป แต่ความรักตามพันธสัญญาของพระองค์จะคงอยู่กับพวกเขาเพราะ “พระเมตตาของพระเจ้าไม่มีสิ้นสุด” (ข้อ 22)
ความรักที่พระเจ้ามีต่อลูกๆของพระองค์ไม่มีขีดจำกัด โจซีตระหนักเช่นเดียวกับข้อ 24 ว่า “พระเจ้าทรงเป็นส่วนของฉัน ทรงเป็นทรัพยากรทั้งหมดของฉัน” และ “ทุกวันฉันสามารถรวบรวมและให้สิ่งที่จำเป็นได้ เพราะฉันได้รับกำลังมาจากพระองค์ผู้ซึ่งความรักของพระองค์ไม่มีวันหมดสิ้น”
เมื่อเราดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า เรามีความหวังได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวันข้างหน้าก็ตาม ในพระปัญญาอันสมบูรณ์แบบนั้น พระองค์ทรงรู้ว่าเราต้องการอะไรและจะประทานแก่เราตามที่ทรงเห็นว่าดีที่สุด
เลิกบ่นต่อว่าพระเจ้า
อเล็กซ์ได้รับเงินจากประกันของเขาโดยไม่คาดคิดเพื่อจ่ายเป็นค่าทำฟัน ซึ่งเป็นเหมือนคำอธิษฐานที่ได้รับคำตอบ ตอนนี้มีการรักษาอย่างอื่นที่จำเป็นตามมา ผมจะไปหาเงินจากที่ไหนมาจ่าย อเล็กซ์บ่น ความขุ่นเคืองเรื่องรายจ่ายก้อนโตถมทับจิตใจของเขา
อย่างไรก็ตามเมื่อถึงกำหนดวางมัดจำกับทันตแพทย์ มีเงินของขวัญจากญาติส่งมาถึงทันเวลา “ผมรู้สึกละอายใจ” อเล็กซ์กล่าว “ผมเพิ่งเห็นการทรงดูแลของพระเจ้าผ่านบริษัทประกัน ผมไม่น่าจะบ่นแต่ควรขอความช่วยเหลือจากพระองค์แทน”
เมื่อชนชาติอิสราเอลเข้าสู่ถิ่นทุรกันดารชูร์ พวกเขาเพิ่งผ่านประสบการณ์การช่วยกู้จากพระเจ้าที่ทะเลแดง (อพย.14) ถึงกระนั้นการทรงช่วยที่อัศจรรย์ของพระองค์ดูเหมือนจะถูกลืม เพราะพวกเขาบ่นเรื่องไม่มีน้ำดื่มในทะเลทราย (อพย.15:22-24) คำว่า “บ่น” ในภาษาฮีบรูหมายถึงการกบฏต่อพระเจ้า การตอบสนองอย่างขุ่นเคืองของชนชาติอิสราเอลแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการตอบสนองของโมเสสผู้ทูลขอการทรงช่วยจากพระเจ้า (ข้อ 25) ต่อมาพระเจ้าทรงเมตตาจัดเตรียมน้ำให้กับประชากรของพระองค์ (ข้อ 25-27)
ในยามจำเป็น เราสามารถหลีกเลี่ยงการพร่ำบ่นได้โดยทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเหมือนที่โมเสสทำ ไม่ว่าความช่วยเหลือของพระองค์จะมาถึงเราอย่างน่าอัศจรรย์ หรือในรูปแบบที่ดูธรรมดา หรือผ่านการช่วยเหลือของผู้คน หรือเป็นพละกำลังให้เราสามารถฝ่าฟันไปได้ ไม่ว่าในทางใดเราก็ไว้วางใจได้ว่าพระเจ้าทรงได้ยินและห่วงใยเราเสมอ
ทำตามแผนของพระเจ้า
ฉันไม่สามารถจดจ่ออยู่กับโครงงานที่ทำอยู่ได้เพราะความวิตกกังวล ฉันกลัวว่าแผนที่วางไว้จะไม่สำเร็จ ความวิตกกังวลของฉันมาจากความเย่อ-หยิ่ง ฉันเชื่อว่าตารางเวลาและแผนการของฉันดีที่สุด ฉันจึงอยากให้มันเป็นไปอย่างราบรื่น แต่คำถามก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า แผนการของเธอเป็นแผนการของพระเจ้าหรือเปล่า
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การวางแผนของฉัน เพราะพระเจ้าทรงเรียกให้เรามีสติปัญญาในการจัดการเวลา โอกาส และทรัพยากรของเรา แต่ปัญหาคือความหยิ่งผยองของฉัน ฉันสนใจแต่ว่าฉันเข้าใจสถานการณ์ได้ดีแล้วและผลลัพธ์เป็นไปตามที่ฉันต้องการ ไม่ได้จดจ่อที่พระประสงค์ของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระองค์ต้องการให้เป็น
ยากอบหนุนใจให้เราพูดว่า “ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรด เราจะมีชีวิตอยู่ และจะกระทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น” (4:15) เราต้องไม่วางแผนด้วยท่าทีที่อวดดีโดยคิดว่าเรารู้ทุกอย่างและควบคุมชีวิตตัวเองได้ แต่ด้วยท่าทีที่ยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจและพระปัญญาของพระเจ้า เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ “ไม่รู้เรื่องของพรุ่งนี้” ในความเป็นมนุษย์ เราอ่อนแอและไร้ความสามารถ ดังเช่น “หมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็หายไป” (ข้อ 14)
ไม่ใช่ตัวเราเองแต่เป็นพระเจ้าเท่านั้นที่มีสิทธิอำนาจและฤทธิ์เดชเหนือทุกสิ่งในชีวิตเรา พระองค์ทรงนำให้เรายอมจำนนต่อแผนการและเส้นทางของพระองค์ โดยผ่านทางพระวจนะและผู้คน ผ่านทรัพยากรและสถานการณ์ต่างๆที่พระองค์ประทานในแต่ละวัน แผนการของเราไม่ควรมาจากการติดตามตนเองแต่มาจากการติดตามพระองค์
ปลูกไว้ริมธารน้ำ
บิลเป็นสุภาพบุรุษวัยเกษียณที่อาศัยตามลำพังและเพิ่งจะเลิกขับรถ เขาต้องการความช่วยเหลือในการซื้อของ รับยาตามใบสั่งยา และไปคริสตจักรในวันอาทิตย์ “แต่คุณรู้ไหม” บิลพูด “ผมชอบทุกวันที่ได้อยู่บ้าน ผมมีความสุขกับการฟังเพลงนมัสการออนไลน์ฟรี และดูการสอนพระคัมภีร์ผ่านโทรทัศน์ตลอดทั้งวัน” บิลใช้เวลาทุกวันอยู่กับพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการสรรเสริญ
สิ่งที่เราทำเป็นนิสัยจะกำหนดที่ซึ่งเราปลูกหัวใจของเราไว้ สดุดี 1 บรรยายถึงอุปนิสัยของผู้ที่พระเจ้าทรงโปรดปราน พวกเขายินดีในความจริงของพระองค์ ภาวนาถึงความจริงนั้นอยู่เสมอ และไม่ทำตามวิถีกบฏของโลกนี้ (ข้อ 1-2) เราทุกคนจะต้องพบกับความยากลำบาก แต่ชีวิตที่วางรากฐานอยู่ในวิถีของพระเจ้านั้น “เป็นเช่นต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ...และใบก็ไม่เหี่ยวแห้ง” (ข้อ 3) เราอาจไม่สามารถใช้เวลาศึกษาพระคัมภีร์ได้หลายชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฤดูกาลในชีวิตของเรา กระนั้นพระเยซูตรัสว่าพระองค์จะทรงให้ทุกคนที่กระหายและมาหาพระองค์ได้ดื่ม และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเติมผู้ที่ติดตามพระองค์ให้เต็มล้นเหมือนแม่น้ำ (ยน.7:37-39) เราสามารถทำให้ใจของเราท่วมท้นด้วยน้ำธำรงชีวิตผ่านการสรรเสริญและผ่านพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งผ่านการดูแลผู้อื่น ผ่านการพูดคุยกับพระเจ้าในขณะที่เราทำงาน และโดยทูลขอการอภัยเมื่อเราทำผิดพลาดไป
การดำเนินตามพระปัญญาของพระเจ้าคือการปลูกหัวใจของเราไว้ในดินที่อุดมสมบูรณ์ นี่คือชีวิตของผู้ที่ถูกเรียกว่าชอบธรรม และพระเจ้าทรงเฝ้าดูอยู่ (สดด.1:6)