แผ่นดินของพระเจ้า
แม่ของผมอุทิศทุ่มเทให้กับหลายสิ่งหลายอย่างในตลอดชีวิตของท่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ตลอดมาคือความปรารถนาที่จะเห็นเด็กเล็กๆได้รู้จักพระเยซู ผมเคยเห็นแม่แสดงความไม่เห็นด้วยต่อหน้าคนอื่นสองหรือสามครั้ง เวลาที่มีคนพยายามลดงบประมาณพันธกิจของเด็กเพื่อจะเอาไปใช้จ่ายในสิ่งที่พวกเขารู้สึกว่า “จำเป็น” มากกว่า “แม่ถอยออกมาแค่ช่วงฤดูร้อนตอนท้องพี่ชายของลูก ครั้งนั้นแค่ครั้งเดียว” แม่เล่า ผมคำนวณดูจึงได้รู้ว่าแม่ทำงานกับเด็กๆในคริสตจักรมาห้าสิบห้าปีแล้ว
พระธรรมมาระโก 10 ได้บันทึกหนึ่งในเรื่องราวที่น่าประทับใจไว้ในพระกิตติคุณที่คนมักเรียกว่าเรื่อง “พระเยซูกับเด็กเล็กๆ” ประชาชนกำลังพาเด็กเล็กๆมาหาพระเยซูเพื่อให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวและอวยพรพวกเขา แต่พวกสาวกพยายามห้ามไว้ มาระโกบันทึกว่าพระเยซู “ไม่พอพระทัย” และตำหนิสาวกของพระองค์ว่า “จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น” (ข้อ 14)
ชาร์ลส์ ดิกเค่น เขียนไว้ว่า “ผมรักเด็กเล็กๆเหล่านี้ และมันไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่เด็กไร้เดียงสาเหล่านี้รักเรา” และไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยที่เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่จะต้องทำทุกทางเพื่อให้เด็กเล็กๆเหล่านี้ไม่ถูกขัดขวางจากความรักบริสุทธิ์ของพระเยซู
เดิน อย่าวิ่ง
ผมเห็นเธอต้อนรับยามอรุณรุ่งในทุกวัน เธอเป็นนักเดินเร็วที่อยู่แถวบ้านเรา ขณะที่ผมขับรถไปส่งลูกๆก็จะเห็นเธอที่ไหล่ทาง โดยสวมหูฟังขนาดใหญ่และถุงเท้าสีสดสูงถึงเข่า เธอเดินแกว่งแขนสลับข้างกับขาโดยที่เท้าข้างหนึ่งติดพื้นเสมอ กีฬานี้ต่างจากการวิ่งหรือการวิ่งเหยาะๆ การเดินเร็วต้องใช้ความตั้งใจเพื่อจำกัดความต้องการออกวิ่งตามธรรมชาติของร่างกาย แม้จะดูเหมือนไม่มีอะไร แต่มันต้องใช้พลังงาน สมาธิและกำลังมากเท่าการวิ่งหรือการวิ่งเหยาะๆ แต่อยู่ภายใต้การควบคุม
กุญแจสำคัญคือ กำลังที่อยู่ภายใต้การควบคุม ความถ่อมใจตามพระคัมภีร์ ก็เป็นเช่นเดียวกับการเดินเร็วที่มักถูกมองว่าเป็นความอ่อนแอ ความจริงคือไม่ใช่เช่นนั้น ความถ่อมใจไม่ได้ลดทอนพละกำลังหรือความสามารถของเรา แต่คือการยอมให้ถูกควบคุมเหมือนกับที่แขนขาและเท้าถูกกำหนดหรือชี้นำโดยความคิดของนักเดินเร็วยามเช้า
ถ้อยคำของมีคาห์ที่ให้ “ดำเนินชีวิตด้วยความถ่อมใจ” นั้นเรียกให้เราควบคุมความต้องการที่จะนำหน้าพระเจ้า ท่านบอก “ให้กระทำความยุติธรรมและรักสัจกรุณา” (6:8)และนั่นอาจทำให้เราปรารถนาอยากจะทำอะไรบางอย่างและทำอย่าง รวดเร็ว ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันในโลกนี้ช่างมากมายนัก แต่เราต้องให้พระเจ้าทรงควบคุมและทรงนำเรา เป้าหมายของเราคือการได้เห็นน้ำพระทัยและพระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในยามอรุณรุ่งแห่งแผ่นดินของพระองค์บนโลกนี้
รับใช้ผู้ต่ำต้อยที่สุด
ชื่อของเขาคือสเปนเซอร์ แต่ทุกคนเรียกเขาว่า “สเปนซ์” เขาเป็นแชมป์แข่งขันกรีฑาระดับมัธยมปลายของรัฐ จากนั้นเขาได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนต่อในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตอนนี้เขาอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของอเมริกาและได้รับการยอมรับอย่างสูงในงานด้านวิศวกรรมเคมี แต่ถ้าคุณถามสเปนซ์ถึงความสำเร็จสูงสุดจนถึงวันนี้ เขาจะไม่พูดถึงสิ่งเหล่านั้นเลย แต่จะเล่าอย่างตื่นเต้นเรื่องการเดินทางไปประเทศนิคารากัวทุกๆ 2-3 เดือนเพื่อเยี่ยมเด็กๆและครูในโครงการกวดวิชาที่เขาช่วยก่อตั้งขึ้นในพื้นที่ยากจนที่สุดของประเทศ เขาจะบอกคุณว่าชีวิตของเขามีคุณค่ามากขึ้นเพียงใดเมื่อได้รับใช้คนเหล่านี้
“ผู้ต่ำต้อยที่สุด” เป็นวลีที่มีการใช้ในหลายรูปแบบ แต่พระเยซูทรงใช้คำนี้เพื่ออธิบายถึงผู้คนที่โดยมาตรฐานของโลกแล้วเขาแทบจะไม่สามารถตอบแทนการช่วยเหลือที่เราให้ได้เลย เขาเหล่านั้นเป็นทั้งชาย หญิง และเด็กที่โลกมักจะมองข้ามหรือไม่ก็ถูกลืมอย่างสิ้นเชิง แต่คนเหล่านี้คือผู้ที่พระเยซูทรงยกให้อยู่ในสถานะที่สวยงามโดยตรัสว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้...ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (มธ.25:40) คุณไม่จำเป็นต้องมีปริญญาจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเพื่อจะเข้าใจพระดำรัสของพระคริสต์ นั่นคือว่าการรับใช้ “ผู้ต่ำต้อยที่สุด” ก็เป็นเหมือนการรับใช้พระองค์ ทั้งหมดที่ต้องมีคือหัวใจที่เต็มใจ
เหตุผลที่บันทึกไว้
“องค์กษัตริย์ทรงเป็นหอคอยสูงของข้า...เราออกจากค่ายด้วยการร้องเพลง” วันที่ 7 กันยายน ค.ศ.1943 เอ็ตตี้ ฮิลเลซัมเขียนคำเหล่านี้บนไปรษณียบัตรและโยนออกจากรถไฟ นั่นเป็นบันทึกคำพูดสุดท้ายที่เราจะได้ยินจากเธอ เธอถูกฆ่าที่ค่ายเอาช์วิทซ์ ภายหลังสมุดบันทึกของฮิลเลซัมเกี่ยวกับประสบการณ์ในค่ายกักกันถูกแปลและตีพิมพ์ บันทึกเหล่านั้นเป็นมุมมองของเธอในเรื่องการยึดครองของนาซีอันน่าสะพรึงกลัว และความงดงามในโลกที่พระเจ้าทรงสร้าง บันทึกของเธอถูกแปลออกไปหกสิบเจ็ดภาษา เป็นของขวัญให้กับทุกคนที่อ่านและเชื่อทั้งในสิ่งดีและร้าย
อัครสาวกยอห์นไม่ได้หลีกเลี่ยงการกล่าวถึงชีวิตในด้านที่ยากลำบากของพระเยซูบนโลก ท่านเขียนถึงทั้งสิ่งดีที่พระเยซูทำและความท้าทายที่พระองค์เผชิญ ข้อความสุดท้ายจากพระกิตติคุณยอนห์ชี้ถึงจุดประสงค์ของพระธรรมนี้ที่ตั้งชื่อตามท่าน พระเยซูทรงกระทำ “หมายสำคัญอื่นๆ... ซึ่งไม่ได้บันทึกไว้” (20:30) โดยยอห์น แต่เหตุการณ์เหล่านี้ “ได้ถูกบันทึกไว้เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ข้อ 31) “บันทึก” ของยอห์นจบลงด้วยข้อความแห่งชัยชนะว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า” ของขวัญจากถ้อยคำในพระกิตติคุณนั้นทำให้เรามีโอกาสที่จะเชื่อและ “มีชีวิตในพระนามของพระองค์”
พระกิตติคุณคือสมุดบันทึกถึงความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เป็นถ้อยคำให้เราได้อ่าน เชื่อ และแบ่งปัน เพราะถ้อยคำเหล่านี้นำเราสู่ชีวิต และนำเราสู่พระคริสต์
วางใจในความสว่าง
พยากรณ์อากาศบอกว่าจะเกิดพายุไซโคลนระเบิด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อพายุฤดูหนาวทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่ความกดอากาศลดลง พอตกกลางคืนพายุหิมะทำให้ทัศนวิสัยบนทางหลวงที่ไปยังสนามบินเดนเวอร์แย่ลงจนเกือบจะมองไม่เห็นทาง แต่เมื่อคนที่บินกลับมาเยี่ยมบ้านเป็นลูกสาวคุณเอง คุณจะทำทุกสิ่งเท่าที่จะทำได้ เช่น สำรองเสื้อผ้าและน้ำเผื่อไว้ (ในกรณีที่คุณต้องติดอยู่บนทางหลวง) ขับรถให้ช้าที่สุด อธิษฐานไปตลอดทาง และสิ่งสุดท้ายที่สำคัญไม่น้อยคือ วางใจในไฟหน้ารถของคุณ และบางครั้งคุณจะสามารถทำในสิ่งที่ดูไม่น่าจะเป็นไปได้
พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงพายุที่กำลังจะมา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ (ยน.12:31-33) และอีกลูกหนึ่งเป็นการท้าทายสาวกของพระองค์ให้คงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อและปรนนิบัติพระองค์ต่อไป (ข้อ 26) สถานการณ์กำลังมืดมนลงจนเกือบจะมองไม่เห็น พระเยซูบอกให้พวกเขาทำอะไร ทรงบอกว่าจงเชื่อหรือวางใจในความสว่าง (ข้อ 36) นั่นเป็นทางเดียวที่พวกเขาจะสามารถเดินหน้าต่อไปและคงไว้ซึ่งความสัตย์ซื่อ
พระเยซูจะอยู่กับพวกเขาอีกเพียงไม่นาน แต่ผู้เชื่อมีองค์พระวิญญาณผู้ทรงเป็นแสงส่องนำทางเราไปตลอด เราเองก็จะเผชิญกับช่วงเวลาที่มืดมิดจนเกือบจะมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า แต่โดยการเชื่อหรือไว้วางใจในความสว่าง เราจะเดินหน้าต่อไปได้
เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยว
ผมอยู่ที่โคโลราโด เป็นรัฐทางตะวันตกของอเมริกาซึ่งเป็นที่รู้จักจากเทือกเขาร็อคกี้และหิมะ แต่ภัยธรรมชาติครั้งเลวร้ายที่สุดในรัฐของเราไม่เกี่ยวข้องกับหิมะเลย แต่เป็นฝน เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 1976 เกิดน้ำท่วมใหญ่จากแม่น้ำบิ๊กทอมสัน เข้ามาในที่พักตากอากาศที่เอสทิสพาร์ค เมื่อน้ำลดมียอดผู้เสียชีวิต 144 คนไม่รวมปศุสัตว์ ภายหลังภัยพิบัติได้มีการศึกษาค้นคว้าที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษเกี่ยวกับรากฐานของถนนและทางหลวง ผนังของถนนที่ต้านทานพายุได้คือส่วนที่ทำด้วยคอนกรีต หรืออีกนัยหนึ่งคือ พวกมันมีรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง
ในชีวิตของเรานั้นคำถามไม่ใช่แค่ว่าจะเกิดน้ำท่วมหรือไม่ แต่ว่าเป็นเมื่อไร บางครั้งเราได้รับคำเตือนล่วงหน้าแต่โดยปกติแล้วไม่ใช่ พระเยซูทรงเน้นย้ำเรื่องรากฐานที่แข็งแรงเพื่อช่วงเวลาเหล่านั้น คนจะถูกสร้างได้ไม่เพียงได้ยินพระคำของพระเจ้าเท่านั้น แต่ต้องดำเนินชีวิตที่สำแดงข่าวประเสริฐด้วย (ลก.6:47) การปฏิบัติเช่นนั้นเปรียบเหมือนการเทคอนกรีตในชีวิตของเรา เมื่อเกิดน้ำท่วมซึ่งจะเกิดแน่นอน เราจะสามารถต้านทานมันได้เพราะเราถูก “สร้างไว้มั่นคง” (ข้อ 48) การไม่ปฏิบัติตามนั้นทำให้ชีวิตของเราอ่อนแอเสี่ยงต่อการถูกทำลายได้ (ข้อ 49) นี่คือความแตกต่างระหว่างคนมีปัญญาและคนโง่
เป็นการดีที่จะหยุดเป็นครั้งคราวเพื่อประเมินรากฐานของเรา พระเยซูจะทรงช่วยเสริมสร้างส่วนที่อ่อนแอของเรา เพื่อเราจะยืนอย่างมั่นคงโดยกำลังของพระองค์เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยว
แค่ทาโก้ชิ้นเดียว
แอชตันและออสติน ซามูเอลสันเรียนจบจากวิทยาลัยคริสเตียนพร้อมด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะรับใช้พระเยซู แต่ทั้งคู่ไม่รู้สึกว่าทรงเรียกให้รับใช้แบบดั้งเดิมในคริสตจักร แล้วถ้าเป็นพันธกิจในโลกล่ะ ใช่เลย พวกเขาผสมผสานภาระใจที่จะยุติความหิวโหยของเด็กๆเข้ากับทักษะในการบริหารจัดการที่พระเจ้าประทานให้ และในปี 2014 พวกเขาเปิดร้านอาหารที่ให้บริการทาโก้ แต่นี่ไม่ใช่ร้านอาหารทั่วๆไป ซามูเอลสันบริหารร้านด้วยปรัชญาซื้อหนึ่งให้หนึ่งจากอาหารทุกจานที่มีคนซื้อ พวกเขาจะบริจาคเงินเพื่อจัดหาอาหารที่มีส่วนผสมพิเศษเพื่อให้มีสารอาหารที่จำเป็นสำหรับเด็กที่ขาดสารอาหาร จนถึงปัจจุบันพวกเขาบริจาคไปแล้วมากกว่าหกสิบประเทศ เป้าหมายของพวกเขาคือมีส่วนที่จะช่วยยุติความหิวโหยของเด็กๆโดยเริ่มจากทาโก้ทีละชิ้น
คำตรัสของพระเยซูในมัทธิวบทที่ 10 นั้นไม่คลุมเครือ แต่ชัดเจนอย่างน่าประหลาดใจว่า การอุทิศตนพิสูจน์ได้จากการกระทำ ไม่ใช่คำพูด (ข้อ 37-42) หนึ่งในการกระทำนั้นคือการให้กับ “คนเล็กน้อย” สำหรับซามูเอลสัน เป้าหมายของพวกเขาคือให้กับเด็ก แต่สังเกตให้ดีว่าวลี “คนเล็กน้อย” นี้ไม่ได้บ่งบอกอายุ พระเยซูทรงเรียกเราที่จะให้กับใครก็ตามที่เป็น “คนเล็กน้อย” ในมุมมองของโลก คนยากจน คนป่วย นักโทษ ผู้ลี้ภัย ผู้ซึ่งด้อยโอกาสไม่ว่าทางใดก็ตาม แล้วเราจะให้อะไรน่ะหรือ พระเยซูตรัสว่า “น้ำเย็นสักถ้วยหนึ่ง” (ข้อ 42) หากสิ่งที่เล็กและธรรมดาอย่างน้ำเย็นถ้วยหนึ่งยังมีความสำคัญ ทาโก้ชิ้นหนึ่งก็เข้าข่ายอย่างแน่นอน
เกิดปัญหาอะไรกับโลกใบนี้
มีเรื่องราวที่ได้ยินบ่อยครั้งว่าหนังสือพิมพ์ลอนดอนไทม์ส ตั้งคำถามให้ผู้อ่านได้คิดในช่วงเปลี่ยนศตวรรษที่ยี่สิบว่า เกิดปัญหาอะไรกับโลกใบนี้นั่นเป็นคำถามที่ค่อนข้างแปลกใช่ไหม บางคนอาจตอบอย่างรวดเร็วว่า “แล้วคุณมีเวลาฟังคำตอบของผมนานแค่ไหนล่ะ” และนั่นดูเหมือนจะสมเหตุสมผล เพราะมีปัญหามากมายเกิดขึ้นในโลกของเรา เมื่อเวลาผ่านไป ไทม์ส ได้รับคำตอบมากมาย แต่มีคำตอบหนึ่งที่สั้นแต่หลักแหลม จี. เค. เชสเตอร์ตั้นผู้เป็นนักเขียนกวีและปราชญ์ชาวอังกฤษ เขียนคำตอบสี่คำนี้ซึ่งสร้างความประหลาดใจที่แปลกใหม่สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนยุค “ท่านครับ ผมเอง (ที่เป็นปัญหา)”
เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ยังเป็นข้อถกเถียงกัน แต่คำตอบนั้นเป็นความจริงแท้ นานมาแล้วก่อนเชสเตอร์ตั้นเกิด มีอัครสาวกคนหนึ่งชื่อเปาโล ผู้ห่างไกลจากการเป็นแบบอย่างของพลเมืองดี เปาโลสารภาพความบกพร่องของตนเองในอดีตว่า “เมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเป็นคนหลู่พระเกียรติ ข่มเหงและทำการหมิ่นประมาท” (ข้อ13) หลังจากที่ท่านยอมรับว่าพระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วย (คนบาป) ท่านยอมรับเหมือนกับเชสเตอร์ตั้นว่า “ในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (ข้อ 15) เปาโลรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับโลก และท่านก็รู้ถึงความหวังเดียวในการแก้ไขให้ถูกต้อง นั่นคือ “พระคุณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (ข้อ 14) ช่างเป็นความจริงที่อัศจรรย์! ความจริงอันถาวรนี้นำเราให้มองไปยังแสงสว่างแห่งความรักที่ช่วยให้รอดของพระคริสต์
ให้ทั้งหมดที่มี
การทำตามกำลัง เป็นศัพท์ที่ใช้ในแวดวงการออกกำลังกายที่เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพูดถึงการวิดพื้น คุณอาจทำได้สิบครั้งติดต่อกัน แต่ผมทำได้แค่สี่ครั้ง ครูฝึกอาจให้กำลังใจผมโดยลดจำนวนครั้งการวิดพื้นตามสมรรถภาพทางร่างกายของผมในเวลานั้น เราทุกคนไม่ได้มีศักยภาพในระดับเดียวกัน แต่เราสามารถมุ่งไปในทิศทางเดียวกันได้ ครูฝึกอาจจะบอกว่า “วิดพื้นสี่ครั้งตามกำลังที่คุณมี อย่าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ทำตามกำลังก่อน ทำเท่าที่ทำได้ แล้วคุณจะประหลาดใจที่วันหนึ่งคุณจะทำได้เจ็ดครั้ง หรือแม้กระทั่งสิบครั้ง”
เมื่อพูดถึงเรื่องการให้ อัครทูตเปาโลสอนชัดเจนว่า “พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี” (2 คร.9:7) แต่คำหนุนใจของท่านสำหรับผู้เชื่อในเมืองโครินธ์และพวกเรานั้นแตกต่างกันตามกำลัง “ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ” (ข้อ 7) เราพบว่าเราแต่ละคนให้ได้ตามกำลังที่ต่างกัน และบางครั้งกำลังในการให้ของเราก็เปลี่ยนไปตามเวลา การเปรียบเทียบก็ไร้ประโยชน์ แต่ทัศนคติต่างหากที่ส่งผลดี จงให้ด้วยใจกว้างขวางตามกำลังของคุณ (ข้อ 6) พระเจ้าทรงสัญญาว่าการฝึกฝนอย่างมีวินัยที่จะให้ด้วยใจยินดี จะนำมาซึ่งชีวิตที่ได้รับการอวยพรให้มีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ อันจะก่อให้เกิด “การขอบพระคุณพระเจ้า” (ข้อ 11)