ฝ่ายเราบอกท่านว่า
“แม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกัน แต่แม่กำลังบอกลูกว่า...” ตอนเป็นเด็ก ผมได้ยินแม่พูดคำนั้นเป็นพันครั้ง เรื่องมักเกิดจากการกดดันของคนรอบข้าง แม่พยายามสอนให้ผมไม่ต้องทำตามคนหมู่มาก ผมไม่ใช่เด็กอีกแล้ว แต่ความคิดของคนหมู่มากก็ยังคงแข็งแกร่ง ตัวอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือวลีนี้ “จงอยู่ท่ามกลางคนที่คิดบวกเท่านั้น” แม้วลีนั้นมักจะได้ยินกันโดยทั่วไป แต่คำถามที่เราต้องถามคือ “นั่นเป็นเหมือนพระคริสต์ไหม”
“ฝ่ายเราบอกท่านว่า...” พระเยซูทรงใช้ประโยคนำนี้หลายครั้งในมัทธิวบทที่ 5 พระองค์ทรงทราบดีว่าโลกกำลังบอกอะไรกับเราอยู่ แต่ความปรารถนาของพระองค์คือให้เราดำเนินชีวิตที่แตกต่าง ในกรณีนี้พระองค์ตรัสว่า “จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเผื่อผู้ที่ข่มเหงท่าน” (ข้อ 44) ต่อมาในพันธสัญญาใหม่ อัครทูตเปาโลใช้คำนั้นเพื่ออธิบายให้เข้าใจว่าหมายถึงใคร คือ ตัวเรา นั่นเองใน “ขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้า” (รม.5:10) ช่างห่างไกลจากคำกล่าวที่ว่า “ทำตามที่ฉันบอก ไม่ใช่ตามที่ฉันทำ” พระเยซูทรงสนับสนุนคำตรัสของพระองค์ด้วยการกระทำ พระองค์ทรงรักเราและประทานชีวิตของพระองค์เพื่อเรา
จะเกิดอะไรขึ้นหากพระคริสต์ทรงต้อนรับเฉพาะ “คนคิดบวก” เท่านั้น แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเราล่ะ ขอบคุณพระเจ้าที่ความรักของพระองค์ไม่ได้ทรงเลือกคนที่น่านับถือ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก และโดยพระกำลังของพระองค์ เราก็ได้รับการทรงเรียกให้ทำเช่นเดียวกัน
การติดตามอันแน่แท้ของพระเจ้า
หลายปีก่อน มีชายคนหนึ่งเดินอยู่ข้างหน้าผมอยู่หนึ่งช่วงตึก ผมมองเห็นชัดเจนว่าอ้อมแขนของเขาเต็มไปด้วยหีบห่อมากมาย ทันใดนั้นเขาสะดุดและของทุกอย่างหล่นลงพื้น มีสองคนเข้ามาช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นและช่วยเก็บของ แต่พวกเขาลืมสิ่งหนึ่ง นั่นคือกระเป๋าเงินของชายคนนั้น ผมจึงเก็บขึ้นมาและรีบวิ่งไล่ตามชายแปลกหน้าคนนั้นไป โดยหวังว่าจะเอาของสำคัญคืนให้ ผมตะโกนว่า “คุณครับ คุณครับ!” และในที่สุดเขาก็ได้ยินและหันมาเมื่อผมไปถึงตัวเขา ขณะที่ผมยื่นกระเป๋าเงินให้เขา ผมไม่เคยลืมสีหน้าที่แสดงถึงความโล่งใจและรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการติดตามชายคนนั้น กลายเป็นการไล่ตามซึ่งแตกต่างกันมากทีเดียว พระคัมภีร์ฉบับภาษาอังกฤษส่วนใหญ่ใช้คำว่า ติดตาม ในพระธรรมข้อสุดท้ายของสดุดี 23 ที่เราคุ้นเคย “แน่ทีเดียวที่ความดีและความรักมั่นคงจะติดตามข้าพเจ้าไป” (ข้อ 6) แม้คำว่า “ติดตาม” จะเข้ากับบริบท แต่คำภาษาฮีบรูจริงๆ ใช้คำที่มุ่งมั่นและห้าวหาญมากกว่านั้น ความหมายตรงตัวของคำนั้นคือ “ไล่ตามหรือไล่ล่า” เหมือนนักล่าที่ไล่ล่าเหยื่อ (หมาป่าไล่ล่าแกะ)
ความดีและความรักของพระเจ้าไม่เพียงแค่คอยติดตามเรามาด้วยฝีเท้าแบบสบายๆ ไม่เร่งรีบ เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ค่อยๆเดินตามเรากลับบ้าน แต่ “แน่ทีเดียว” เรากำลังถูกไล่ตาม จนถึงกับไล่ล่าอย่างตั้งใจ เช่นเดียวกับที่ผมไล่ตามชายคนนั้นเพื่อเอากระเป๋าเงินไปคืน เราถูกไล่ตามโดยพระผู้เลี้ยงผู้ประเสริฐ ผู้ทรงรักเราด้วยความรักอันเป็นนิรันดร์ (ข้อ 1,6)
คิดถึงและอธิษฐานเผื่อ
“ฉันจะคิดถึงและอธิษฐานเผื่อคุณ” หากคุณได้ยินคำพูดนี้ คุณอาจสงสัยว่าผู้พูดหมายความตามนั้นจริงหรือไม่ แต่คุณจะไม่สงสัยเลยหากเอ็ดน่า เดวิสเป็นคนพูด ทุกคนในเมืองเล็กๆที่มีไฟจราจรแค่ต้นเดียวรู้จักสมุดฉีกสีเหลืองของ “คุณเอ็ดน่า” ซึ่งแต่ละหน้าจดรายชื่อมากมายเอาไว้ ทุกเช้าตรู่หญิงชราจะอธิษฐานออกเสียงต่อพระเจ้า ไม่ใช่ทุกคนในรายชื่อของเธอที่ได้รับการตอบคำอธิษฐานอย่างที่พวกเขาต้องการ แต่หลายคนเป็นพยานในงานไว้อาลัยของเธอว่าพระเจ้าทรงให้บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา และพวกเขายกความดีนี้ให้กับการอธิษฐานอย่างกระตือรือร้นของคุณเอ็ดน่า
พระเจ้าทรงสำแดงพลังแห่งการอธิษฐานผ่านประสบการณ์จำคุกของเปโตร หลังจากที่อัครทูตถูกทหารของเฮโรดจับขังไว้ในคุก และให้ “ทหารสี่หมู่ๆละสี่คนคุมไว้” (กจ.12:4) ทางรอดของท่านดูมืดมน แต่ “คริสตจักรได้อธิษฐานพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยใจร้อนรน” (ข้อ 5) พวกเขาคิดถึงและอธิษฐานเผื่อเปโตร สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นช่างอัศจรรย์! ทูตองค์หนึ่งมาปรากฏแก่เปโตรในคุก ปลดโซ่ตรวนของท่าน และนำท่านออกจากประตูคุกอย่างปลอดภัย (ข้อ 7-10)
เป็นไปได้ที่บางคนอาจพูดว่า “คิดถึงและอธิษฐานเผื่อ” โดยไม่ได้หมายความตามนั้นจริงๆ แต่พระบิดาทรงทราบความคิดของเรา ทรงสดับฟังคำที่เราทูลอธิษฐาน และกระทำเพื่อเราตามพระประสงค์อันสมบูรณ์ของพระองค์ การได้รับคำอธิษฐานหรือการอธิษฐานเผื่อผู้อื่นไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเมื่อเรารับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และทรงฤทธิ์
ดูที่ผล
“ขอให้คุณ (ชื่อบุคคลนั้น) ตัวจริง ยืนขึ้นด้วยครับ” นี่เป็นประโยคที่คุ้นเคยตอนท้ายรายการของเกมโชว์ชื่อ สาบานว่าพูดจริง คณะกรรมการคนดังสี่คนต้องถามคำถามผู้ร่วมแข่งขันสามคนที่อ้างว่าเป็นคนเดียวกัน แน่นอนว่าสองคนในนั้นเป็นตัวปลอม แต่ก็ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่ต้องมองตัวจริงให้ออก ในตอนหนึ่งของรายการ เหล่าคนดังพยายามทายว่าใครคือ “จอห์นนี่ มาร์คส์” คนเขียนเนื้อเพลง “รูดอล์ฟกวางจมูกแดง” ตัวจริง พวกเขาพบว่ามันยากจริงๆที่จะทายว่าใครเป็นใครแม้จะตั้งคำถามดีแล้วก็ตาม ตัวปลอมบิดเบือนความจริงเพื่อทำให้รายการมีสีสัน
การแยกแยะว่าใครเป็นใครเมื่อพูดถึง “ผู้เผยพระวจนเท็จ” นั้น ต่างจากการแสดงในเกมโชว์โดยสิ้นเชิง แต่เป็นเรื่องท้าทายพอๆกันและมีความสำคัญมากยิ่งกว่า “หมาป่าดุร้าย” มักมา “ดุจแกะ” และพระเยซูทรงเตือนแม้แต่คนที่ฉลาดที่สุดในพวกเราว่า “จงระวัง” (มธ.7:15) การทดสอบที่ดีที่สุดไม่ใช่การตั้งคำถามที่ดีๆ แต่เป็นสายตาที่ดี มองดูที่ผลของเขา เพราะคุณจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา (ข้อ 16-20)
พระคัมภีร์ให้ตัวช่วยเราในการมองเห็นผลดีและผลเลว ผลที่ดีนั้นดูเหมือน “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน” (กท.5:22-23) เราต้องระแวดระวังให้ดี เพราะหมาป่าเล่นด้วยเล่ห์กล แต่ในฐานะผู้เชื่อที่เต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรารับใช้ผู้เลี้ยงแกะที่ดีตัวจริงซึ่ง “บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยน.1:14)
เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซู
ในที่สุดวันนั้นก็มาถึง วันที่ผมตระหนักว่าพ่อไม่ใช่มนุษย์คงกระพัน เมื่อเป็นเด็ก ผมรับรู้ถึงกำลังและความมุ่งมั่นของพ่อ แต่ในวัยที่ผมเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ท่านได้รับบาดเจ็บที่หลัง และผมพบว่าพ่อก็เป็นมนุษย์ที่ร่างกายเสื่อมสลายได้คนหนึ่ง ผมอาศัยอยู่กับพ่อแม่เพื่อคอยช่วยพ่อเข้าห้องน้ำ ช่วยท่านแต่งตัว แม้กระทั่งคอยจับแก้วน้ำให้ตรงปากของท่าน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าอายสำหรับท่าน ท่านพยายามในตอนแรกที่จะทำสิ่งเล็กๆน้อยๆให้ได้ แต่ก็ยอมรับว่า “พ่อไม่สามารถทำอะไรได้หากลูกไม่ช่วย” ท่านหายดีและกลับมาแข็งแรงในที่สุด แต่ประสบการณ์นั้นสอนบทเรียนสำคัญให้เราทั้งคู่ว่า เราต้องการซึ่งกันและกัน
และในขณะที่เราต้องการซึ่งกันและกันนั้น เราก็ต้องการพระเยซูมากยิ่งกว่า ในยอห์น 15 ภาพของเถาองุ่นและแขนงยังคงเป็นภาพที่เรายึดไว้มั่น แต่ประโยคนี้ก็เหมือนประโยคอื่นๆที่เป็นทั้งคำปลอบโยน และขณะเดียวกันก็โจมตีการพึ่งพาตนเองของเรา ความคิดที่เล็ดลอดเข้ามาในหัวเราได้ง่ายๆ คือ ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือ พระเยซูทรงกล่าวชัดเจนว่า “เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย” (ข้อ 5) พระคริสต์กำลังตรัสถึงการเกิดผล เช่น “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข” (กท.5.22) ที่เป็นลักษณะสำคัญของการเป็นสาวก พระเยซูทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่เกิดผล และให้เราพึ่งพาพระองค์ผู้เดียวในการมีชีวิตที่เกิดผล ซึ่งเป็นชีวิตที่อยู่เพื่อพระเกียรติของพระบิดา (ยน.15:8)
สนทนาเรื่องความเชื่อที่บ้าน
“ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน” คำพูดที่น่าจดจำซึ่งโดโรธีพูดไว้ในเรื่องพ่อมดแห่งออซนี้เปิดเผยให้เห็นกลไกการเล่าเรื่องที่จะพบในเรื่องอมตะส่วนใหญ่ที่ให้ความรู้สึกอันท่วมท้น นับจากสตาร์วอร์ไปจนถึงเดอะไลอ้อนคิง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็น “การเดินทางของฮีโร่” อธิบายสั้นๆคือ เป็นเรื่องราวของคนธรรมดาที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างธรรมดาเมื่อเกิดมีการผจญภัยที่ไม่ธรรมดาขึ้น ตัวละครออกจากบ้านและเดินทางไปยังโลกอื่นซึ่งมีการทดสอบและการทดลองรออยู่ อีกทั้งมีที่ปรึกษาคอยชี้แนะและเหล่าวายร้าย หากเขาหรือเธอผ่านการทดสอบและพิสูจน์ให้เห็นถึงความกล้าหาญ ฉากสุดท้ายก็จะเป็นการกลับบ้านพร้อมเรื่องราวที่จะบอกเล่าและสติปัญญาที่ได้รับ ฉากสุดท้ายนี้สำคัญมาก
เรื่องราวของชายที่ถูกผีสิงนั้นเทียบได้กับการเดินทางของฮีโร่ น่าสนใจที่ในฉากสุดท้ายชายคนนั้นอ้อนวอนพระเยซูให้เขา “ติดตามพระองค์ไป” (มก.5:18) แต่พระเยซูตรัสกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน” (ข้อ 19) นี่คือสิ่งสำคัญในการเดินทางของชายคนนี้ ที่จะกลับบ้านไปหาคนที่รู้จักเขาดีที่สุดและเล่าเรื่องราวอันอัศจรรย์ของตนให้พวกเขาฟัง
พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนด้วยวิธีที่แตกต่างและในสถานการณ์ที่ต่างกัน แต่สำหรับเราบางคน นี่อาจเป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดสำหรับเส้นทางแห่งความเชื่อของเราที่จะต้องกลับบ้านและบอกเล่าเรื่องราวของเราให้กับคนที่รู้จักเราดีที่สุด และสำหรับเราบางคน การทรงเรียกนี้คือ “ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้าน”
พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย
ผมท่องคำอธิษฐานของพระเยซูเกือบทุกเช้า ชีวิตในวันใหม่ของผมไม่มีค่าอะไรมากนักจนกว่าจะได้ตั้งหลักอยู่บนคำอธิษฐานนั้น เมื่อเร็วๆนี้ ขณะที่ผมกำลังเริ่มพูดว่า “ข้าแต่พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมสะดุ้งเพราะตอนนั้นเพิ่งเป็นเวลาตีห้ากว่า ลองทายสิว่าใครโทรมา ที่หน้าจอโทรศัพท์ขึ้นคำว่า “พ่อ” เสียงโทรศัพท์ดังแล้วเงียบไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ผมจะทันรับสาย ผมเดาว่าพ่อคงจะกดผิด ใช่แน่ๆ มันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ ก็อาจใช่ แต่ผมเชื่อว่าเราอาศัยอยู่ในโลกที่ท่วมท้นไปด้วยพระเมตตาของพระเจ้า วันนั้นเป็นวันที่ผมต้องการความมั่นใจถึงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระบิดา
ลองคิดดูสิ พระเยซูทรงสามารถสอนสาวกให้เริ่มต้นคำอธิษฐานได้มากมายหลายแบบ แต่ทรงเลือกคำว่า “พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” (มธ.6:9) เป็นคำเริ่มต้น นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือ ไม่ใช่เลย พระเยซูทรงมีความตั้งใจในสิ่งที่ตรัสเสมอ เราทุกคนมีความสัมพันธ์กับพ่อฝ่ายโลกในแบบที่แตกต่างกัน บ้างดี บ้างไม่ดี แต่การอธิษฐานที่เราควรทำไม่ใช่การร้องเรียก “พ่อของฉัน” หรือ “พ่อของเธอ” แต่เป็น “พระบิดาแห่งข้าพระองค์ทั้งหลาย” ผู้ทรงมองเห็นและได้ยินเรา และทรงรู้ถึงความต้องการของเราแม้ก่อนที่เราจะทูลขอพระองค์ (ข้อ 8)
ช่างเป็นคำยืนยันรับรองที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะในวันที่เราอาจรู้สึกเหมือนถูกลืม อยู่เพียงลำพัง ถูกทอดทิ้ง หรือรู้สึกไร้ค่า จงจำไว้ว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน และไม่ว่าเวลาใดในยามกลางวันหรือกลางคืน พระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ของเราทรงอยู่ใกล้เราเสมอ
การเปิดเผยสำแดงและความมั่นใจ
การเปิดเผยเพศของทารกในปี 2019 นั้นเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก ในเดือนกรกฎาคม มีวิดีโอแสดงภาพรถยนต์ที่ปล่อยควันสีฟ้าเพื่อบอกว่า “นี่คือทารกเพศชาย!” ในเดือนกันยายน เครื่องบินหว่านเมล็ดพืชในเท็กซัสได้โปรยน้ำสีชมพูจำนวนหลายร้อยแกลลอนเพื่อประกาศว่า “นี่คือทารกเพศหญิง!” แต่ยังมี “การเปิดเผย” อีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างมากต่อโลกที่เด็กเหล่านี้จะเติบโตขึ้นมา แอปพระคัมภีร์ YouVersion เปิดเผยว่า ในรอบปี 2019 ข้อพระคำที่ถูกแบ่งปัน ไฮไลท์ข้อความและคั่นหน้าไว้มากที่สุดบนพระคัมภีร์ออนไลน์และบนมือถือคือ ฟีลิปปี 4:6 “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ”
นั่นเป็นการเปิดเผยสำแดงที่แท้จริง ผู้คนทุกวันนี้มีเรื่องวิตกกังวลมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความต้องการของลูกๆ ความแตกแยกในรูปแบบต่างๆภายในครอบครัวหรือระหว่างเพื่อน ไปจนถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติและสงคราม แต่มีข่าวดีท่ามกลางความวิตกเหล่านี้คือ ผู้คนจำนวนมากยังคงยึดข้อพระคำที่ว่า “อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย” ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังหนุนใจทั้งตนเองและผู้อื่นให้ทูลเรื่องความปรารถนา “ทุกอย่าง” ต่อพระเจ้า ความเชื่อที่ส่งผลให้เราไม่เพิกเฉย แต่เผชิญหน้ากับความวิตกกังวลในชีวิตได้นั้น คือ “การขอบพระคุณ”
ข้อพระคำที่ไม่ได้เป็น “ข้อพระคำแห่งปี” แต่อยู่ในอันดับรองลงมา คือ “แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 7) นั่นทำให้เรามั่นใจได้อย่างแท้จริง!
พระสุรเสียงของพระบิดา
คุณพ่อของเพื่อนผมเพิ่งเสียไปไม่นาน ตอนที่ป่วยอาการของท่านทรุดลงอย่างรวดเร็วและจากไปในเวลาไม่กี่วัน เพื่อนของผมมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพ่อของเขามาตลอด แต่ก็ยังมีคำถามมากมายที่อยากถาม มีคำตอบที่ต้องค้นหา และมีบทสนทนาที่อยากพูดคุย เพื่อนของผมเป็นผู้ให้คำปรึกษาที่ได้รับการอบรม เขารู้ถึงภาวะขึ้นลงของความโศกเศร้า และวิธีการช่วยเหลือผู้อื่นให้หลุดพ้นจากสภาพอารมณ์เหล่านั้น ถึงกระนั้นเขาบอกกับผมว่า “บางวันผมก็แค่ต้องการได้ยินเสียงของพ่อเพื่อยืนยันถึงความรักของท่าน มันมีความหมายกับผมมากที่สุดเสมอ”
เหตุการณ์สำคัญในช่วงเริ่มต้นการทำพันธกิจในโลกของพระเยซูคือการรับบัพติศมาโดยมือของยอห์น แม้ยอห์นจะพยายามห้าม แต่พระเยซูทรงยืนกรานว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อพระองค์จะแสดงตัวว่าทรงเป็นมนุษย์ “บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” (มธ.3:15) ยอห์นทำตามที่พระเยซูขอ จากนั้นบางสิ่งก็เกิดขึ้นเพื่อประกาศตัวตนของพระเยซูต่อยอห์นผู้ให้บัพติศมาและฝูงชน และสิ่งนี้น่าจะแตะต้องจิตใจของพระเยซูอย่างลึกซึ้งด้วย พระสุรเสียงของพระบิดาทรงรับรองพระบุตรของพระองค์ “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” (ข้อ 17)
พระสุรเสียงเดียวกันนี้ดังในจิตใจของเราเพื่อรับรองผู้เชื่อถึงความรักยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีต่อเรา (1 ยน.3:1)