ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย John Blase

คุณสมบัติของพระเจ้า

คุณคิดถึงอะไรเป็นสิ่งแรกเมื่อได้ยินคำว่า พรอเพอตี้ (property) ที่แปลว่า ทรัพย์สมบัติ /คุณสมบัติความคิดของคุณอาจนึกถึงที่ดินผืนหนึ่ง แต่คุณควรต้องพิจารณาถึง “คุณสมบัติหรือลักษณะของคนแต่ละคนหรือของแต่ละชิ้น” ด้วย เช่น คุณสมบัติของไม้แต่ละชนิดจะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับไม้ชนิดนั้นว่า เนื้อไม้เป็นอย่างไร มีแนวโน้มที่จะหดตัวมากไหม ทนน้ำได้หรือไม่ หรือกล่าวอีกอย่างว่า คุณจะใช้ประโยชน์จากไม้นี้ตามคุณสมบัติของมันได้หรือไม่

ผมกับภรรยาไปคริสตจักรที่มีแนวทางแบบธรรมเนียมปฏิบัติทั่วไปคืออธิษฐานร่วมกัน คุกเข่า อ่านพระคัมภีร์ รับศีลมหาสนิท คำอธิษฐานหนึ่งที่เราอธิษฐานทุกวันอาทิตย์จะมีประโยคนี้ “แต่พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์เดียวกับผู้ซึ่งคุณสมบัติของพระองค์คือทรงมีพระเมตตาเสมอ คือมีเมตตาไม่ใช่เพียงครั้งเดียวแต่เสมอไป

พระธรรมเนหะมีย์บทที่ 9 แสดงให้เห็นภาพของคนอิสราเอลที่มารวมตัวกัน อดอาหาร นุ่งห่มผ้ากระสอบ และทาเนื้อตัวด้วยขี้เถ้า (ข้อ 1) พวกเขาสารภาพบาปของตนและบาปของบรรพบุรุษ (ข้อ 2, 16) พวกเขาสรรเสริญพระเจ้าสำหรับความอดทนของพระองค์ในประวัติศาสตร์ของอิสราเอล “ด้วยพระกรุณาซับซ้อนของพระองค์ พระองค์ก็มิได้ทรงละทิ้งเขาในถิ่นทุรกันดาร” (ข้อ 19) พระเจ้าจะทรงกำจัดพวกเขาหรือทอดทิ้งพวกเขาก็ได้ แต่พระองค์ไม่เคยทำ เพราะอะไร เพราะนั่นไม่ใช่คุณสมบัติ ของพระเจ้า เพราะพระองค์เป็น “พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาและพระกรุณา” (ข้อ 31)

ในคำอธิษฐานสารภาพบาปของเรา ให้เราสรรเสริญทรัพย์สมบัติ(คุณสมบัติ)ที่ไว้วางใจได้ของพระเจ้าด้วย นั่นคือพระเมตตาของพระองค์

สิ่งที่น่ากลัว

“สิ่งที่น่ากลัว / คือการรักในสิ่งที่ความตายเอื้อมถึงได้” นี่คือวรรคแรกของบทกวีที่เขียนขึ้นกว่าพันปีมาแล้ว โดยกวีชาวยิวยูดาห์ ฮาเลวี และถูกแปลในศตวรรษที่ยี่สิบ กวีผู้นี้อธิบายให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหลังความกลัวคือ “การรัก... / โอ แล้วจักต้องสูญเสีย”

ในปฐมกาล อารมณ์พรั่งพรูเกิดขึ้นกับอับราฮัมเมื่อท่านสูญเสียนางซาราห์ให้กับความตาย “อับราฮัมไว้ทุกข์ให้ซาราห์และร้องไห้คิดถึงนาง” (23:2) ในบทนี้เผยให้เห็นเรื่องราวอันงดงามและความเศร้าโศกอย่างมากของการสูญเสียหนึ่งในบุคคลที่น่าจดจำที่สุดในพระคัมภีร์ นางซาราห์ภรรยาผู้สัตย์ซื่อของอับราฮัม หญิงชราคนนั้นที่หัวเราะเมื่อได้ยินข่าวว่าเธอจะเป็นแม่ (18:11-12) แต่ร้องไห้อย่างเจ็บปวดในขณะที่อิสอัคถือกำเนิดมาในโลก

เราให้ความสำคัญกับข้อพระคัมภีร์สั้นๆที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของมนุษย์ในพระกิตติคุณของยอห์นที่ว่า “พระเยซูทรงพระกันแสง” (ยน.11:35) น้ำตาของพระเมสสิยาห์ที่อุโมงค์ฝังศพลาซารัสย้ำถึงการสูญเสียของพระเยซู การมีความรักเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ กวีฮาเลวีเรียกสิ่งนี้ว่า “เรื่องของคนโง่” แต่เขายังกล่าวต่อโดยการเรียกมันว่า “สิ่งที่บริสุทธิ์”ด้วย ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้ซึ่งความเชื่อของเขา “ซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า” (คส.3:3)

เรารักและสูญเสียทุกอย่างตั้งแต่คู่สมรส ลูกๆ พ่อแม่ เพื่อนฝูงไปจนถึงสัตว์เลี้ยง และร้องไห้ด้วย “ความยินดีอย่างเจ็บปวด” โอ นี่แหละคือความเป็นมนุษย์จริงๆ แต่สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การร้องไห้ของเราจะคงอยู่เพียงชั่วคืนเท่านั้น ดังที่ดาวิดกล่าวว่า “การร้องไห้อาจจะอ้อยอิ่งอยู่สักคืนหนึ่ง แต่ความชื่นบานจะมาเวลาเช้า”(สดด.30:5) พระบิดาของเราไม่เคยทรงทิ้งเราไว้ในความสิ้นหวัง

ไม่มีวันเสียใจ

บรอนนี่ แวร์ พยาบาลที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง ได้ค้นพบในขณะที่เธอนั่งอยู่กับผู้ป่วยใกล้ตายว่าพวกเขาจะไม่มีการพูดถึงสิ่งที่เป็นความปรารถนาของชีวิต เธอจึงตั้งใจถามพวกเขาว่า “ถ้ามีโอกาสอีกครั้ง คุณจะทำอะไรที่ต่างไปจากเดิมไหม” มีหัวข้อที่มักถูกกล่าวถึงซ้ำๆกันและเธอได้รวบรวมสิ่งที่ผู้ป่วยใกล้ตายรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้ทำมากที่สุดห้าอันดับแรก คือ (1) ฉันอยากมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตที่เป็นตัวของตัวเอง (2) ฉันหวังว่าฉันจะไม่ทำงานหนักขนาดนี้ (3) ฉันอยากมีความกล้าที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา (4) ฉันหวังว่าจะยังคงพบปะพูดคุยกับเพื่อนของฉันอยู่เสมอ และ (5) ฉันจะยอมให้ตัวเองมีความสุขมากกว่านี้

รายการที่แวร์รวบรวมนี้ทำให้นึกถึงคำอุปมาที่พระเยซูตรัสในลูกาบทที่ 12 เรื่องเศรษฐีคนหนึ่งที่ตัดสินใจสร้างยุ้งฉางให้ใหญ่ขึ้นเพื่อเก็บผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ของเขา หลังจากนั้นเขาบอกตัวเองว่า เขาจะเกษียณและพักผ่อนอย่างสบาย และใช้ชีวิตไปจนตาย (ข้อ 18-19) แต่ในเวลานั้นเอง พระเจ้าได้เรียกร้องเอาชีวิตจากเขาด้วยคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรง “โอ คนโง่” ตามมาด้วยคำถามอันน่าสะพรึงกลัวที่ว่า “ของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า” (ข้อ 20)

เป็นไปได้ไหมที่เราจะเสียชีวิตไปโดยไม่เสียใจกับสิ่งใดเลย เป็นเรื่องยากที่จะรู้อย่างแน่ชัด แต่สิ่งที่เรารู้นั้นถูกกล่าวไว้อย่างชัดเจนในพระคัมภีร์คือ การส่ำสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวเองนั้นเป็นทางตัน เพราะความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นมาจากการลงทุนชีวิตในพระเจ้า

ภัยแฝงฝ่ายวิญญาณ

โดยเฉลี่ยคนทั่วไปจะดูโทรศัพท์ของตัวเองประมาณ 150 ครั้งต่อวัน ให้เราใคร่ครวญดูให้ดี มีบางสิ่งดึงดูดความสนใจของเราและอาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีกับเราเสมอ ทริสตัน แฮริสเชื่อเช่นนั้น เขาเป็นอีกเสียงหนึ่งจากภาพยนตร์ร่วมกับผู้มีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีอีกหลายๆคน ซึ่งนำเราเข้าสู่ “สื่อสังคมออนไลน์” แต่แทนที่จะยกย่องชมเชย เสียงของพวกเขากลับเป็นสัญญาณเตือนภัย โดยเรียกสิ่งที่เราเผชิญ (และภาพยนตร์เรื่องนี้) ว่า ทุนนิยมสอดแนม : ภัยแฝงเครือข่ายอัจฉริยะ “พวกเราคือสินค้า ความสนใจของเราคือสินค้าที่ถูกขายให้แก่ผู้ผลิตสื่อโฆษณา” เราให้ความสนใจกับสิ่งที่เราเชื่อว่ามีคุณค่าและคุ้มค่า ในความเป็นจริงแล้ว เราให้ความสนใจสิ่งใด 

คำว่า ภัยแฝง บ่งบอกถึงสถานการณ์ที่เราต้องตัดสินใจเลือกบางสิ่ง เชื่อหรือไม่ว่าเราเผชิญกับภัยแฝงเช่นเดียวกันนี้ในชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา มีสิ่งที่เราต้องเลือกในแต่ละวัน เช่น ใครหรือสิ่งใดที่เราควรให้ความสนใจ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ใครหรือสิ่งใดที่เราควรนมัสการ ผู้เขียนสดุดีได้เลือกอย่างชัดเจนว่า “ข้าพระองค์จะถวายสาธุการแด่พระองค์ทุกๆวัน สรรเสริญพระนามของพระองค์เป็นนิจกาล” (สดด.145:2) ท่านได้ให้เหตุผลไว้ในข้อถัดไปว่า “พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง ความใหญ่ยิ่งของพระองค์นั้นเหลือจะหยั่งรู้” (ข้อ 3)

ผู้เขียนสดุดีเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดจะเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าได้ ดังนั้นท่านจึงมุ่งความสนใจของท่านไปที่นั่น พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงสมควรจะได้รับการสรรเสริญจากพวกเรา

คืนดีกับพระเยซู

ฟิลิปป์ เพอทีต นักไต่ลวดเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในปี 1971 เมื่อเขาเดินบนลวดสลิงที่ขึงระหว่างหอคอยของมหาวิหารนอทเทรอดามในกรุงปารีส สามปีต่อมาเขาถูกจับกุมเนื่องจากการเดินไต่ลวดโดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่างตึกแฝดเวิลด์เทรดที่ครั้งหนึ่งเคยโดดเด่นอยู่เหนือท้องฟ้าเมืองนิวยอร์ก แต่ในปี 1987 การเดินของฟิลิปป์ดูต่างออกไป ด้วยคำเชิญจากเท็ดดี้ คอลเล็คนายกเทศมนตรีเมืองเยรูซาเล็ม ฟิลิปป์เดินข้ามหุบเขาฮินนอมบนลวดสลิงสูงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลอิสราเอลในปีนั้น เมื่อไปถึงครึ่งทาง ฟิลิปป์ปล่อยนกพิราบ (เขาอยากใช้นกเขา) เพื่อสื่อถึงความงามแห่งสันติภาพ นี่เป็นการแสดงที่แปลกและอันตราย แต่ทั้งหมดก็เพื่อสันติภาพ ฟิลิปป์กล่าวภายหลังว่า “ในช่วงเวลานั้น ฝูงชนทั้งหมดต่างลืมความแตกต่างของพวกเขา”

การไต่ลวดของฟิลิปป์ทำให้ผมนึกถึงอีกเหตุการณ์ที่น่าใจหายซึ่งเกิดขึ้นเมื่อพระกายของพระเยซูถูกแขวนอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก อัครทูตเปาโลบอกเราว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะ...ให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้าไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่นดินโลกหรือในสวรรค์พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพด้วยพระโลหิตแห่งกางเขนของ[พระคริสต์]” (คส.1:19-20) เปาโลบันทึกว่า “[พวกเรา] ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันกับพระเจ้า” (ข้อ 21) แต่ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว เหนือยิ่งกว่าการแสดงเพื่อส่งเสริมสันติภาพ พระเยซูองค์พระเมสสิยาห์ได้ทรงทำให้เกิดสันติภาพขึ้นโดยการหลั่งพระโลหิตบนกางเขน นี่คือความสำเร็จที่ไม่มีสิ่งใดจะเทียบได้เพราะไม่มีความจำเป็น สันติภาพของพระองค์นั้นคงอยู่ชั่วนิรันดร์

ยังเกิดผลเพื่อพระเจ้า

มีนิทานพื้นบ้านเก่าแก่เกี่ยวกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ขนน้ำจากแม่น้ำกลับบ้านทุกวัน โดยใช้ถังสองใบสอดไว้ที่ปลายสองข้างของไม้คาน ถังใบหนึ่งใหม่และแข็งแรง ส่วนอีกใบหนึ่งเก่ามากและมีรอยแตก เมื่อหญิงคนนั้นกลับถึงบ้าน ถังใบใหม่ยังคงมีน้ำอยู่เต็ม แต่ถังใบเก่าแทบจะไม่มีน้ำเหลืออยู่เลย ถังใบเก่ารู้สึกเสียใจและขอโทษ หญิงนั้นหันกลับไปชี้ที่ทางเดินแล้วถามถังใบเก่าว่า “เจ้าเห็นดอกไม้พวกนั้นที่เติบโตอยู่ข้างทางฝั่งของเจ้าไหม เจ้ารดน้ำพวกมันทุกวัน ทำให้ทางเดินไปและกลับจากแม่น้ำของฉันเต็มไปด้วยความงดงามอยู่เสมอ”

เราอยู่ในโลกที่ชื่นชมและยกย่องคนหนุ่มสาว คนที่อายุน้อยและมีความมั่นคง ไร้ข้อตำหนิและมีความสามารถ แต่พระคัมภีร์บอกเราอย่างชัดเจนถึงความงดงามอันชอบธรรมที่มาจากผู้สูงวัยและผู้อ่อนแอ หรือแม้แต่มีร่องรอยแตกหักและมีรูรั่ว ผู้แต่งเพลงสดุดีอาวุโสกล่าวว่า “คน​ชอบธรรม ​ก็​งอก​ขึ้น​อย่าง​ต้น​อินทผลัม เจริญ​ขึ้น​อย่าง​ต้น​สน​สี​ดาร์​ใน​เลบานอน” (สดด.92:12)

จริงอยู่ ความชรา ไม่ได้มีความหมายเท่ากับคำว่าฉลาดเสมอไป แต่ความสูงวัยมีส่วนช่วยชีวิตของเราในแบบที่คนหนุ่มสาวทำไม่ได้ เพราะพวกเขามีชีวิตอยู่มายาวนานกว่า มีประสบการณ์มากกว่า และยืนหยัดมั่นคงมากกว่า ผลิดอกออกผลในความเชื่อและความไว้วางใจในพระเจ้า คนเช่นนี้ “​แก่​แล้ว​ก็​ยัง​เกิดผล ...มี​น้ำ​เลี้ยง​เต็ม​และ​เขียว​สด​อยู่” (ข้อ 14)

ผู้สูงอายุในชีวิตของเรายังคงเกิดผลที่งดงามอยู่ ให้เราใช้เวลามองดูความจริงนี้และเอาใจใส่ดูแลพวกเขา

เกือบถูกก็คือผิด

ในด้านภาพยนตร์นั้นถือว่าทำได้ดี เพลงประกอบก็สะท้อนอารมณ์และทำให้รู้สึกสงบ ส่วนเนื้อหานั้นเข้าใจได้ง่ายและน่าสนใจ วิดีโอนี้นำเสนองานวิจัยของต้นเรดวู้ดที่ถูกฉีดสารที่คล้ายกับอะดรีนาลีนเพื่อยับยั้งไม่ให้มันเข้าสู่ภาวะการจำศีล ต้นไม้เหล่านั้นจึงตายลงเพราะพวกมันไม่ได้เข้าสู่วงจรของการ “จำศีลในฤดูหนาว” ตามธรรมชาติ

สิ่งที่วิดีโอนี้กำลังสื่อคือสภาพนี้อาจเกิดขึ้นกับเราได้เช่นกันถ้าเรายุ่งอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีฤดูแห่งการหยุดพัก และนั่นอาจเป็นเรื่องจริง แต่วิดีโอนั้นมีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่เคยมีงานวิจัยนี้ ต้นเรดวู้ดมีสีเขียวอยู่ตลอดโดยไม่มีช่วงจำศีล และต้นไม้ในวิดีโอเป็นต้นสนซีคัวญ่ายักษ์ไม่ใช่ต้นเรดวู้ดแนวชายฝั่ง แม้ว่าวิดีโอนี้จะดูมีประโยชน์ แต่มันตั้งอยู่บนความหลอกลวง

เราอาศัยอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีทำให้การหลอกลวงขยายใหญ่และเพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดที่ทำให้เราเชื่อว่านั่นคือความจริง พระธรรมสุภาษิตซึ่งเต็มไปด้วยพระปัญญาของพระเจ้าพูดถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนของความจริงและความหลอกลวง “ริมฝีปากที่พูดจริงทนอยู่ได้เป็นนิตย์ แต่ลิ้นที่พูดมุสาอยู่ได้เพียงประเดี๋ยวเดียว” (12:19) และข้อต่อไปบอกเราว่า “ความหลอกลวงอยู่ในใจของบรรดาผู้คิดแผนการชั่วร้าย แต่บรรดาผู้กะแผนงานที่ดีมีความชื่นบาน” (ข้อ 20)

ในทุกสิ่งนั้นจะต้องมีความซื่อตรง ไม่ว่าจะเป็นพระบัญชาของพระเจ้าไปจนถึงวิดีโอเกี่ยวกับการจำศีลในฤดูหนาว เพราะความจริง “ทนอยู่ได้เป็นนิตย์”

ร่วมกันพิชิตภูเขา

คุณอาจเคยเห็นหรือได้ยินคำพูดต่อไปนี้ในรูปแบบต่างๆ “ถ้าอยากไปให้เร็ว จงไปคนเดียว แต่ถ้าอยากไปให้ไกล ต้องไปด้วยกัน” นี่เป็นความคิดที่ฟังดูดีใช่ไหม แต่มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้ชิ้นใดบ้างที่ยืนยันกับเราว่าคำพูดเหล่านี้ไม่ใช่แค่ฟังดูดี แต่เป็นจริงได้ด้วย

ที่จริงแล้วมีงานวิจัยทำนองนี้ชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นผลงานของนักวิจัยชาวอังกฤษและอเมริกันที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีคนอื่นยืนอยู่ด้วยนั้น พวกเขาจะมองเห็นภูเขามีขนาดเล็กกว่าในเวลาที่ยืนอยู่คนเดียว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ “การสนับสนุนทางสังคม” มีความสำคัญมากจนถึงกับทำให้ขนาดของภูเขาในความคิดของเราเล็กลงไปถนัดตา

ดาวิดพบว่ากำลังใจที่เกิดจากมิตรภาพระหว่างท่านกับโยนาธานนั้นทั้งงดงามและจริงแท้ พระพิโรธจากความอิจฉาของกษัตริย์ซาอูลเป็นเหมือนภูเขาที่ยากจะพิชิตได้สำหรับดาวิด และทำให้ท่านกลัวว่าจะถูกฆ่า (ดู 1 ซมอ.19:9-18) หากท่านไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิท เรื่องราวอาจจะพลิกผันไปอีกด้าน แต่โยนาธานยืนเคียงข้างสหายของท่าน “ท่านเศร้าใจด้วยเรื่องดาวิด เพราะว่าพระราชบิดาของท่านได้หยามน้ำหน้าดาวิด” (20:34) “ทำไมเขาจะต้องถูกประหาร” ท่านถาม (ข้อ 32) มิตรภาพของพวกเขาที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้าช่วยส่งเสริมดาวิดและช่วยทำให้ท่านได้กลายมาเป็นกษัตริย์ของอิสราเอล

มิตรภาพของเรานั้นสำคัญ และเมื่อพระเจ้าทรงเป็นศูนย์กลางของความสัมพันธ์นั้น เราจะสามารถหนุนใจกันและกันเพื่อทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะคิดได้

ฝึกฝนการกู้คืน

คุณเคยไหมที่กำลังเล่าเรื่องอยู่แล้วต้องหยุดกลางคันเพราะนึกรายละเอียดบางอย่างไม่ออก เช่น ชื่อหรือวันที่่ เรามักเข้าใจว่าเป็นเพราะอายุที่มากขึ้นโดยเชื่อว่าความทรงจำเลือนหายไปตามเวลา แต่งานวิจัยล่าสุดไม่สนับสนุนความคิดนี้ ที่จริงแล้วงานวิจัยบ่งชี้ว่าความทรงจำของเราไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นความสามารถในการกู้คืนความทรงจำของเราต่างหาก หากไม่มีการฝึกฝนอย่างเป็นประจำแล้ว การเข้าถึงความทรงจำจะทำได้ยากขึ้น

หนึ่งในวิธีที่จะพัฒนาความสามารถในการกู้หรือเรียกคืนความทรงจำนั้นคือการจัดตารางอย่างสม่ำเสมอที่จะทำสิ่งเดิมนั้นหรือไปอยู่ในเหตุการณ์บางเรื่องที่จะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำ พระเจ้าองค์พระผู้สร้างของเราทรงทราบสิ่งนี้ พระองค์จึงทรงให้ลูกหลานของชนชาติอิสราเอลจัดเวลาหนึ่งวันต่อสัปดาห์ไว้สำหรับการนมัสการและหยุดพัก นอกจากการพักผ่อนทางกายที่ได้จากวันหยุดแล้ว เรายังได้มีโอกาสฝึกฝนจิตใจที่จะระลึกว่า “ในหกวันพระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น” (อพย.20:11) สิ่งนี้ช่วยให้เราจดจำได้ว่ามีพระเจ้าอยู่ และทุกสิ่งไม่ได้มาจากเรา

ในท่ามกลางความเร่งรีบของชีวิต บางครั้งเราลืมสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อเราและผู้อื่น เราลืมว่าใครกันที่เฝ้าดูชีวิตของเราอย่างใกล้ชิด และใครที่สัญญาว่าจะอยู่กับเราในเวลาที่เรารู้สึกท่วมท้นและโดดเดี่ยว การหยุดพักจากกิจวัตรประจำวันจะทำให้เรามีโอกาสที่จะ “ฝึกฝนการกู้คืน” ที่จำเป็นนั้น คือ การตัดสินใจอย่างมีเป้าหมายที่จะหยุดและระลึกถึงพระเจ้าของเราและ “อย่าลืมพระราชกิจอันมีพระคุณทั้งสิ้นของพระองค์” (สดด.103:2)

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา