อคติกับความรักของพระเจ้า
“คุณไม่เหมือนกับที่ผมคิด ผมคิดว่าผมคงจะเกลียดคุณ แต่ก็ไม่” คำพูดของชายหนุ่มดูรุนแรง แต่ที่จริงแล้วพวกเขากำลังพยายามแสดงความเมตตา ผมไปเรียนหนังสือที่ประเทศของเขา ซึ่งหลายสิบปีก่อนเคยทำสงครามกับประเทศของผม เราอยู่ในกลุ่มอภิปรายในชั้นเรียนเดียวกัน และผมสังเกตว่าเขาดูห่างเหิน เมื่อถามว่าผมได้ทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองหรือไม่ เขาตอบว่า “เปล่าเลย...อันที่จริงคือปู่ของผมถูกฆ่าในสงคราม ผมจึงเกลียดประเทศและคนของคุณเพราะเรื่องนี้ แต่ตอนนี้ผมเห็นว่าเรามีอะไรเหมือนกันหลายอย่าง และนั่นทำให้ผมประหลาดใจ ผมไม่เห็นเหตุผลว่าทำไมเราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้”
อคตินั้นมีมานานพอๆกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ สองพันปีที่แล้วเมื่อนาธานาเอลได้ยินเรื่องของพระเยซูที่ทรงประทับอยู่ที่นาซาเร็ธเป็นครั้งแรก อคติของเขาเผยออกมาอย่างชัดเจน “สิ่งดีอันใดจะมาจากนาซาเร็ธได้หรือ” เขาถาม (ยน.1:46) นาธานาเอลอาศัยอยู่ในแคว้นกาลิลีเหมือนพระเยซู เขาอาจคิดว่าพระเมสสิยาห์ของพระเจ้าน่าจะมาจากที่อื่น แม้แต่ชาวกาลิลีคนอื่นๆก็ดูถูกนาซาเร็ธเพราะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆธรรมดา
แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งกว่าคือ การตอบสนองของนาธานาเอลไม่ได้ทำให้พระเยซูหยุดรักเขา และเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงเมื่อมาเป็นสาวกของพระเยซู “พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า!” นาธานาเอลประกาศในเวลาต่อมา (ข้อ 49) ไม่มีอคติใดจะต้านทานความรักที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของพระเจ้าได้
ความพินาศถูกทำลาย
“เจ้าลูกนกจะบินพรุ่งนี้แล้ว!” คาริภรรยาของผมปลื้มใจในพัฒนาการของนกกระจิบที่อยู่ในตะกร้าซึ่งแขวนอยู่ระเบียงหน้าบ้านเรา เธอเฝ้าดูพวกมันทุกวัน คอยถ่ายรูปเวลาแม่นกเอาอาหารมาที่รัง
คาริตื่นแต่เช้าในวันถัดมาเพื่อจะไปดูพวกมัน เธอย้ายพืชสีเขียวที่คลุมรังอยู่ออกไปข้างๆ แต่แทนที่จะเห็นลูกนก ดวงตาของเธอก็พบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กของงู งูเลื้อยลงมาตามผนังเข้าไปในรังนกและกินพวกมันทั้งหมด
คาริรู้สึกโกรธและใจสลาย ผมอยู่นอกเมือง เธอจึงโทรหาเพื่อนให้มาเอางูออกไป แต่ความเสียหายได้เกิดขึ้นแล้ว
พระคัมภีร์พูดถึงงูอีกตัวหนึ่งที่ทิ้งความพินาศไว้ในทางของมัน งูในสวนเอเดนหลอกลวงเอวาเกี่ยวกับต้นไม้ที่พระเจ้าห้ามไม่ให้เธอกิน “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก” งูหลอก “เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า เจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า คือสำนึกในความดีและความชั่ว” (ปฐก.3:4-5)
ความบาปและความตายเข้ามาในโลกเพราะผลการไม่เชื่อฟังพระเจ้าของอาดัมและเอวา และการหลอกลวงจาก “งูดึกดำบรรพ์ ผู้ซึ่งเป็นพญามาร” นั้นยังดำเนินต่อไป (วว.20:2) แต่พระเยซูทรงมาเพื่อ“ทำลายกิจการของมาร” (1 ยน.3:8) และโดยพระองค์เราจึงได้ฟื้นฟูความสัมพันธ์กับพระเจ้า วันหนึ่งพระองค์จะทรงสร้าง “สิ่งสารพัดขึ้นใหม่” (วว.21:5)
วิธีที่ไม่คาดคิดของพระเจ้า
ศิษยาภิบาลคนหนึ่งหรี่ตาเพ่งดูคำเทศนาที่ยกขึ้นมาจนชิดใบหน้าเพื่อจะมองเห็นคำบนหน้ากระดาษ เขาเป็นคนสายตาสั้นมากและอ่านทุกประโยคอย่างตั้งใจด้วยระดับเสียงเดียวกันที่ไม่ค่อยน่าสนใจนัก แต่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเคลื่อนไหวผ่านคำเทศนาของโจนาธาน เอ็ดเวิร์ดเพื่อจุดประกายไฟแห่งการฟื้นฟูของการตื่นตัวครั้งยิ่งใหญ่ครั้งแรก ที่นำคนนับพันมาเชื่อในพระคริสต์
พระเจ้ามักทรงใช้สิ่งที่ไม่คาดคิดเพื่อทำให้พระประสงค์อันสมบูรณ์ของพระองค์สำเร็จ การเขียนถึงแผนการที่พระองค์จะนำมนุษย์ที่ดื้อดึงเข้ามาผ่านการสิ้นพระชนม์ด้วยความรักของพระเยซูบนไม้กางเขนแทนเรานั้น เปาโลได้สรุปว่า “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 คร.1:27) โลกนี้คาดหวังว่าพระปัญญาของพระเจ้าจะมีลักษณะเหมือนกับของเราและจะมาพร้อมกับกำลังที่ไม่มีใครต้านทานได้ แต่พระเยซูเสด็จมาด้วยความถ่อมและอ่อนสุภาพเพื่อช่วยเราให้รอดจากบาป พระองค์จึงเป็น “ปัญญาและความชอบธรรมของเรา และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป” (ข้อ 30)
พระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์และกอปรด้วยพระปัญญารอบรู้ทั้งสิ้นได้ทรงกลายมาเป็นเด็กทารกที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่และทนทุกข์และสิ้นชีวิต และฟื้นคืนชีวิตเพื่อจะสำแดงด้วยความรักให้เราเห็นถึงหนทางกลับบ้านไปหาพระองค์ พระองค์ชอบที่จะใช้วิธีและคนที่ต่ำต้อยเพื่อให้สิ่งที่ยิ่งใหญ่สำเร็จ ซึ่งเราทำให้สำเร็จไม่ได้ด้วยกำลังของตัวเอง ถ้าเราเองเต็มใจ พระองค์ก็อาจจะทรงใช้เรา
ทุกอย่างขัดขวางฉัน
“เมื่อเช้านี้ข้าพเจ้าคิดว่าตนเองร่ำรวยมาก แต่ตอนนี้ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าจะมีสักดอลล่าร์หนึ่งไหม” อดีตประธานาธิบดีสหรัฐยูลิสซิส เอส.แกรนท์กล่าวถ้อยคำเหล่านั้นในวันที่เขาถูกหุ้นส่วนธุรกิจฉ้อโกงเงินออมทั้งชีวิตไป หลายเดือนต่อมาแกรนท์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่รักษาไม่หาย ด้วยความกังวลในเรื่องการหาเลี้ยงครอบครัว เขาจึงยอมรับข้อเสนอจากนักเขียนมาร์ค ทเวนในการตีพิมพ์บันทึกความทรงจำของเขา ซึ่งเขาเขียนเสร็จหนึ่งสัปดาห์ก่อนเสียชีวิต
พระคัมภีร์บอกเราถึงอีกคนหนึ่งที่ต้องเผชิญความทุกข์อย่างแสนสาหัส ยาโคบเชื่อว่าโยเซฟบุตรชายของตน “ย่อยยับเสียแล้ว” โดย “สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว” (ปฐก.37:33) ในเวลาต่อมาสิเมโอนบุตรชายก็ถูกจับไปเป็นเชลยในต่างแดน ขณะเดียวกันยาโคบกลัวว่าเบนยามินบุตรชายจะถูกพรากไปจากท่านเช่นกัน เมื่อรู้สึกหมดกำลัง ท่านร้องว่า “เราต้องทนความทุกข์เหล่านี้ทั้งหมด!” (42:36)
แต่มันไม่ใช่เช่นนั้น ถ้ายาโคบจะรู้สักนิดว่าโยเซฟบุตรชายของท่านยังมีชีวิตอยู่ และพระเจ้าทรงกระทำกิจอยู่ “เบื้องหลัง” เพื่อรื้อฟื้นครอบครัวของท่านขึ้นใหม่ เรื่องราวของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าพระองค์เป็นผู้ที่เราไว้วางใจได้ แม้เมื่อเรามองไม่เห็นพระหัตถ์ของพระองค์ในสถานการณ์ของเรา
หนังสือบันทึกความทรงจำของแกรนท์ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งและครอบครัวของเขาได้รับการดูแลเป็นอย่างดี แม้เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อเห็นสิ่งนี้ แต่ภรรยาของเขาได้เห็น การมองเห็นของเรานั้นจำกัด แต่ไม่ใช่สำหรับพระเจ้า และโดยการมีพระเยซูเป็นความหวังของเรา “ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเรา” (รม.8:31) ขอให้เราวางใจพระองค์ในวันนี้
ของขวัญแห่งกำลังใจ
“ผึ้งของคุณกำลังทิ้งรังไปแล้ว!” ภรรยาของผมโผล่หน้าเข้ามาที่ประตูและบอกข่าวที่ไม่มีคนเลี้ยงผึ้งคนไหนอยากได้ยิน ผมวิ่งออกไปเห็นผึ้งเป็นพันๆตัวกำลังบินออกจากรังไปยังยอดต้นสนสูงและจะไม่มีวันกลับมาอีก
ผมไม่ทันได้สังเกตอาการบางอย่างที่บอกให้รู้ล่วงหน้าว่าผึ้งกำลังจะแยกรัง พายุที่เข้านานกว่าหนึ่งสัปดาห์ทำให้ผมไม่ได้ไปตรวจดู พอถึงเช้าวันที่พายุสิ้นสุดลงผึ้งก็จากไป รังผึ้งนี้เป็นครอบครัวใหม่และแข็งแรง อันที่จริงพวกมันกำลังแยกครอบครัวเพื่อจะสร้างรังใหม่ “อย่าโทษตัวเองเลย” คนเลี้ยงผึ้งที่มีประสบการณ์คนหนึ่งบอกผมอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นความผิดหวังของผม “เรื่องนี้เกิดขึ้นได้กับทุกคน!”
การให้กำลังใจเป็นของขวัญอันล้ำค่า เมื่อดาวิดท้อแท้เพราะถูกซาอูลตามฆ่า โยนาธานซึ่งเป็นบุตรชายของซาอูลได้ให้กำลังใจดาวิดว่า “อย่ากลัวเลยเพราะว่ามือของซาอูลเสด็จพ่อของฉันจะหาเธอไม่พบ เธอจะได้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล และฉันจะเป็นอุปราช ซาอูลเสด็จพ่อของฉันก็ทราบเรื่องนี้ด้วย” (1ซมอ.23:17)
ถ้อยคำเหล่านั้นเป็นคำพูดอันน่าทึ่งที่แสดงถึงความไม่เห็นแก่ตัวของบุคคลที่อยู่ในตำแหน่งที่สองรองจากราชบัลลังก์ น่าจะเป็นเพราะโยนาธานรู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับดาวิด ท่านจึงพูดออกมาจากใจที่ถ่อมและเปี่ยมด้วยความเชื่อ
รอบตัวเรามีแต่ผู้คนที่ต้องการกำลังใจ พระเจ้าจะช่วยเราให้ช่วยพวกเขา เมื่อเราถ่อมใจลงต่อพระองค์และขอให้พระองค์รักเขาเหล่านั้นผ่านทางเรา
ความหวังที่เหนือกว่าผลที่ตามมา
คุณเคยทำอะไรด้วยความโกรธที่คุณรู้สึกเสียใจในภายหลังไหม ตอนที่ลูกชายผมกำลังต่อสู้กับการติดยา ผมตอบโต้การเลือกของเขาด้วยคำพูดที่เกรี้ยวกราด ความโกรธของผมมีแต่จะทำให้เขาท้อใจมากขึ้น แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบกับเหล่าผู้เชื่อที่พูดถ้อยคำที่ให้ชีวิตและความหวังแก่เขา และในไม่ช้าเขาก็เป็นอิสระ
แม้แต่คนที่เป็นแบบอย่างในความเชื่ออย่างโมเสส ก็ได้ทำสิ่งที่ท่านเสียใจในภายหลัง เมื่อคนอิสราเอลอยู่ในถิ่นทุรกันดารและขาดแคลนน้ำ พวกเขาบ่นอย่างขมขื่น พระเจ้าจึงให้คำแนะนำที่เฉพาะเจาะจงกับโมเสสและอาโรนว่า “บอกต่อหินหน้าประชาชนให้หินหลั่งน้ำ” (กดว.20:8) แต่โมเสสตอบโต้ด้วยความโกรธ โดยยกตนเองและอาโรนในเรื่องการอัศจรรย์นี้แทนที่จะยกย่องพระเจ้าว่า “เจ้าผู้กบฏจงฟัง ณ บัดนี้จะให้เราเอาน้ำออกจากหินนี้ให้พวกเจ้าดื่มหรือ” (ข้อ 10) และในทันทีนั้นท่านก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าโดยตรง แล้ว “โมเสสก็ยกมือขึ้นตีหินนั้นสองครั้งด้วยไม้เท้า” (ข้อ 11)
แม้ว่าน้ำจะไหลออกมา แต่ก็มีผลที่ตามมาซึ่งน่าเศร้า ทั้งโมเสสและอาโรนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในดินแดนที่พระเจ้าทรงสัญญากับประชากรของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงพระเมตตา โดยทรงให้โมเสสมองเห็นแต่ไกล (27:12-13)
เช่นเดียวกับโมเสส พระเจ้ายังทรงพระเมตตาต่อเราในถิ่นทุรกันดารแห่งการที่เราไม่เชื่อฟังพระองค์ พระองค์ทรงพระกรุณาประทานการอภัยและความหวังแก่เรา ผ่านการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรลงไป หากเราหันไปหาพระองค์ พระองค์จะทรงนำเราไปสู่ชีวิต
สวนของพระเจ้า
สิ่งเตือนใจถึงความงดงามและช่วงเวลาแสนสั้นของชีวิตนั้นเจริญเติบโตอยู่หน้าประตูบ้านของผม ฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมาภรรยาผมปลูกเถาดอกชมจันทร์ ที่มีชื่อเช่นนี้เพราะมันออกดอกบานทรงกลมสีขาวขนาดใหญ่คล้ายจันทร์เต็มดวง แต่ละดอกบานแค่คืนเดียวและจะเหี่ยวเฉาไปในแสงอาทิตย์ของเช้าวันถัดไปโดยไม่บานอีกเลย แต่ต้นของมันมีดอกดกและทุกเย็นจะเผยให้เห็นขบวนแห่ของบรรดาดอกไม้ที่เพิ่งผลิบาน เราชอบมองดูมันขณะเดินเข้าออกบ้านทุกวัน และได้แต่รอดูว่าความงามใหม่ๆแบบใดที่รอต้อนรับเมื่อเรากลับมา
ดอกไม้อันแสนบอบบางเหล่านี้ทำให้นึกถึงความจริงที่สำคัญในพระคัมภีร์ อัครทูตเปโตรยกข้อความของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่เขียนว่า “ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากพันธุ์มตะ แต่จากพันธุ์อมตะ คือด้วยพระวจนะของพระเจ้าอันทรงชีวิตและดำรงอยู่ เพราะว่าบรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้า และบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป” (1ปต.1:23-24) แต่ท่านยืนยันกับเราว่าพระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์เป็นนิตย์! (ข้อ 25)
เช่นเดียวกับดอกไม้ในสวน ชีวิตของเราในโลกนี้ช่างสั้นนักเมื่อเทียบกับนิรันดร์กาล แต่พระเจ้าทรงให้มีความงดงามในช่วงชีวิตอันแสนสั้นของเรา โดยข่าวประเสริฐของพระเยซูเราจึงได้เริ่มต้นอย่างสดใหม่กับพระเจ้า และวางใจในพระสัญญาถึงชีวิตที่ไร้ข้อจำกัดภายใต้การทรงสถิตด้วยความรักของพระองค์เมื่อดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ของโลกกลายเป็นเพียงความทรงจำ เราก็จะยังคงสรรเสริญพระองค์เรื่อยไป
ความหวังที่ยึดไว้
หนูรู้ว่าพ่อกำลังกลับบ้านเพราะพ่อส่งดอกไม้มาให้หนู” นั่นคือคำพูดของพี่สาววัยเจ็ดขวบที่บอกกับแม่ของเราเมื่อพ่อหายตัวไปในปฏิบัติการช่วงสงคราม ก่อนที่พ่อจะไปทำภารกิจ ท่านสั่งดอกไม้ไว้ล่วงหน้าสำหรับวันเกิดของพี่สาวผม และดอกไม้เหล่านั้นมาถึงช่วงที่ท่านหายตัวไป แต่เธอพูดถูก พ่อได้กลับบ้านหลังจากสถานการณ์การต่อสู้ที่ทำร้ายจิตใจ หลายสิบปีต่อมาเธอยังคงเก็บแจกันที่ใส่ดอกไม้ไว้ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ยึดมั่นในความหวังเสมอ
บางครั้งการยึดมั่นในความหวังไม่ใช่เรื่องง่ายในโลกที่แตกสลายเต็มไปด้วยบาปนี้ พ่อไม่ได้กลับบ้านทุกครั้งไป และความปรารถนาของลูกบางครั้งก็ไม่บรรลุผล แต่พระเจ้าประทานความหวังในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด ในสงครามอีกช่วงเวลาหนึ่ง ผู้เผยพระวจนะฮาบากุกทำนายถึงการรุกรานยูดาห์โดยพวกบาบิโลน (ฮบก.1:6; ดู 2 พกษ.24) แต่ท่านยังคงยืนยันว่าพระเจ้าทรงดีพร้อมทุกเวลา (ฮบก.1:12-13) โดยระลึกถึงพระกรุณาที่พระเจ้าทรงมีต่อประชากรของพระองค์ในอดีต ท่านประกาศว่า “แม้ต้นมะเดื่อไม่มีดอกบานหรือเถาองุ่นไม่มีผล ผลมะกอกเทศก็ขาดไป ทุ่งนามิได้เกิดอาหาร ฝูงสัตว์ขาดไปจากคอก และไม่มีฝูงวัวที่ในโรง ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า” (3:17-18)
นักวิชาการพระคัมภีร์บางคนเชื่อว่าชื่อฮาบากุกแปลว่า “ยึดมั่น” เรายึดพระเจ้าเป็นความหวังและความชื่นชมยินดีสูงสุดของเราได้ แม้อยู่ท่ามกลางการทดลอง เพราะพระองค์ทรงยึดเราไว้มั่นและจะไม่มีวันปล่อยเราไป
การซุบซิบนินทา
หนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเพ็พได้คร่าชีวิตแมวของภรรยาท่านผู้ว่าฯ แต่มันไม่จริง สิ่งเดียวที่เพ็พทำที่ถือเป็นความผิดคือการกัดโซฟาที่คฤหาสน์ของท่านผู้ว่าฯ เพ็พเป็นสุนัขพันธุ์ลาบราดอร์รีทรีฟเวอร์ ที่อายุยังน้อยและมีนิสัยขี้เล่น เจ้าของเพ็พคือกิฟฟอร์ด พินโช ผู้ว่าการรัฐเพนซิลเวเนียในช่วงทศวรรษ 1920 เจ้าสุนัขนี้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำแห่งรัฐทางภาคตะวันออก ถูกถ่ายรูปใบหน้าพร้อมกับมีหมายเลขประจำตัวนักโทษ เมื่อนักข่าวคนหนึ่งได้ยินเรื่องนี้ เขาแต่งเรื่องแมวขึ้นมา และเพราะรายงานข่าวของเขาปรากฏในหนังสือพิมพ์ หลายคนจึงเชื่อว่าเพ็พฆ่าแมวจริงๆ
กษัตริย์ซาโลมอนแห่งอิสราเอลทรงทราบดีถึงพลังของการให้ข้อมูลที่ผิด พระองค์บันทึกไว้ว่า “ถ้อยคำของผู้กระซิบนินทาก็เหมือนชิ้นอาหารอร่อย มันล่วงเข้าไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย” (สภษ.18:8) บางครั้งธรรมชาติของมนุษย์ที่ตกอยู่ในความบาปเป็นสาเหตุทำให้เราอยากจะเชื่อเรื่องที่ไม่จริงเกี่ยวกับคนอื่น
แต่ถึงแม้คนอื่นจะเชื่อเรื่องเท็จเกี่ยวกับเรา พระเจ้ายังคงสามารถใช้เราเพื่อการดีได้ แท้จริงแล้ว ท่านผู้ว่าฯส่งเพ็พไปที่คุกเพื่อให้มันเป็นเพื่อนกับผู้ต้องขังที่นั่น เพ็พได้เป็นสุนัขเพื่อการบำบัดตัวแรกและทำหน้าที่นั้นอยู่หลายปี
พระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรานั้นมั่นคง ไม่ว่าคนอื่นจะพูดหรือคิดอย่างไร เมื่อมีคนนินทาเรา ขอให้ระลึกไว้ว่าความคิดและความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรานั้นคือสิ่งสำคัญที่สุด