ยิ่งใหญ่พอที่จะดูแล
พระเจ้าทรงดูแลคนทั้งหมดนี้ได้อย่างไรกัน ความคิดนี้ผุดขึ้นมาขณะที่ผมก้าวออกจากชานชาลารถไฟที่พลุกพล่านในเมืองที่แออัด ห่างจากบ้านหลายพันกิโลเมตร ผมเป็นวัยรุ่นที่เดินทางไปต่างประเทศครั้งแรก และรู้สึกพรั่นพรึงกับขนาดของโลกที่อยู่รอบตัว เมื่อเทียบดูแล้วผมรู้สึกตัวเองช่างเล็กน้อย และสงสัยว่าพระเจ้าจะทรงรักคนมากมายขนาดนั้นได้อย่างไร
ผมยังไม่เข้าใจขอบเขตอันกว้างขวางของความรักที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ ผู้เผยพระวจนะโยนาห์ก็ไม่อาจเข้าใจเช่นกัน ในที่สุดเมื่อโยนาห์เชื่อฟังการทรงเรียกของพระเจ้าให้ไปประกาศการกลับใจแก่เมืองนีนะเวห์ เมืองหลวงของอาณาจักรอัสซีเรียอันโหดร้ายซึ่งกดขี่อิสราเอลบ้านเกิดของท่านโยนาห์ไม่ต้องการให้พระเจ้ายกโทษพวกเขา แต่ชาวเมืองนั้นกลับใจ เมื่อพระเจ้ามิได้ทรงทำลายพวกเขา โยนาห์ก็โกรธ พระเจ้าทรงให้พืชที่โตเร็วเป็นที่กำบังแก่โยนาห์ แต่แล้วก็ทรงเอาร่มเงาของท่านไป ทำให้ท่านโกรธยิ่งขึ้นไปอีก โยนาห์บ่น แต่พระเจ้าตรัสว่า “เจ้าหวงต้นไม้...ไม่สมควรหรือที่เราจะหวงเมืองนีนะเวห์นครใหญ่นั้น ซึ่งมีพลเมืองมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคน” (ยนา.4:10-11)
พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่พอที่จะทรงห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อผู้ที่อยู่ห่างไกลจากพระองค์ ความรักของพระองค์ซึ่งครอบคลุมความยาวของไม้กางเขนและอุโมงค์ว่างเปล่าของพระเยซู นั้นก็เพื่อตอบสนองความต้องการสูงสุดของเรา ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นสำแดงให้เห็นในความประเสริฐของพระองค์ และพระองค์ปรารถนาที่จะนำเราเข้ามาใกล้พระองค์
การพึ่งพาพระเจ้า
“โอ้ หลานดูเคร่งเครียดเชียว!” ผมพูดกับเลย์ลานิหลานสาววัยสิบสัปดาห์ เธอกำลังพิจารณาใบหน้าของผมด้วยคิ้วที่ขมวดขณะผมกำลังพูดกับเธอ “ตาก็คงเครียดเหมือนกันเมื่อมองดูโลกนี้” ผมพูดต่อ “แต่หลานรู้ใช่ไหมว่า แม่รักหนู พ่อก็รักหนู และบาบากับพาพา (ชื่อเล่นของพวกเราในฐานะตายาย) ก็รักหนูด้วยเหมือนกัน แต่ที่ดีที่สุดคือ พระเยซูรักหนู! และนั่นคือทุกสิ่ง!”
แล้วสิ่งนี้ก็เกิดขึ้น เหมือนก้อนเมฆเผยให้เห็นดวงอาทิตย์ที่โผล่ออกมา รอยย่นหายไปจากคิ้วของเธอ และใบหน้าเล็กๆของเธอสดใสขึ้นด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใจผมละลาย เช่นเดียวกับตายายส่วนใหญ่ ผมอยากจะเชื่อว่าเธอเข้าใจผมแม้อาจดูมากเกินจริงไปสักหน่อย แต่เธออาจจับความยินดีที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของผมได้ ความสุขที่เรียบง่ายและไร้เดียงสาที่ปรากฏบนใบหน้าของเธอทำให้ผมนึกถึงคำตรัสของพระเยซูที่ว่า เราต้อง “รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆ” (มก.10:15)
พระเยซูตรัสคำเหล่านั้นเมื่อ “ผู้คนพาเด็กเล็กๆ” มาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ “ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้น” และอวยพรพวกเขา แต่ “เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้” (ข้อ 13,16) ด้วยคิดว่าพระเยซูทรงยุ่งหรือสำคัญเกินไป และนั่นทำให้พระองค์ไม่พอพระทัย (ข้อ 14-15)
เด็กๆมีความถ่อมใจและความไว้วางใจโดยธรรมชาติ ในการที่จะรับพระเมตตาของพระเจ้าผ่านทางพระคริสต์นั้น เราเองต้องหันจากความเย่อหยิ่งและยอมรับว่าเราต้องการพระองค์ในทุกสิ่ง เมื่อเราทำเช่นนั้น พระองค์จะทรงเปลี่ยนความสิ้นหวังของโลกนี้ให้เป็นพระสัญญาแห่งชีวิตที่มีในพระเจ้าไปตลอดนิรันดร์ และนั่นควรจะทำให้เรายิ้มได้
สัตย์ซื่ออยู่เป็นนิตย์
ภัยพิบัติจากไฟป่าครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกาคือไฟป่าเพชติโกทางตะวันออกเฉียงเหนือของรัฐวิสคอนซิน ซึ่งเกิดขึ้นในคืนเดียวกับไฟป่าชิคาโกอันโด่งดัง (8 ตุลาคม ค.ศ. 1871) แต่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่าหลายร้อยคน เพชติโกเมืองแห่งอาคารไม้ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมไม้ ถูกเผาผลาญภายในหนึ่งชั่วโมงโดยไฟที่โหมกระหน่ำจากลมกรรโชกแรง นอกจากเครื่องเคลือบดินเผาและเตาเผาแล้ว ท่ามกลางของไม่กี่ชิ้นที่เหลือรอดนั้นมีพระคัมภีร์เล่มเล็กๆที่เปิดอยู่ เปลวไฟเผาไหม้ปกจนเกรียมและความร้อนอันรุนแรงทำให้หน้าหนังสือกลายเป็นหิน พระคัมภีร์เล่มนี้ยังคงสภาพสมบูรณ์ และปัจจุบันจัดแสดงไว้ในพิพิธภัณฑ์ในเมือง
การที่พระคัมภีร์เล่มเล็กๆนี้รอดมาได้ทำให้นึกถึงพระสัญญาที่พระเจ้าประ-ทานแก่ประชากรของพระองค์ในช่วงเวลายากลำบากที่ “หญ้านั้นก็เหี่ยวแห้ง ดอกไม้นั้นก็ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเราจะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์” (อสย.40:8) แม้จะถูกคุกคามด้วย “พายุเพลิง” แห่งการถูกรุกรานและถูกเนรเทศ แต่พระเจ้ายืนยันว่าพระองค์จะทรงสัตย์ซื่อต่อสัญญาของพระองค์และจะไม่ทรงละทิ้งผู้ที่หันมาหาพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
พระคัมภีร์ในเมืองเพชติโกซึ่งยังอ่านได้บางส่วนนั้นเปิดอยู่ที่สดุดีบทที่ 106 และ 107 โดยข้อแรกของสดุดีทั้งสองบทประกอบด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า “จงโมทนาขอบพระคุณพระเจ้าเพราะพระองค์ประเสริฐ เพราะความรักมั่นคงของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์” แม้ในยามที่ต้องเผชิญความยากลำบากครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเรา ถ้อยคำและความรักของพระองค์ก็ไม่เคยสั่นคลอน และเพราะเหตุนี้เราจะขอบพระคุณพระองค์ตลอดไป
รักผู้อื่นโดยการอธิษฐานเผื่อ
“ผมไม่รู้ว่าวันนี้ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรถ้าไม่มีคำอธิษฐานของแม่ ผมไม่คิดว่าผมจะยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ” ราฮิมเพื่อนของผมกล่าว เขาเคยติดยาและถูกจำคุกในคดีจำหน่ายยาเสพติด วันหนึ่งขณะที่เราดื่มกาแฟด้วยกัน เขาได้เล่าถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขาผ่านคำอธิษฐานของแม่ “แม้ผมจะทำให้เธอผิดหวังอย่างมาก แต่เธอยังคงรักผมโดยอธิษฐานเผื่อผม ชีวิตผมมีปัญหามาก ถ้าแม่ไม่อธิษฐานเผื่อผม มันคงจะเลวร้ายยิ่งกว่านั้นอีก”
พระธรรมซามูเอลในพันธสัญญาเดิมก็มีเรื่องราวของคนที่แสดงความสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและผู้อื่นด้วยการอธิษฐานเผื่อ ในวันที่ซาอูลได้รับการเจิมตั้งให้เป็นกษัตริย์ที่เมืองมิสปาห์ ผู้เผยพระวจนะซามูเอลก็รู้สึกผิดหวังเช่นกัน เพราะประชาชนได้เชื่อวางใจและฝากความหวังของพวกเขาไว้กับผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า
ในขณะที่ผู้คนมาชุมนุมกัน พระเจ้าทรงสำแดงความกริ้วของพระองค์ผ่านพายุนอกฤดู ซึ่งทำให้พวกเขาหวาดกลัวและรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเอง (1 ซมอ.12:16-18) เมื่อคนเหล่านั้นขอให้ซามูเอลอธิษฐานแทนพวกเขา ท่านตอบว่า “ขออย่าให้มีวี่แววที่ข้าพเจ้าจะกระทำบาปต่อพระเจ้าด้วยการหยุดอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย” (ข้อ 23)
การตอบสนองของซามูเอลย้ำเตือนเราว่า การอธิษฐานเผื่อผู้อื่นนั้นเป็นหนทางหนึ่งที่จะทำให้พระเจ้าทรงเป็นที่หนึ่งในใจและในชีวิตของเรา เมื่อเรารักผู้อื่นโดยการอธิษฐานเผื่อพวกเขานั้น เราก็ได้เปิดประตูเพื่อจะเห็นและเป็นพยานถึงสิ่งที่พระองค์ผู้เดียวสามารถทำได้ และเราจะไม่อยากพลาดสิ่งนั้นแน่นอน
พระเจ้าผู้ทรงเอาใจใส่เรา
“คุณอยากเห็นแผลเป็นของผมไหม” บิลเพื่อนของผมเป็นอัมพาตตั้งแต่หน้าอกลงมาจากการตกบันไดเมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะติดเชื้อรุนแรงระหว่างการผ่าตัด ขณะคุยกันถึงปัญหาที่เป็นสิ่งท้าทายใหม่นี้ เขาก็เปิดผ้าห่มให้ผมดูรอยผ่ายาวจากการรักษาอาการติดเชื้อ “คุณเจ็บไหม” ผมถาม “ผมไม่รู้สึกอะไรเลย” เขาบอก
ผมรู้สึกผิดในทันทีที่เขาพูดจบ ตลอดหลายปีที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอุปสรรคทั้งต่อความคล่องตัวและการรับรู้ความรู้สึกของเขา ผมรู้สึกละอายใจที่ไม่ได้เอาใจใส่เขาและอาการบาดเจ็บของเขามากพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาเผชิญในแต่ละวันมากกว่านี้
การที่ผมขาดการเอาใจใส่ในเรื่องของเพื่อน ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ได้กระทำ เมื่อผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวกับพระองค์ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งในวังของพระองค์จะ “ต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน” และทายาทของพระองค์ “จะถูกนำเอาไป” ด้วย (2 พกษ.20:17-18) เฮเซคียาห์รู้สึก พอพระทัย “เพราะพระองค์ดำริว่า ‘ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรา’” (ข้อ 19) แม้ว่าเฮเซคียาห์จะเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่ทรงสนใจแต่ตนเองมากกว่าสิ่งที่คนอื่นจะต้องเผชิญ
แต่พระเจ้าทรงต่างออกไปอย่างมาก ยอห์นกล่าวว่า “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเราและทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา” เพื่อช่วยเราให้รอด (1 ยน.4:10) พระเจ้าทรงห่วงใยเราอย่างลึกซึ้งจนทรงทนทุกข์เพื่อเรา เพื่อเราจะได้อยู่ในความรักของพระองค์ตลอดไป
อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งความรัก
ในภาพยนตร์เรื่องทุ่งแห่งความฝัน ซึ่งเป็นหนังคลาสสิกแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับกีฬา ตัวละครที่ชื่อ เรย์ คินเซลล่า ได้พบกับพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาในสภาพของนักกีฬาหนุ่ม ทันทีที่เห็นพ่อครั้งแรก เรย์บอกกับแอนนี่ภรรยาของเขาว่า “ผมเจอเขาแค่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังตอนที่เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จากปัญหาชีวิต แต่ดูเขาตอนนี้สิ ผมจะพูดอะไรกับเขาดีล่ะ” ฉากนี้ทำให้เกิดคำถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้าได้เจอคนที่เรารักซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว แต่กลับมามีชีวิตและแข็งแรงอีกครั้ง
นางมารีย์ ชาวมักดาลามีประสบการณ์เช่นนั้นเมื่อเธอได้พบพระเยซูเป็นครั้งแรกหลังจากทรงเป็นขึ้นจากความตาย มารีย์ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆอุโมงค์ที่ว่างเปล่า เมื่อเธอหันกลับมา “และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู” (ยน.20:14) ทำไมเธอถึงจำพระองค์ไม่ได้ อาจเป็นเพราะน้ำตาของเธอ หรือเป็นเพราะเวลานั้นยัง “เช้ามืด” (ข้อ 1) เป็นไปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นพระองค์ พระองค์ทรงมีเลือดท่วม ถูกทุบตีและถูกทรมานจนตาย เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นพระองค์กลับมามีชีวิตอีก พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจริงๆจนต้องใช้เวลานานกว่าคนจะยอมรับความจริงที่แสนประเสริฐนี้
กระนั้น พระเยซูทรงยืนอยู่ที่นั่น “เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย” (1 คร.15:42)! และทันทีที่พระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ มารีย์ก็จำพระองค์ได้ ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อนผู้สัตย์ซื่อ และ “อาจารย์” (ยน.20:16) ของเธอ แต่ในฐานะองค์เจ้านายผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกด้วย พระเจ้ามักจะมีวิธีที่ทำให้เราประหลาดใจด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์เสมอ การทรงพิชิตความตายเพื่อเรานั้นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างที่สุด
พระเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่
“พ่อค้าความตายเสียชีวิตแล้ว!” นั่นคือพาดหัวข่าวมรณกรรมที่ทำให้อัลเฟรด โนเบล ผู้ประดิษฐ์ระเบิดไดนาไมต์ต้องแก้ไขเส้นทางชีวิตของตัวเองใหม่ แต่หนังสือพิมพ์ลงข่าวผิด อัลเฟรดยังคงมีชีวิตอยู่ ลุดวิกน้องชายของเขาต่างหากที่เสียชีวิต เมื่ออัลเฟรดตระหนักว่าผู้คนจะจดจำเขาจากสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอันตรายซึ่งคร่าชีวิตผู้คนมากมาย เขาจึงตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ และนั่นเป็นที่มาของรางวัลโนเบลที่โด่งดัง
กว่าสองพันปีก่อน ชายผู้ทรงอำนาจอีกคนหนึ่งก็ได้กลับใจเช่นกัน มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กบฏต่อพระเจ้า ผลก็คือพระองค์ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ “เมื่อพระองค์ทรงทุกข์ยาก พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์” และเมื่อ “พระองค์ทรงอธิษฐาน” พระเจ้าทรง “นำท่านกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในราชอาณาจักรของท่านอีก” (2 พศด.33:12-13) มนัสเสห์ใช้เวลาที่เหลือในการปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข พระองค์ปรนนิบัติพระเจ้าและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ไขความผิดที่เคยทำมาในอดีต
“พระเจ้าทรงรับคำวิงวอน” เมื่อมนัสเสห์อธิษฐาน (ข้อ 13) พระเจ้าทรงตอบสนองต่อความถ่อมใจ เมื่อเราตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธเรา พระองค์จะประทานพระคุณที่เราไม่สมควรได้รับให้กับเรา และทรงสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่ด้วยความรักที่ทำให้พระองค์ยอมสละพระชนม์บนกางเขน การเริ่มต้นใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นโดยพระองค์
สมบัติของพ่อเรา
มันเป็นเพียงมีดพกเก่าๆเล่มหนึ่งที่ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา ใบมีดบิ่นและด้ามจับมีรอยบาก แต่นั่นคือหนึ่งในสมบัติของพ่อที่ท่านเก็บไว้ในกล่องเหนือตู้เสื้อผ้าจนท่านมอบให้ผม “นี่เป็นของหนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่พ่อได้มาจากปู่ของลูก” พ่อบอกกับผม ปู่ของผมเสียตอนที่พ่อยังเด็ก และพ่อก็หวงแหนมีดเล่มนั้นเพราะท่านเทิดทูนพ่อของท่าน
พระคัมภีร์บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงมีทรัพย์สมบัติที่เราอาจไม่คาดคิด ในพระธรรมวิวรณ์เราเห็นพระที่นั่งในสวรรค์ล้อมรอบด้วย “สัตว์ทั้งสี่” และ “ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ก้มกราบนมัสการพระเยซู (บทที่ 4-5) แต่ละคนถือ “ขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8) ในสมัยโบราณเครื่องหอมเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับให้กษัตริย์ใช้ (คิดถึงทองคำ กำยานและมดยอบที่ถวายแด่พระเยซูในมัทธิว 2:11) คำอธิษฐานของเราดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับเราในเวลานี้ แต่พระเจ้าทรงต้องการให้คำอธิษฐานเหล่านั้นอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ
วิวรณ์บทที่ 5 เน้นย้ำถึงคุณค่าของพระเยซู เพราะทรงเป็นผู้ปราศจากบาปและทรงยอมสิ้นพระชนม์ด้วยความรักเพื่อพวกเรา คุณค่าของพระเยซูชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่พระเจ้าให้คุณค่ากับคำอธิษฐานของพวกเรา คำอธิษฐานของเรามีค่าสำหรับพระเจ้าเพราะพวกเราล้ำค่าสำหรับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราโดยไม่เห็นแก่พระองค์เอง ด้วยความรักที่ล้ำค่าและเปี่ยมด้วยพระคุณ พระองค์จึงปรารถนาให้เราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในการอธิษฐาน
ภาพพระเยซู
โมเสสมีเขาด้วยหรือ นั่นคือลักษณะของประติมากรรมชิ้นเอกรูปโมเสสโดยไมเคิลแองเจโลที่เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1515 เขาทั้งสองนั้นงอกออกมาเหนือหน้าผากของโมเสส
ไม่เพียงไมเคิลแองเจโล แต่ศิลปินในยุคเรอเนสซองส์และยุคกลางหลายคนก็สร้างภาพของโมเสสในลักษณะเดียวกัน สาเหตุมาจากการแปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเป็นภาษาละตินในยุคนั้น ซึ่งอธิบายใบหน้าที่ทอแสงของโมเสสหลังจากสนทนากับพระเจ้า (อพย.34:29) ในภาษาต้นฉบับใช้คำที่สอดคล้องกับคำว่า “เขา” เพื่ออธิบาย “ลำแสง” ที่ส่องสว่างบนใบหน้าของโมเสส และพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับโวลเกทแปลตามตัวอักษร ทำให้โมเสสถูกวาดภาพ “ผิดไป”
คุณเคยวาดภาพใครบางคนผิดไปบ้างไหม หลังจากเปโตรได้รักษาชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดในพระนามของพระเยซู (กจ.3:1-10) อัครทูตได้บอกคนอิสราเอลว่าพวกเขาวาดภาพพระเยซูผิดไป “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย” ท่านพูดอย่างตรงประเด็น “แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก” (ข้อ 15) ท่านกล่าวต่อว่า “แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น” (ข้อ 18) เปโตรยังบอกอีกว่า แม้โมเสสเองก็ชี้ถึงพระคริสต์ด้วย (ข้อ 22)
“โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์”คือ “ความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์” ได้ทำให้ชีวิตของชายผู้นี้เปลี่ยนแปลงไป (ข้อ 16) ไม่ว่าเราจะเคยเข้าใจพระองค์ผิดไปหรือมีเรื่องราวในอดีตมาอย่างไร พระคริสต์ทรงยินดีต้อนรับเราเสมอเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระผู้สร้างชีวิตทรงพร้อมที่จะเขียนจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับเรา