พระเจ้าผู้ทรงเอาใจใส่เรา
“คุณอยากเห็นแผลเป็นของผมไหม” บิลเพื่อนของผมเป็นอัมพาตตั้งแต่หน้าอกลงมาจากการตกบันไดเมื่อหลายปีก่อน และตอนนี้เขาอยู่ที่โรงพยาบาลเพราะติดเชื้อรุนแรงระหว่างการผ่าตัด ขณะคุยกันถึงปัญหาที่เป็นสิ่งท้าทายใหม่นี้ เขาก็เปิดผ้าห่มให้ผมดูรอยผ่ายาวจากการรักษาอาการติดเชื้อ “คุณเจ็บไหม” ผมถาม “ผมไม่รู้สึกอะไรเลย” เขาบอก
ผมรู้สึกผิดในทันทีที่เขาพูดจบ ตลอดหลายปีที่เราเป็นเพื่อนกัน ผมไม่เคยฉุกคิดมาก่อนว่าอาการบาดเจ็บของเขาเป็นอุปสรรคทั้งต่อความคล่องตัวและการรับรู้ความรู้สึกของเขา ผมรู้สึกละอายใจที่ไม่ได้เอาใจใส่เขาและอาการบาดเจ็บของเขามากพอที่จะเข้าใจสิ่งที่เขาเผชิญในแต่ละวันมากกว่านี้
การที่ผมขาดการเอาใจใส่ในเรื่องของเพื่อน ทำให้ผมนึกถึงสิ่งที่กษัตริย์เฮเซคียาห์แห่งยูดาห์ได้กระทำ เมื่อผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวกับพระองค์ว่าวันหนึ่งทุกสิ่งในวังของพระองค์จะ “ต้องถูกเอาไปยังบาบิโลน” และทายาทของพระองค์ “จะถูกนำเอาไป” ด้วย (2 พกษ.20:17-18) เฮเซคียาห์รู้สึก พอพระทัย “เพราะพระองค์ดำริว่า ‘ก็ดีแล้วมิใช่หรือ ในเมื่อมีความอยู่เย็นเป็นสุขและความปลอดภัยในวันเวลาของเรา’” (ข้อ 19) แม้ว่าเฮเซคียาห์จะเป็นกษัตริย์ที่ดี แต่ทรงสนใจแต่ตนเองมากกว่าสิ่งที่คนอื่นจะต้องเผชิญ
แต่พระเจ้าทรงต่างออกไปอย่างมาก ยอห์นกล่าวว่า “ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ มิใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเราและทรงใช้พระบุตรของพระองค์มา” เพื่อช่วยเราให้รอด (1 ยน.4:10) พระเจ้าทรงห่วงใยเราอย่างลึกซึ้งจนทรงทนทุกข์เพื่อเรา เพื่อเราจะได้อยู่ในความรักของพระองค์ตลอดไป
อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่แห่งความรัก
ในภาพยนตร์เรื่องทุ่งแห่งความฝัน ซึ่งเป็นหนังคลาสสิกแนวแฟนตาซีเกี่ยวกับกีฬา ตัวละครที่ชื่อ เรย์ คินเซลล่า ได้พบกับพ่อผู้ล่วงลับไปแล้วของเขาในสภาพของนักกีฬาหนุ่ม ทันทีที่เห็นพ่อครั้งแรก เรย์บอกกับแอนนี่ภรรยาของเขาว่า “ผมเจอเขาแค่ในช่วงไม่กี่ปีให้หลังตอนที่เขาอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่จากปัญหาชีวิต แต่ดูเขาตอนนี้สิ ผมจะพูดอะไรกับเขาดีล่ะ” ฉากนี้ทำให้เกิดคำถามว่า จะเป็นอย่างไรถ้าได้เจอคนที่เรารักซึ่งจากโลกนี้ไปแล้ว แต่กลับมามีชีวิตและแข็งแรงอีกครั้ง
นางมารีย์ ชาวมักดาลามีประสบการณ์เช่นนั้นเมื่อเธอได้พบพระเยซูเป็นครั้งแรกหลังจากทรงเป็นขึ้นจากความตาย มารีย์ยืนร้องไห้อยู่ข้างๆอุโมงค์ที่ว่างเปล่า เมื่อเธอหันกลับมา “และเห็นพระเยซูประทับยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นองค์พระเยซู” (ยน.20:14) ทำไมเธอถึงจำพระองค์ไม่ได้ อาจเป็นเพราะน้ำตาของเธอ หรือเป็นเพราะเวลานั้นยัง “เช้ามืด” (ข้อ 1) เป็นไปได้ว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเห็นพระองค์ พระองค์ทรงมีเลือดท่วม ถูกทุบตีและถูกทรมานจนตาย เธอไม่คิดว่าจะได้เห็นพระองค์กลับมามีชีวิตอีก พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจริงๆจนต้องใช้เวลานานกว่าคนจะยอมรับความจริงที่แสนประเสริฐนี้
กระนั้น พระเยซูทรงยืนอยู่ที่นั่น “เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย” (1 คร.15:42)! และทันทีที่พระองค์ทรงเรียกชื่อเธอ มารีย์ก็จำพระองค์ได้ ไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อนผู้สัตย์ซื่อ และ “อาจารย์” (ยน.20:16) ของเธอ แต่ในฐานะองค์เจ้านายผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์อีกด้วย พระเจ้ามักจะมีวิธีที่ทำให้เราประหลาดใจด้วยการอัศจรรย์ของพระองค์เสมอ การทรงพิชิตความตายเพื่อเรานั้นเป็นสิ่งที่อัศจรรย์อย่างที่สุด
พระเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่
“พ่อค้าความตายเสียชีวิตแล้ว!” นั่นคือพาดหัวข่าวมรณกรรมที่ทำให้อัลเฟรด โนเบล ผู้ประดิษฐ์ระเบิดไดนาไมต์ต้องแก้ไขเส้นทางชีวิตของตัวเองใหม่ แต่หนังสือพิมพ์ลงข่าวผิด อัลเฟรดยังคงมีชีวิตอยู่ ลุดวิกน้องชายของเขาต่างหากที่เสียชีวิต เมื่ออัลเฟรดตระหนักว่าผู้คนจะจดจำเขาจากสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นอันตรายซึ่งคร่าชีวิตผู้คนมากมาย เขาจึงตัดสินใจบริจาคทรัพย์สินส่วนใหญ่ของเขาเพื่อเป็นรางวัลให้กับผู้ที่ทำคุณประโยชน์ให้กับมนุษยชาติ และนั่นเป็นที่มาของรางวัลโนเบลที่โด่งดัง
กว่าสองพันปีก่อน ชายผู้ทรงอำนาจอีกคนหนึ่งก็ได้กลับใจเช่นกัน มนัสเสห์กษัตริย์แห่งยูดาห์ได้กบฏต่อพระเจ้า ผลก็คือพระองค์ถูกจับไปเป็นเชลยที่บาบิโลน แต่ “เมื่อพระองค์ทรงทุกข์ยาก พระองค์ทรงวิงวอนขอพระกรุณาต่อพระเยโฮวาห์” และเมื่อ “พระองค์ทรงอธิษฐาน” พระเจ้าทรง “นำท่านกลับมายังกรุงเยรูซาเล็มในราชอาณาจักรของท่านอีก” (2 พศด.33:12-13) มนัสเสห์ใช้เวลาที่เหลือในการปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุข พระองค์ปรนนิบัติพระเจ้าและพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะแก้ไขความผิดที่เคยทำมาในอดีต
“พระเจ้าทรงรับคำวิงวอน” เมื่อมนัสเสห์อธิษฐาน (ข้อ 13) พระเจ้าทรงตอบสนองต่อความถ่อมใจ เมื่อเราตระหนักว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและหันกลับมาหาพระองค์ พระองค์จะไม่มีวันปฏิเสธเรา พระองค์จะประทานพระคุณที่เราไม่สมควรได้รับให้กับเรา และทรงสร้างชีวิตของเราขึ้นใหม่ด้วยความรักที่ทำให้พระองค์ยอมสละพระชนม์บนกางเขน การเริ่มต้นใหม่จึงเริ่มต้นขึ้นโดยพระองค์
สมบัติของพ่อเรา
มันเป็นเพียงมีดพกเก่าๆเล่มหนึ่งที่ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา ใบมีดบิ่นและด้ามจับมีรอยบาก แต่นั่นคือหนึ่งในสมบัติของพ่อที่ท่านเก็บไว้ในกล่องเหนือตู้เสื้อผ้าจนท่านมอบให้ผม “นี่เป็นของหนึ่งในไม่กี่ชิ้นที่พ่อได้มาจากปู่ของลูก” พ่อบอกกับผม ปู่ของผมเสียตอนที่พ่อยังเด็ก และพ่อก็หวงแหนมีดเล่มนั้นเพราะท่านเทิดทูนพ่อของท่าน
พระคัมภีร์บอกกับเราว่า พระเจ้าทรงมีทรัพย์สมบัติที่เราอาจไม่คาดคิด ในพระธรรมวิวรณ์เราเห็นพระที่นั่งในสวรรค์ล้อมรอบด้วย “สัตว์ทั้งสี่” และ “ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คน” ก้มกราบนมัสการพระเยซู (บทที่ 4-5) แต่ละคนถือ “ขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของธรรมิกชนทั้งปวง” (5:8) ในสมัยโบราณเครื่องหอมเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับให้กษัตริย์ใช้ (คิดถึงทองคำ กำยานและมดยอบที่ถวายแด่พระเยซูในมัทธิว 2:11) คำอธิษฐานของเราดูเหมือนเป็นสิ่งเล็กน้อยสำหรับเราในเวลานี้ แต่พระเจ้าทรงต้องการให้คำอธิษฐานเหล่านั้นอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ
วิวรณ์บทที่ 5 เน้นย้ำถึงคุณค่าของพระเยซู เพราะทรงเป็นผู้ปราศจากบาปและทรงยอมสิ้นพระชนม์ด้วยความรักเพื่อพวกเรา คุณค่าของพระเยซูชี้ให้เห็นถึงเหตุผลที่พระเจ้าให้คุณค่ากับคำอธิษฐานของพวกเรา คำอธิษฐานของเรามีค่าสำหรับพระเจ้าเพราะพวกเราล้ำค่าสำหรับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักเราโดยไม่เห็นแก่พระองค์เอง ด้วยความรักที่ล้ำค่าและเปี่ยมด้วยพระคุณ พระองค์จึงปรารถนาให้เราอยู่ใกล้ชิดพระองค์ในการอธิษฐาน
ภาพพระเยซู
โมเสสมีเขาด้วยหรือ นั่นคือลักษณะของประติมากรรมชิ้นเอกรูปโมเสสโดยไมเคิลแองเจโลที่เสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1515 เขาทั้งสองนั้นงอกออกมาเหนือหน้าผากของโมเสส
ไม่เพียงไมเคิลแองเจโล แต่ศิลปินในยุคเรอเนสซองส์และยุคกลางหลายคนก็สร้างภาพของโมเสสในลักษณะเดียวกัน สาเหตุมาจากการแปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเป็นภาษาละตินในยุคนั้น ซึ่งอธิบายใบหน้าที่ทอแสงของโมเสสหลังจากสนทนากับพระเจ้า (อพย.34:29) ในภาษาต้นฉบับใช้คำที่สอดคล้องกับคำว่า “เขา” เพื่ออธิบาย “ลำแสง” ที่ส่องสว่างบนใบหน้าของโมเสส และพระคัมภีร์ภาษาละตินฉบับโวลเกทแปลตามตัวอักษร ทำให้โมเสสถูกวาดภาพ “ผิดไป”
คุณเคยวาดภาพใครบางคนผิดไปบ้างไหม หลังจากเปโตรได้รักษาชายที่เป็นง่อยแต่กำเนิดในพระนามของพระเยซู (กจ.3:1-10) อัครทูตได้บอกคนอิสราเอลว่าพวกเขาวาดภาพพระเยซูผิดไป “ท่านทั้งหลายจึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย” ท่านพูดอย่างตรงประเด็น “แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก” (ข้อ 15) ท่านกล่าวต่อว่า “แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าได้ทรงประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของผู้เผยพระวจนะทั้งหลาย ว่าพระคริสต์ของพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงทรงให้สำเร็จตามนั้น” (ข้อ 18) เปโตรยังบอกอีกว่า แม้โมเสสเองก็ชี้ถึงพระคริสต์ด้วย (ข้อ 22)
“โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์”คือ “ความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์” ได้ทำให้ชีวิตของชายผู้นี้เปลี่ยนแปลงไป (ข้อ 16) ไม่ว่าเราจะเคยเข้าใจพระองค์ผิดไปหรือมีเรื่องราวในอดีตมาอย่างไร พระคริสต์ทรงยินดีต้อนรับเราเสมอเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์ พระผู้สร้างชีวิตทรงพร้อมที่จะเขียนจุดเริ่มต้นใหม่ให้กับเรา
พระเจ้าไม่มีวันมองข้ามคุณ
“บางครั้งฉันก็รู้สึก...ไร้ตัวตน” คำๆนี้ซึมซาบไปในบรรยากาศขณะที่โจนี่พูดกับเพื่อนของเธอ สามีของเธอทิ้งเธอไปอยู่กับผู้หญิงอีกคน ปล่อยโจนี่กับลูกเล็กๆไว้ที่บ้าน “ฉันมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเขาตลอดเวลาหลายปี” เธอระบายความในใจ “และตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าจะมีใครที่มองเห็นฉันจริงๆ หรือจะใช้เวลาเพื่อจะรู้จักฉันอย่างแท้จริง”
“ฉันเสียใจด้วยนะ” เพื่อนของเธอตอบ “พ่อของฉันทิ้งไปตอนฉันอายุหกขวบ และเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเราโดยเฉพาะแม่ แต่แม่พูดประโยคนี้ตอนพาฉันเข้านอนในตอนกลางคืนซึ่งฉันไม่เคยลืมเลยว่า ‘พระเจ้าไม่เคยหลับตาของพระองค์’ เมื่อฉันโตขึ้นแม่อธิบายว่า แม่ต้องการจะสอนฉันว่าพระเจ้าทรงรักฉันและทรงเฝ้าดูฉันตลอดเวลา แม้ในยามที่ฉันหลับ”
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นถ้อยคำที่พระเจ้าประทานแก่โมเสสเพื่อกล่าวแก่ประ-ชากรของพระองค์ ในช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากขณะที่พวกเขาเร่ร่อนอยู่ในถิ่นทุรกันดารซีนาย “ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรแก่ท่าน และพิทักษ์รักษาท่าน ขอพระเจ้าทรงให้พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงแก่ท่าน และทรงพระกรุณาท่าน ขอพระเจ้าทรงเงยพระพักตร์ของพระองค์เหนือท่าน และประทานสวัสดิภาพแก่ท่าน” (กดว.6:24-26) โดยที่ปุโรหิตจะเป็นผู้กล่าวพรนี้แก่ประชาชน
แม้ในถิ่นทุรกันดารแห่งชีวิตที่เราสงสัยว่าจะมีใครมองเห็นเราหรือเข้าใจเราจริง แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ ความโปรดปรานของพระเจ้า คือพระพักตร์ที่ทอแสงและความรักมั่นคงของพระองค์จะหันไปทางผู้ที่รักพระองค์เสมอ แม้ในยามที่ความเจ็บปวดทำให้เราไม่รู้สึกถึงพระองค์ ก็ไม่มีใครไร้ตัวตนสำหรับพระเจ้า
การเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า
“ความบาปของคุณมีส่วนในการตรึงพระเยซูบนกางเขนหรือไม่” นี่ดูเหมือนจะเป็นคำถามของเร็มบรันท์จิตรกรชาวดัตช์ที่ปรากฏอยู่ในผลงานชิ้นเอกในปีค.ศ. 1633 ที่ชื่อว่า ยกกางเขน (The Raising of the Cross) พระเยซูปรากฏอยู่ตรงกลางของภาพบนกางเขนที่กำลังถูกยกขึ้นและวางให้ตรงตำแหน่ง มีชายสี่คนเป็นผู้ยกแต่มีคนหนึ่งที่โดดเด่นในแสงเงาที่อยู่รอบพระเยซู เสื้อผ้าของเขาต่างออกไป เขาใส่ชุดในสมัยของเร็มบรันท์และใส่หมวกที่จิตรกรมักจะใส่ เมื่อมองดูใบหน้าใกล้ๆทำให้เห็นว่าเร็มบรันท์วาดภาพตัวเองลงไปด้วย ราวกับจะพูดว่า “ความบาปของข้าพเจ้ามีส่วนในการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู”
แต่ยังมีอีกคนหนึ่งที่โดดเด่นออกมาเช่นกัน เขาอยู่บนหลังม้ามองตรงออกมาจากรูปภาพ บางคนคิดว่านี่เป็นอีกรูปของตัวเร็มบรันท์ที่กำลังตั้งคำถามด้วยสายตาหยั่งรู้กับทุกคนที่มองดูภาพนี้อยู่ว่า “คุณก็อยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ”
เปาโลมองเห็นตัวท่านเองในนั้น และอาจเป็นเราด้วยเช่นกัน เพราะพระเยซูทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อเราด้วย ในโรม 5:10 ท่านพูดถึงตัวเองและพวกเราว่าเป็น “ศัตรูของพระเจ้า” แต่แม้ความบาปของเราเป็นเหตุให้พระเยซูสิ้นพระชนม์ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ก็ยังทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า “พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา” (ข้อ 8)
เรายืนอยู่ในสถานะเดียวกับเร็มบรันท์และเปาโล คือเป็นคนบาปที่ต้องการการอภัย โดยทางกางเขนของพระเยซู พระองค์ได้หยิบยื่นสิ่งที่เราไม่มีวันทำได้ด้วยตัวเองและเติมเต็มความต้องการที่ลึกที่สุดของเรา นั่นคือการเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า
ผู้ให้กำลังใจ
“กำลังใจแบบจัดเต็ม” นั่นคือวลีที่ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน ใช้เพื่อบรรยายถึงกำลังใจที่ี ซี.เอส.ลูอิส ผู้เป็นทั้งเพื่อนและผู้ร่วมงานของเขา ได้มอบให้ในขณะที่เขาเขียนมหากาพย์ไตรภาคเรื่องเดอะลอร์ดออฟเดอะริงส์ งานเขียนชุดนี้ต้องใช้ความอุตสาหะและพิถีพิถันมาก และตัวเขาเองต้องพิมพ์ต้นฉบับที่ยาวมากนี้ มากกว่าสองครั้ง เมื่อเขาส่งต้นฉบับนั้นไปให้ลูอิส ลูอิสก็ตอบว่า “สมแล้วกับที่คุณใช้เวลาเขียนนานหลายปี”
ผู้ให้กำลังใจซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีที่สุดในพระคัมภีร์น่าจะเป็นโยเซฟจากไซปรัส หรือที่รู้จักกันดีในชื่อบารนาบัส (แปลว่า “ลูกแห่งการหนุนน้ำใจ”) ซึ่งเป็นชื่อที่อัครทูตตั้งให้ท่าน (กจ.4:36) บารนาบัสเป็นผู้แก้ต่างให้เปาโลต่อบรรดาอัครทูต (9:27) ต่อมาเมื่อผู้เชื่อที่ไม่ใช่ชาวยิวเริ่มมาเชื่อในพระเยซู ลูกาบอกเราว่าบารนาบัส “ก็ปีติยินดีจึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งใจมั่นคงติดสนิทอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า (11:23) ลูกาอธิบายว่าเขาเป็น “คนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และความเชื่อ” และเพิ่มเติมอีกว่าเพราะเขา “คนเป็นอันมากก็เพิ่มเข้ากับคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 24)
คำพูดที่ให้กำลังใจมีคุณค่าเกินกว่าจะวัดได้ เมื่อเรามอบถ้อยคำแห่งความเชื่อและความรักแก่ผู้อื่น พระเจ้าผู้ทรงประทาน “ความชูใจนิรันดร์” (2 ธส.2:16) อาจทำงานผ่านสิ่งที่เราแบ่งปันเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครบางคนตลอดไป ขอพระองค์ทรงช่วยเรามอบ “กำลังใจแบบจัดเต็ม” ให้กับใครสักคนในวันนี้
ความเมตตาที่ไม่อาจวัดได้
ขณะที่เพื่อนสองคนกำลังเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาอยู่ในร้านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ พวกเขาได้เจอกับนักบาสเกตบอลคนดังชาคีลล์ โอนีล พวกเขารู้ว่าโอนีลเพิ่งจะเผชิญกับการสูญเสียน้องสาวและอดีตเพื่อนร่วมทีม พวกเขาจึงพูดแสดงความเสียใจด้วยความรู้สึกเห็นใจ เมื่อชายสองคนกลับไปเลือกซื้อของต่อ ชาคีลล์เดินเข้าไปหาและบอกให้พวกเขาเลือกคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดโดยเขาได้จ่ายเงินให้ชายทั้งสอง เพียงเพราะทั้งสองมองเห็นตัวเขาในฐานะคนคนหนึ่งที่กำลังผ่านช่วงเวลายากลำบากและชาคีลล์ซาบซึ้งในความดีนั้น
กว่าหนึ่งพันปีก่อนที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น ซาโลมอนเขียนไว้ว่า “ผู้ที่มีใจเมตตากรุณาก็นำประโยชน์สุขมาให้ตนเอง” (สภษ.11:17 TNCV) เมื่อเรานึกถึงความต้องการของผู้อื่นและให้ความช่วยเหลือและหนุนใจพวกเขา เราก็ได้รับรางวัลเช่นกัน ซึ่งอาจไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือสิ่งของอื่นๆ แต่พระเจ้าทรงมีวิธีอวยพรเราในแบบที่โลกนี้ไม่สามารถวัดได้ ดังที่ซาโลมอนอธิบายในข้อก่อนหน้าว่า “หญิงผู้มีใจกรุณาย่อมได้รับความนับถือ ส่วนชายใจร้ายย่อมได้แต่เงินเท่านั้น” (ข้อ 16 TNCV) มีของขวัญจากพระเจ้าที่ล้ำค่ามากกว่าเงินทอง และพระองค์ทรงวัดค่านั้นด้วยพระเมตตาตามวิถีและพระปัญญาอันสมบูรณ์แบบของพระองค์
ความกรุณาและความเมตตาเป็นพระลักษณะของพระเจ้า และพระองค์ทรงรักที่จะเห็นสิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาในชีวิตและจิตใจของเรา ซาโลมอนสรุปไว้อย่างดีว่า “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ” (ข้อ 25)