ทรงสยบพายุ
จิมเล่าถึงปัญหาที่เขาพบในทีมเพื่อนร่วมงานอย่างออกรสชาติ ทั้งการแบ่งพวก ท่าทีตัดสินกัน และการเข้าใจผิดกัน หลังจากอดทนฟังความกังวลของเขามาหนึ่งชั่วโมง ฉันจึงแนะนำว่า “ให้เราถามพระเยซูกันว่าพระองค์จะให้เราทำยังไงในสถานการณ์นี้” เรานั่งเงียบประมาณห้านาที แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้น เราทั้งคู่ต่างสัมผัสถึงสันติสุขของพระเจ้าที่ปกคลุมเราเหมือนผ้าห่ม เราผ่อนคลายมากขึ้นเมื่อสัมผัสว่าพระองค์สถิตอยู่ด้วยและทรงนำและเรารู้สึกมั่นใจที่จะกลับไปเผชิญปัญหา
เปโตร สาวกคนหนึ่งของพระเยซู ต้องการการปลอบโยนจากพระเจ้า คืนหนึ่งเขาและสาวกคนอื่นกำลังแล่นเรือข้ามทะเลสาบกาลิลีที่มีพายุกระหน่ำ ทันใดนั้น พระเยซูทรงดำเนินมาบนน้ำ พวกเหล่าสาวกย่อมตกใจเป็นธรรมดา แต่พระองค์ปลอบพวกเขาว่า “ทำใจให้ดีไว้เถิด เราเอง อย่ากลัวเลย” (มธ.14:27) เปโตรถามพระเยซูในทันทีว่าขอเดินไปหาพระองค์ได้ไหม เขาก้าวออกจากเรือและเดินไปหาพระเยซู แต่แล้วก็ถูกเบี่ยงเบนจุดสนใจ เริ่มรู้สึกถึงอันตรายและสถานการณ์เหนือธรรมชาติที่เผชิญอยู่ เขาจึงเริ่มจมลง เขาร้องว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยข้าพระองค์ด้วย” และพระเยซูทรงช่วยเขาด้วยความรัก (ข้อ 30-31)
เช่นเดียวกับเปโตร เราสามารถเรียนรู้ว่าพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าสถิตกับเราแม้ในพายุแห่งชีวิต
เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว
ในปี 1722 กลุ่มคริสเตียนโมราเวียนที่อาศัยอยู่ในที่ปัจจุบันคือสาธารณรัฐเช็ก ได้ลี้ภัยการถูกข่มเหงไปอยู่ในที่ดินของขุนนางชาวเยอรมันคนหนึ่ง ภายในเวลาสี่ปี มีคนมาอาศัยอยู่รวมกันมากกว่า 300 คน แต่แทนที่พวกเขาจะรวมตัวเป็นชุมชนในอุดมคติเพราะต่างก็ลี้ภัยเพราะถูกข่มเหง แต่พวกเขากลับขัดแย้งและแตกแยกเพราะแนวคิดด้านศาสนาที่ต่างกัน พวกเขาตัดสินใจทำสิ่งที่อาจดูเล็กน้อย แต่นำมาซึ่งการฟื้นฟูครั้งใหญ่ คือพวกเขาเริ่มมุ่งจุดสนใจสิ่งที่คิดเห็นตรงกันมากกว่าสิ่งที่คิดเห็นต่างกัน ผลที่เกิดขึ้นคือความเป็นหนึ่งเดียวกัน
อัครทูตเปาโลหนุนใจให้ผู้เชื่อในคริสตจักรเมืองเอเฟซัสเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ความบาปมักทำให้เกิดปัญหา ความเห็นแก่ตัว และความสัมพันธ์ขัดแย้ง แต่ในฐานะผู้ที่ได้รับการทำให้ “มีชีวิตอยู่กับพระคริสต์” พวกเขาถูกเรียกให้สำแดงชีวิตใหม่อย่างผู้เชื่อ (อฟ.5:2) สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ พวกเขาต้อง “เพียรพยายามให้คงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ซึ่งพระวิญญาณทรงประทานนั้นด้วยสันติภาพเป็นพันธนะ” (4:3)
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวไม่ใช่แค่มิตรภาพที่ดีที่เกิดจากความพยายามของมนุษย์ แต่เราต้อง “มีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจอ่อนสุภาพอดทนนานและอดกลั้นต่อกันและกันด้วยความรัก” (ข้อ 2) ในมุมมองของมนุษย์ การทำเช่นนี้เป็นไปไม่ได้ เราไม่อาจเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวได้ด้วยกำลังของเราเอง แต่โดยฤทธิ์เดชอันสมบูรณ์ของพระเจ้า “ที่ประกอบกิจอยู่ภายในตัวเรา” (3:20)
บ้านใหม่ของเรา
ในฐานะผู้อพยพคนแรกที่เดินทางเข้าสหรัฐอเมริกาผ่านทางเกาะเอลลิสในปี 1892 แอนนี่ มอร์คงจะตื่นเต้นมากเมื่อคิดถึงบ้านใหม่และการเริ่มต้นใหม่ หลังจากนั้นมีคนอีกนับล้านที่ใช้เส้นทางนั้น แอนนี่เป็นเพียงวัยรุ่นที่ทิ้งชีวิตยากลำบากในไอร์แลนด์เพื่อมาเริ่มต้นใหม่ ในมือมีเพียงกระเป๋าใบเล็ก แต่เธอเปี่ยมไปด้วยความฝัน ความหวัง และความมุ่งหมายมากมายในดินแดนของโอกาส
บรรดาลูกของพระเจ้าจะได้เห็น “ท้องฟ้าใหม่และแผ่นดินโลกใหม่” (วว.21:1) เราจะตี่นเต้นและยำเกรงมากกว่านั้นสักแค่ไหน เราจะเข้าสู่ที่ที่พระธรรมวิวรณ์เรียกว่า “วิสุทธนครคือนครเยรูซาเล็มใหม่” (ข้อ 2) อัครทูตยอห์นอธิบายถึงสถานที่อันน่าอัศจรรย์นี้ไว้ด้วยมโนภาพอันทรงพลังที่นั่นจะมี “แม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิตใสเหมือนแก้วไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้าและพระที่นั่งของพระเมษโปดก” (22:1) น้ำมีความหมายถึงชีวิตและความอุดมสมบูรณ์ และน้ำนั้นมาจากแหล่งกำเนิดคือพระเจ้าผู้เป็นนิรันดร์ ยอห์นกล่าวว่า “จะไม่มีสิ่งใดถูกสาปแช่งอีกต่อไป” (ข้อ 3) สัมพันธภาพอันงดงามและบริสุทธิ์ที่พระเจ้าทรงตั้งใจไว้ระหว่างพระองค์และมนุษย์จะได้รับการฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์แบบ
เป็นเรื่องพิเศษสุดที่ได้รู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงรักและไถ่เราด้วยชีวิตของพระบุตรของพระองค์ ทรงกำลังจัดเตรียมบ้านใหม่อันน่าตื่นตาที่พระองค์จะทรงอยู่กับเราและเป็นพระเจ้าของเรา (21:3)
คุณจะกลับมาไหม
ชีวิตแต่งงานของรอนและแนนซี่ถูกบั่นทอนอย่างรวดเร็ว เธอแอบมีคนอื่น แต่หลังจากนั้นเธอสารภาพบาปกับพระเจ้า เธอรู้ว่าพระองค์อยากให้เธอทำอะไร แต่ทำได้ยาก เธอเล่าความจริงให้รอนฟัง แทนที่จะขอหย่า รอนให้โอกาสแนนซี่เปลี่ยนแปลงและทำให้ความไว้วางใจที่เขามีต่อเธอกลับคืนมา พระเจ้าทรงรื้อฟื้นความสัมพันธ์อย่างอัศจรรย์
รอน สะท้อนความรักและการให้อภัยที่พระเจ้ามีต่อคนบาปอย่างเรา ผู้เผยพระวจนะโฮเชยาเข้าใจดี พระเจ้าสั่งให้เขาแต่งงานกับหญิงที่ไม่สัตย์ซื่อเพื่อให้อิสราเอลเห็นว่าพวกเขาไม่สัตย์ซื่อต่อพระองค์ (ฮชย.1) และที่เจ็บปวดยิ่งกว่าคือเธอทิ้งเขาไป พระเจ้าบอกให้เขาไปขอร้องให้เธอกลับมา “จงไปแสดงความรักแก่ภรรยาของเจ้าอีกครั้ง แม้ว่ามีคนอื่นรักนางอยู่ และนางคบชู้ (3:1-TNCV) พวกเขาไม่เชื่อฟังหลายครั้ง แต่พระเจ้ายังคงต้องการผูกพันใกล้ชิดกับคนของพระองค์ ทรงรักประชากรของพระองค์เหมือนที่โฮเชยารัก ตามหาและเสียสละเพื่อภรรยาที่ไม่สัตย์ซื่อ พระพิโรธและความหวงแหนอันชอบธรรมของพระองค์มาจากความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์
วันนี้พระเจ้าต้องการให้เราเข้าใกล้พระองค์ เมื่อเราเข้าหาพระองค์ด้วยความเชื่อ เราย่อมเชื่อวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงเติมเต็มเรา
สัตย์ซื่อในการจองจำ
ฮาราลาน โปโปบไม่รู้เลยว่าชีวิตจะเปลี่ยนไป เมื่อเสียงออดหน้าบ้านดังขึ้น เช้าวันหนึ่งในปี 1948 ตำรวจบัลเกเรียจับเขาเข้าเรือนจำ โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าเพราะความเชื่อของเขา ตลอดสิบสามปีที่เขาอยู่ในเรือนจำ อธิษฐานทูลขอกำลังและความกล้าหาญแม้จะถูกปฏิบัติอย่างเลวร้าย แต่เขารู้ว่าพระเจ้าสถิตด้วย และเขาได้แบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเยซูให้เพื่อนผู้ต้องขังฟัง มีหลายคนรับเชื่อ
ในปฐมกาล 37 โยเซฟไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา หลังจากถูกพวกพี่ชายที่กำลังโกรธขายให้กับพ่อค้าที่พาเขาไปอียิปต์ และขายให้กับโปทิฟาร์ซึ่งเป็นข้าราชสำนักชาวอียิปต์ เขาพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางชนชาติที่นับถือพระนับพัน เรื่องยิ่งแย่ลงไปอีกเมื่อภรรยาของโปทิฟาร์พยายามจะล่อลวงเขา เมื่อโยเซฟปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เธอก็ใส่ความเขาและเขาถูกส่งไปเรือนจำ (39:16-20) แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้งเขา พระองค์ไม่เพียงอยู่กับโยเซฟ แต่ยัง “โปรดให้การงานทุกอย่างที่กระทำเจริญขึ้นมาก” และยัง “ทรงสำแดงความรักมั่นคงแก่เขา ทรงโปรดให้พัศดีเมตตาปรานีเขา” (39:3,21)
โยเซฟคงรู้สึกกลัวมาก แต่เขาก็ยังสัตย์ซื่อและรักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ พระเจ้าสถิตกับโยเซฟบนเส้นทางชีวิตที่ยากลำบากและมีแผนการเฉพาะสำหรับเขา พระองค์ทรงมีแผนการสำหรับคุณด้วย จงมีใจกล้าและเดินไปด้วยความเชื่อ วางใจว่าพระองค์ทรงเห็นและทรงทราบ
แค่เด็กชายยิปซี
"ก็แค่เด็กชายยิปซี” มีคนกระซิบอย่างรังเกียจเมื่อร็อดนีย์ สมิทแสดงตัวต้อนรับพระคริสต์ขณะประชุมนมัสการในปี 1877 ไม่มีใครสนใจวัยรุ่นลูกพ่อแม่ยิปซีไร้การศึกษาคนนี้ แต่เขาไม่ฟังเสียงเหล่านั้น เขาแน่ใจว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ในชีวิตเขา เขาจึงซื้อพระคัมภีร์และพจนานุกรมภาษาอังกฤษ แล้วฝึกอ่านเขียนเอง เขาพูดว่า “หนทางไปสู่พระเยซู ไม่ใช่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ฮาร์วาร์ด เยล หรือการเป็นนักเขียนบทกวีแต่คือ...เนินเขาโบราณที่เรียกว่า กลโกธา” ร็อดนีย์ฟันฝ่าอุปสรรคจนเป็นนักประกาศที่พระเจ้าทรงใช้นำคนมากมายในอังกฤษและอเมริกามาถึงพระเยซู
เปโตรก็เป็นเพียงผู้ชายธรรมดา ไม่เคยได้รับการอบรมในโรงเรียนสอนศาสนาของยิว (กจ.4:13) เป็นชาวประมงจากกาลิลี เมื่อพระเยซูทรงเรียกท่านด้วยคำตรัสง่ายๆ “จงตามเรามาเถิด” (มธ.4:19) แต่เปโตรซึ่งมีภูมิหลังเช่นนี้และมักทำผิดพลาด ก็ยังได้ยืนยันว่าผู้ที่ติดตามพระเยซูคือ “ชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” (1 ปต.2:9)
โดยพระเยซู ทุกคนไม่ว่าการศึกษา ภูมิหลัง เพศ หรือเชื้อชาติใด ก็เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวพระเจ้าและให้พระองค์ใช้ได้ การเป็น “ชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ” เป็นสิทธิ์ของทุกคนที่เชื่อในพระเยซู
ผู้ที่นำเรา
เมื่อพูดถึงพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณ คุณคิดถึงใคร ฉันคิดถึงศิษยาภิบาลริช ท่านเห็นศักยภาพและเชื่อมั่นในตัวฉันในขณะที่ฉันไม่เชื่อมั่นในตัวเอง ท่านเป็นแบบอย่างการเป็นผู้นำโดยการรับใช้อย่างถ่อมใจ และด้วยความรัก ผลลัพธ์คือปัจจุบันฉันรับใช้พระเจ้าด้วยการเป็นพี่เลี้ยงฝ่ายวิญญาณของผู้อื่นเช่นกัน
ผู้เผยพระวจนะเอลียาห์มีส่วนสำคัญในการพัฒนาเอลีชาเป็นผู้นำ พระเจ้าบอกให้ท่านเจิมตั้งเอลีชามาแทนท่าน ท่านได้พบเอลีชากำลังไถนาและชวนให้มาติดตามปรนนิบัติท่าน (1พกษ.19:16,19) น้องเลี้ยงฝ่ายวิญญาณผู้นี้เชื่อฟังและมองดูพี่เลี้ยงกระทำการอัศจรรย์ช่วงบั้นปลายชีวิต พระเจ้าทรงใช้เอลียาห์เตรียมเอลีชาให้พร้อมทำพันธกิจที่จะยาวนานตลอดชีวิต เอลีชาไปจากเอลียาห์ได้ แต่เขากลับยืนยันที่จะอยู่กับพี่เลี้ยง ทั้งสามครั้งที่เอลียาห์ยินยอมให้เอลีชาพ้นจากหน้าที่ เขาปฏิเสธและพูดว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ และท่านเองมีชีวิตอยู่แน่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่จากท่านไปฉันนั้น” (2 พกษ.2:2,4,6) เพราะเอลีชาสัตย์ซื่อ พระเจ้าก็ใช้ท่านอย่างพิเศษเช่นกัน
เราทุกคนก็จำเป็นต้องมีคนเป็นแบบอย่างของการติดตามพระเยซู ขอพระเจ้าประทานคนที่รักพระเจ้าซึ่งจะช่วยเราให้เติบโตขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ และให้เราพึ่งพาฤทธิ์เดชของพระวิญญาณของพระองค์และลงทุนชีวิตของเราในการดูแลผู้อื่นเช่นกัน
มีข่าวดีมาบอก
"คุณชื่ออะไร” อาร์มานนักศึกษาชาวอิหร่านถาม พอฉันบอกว่าชื่อเอสเท-รา ใบหน้าเขาก็ดูสนใจมากขึ้น และอุทานว่า “ชื่อเราเหมือนกันเลยในภาษาฟาร์ซี อ่านว่าซีแทร์” จุดเชื่อมโยงเล็กๆ นั้นเปิดทางไปสู่บทสนทนาที่น่าทึ่ง ฉันบอกเขาว่าชื่อของฉันตรงกับบุคคลในพระคัมภีร์ที่ชื่อ “เอสเธอร์” ซึ่งเป็นราชินีเชื้อสายยิวในเปอร์เซีย (ปัจจุบันคืออิหร่าน) แล้วเล่าข่าวประเสริฐให้เขาฟังโดยเริ่มจากเรื่องของเอสเธอร์ การสนทนาครั้งนั้นทำให้อาร์มานมาร่วมศึกษาพระคัมภีร์ทุกสัปดาห์เพื่อเรียนรู้เรื่องพระคริสต์เพิ่มเติม
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำฟีลิปสาวกของพระเยซูให้ตั้งคำถามที่ก่อให้เกิดบทสนทนากับข้าราชการชาวเอธิโอเปียที่กำลังเดินทางด้วยรถม้าว่า “ซึ่งท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจหรือ” (กจ.8:30) ชาวเอธิโอเปียคนนั้นกำลังอ่านหนังสืออิสยาห์และแสวงหาความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ ฟีลิปถามในเวลาที่เหมาะสม เขาเชิญฟีลิปขึ้นมานั่งด้วยกันแล้วฟังด้วยความถ่อมใจ ฟีลิปรู้ว่านี่เป็นโอกาสที่น่าอัศจรรย์ “จึงเริ่มเล่าจับต้นกล่าวตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซู” (ข้อ 35)
เช่นเดียวกับฟีลิป เราต่างก็มีข่าวดีที่จะบอก จงฉวยโอกาสที่มีในแต่ละวันในที่ทำงาน ในร้านของชำ หรือในละแวกบ้าน จงให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำย่างเท้าของเราและให้ถ้อยคำแก่เรา เพื่อแบ่งปันความหวังและความชื่นชมยินดีที่เรามีในพระเยซู
เจตนาเร่ร่อน
คีธ วาซเซอร์แมน ตัดสินใจทำตัวเป็นคนไร้บ้านปีละ 2-3 วัน มาตั้งแต่ปี 1989 เพื่อเรียนรู้เรื่องความรักและความเห็นอกเห็นใจ คีธซึ่งเป็นกรรมการบริหารองค์กรกู๊ดเวิร์คกล่าวว่า “ผมย้ายไปอาศัยอยู่ข้างถนนเพื่อขยายมุมมองและความเข้าใจ” ที่มีต่อคนเหล่านั้นที่ไม่มีบ้าน
ฉันคิดว่าการที่คีธเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคนที่เขาช่วยเหลือปรนนิบัติ เป็นภาพจำลองสิ่งที่พระเยซูทำเพื่อเรา พระเจ้าผู้ทรงสร้างจักรวาลยอมจำกัดพระองค์เองมาเป็นทารกที่อ่อนแอ ใช้ชีวิตอย่างมนุษย์ เผชิญทุกอย่างที่เราประสบและที่สุดแล้วยอมตายด้วยน้ำมือมนุษย์เพื่อให้เราได้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูกล่าวว่าพระเยซูทรง “ร่วมสายโลหิตกับมนุษย์เพื่อโดยทางความตายนั้นเอง พระองค์จะได้ทรงทำลายผู้ที่มีอำนาจแห่งความตาย คือมารเสียได้” (2:14) พระองค์ถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์แม้ว่าทรงเป็นพระผู้สร้าง (ข้อ 9) พระองค์มาเป็นมนุษย์และสิ้นพระชนม์แม้พระองค์ทรงเป็นอมตะ พระองค์ทนทุกข์เพื่อเราแม้ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ ทำไมพระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพื่อสามารถช่วยให้เราผ่านพ้นการทดลองและนำเรากลับคืนดีกับพระเจ้า (ข้อ 17-18)
วันนี้ขอให้เราได้สัมผัสความรักของพระองค์ และรู้ว่าทรงเข้าใจความเป็นมนุษย์ของเรา และได้จัดเตรียมหนทางชำระบาปให้เราแล้ว