ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Elisa Morgan

การอัศจรรย์ “ในสิ่งเล็กน้อย”

ในงานแต่งงานของเรา เดฟเพื่อนที่ขี้อายยืนอยู่ตรงมุมห้องโดยถือสิ่งของทรงสี่เหลี่ยมที่ห่อด้วยกระดาษบางๆเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่จะมอบของขวัญเขาจึงนำมันออกมา ฉันกับอีวานแกะห่อออกแล้วพบงานไม้แกะสลักรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีแผ่นลายไม้ทรงกลมอยู่ตรงกลางอย่างสมบูรณ์แบบ และมีประโยคที่สลักไว้ว่า “การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำนั้น บางอย่างก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ” แผ่นป้ายนั้นแขวนอยู่ในบ้านของเราเป็นเวลาสี่สิบห้าปีแล้ว เตือนเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทั้งการจ่ายบิล การจัดหาอาหาร การรักษาโรคหวัด ล้วนเป็นบันทึกอันน่าประทับใจถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น

เศรุบบาเบลผู้ว่าราชการของยูดาห์ได้รับถ้อยคำที่คล้ายกันจากพระเจ้าผ่านทางผู้พยากรณ์เศคาริยาห์ เกี่ยวกับการบูรณะกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารขึ้นใหม่ หลังกลับจากการเป็นเชลยของบาบิโลน ช่วงเวลาของกระบวนการจึงเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ และคนอิสราเอลรู้สึกท้อแท้มากขึ้น “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้” พระเจ้าประกาศ (ศคย.4:10 TNCV) พระองค์ทรงทำให้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จผ่านทางเราและบางครั้งโดยที่ไม่มีเรา “‘มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา’ พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (ข้อ 6)

เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้ากับงานของพระเจ้าที่ดูเหมือนเล็กน้อยซึ่งทรงกระทำภายในเราและรอบๆตัวเรา ขอให้เราจดจำไว้ว่าการอัศจรรย์บางอย่างของพระองค์อาจ “เล็กน้อย” แต่พระองค์ทรงใช้สิ่งเล็กน้อย เพื่อก่อให้เกิดพระประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์

พรมที่มีข้อความ “ยินดีต้อนรับ”

เมื่อกวาดสายตาอ่านข้อความที่อยู่บนพรมเช็ดเท้าซึ่งวางอยู่ในร้านค้าปลีกแถวบ้าน ฉันสังเกตเห็นคำต่างๆที่อยู่บนพรม เช่น “สวัสดี!” “บ้าน” ที่ใช้รูปหัวใจแทนพยัญชนะตัวหนึ่ง แล้วฉันก็เลือกพรมที่มีข้อความชินตาว่า “ยินดีต้อนรับ” เมื่อนำมาวางที่บ้าน ฉันก็สำรวจหัวใจตัวเองว่าบ้านของฉันให้การต้อนรับในแบบที่พระเจ้าปรารถนาให้เป็นจริงๆไหม คือ ต้อนรับเด็กที่ขายช็อกโกแลตเพื่อโครงการโรงเรียน ต้อนรับเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือคนในครอบครัวที่มาจากนอกเมืองโดยไม่บอกล่วงหน้า

ในมาระโกบทที่ 9 พระเยซูเสด็จลงจากภูเขาที่ทรงจำแลงพระกาย ที่ซึ่งทำให้เปโตร ยากอบและยอห์นยำเกรงในการทรงสถิตขององค์บริสุทธิ์ (ข้อ 1-13) และมารักษาเด็กที่ถูกผีเข้ากับบิดาที่หมดหวัง (ข้อ 14-29) จากนั้นทรงสอนบทเรียนแก่สาวกเป็นการส่วนตัวในเรื่องการสิ้นพระชนม์ (ข้อ 30-32) แต่พวกเขาพลาดประเด็นของพระองค์อย่างร้ายแรง (ข้อ 33-34) พระเยซูจึงทรงอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้บนตักแล้วตรัสว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียว แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย” (ข้อ 37) คำว่า รับ ในที่นี้หมายถึงการต้อนรับและยอมรับในฐานะแขกคนหนึ่ง พระเยซูต้องการให้สาวกต้อนรับทุกคน แม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยและแม้ในเวลาที่เราไม่สะดวก ให้เหมือนกับว่าเรากำลังต้อนรับพระองค์

ฉันคิดถึงพรมที่มีข้อความว่ายินดีต้อนรับของฉัน และสงสัยว่าฉันจะหยิบยื่นความรักของพระองค์ไปถึงผู้อื่นอย่างไร ก็โดยเริ่มต้นด้วยการต้อนรับพระเยซูในฐานะแขกผู้ล้ำค่า แล้วฉันจะยอมให้พระองค์ทรงนำฉัน ในการต้อนรับผู้อื่นตามที่พระองค์ทรงปรารถนาหรือไม่

รับใช้เพื่อให้คนพอใจ

แอนดรูว์ การ์ดเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐอเมริกา ในการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทบาทของเขานั้น เขาอธิบายว่า “ในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคนจะแขวนป้ายข้อความที่แสดงถึงเป้าหมายว่า ‘เรารับใช้ตามความพอใจของประธานาธิบดี’ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรามีหน้าที่เอาใจประธานาธิบดี หรือทำให้เขาหรือเธอมีความสุข แต่หน้าที่ของเราคือบอกถึงสิ่งที่ประธานาธิบดีจำเป็นต้องรู้เพื่อจะทำงานของตัวเอง” และงานที่ว่าก็คือการปกครองประเทศสหรัฐอเมริกา

ในบทบาทและความสัมพันธ์มากมายที่เรามี เรามักจะพยายามทำให้ทุกคนพอใจ แทนที่จะเสริมสร้างกันขึ้นให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามที่อัครทูตเปาโลมักจะเตือนเราในเอเฟซัสบทที่ 4 ว่า “ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ” (ข้อ 11-13) ในข้อ 15-16 เปาโลสรุปถึงแนวโน้มของการที่เรามักจะทำให้ทุกคนพอใจ โดยย้ำว่าเราต้องใช้ของประทานควบคู่ไปกับการ “พูดความจริงด้วยใจรัก” เพื่อที่ “ร่างกายทั้งสิ้น[จะ]...จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก”

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราจะรับใช้ผู้คนเพื่อเสริมสร้างพวกเขาและเพื่อให้บรรลุตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำให้คนอื่นพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่เราจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยในขณะที่พระองค์ทรงทำงานผ่านเรา เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักรของพระองค์

จากตำหนิสู่ความบริสุทธิ์

เมื่อตอนยังเด็ก ลูกสาวของฉันชอบเอาเนยแข็งสวิสที่มีรูพรุนมาเล่นขณะกินมื้อกลางวัน เธอจะเอาแผ่นเนยสีเหลืองอ่อนวางบนหน้าเหมือนเป็นหน้ากากและพูดว่า “ดูนี่สิคะแม่” ประกายตาสีเขียวของเธอลอดผ่านรูบนแผ่นเนยแข็ง ในฐานะคุณแม่วัยสาว หน้ากากเนยแข็งนั้นอธิบายสิ่งที่ฉันรู้สึกเกี่ยวกับความพยายามของตัวเองที่แม้จะทุ่มเทให้ลูกและเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ความพยายามนั้นก็ไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ยังมีแต่รูที่เป็นตำหนิ

เราต่างปรารถนาที่จะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เป็นชีวิตที่แยกไว้สำหรับพระเจ้าและมีคุณลักษณะที่เป็นเหมือนพระเยซู แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความบริสุทธิ์ก็ดูเหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อม เหลือไว้แต่ “รูตำหนิของเรา”

ใน 2 ทิโมธี 1:6-7 เปาโลเขียนถึงบุตรที่รักของท่านคือทิโมธี โดยเตือนให้เขาดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ แล้วเปาโลยังอธิบายว่า “[พระเจ้า] ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆของเรา แต่เพราะพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง” (ข้อ 9 TNCV) ชีวิตเช่นนี้เป็นไปได้ไม่ใช่เพราะลักษณะนิสัยของเรา แต่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า เปาโลกล่าวต่อว่า “พระคุณนี้ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา” (ข้อ 9 TNCV) แล้วเราจะยอมรับพระคุณของพระองค์และดำเนินชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณที่ทรงประทานให้เราได้หรือไม่

ไม่ว่าในการเลี้ยงดูลูก ในชีวิตสมรส การทำงาน หรือการรักเพื่อนบ้าน พระเจ้าทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นไปได้ไม่ใช่โดยความพยายามของเราที่จะเป็นคนดีพร้อม แต่โดยพระคุณของพระเจ้า

บทสรุป – พระคุณสำหรับวันนี้ | ค้นหาความหวังและพระคุณ

ค้นหาความหวังและพระคุณ

โฮเรชิโอ สแปฟฟอร์ดสูญเสียทั้งลูกชายวัย 4 ขวบและธุรกิจของเขาภายในปีเดียว ในอีกสองสามปีต่อมา เขาวางแผนเข้าร่วมงานประกาศในลอนดอน จึงได้จัดการให้ภรรยาและลูกสาวทั้ง 4 คนลงเรือโดยสารล่วงหน้าไปก่อน และในขณะที่เขาสะสางงานเพื่อเดินทางตามไป ได้เกิดอุบัติเหตุเรือชนกันขึ้น ส่งผลให้ลูกสาวทั้ง 4 จมน้ำเสียชีวิต เหลือเพียงภรรยาที่รอดชีวิต เมื่อเขาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ขณะที่ผ่านบริเวณที่ลูกสาวเสียชีวิต โฮเรชิโอได้เขียนบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่เป็นอมตะชื่อว่า “จิตใจข้าสุขสบาย”

เขาเขียนบทเพลงเช่นนี้ได้อย่างไร? เนื้อเพลงเผยให้เห็นว่า โฮเรชิโอเรียนรู้ที่จะพึ่งพาในความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ และได้ค้นพบสันติสุขในจิตวิญญาณท่ามกลางความโศกเศร้ามากมาย
เขาสามารถมีสันติสุขแม้ขณะที่ยังคงมีความเศร้า ความโดดเดี่ยว ความอ่อนล้า และแม้กระทั่งความโกรธ เราทำอย่างไรบ้างเมื่อเกิดความรู้สึกเหล่านี้?

อารมณ์และความเชื่อ
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยความรู้สึก ฮันนา “เป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ” (1 ซามูเอล 1:10) ดาวิดเปิดใจต่อพระเจ้าแบบไม่ปิดบังในสดุดีบทแล้วบทเล่า (สดุดี 22:14-15) เอลียาห์สัมผัสกับหลุมลึกแห่งความซึมเศร้าหดหู่ (1 พงศ์กษัตริย์ 19) เยเรมีย์ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้า (เยเรมีย์ 8:20-9:1)

การแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความสับสน หรือความอิจฉาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่?

แน่นอน เราทำเช่นนั้นได้!

ในสวนเกทเสมนี ในคืนก่อนที่พระเยซูถูกตรึง พระองค์กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ต่อพระบิดา มัทธิว 26:37-38 บอกเราว่าพระองค์ “ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก……

บทสรุป - พระคุณสำหรับวันนี้ | ค้นหาความหวังและพระคุณ

ค้นหาความหวังและพระคุณ

โฮเรชิโอ สแปฟฟอร์ดสูญเสียทั้งลูกชายวัย 4 ขวบและธุรกิจของเขาภายในปีเดียว ในอีกสองสามปีต่อมา เขาวางแผนเข้าร่วมงานประกาศในลอนดอน จึงได้จัดการให้ภรรยาและลูกสาวทั้ง 4 คนลงเรือโดยสารล่วงหน้าไปก่อน และในขณะที่เขาสะสางงานเพื่อเดินทางตามไป ได้เกิดอุบัติเหตุเรือชนกันขึ้น ส่งผลให้ลูกสาวทั้ง 4 จมน้ำเสียชีวิต เหลือเพียงภรรยาที่รอดชีวิต เมื่อเขาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ขณะที่ผ่านบริเวณที่ลูกสาวเสียชีวิต โฮเรชิโอได้เขียนบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่เป็นอมตะชื่อว่า “จิตใจข้าสุขสบาย”

เขาเขียนบทเพลงเช่นนี้ได้อย่างไร? เนื้อเพลงเผยให้เห็นว่า โฮเรชิโอเรียนรู้ที่จะพึ่งพาในความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ และได้ค้นพบสันติสุขในจิตวิญญาณท่ามกลางความโศกเศร้ามากมาย
เขาสามารถมีสันติสุขแม้ขณะที่ยังคงมีความเศร้า ความโดดเดี่ยว ความอ่อนล้า และแม้กระทั่งความโกรธ เราทำอย่างไรบ้างเมื่อเกิดความรู้สึกเหล่านี้?

อารมณ์และความเชื่อ
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยความรู้สึก ฮันนา “เป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ” (1 ซามูเอล 1:10) ดาวิดเปิดใจต่อพระเจ้าแบบไม่ปิดบังในสดุดีบทแล้วบทเล่า (สดุดี 22:14-15) เอลียาห์สัมผัสกับหลุมลึกแห่งความซึมเศร้าหดหู่ (1 พงศ์กษัตริย์ 19) เยเรมีย์ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้า (เยเรมีย์ 8:20-9:1)

การแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความสับสน หรือความอิจฉาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่?

แน่นอน เราทำเช่นนั้นได้!

ในสวนเกทเสมนี ในคืนก่อนที่พระเยซูถูกตรึง พระองค์กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ต่อพระบิดา มัทธิว 26:37-38 บอกเราว่าพระองค์ “ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก……

ครอบครัวสำคัญ

น้องสาว น้องชายและตัวฉันต่างบินจากรัฐที่แต่ละคนอาศัยอยู่เพื่อไปร่วมงานศพของคุณลุง และแวะเยี่ยมคุณย่าวัยเก้าสิบปีของพวกเรา ท่านเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง สูญเสียความสามารถในการพูด และใช้มือขวาได้เพียงข้างเดียว ขณะที่เรายืนอยู่รอบเตียงของท่าน ท่านเอื้อมมือข้างนั้นมาจับมือเราแต่ละคนไปวางซ้อนกันที่หัวใจของท่านแล้วตบเบาๆ จากท่าทางที่ไร้ซึ่งคำพูดนี้ คุณย่ากำลังสื่อสารกับเราถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างมีปัญหาและห่างเหินระหว่างพี่น้องว่า “ครอบครัวสำคัญ”

ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราอาจห่างเหินกันได้เช่นกัน เราอาจปล่อยให้ความขมขื่นแยกเราออกจากกัน ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงความขมขื่นที่ทำให้เอซาวแยกจากน้องชายของตน (ฮบ.12:16) และท้าทายพวกเราในฐานะพี่น้องให้จับมือกันไว้ในครอบครัวของพระเจ้า “จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย” (ข้อ 14) ในที่นี้คำว่า จงอุตส่าห์ สื่อถึงการลงทุนด้วยความตั้งใจและแน่วแน่เพื่อสร้างสันติกับพี่น้องชายหญิงในครอบครัวของพระเจ้า ความอุตสาหะนี้จึงหมายถึงสำหรับทุกคน

ครอบครัวมีความสำคัญ ทั้งครอบครัวทางโลกและครอบครัวของผู้เชื่อในพระเจ้า เราจะอุตส่าห์ลงทุนทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อจับมือกันไว้ได้ไหม

รักพระเจ้าโดยการรักผู้อื่น

ครอบครัวอัลบามีประสบการณ์ที่หาได้ยากในการให้กำเนิดฝาแฝดแท้สองคู่ซึ่งมีอายุห่างกันเพียงสิบสามเดือน พวกเขาจะสลับกันทำหน้าที่พ่อแม่พร้อมกับทำงานของตัวเองได้อย่างไร กลุ่มเพื่อนๆและครอบครัวจึงได้เข้ามามีส่วน ปู่ย่าและตายายช่วยเลี้ยงฝาแฝดครอบครัวละคู่ในช่วงกลางวันเพื่อให้พ่อแม่ได้ทำงานและมีเงินจ่ายค่าประกันสุขภาพ มีบริษัทหนึ่งมอบผ้าอ้อมให้ใช้ตลอดทั้งปี เพื่อนร่วมงานของทั้งคู่โอนสิทธิ์วันลาป่วยให้ “เราคงทำไม่ได้ถ้าปราศจากชุมชนของเรา” พวกเขายอมรับ และที่จริงแล้วในระหว่างการสัมภาษณ์สด พิธีกรร่วมต้องถอดไมค์ออกแล้ววิ่งตามแฝดวัยหัดเดินซุกซนคนหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการลงทุนลงแรงเพื่อช่วยเหลือชุมชนด้วย!

ในมัทธิว 25:31-46 พระเยซูตรัสคำอุปมาเพื่อชี้ให้เห็นว่าเมื่อเรารับใช้ผู้อื่น เราก็กำลังรับใช้พระเจ้า หลังจากที่พระองค์ตรัสถึงการรับใช้ต่างๆรวมถึงการจัดหาอาหารให้แก่ผู้ที่หิวโหย ให้น้ำแก่ผู้ที่กระหาย ให้ที่พักแก่คนไร้บ้าน ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ที่เปลือยกาย และรักษาผู้ที่เจ็บป่วย (ข้อ 35-36) พระเยซูทรงสรุปว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)

ภาพของพระเยซูซึ่งเป็นผู้ได้รับความกรุณาจากเราในท้ายที่สุดนั้น คือแรงจูงใจที่แท้จริงของเราในการรับใช้ในชุมชน ครอบครัว คริสตจักร และโลกของเรา เมื่อพระองค์ทรงเร้าใจเราให้ลงทุนเสียสละเพื่อความต้องการของผู้อื่นนั้น เราก็กำลังรับใช้พระองค์ เมื่อเรารักผู้อื่น เราก็กำลังรักพระเจ้า

พระเจ้าที่ทางแยก

สามีของฉันป่วยมาหลายวันจนเมื่ออุณหภูมิร่างกายพุ่งสูงขึ้น เขาจึงต้องเข้ารับการรักษาฉุกเฉิน โรงพยาบาลรับตัวเขาไว้ทันที แต่ละวันผ่านไปอาการของเขาดีขึ้น แต่ยังไม่ดีพอที่จะออกจากโรงพยาบาลได้ ฉันต้องเผชิญกับทางเลือกที่น่าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง ระหว่างการอยู่กับสามีหรือการเดินทางไปทำงานสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้คนและโครงการต่างๆมากมาย สามียืนยันกับฉันว่าเขาไม่เป็นไร แต่ฉันรู้สึกว่ายากเหลือเกินที่จะต้องเลือกระหว่างสามีและงาน 

คนของพระเจ้าก็ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์เมื่อมาถึงทางแยกแห่งการตัดสินใจของชีวิต บ่อยครั้งเหลือเกินที่พวกเขาไม่ได้ยึดมั่นในคำแนะนำที่พระองค์ทรงบอกไว้ ดังนั้นโมเสสจึงเรียกร้องให้พวกเขา “เลือกเอาข้างชีวิต” ด้วยการทำตามพระบัญชาของพระองค์ (ฉธบ.30:19) ต่อมาผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้มอบคำแนะนำให้กับบรรดาผู้ที่ดื้อดึงต่อพระเจ้า โดยขอร้องให้พวกเขาเดินตามทางของพระองค์ว่า “จงยืนที่ถนนและมองให้ดี และถามหาทางโบราณนั้นว่าทางดีอยู่ที่ไหน แล้วจงเดินในทางนั้น” (ยรม.6:16) เส้นทางโบราณแห่งพระคัมภีร์และสิ่งที่พระเจ้าเคยจัดเตรียมไว้ให้เราในอดีตสามารถนำทางเราได้

ฉันนึกภาพว่าตัวเองยืนอยู่ตรงถนนที่เป็นทางแยกจริงๆและนำรูปแบบคำสอนที่ทรงปัญญาของเยเรมีย์มาประยุกต์ใช้ สามีต้องการฉัน งานของฉันก็เช่นกัน และตอนนั้นเองหัวหน้าก็โทรมาหาและหนุนใจให้ฉันอยู่บ้าน ฉันหยุดคิดและขอบคุณพระเจ้าสำหรับการทรงจัดเตรียมของพระองค์ที่ทางแยกนั้น ทางที่พระเจ้านำเราไปนั้นมักไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจนเสมอไป แต่จะปรากฏแน่นอน เมื่อเรายืนอยู่ที่ทางแยก ให้เราแน่ใจว่าเรามองหาพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา