ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Dave Branon

คำสั่งเสีย

ในวาระสุดท้ายของชีวิต จอห์น เอ็ม เพอร์กิ้นส์ได้ฝากข้อความไว้สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพอร์กิ้นส์ซึ่งเป็นที่รู้จักในเรื่องการส่งเสริมความปรองดองด้านเชื้อชาติ ได้กล่าวไว้ว่า “การกลับใจเป็นหนทางเดียวที่จะกลับสู่พระเจ้า ถ้าคุณไม่กลับใจ คุณจะพินาศ”
ถ้อยคำนี้เหมือนกับที่พระเยซูและหลายคนในพระคัมภีร์กล่าวไว้ พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายมิได้กลับใจใหม่จะต้องพินาศเหมือนกัน” (ลก.13:3) อัครทูตเปโตรบอกว่า “ท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย” (กจ.3:19)

ในพระวจนะที่เกิดขึ้นก่อนหน้าเป็นเวลานาน เราได้อ่านถึงคำพูดของอีกผู้หนึ่งที่ปรารถนาให้ประชากรของท่านกลับมาหาพระเจ้า ในคำสั่งเสีย “แก่คนอิสราเอลทั้งปวง” (1ซมอ.12:1) ผู้เผยพระวจนะ ปุโรหิต และผู้วินิจฉัยซามูเอลได้กล่าวไว้ว่า “อย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายได้กระทำความชั่ว...แต่ท่านทั้งหลายอย่าหันไปเสียจากการติดตามพระเจ้า แต่จงปรนนิบัติพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจของท่าน” (ข้อ 20) นี่คือคำกล่าวถึงเรื่องการกลับใจของท่าน คือให้หันจากความชั่วและติดตามพระเจ้าอย่างสุดใจ

พวกเราต่างทำบาปและตกจากมาตรฐานของพระเจ้า เราจึงจำเป็นต้องกลับใจ คือหันหลังให้ความบาปและหันมาหาพระเยซูผู้ทรงยกโทษและเสริมกำลังเราในการติดตามพระองค์ ให้เราเชื่อคำพูดของชายสองคนนี้ คือจอห์น เพอร์กิ้นส์และซามูเอล ผู้ตระหนักว่าพระเจ้าทรงสามารถใช้ฤทธิ์เดชแห่งการกลับใจเพื่อเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นคนที่พระองค์ทรงใช้ได้เพื่อพระเกียรติของพระองค์

สำรวจดวงดาว

ในปี 2021 โดยความพยายามจากหลายประเทศได้นำไปสู่การส่งกล้องโทรทรรศน์อวกาศเจมส์ เวบบ์ ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากโลกกว่า 1.6 ล้านกิโลเมตรเพื่อทำการสำรวจจักรวาลให้ละเอียดขึ้น กล้องนี้จะส่องดูในอวกาศห้วงลึกและตรวจสอบดวงดาวและสิ่งมหัศจรรย์อื่นๆในท้องฟ้า

นี่คือเทคโนโลยีทางดาราศาสตร์ที่น่าทึ่ง และถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดีก็จะทำให้เราได้รูปภาพและข้อมูลที่มหัศจรรย์ แต่ภารกิจของมันไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่จริงแล้ว ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงการสำรวจดวงดาวเมื่อท่านกล่าวว่า “จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน” (อสย.40:26) “คืนแล้วคืนเล่า” ที่ดวงดาวเหล่านั้นกล่าวถึงองค์ผู้ทรงสร้างของเราผู้ทำให้จักรวาลอันกว้างใหญ่เกินความเข้าใจนี้เกิดขึ้น (สดด.19:2 TNCV) และในจักรวาลนั้นมีดวงส่องแสงนับไม่ถ้วนที่แต่งเติมความงดงามแก่ท้องฟ้ายามค่ำคืนอย่างเงียบๆ (ข้อ 3)

และคือพระเจ้าเองผู้ตัดสินว่าจะมีดวงส่องแสงกี่ดวงบนนั้น “พระองค์ทรงนับจำนวนดาว พระองค์ทรงตั้งชื่อมันทุกดวง” (สดด.147:4) เมื่อมนุษย์ส่งเครื่องตรวจอันซับซ้อนและน่าทึ่งออกไปสำรวจจักรวาล เราจึงได้ชื่นชมความอัศจรรย์อันน่าหลงใหลที่มันค้นพบ เพราะทุกการสำรวจล้วนชี้กลับไปยังองค์ผู้ทรงสร้างระบบสุริยะและทุกอย่างนอกเหนือจากนั้น ใช่แล้ว “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า” (19:1) รวมทั้งดวงดาวและทุกสิ่งด้วย

พลังแห่งการให้อภัย

มีรายงานข่าวในปี 2021 เกี่ยวกับมิชชันนารีสิบเจ็ดคนที่ถูกกลุ่มโจรลักพาตัวไป กลุ่มโจรขู่จะฆ่าพวกเขา (รวมทั้งเด็กๆ)หากไม่ได้รับค่าไถ่ตามที่เรียกร้อง ไม่น่าเชื่อว่ามิชชันนารีทั้งหมดถูกปล่อยตัวหรือหนีออกมาได้ เมื่ออยู่ในความปลอดภัยพวกเขาส่งข้อความไปถึงกลุ่มโจรว่า “พระเยซูทรงสอนเราด้วยคำพูดและโดยแบบอย่างของพระองค์เองว่า พลังแห่งความรักที่ให้อภัยนั้นเข้มแข็งกว่าความเกลียดชังที่ใช้ความรุนแรง ดังนั้นพวกเราจึงขอยกโทษให้พวกคุณ”

พระเยซูทรงทำให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการให้อภัยนั้นมีพลัง พระองค์ตรัสว่า “ถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย” (มธ.6:14) ต่อมาพระองค์ทรงตอบเปโตรว่าเราควรให้อภัยกี่ครั้ง “เรามิได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ” (18:22; ดู ข้อ 21-35) และที่บนไม้กางเขน พระองค์ทรงสำแดงถึงการให้อภัยตามน้ำพระทัยพระเจ้าเมื่อทรงอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่า เขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลก.23:34)

การให้อภัยที่สมบูรณ์จะเป็นที่ประจักษ์เมื่อทั้งสองฝ่ายก้าวสู่การเยียวยาและการคืนดี และแม้การยกโทษจะไม่ได้ลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้น หรือความจำเป็นที่จะต้องจัดการกับความสัมพันธ์ที่เจ็บปวดและอ่อนแออย่างชาญฉลาด แต่การยกโทษจะนำไปสู่การฟื้นฟูความสัมพันธ์ อันเป็นพยานถึงความรักและฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ให้เราแสวงหาที่จะ “ยกโทษ” เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์

ทำไมทำเรื่องนี้

ขณะที่ผมกำลังช่วยโลแกนหลานชายที่อยู่ชั้นป. 6 ทำการบ้านพีชคณิตยากๆ เขาเล่าให้ผมฟังถึงความฝันที่จะเป็นวิศวกร หลังจากที่เรากลับมาหาวิธีการจัดการกับค่า x และ y ในการบ้านที่เขาได้รับมอบหมาย เขาถามว่า “ผมจะได้ใช้เรื่องนี้ตอนไหน”

ผมอดยิ้มไม่ได้และพูดว่า “โลแกน นี่คือสิ่งที่หลานจะต้องใช้จริงๆ ถ้าจะเป็นวิศวกร!” เขาไม่ได้ตระหนักถึงความเกี่ยวข้องระหว่างพีชคณิตกับอนาคตที่เขาคาดหวังบางครั้งเราก็มองพระคัมภีร์แบบนั้น เมื่อเราฟังคำเทศนาและอ่านพระคัมภีร์ตอนต่างๆ เราอาจคิดว่า “ฉันจะได้ใช้เรื่องนี้ตอนไหน” ดาวิดผู้เขียนพระธรรมสดุดีมีคำตอบบางประการ ท่านกล่าวว่าความจริงของพระเจ้าที่พบในพระคัมภีร์มีผลในการ “ฟื้นฟูจิตวิญญาณ” “ทำให้คนรู้น้อยมีปัญญา” และ “กระทำให้จิตใจเปรมปรีดิ์” (สดด.19:7-8) สติปัญญาของพระคัมภีร์ที่พบในพระธรรมห้าเล่มแรกตามที่กล่าวไว้ในสดุดี 19 (ตลอดจนพระคัมภีร์ทั้งหมด) ช่วยเราเมื่อเราพึ่งพาการทรงนำของพระวิญญาณในแต่ละวัน (สภษ.2:6)

และถ้าปราศจากพระคัมภีร์ เราจะขาดวิธีการสำคัญยิ่งยวดที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้เพื่อให้เรามีประสบการณ์ในพระองค์ และรู้จักความรักและวิธีการของพระองค์ได้ดียิ่งขึ้น ทำไมต้องศึกษาพระคัมภีร์ เพราะ “พระบัญญัติของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ กระทำให้ดวงตากระจ่างแจ้ง” (สดด.19:8)

ชายผู้โดดเดี่ยวที่สุด

วันที่ 20 กรกฎาคม ค.ศ.1969 นีล อาร์มสตรองและบัซซ์ อัลดรินก้าวออกจากยานที่ร่อนลงจอดบนดวงจันทร์และกลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่ได้เดินบนพื้นผิวดวงจันทร์ แต่เรามักไม่ค่อยนึกถึงบุคคลที่สามในทีมของพวกเขา นั่นคือ ไมเคิล คอลลินส์ ผู้เป็นคนขับยานบังคับการของยานอพอลโล 11

หลังจากที่เพื่อนร่วมทีมของเขาปีนบันไดลงไปเพื่อทดสอบพื้นผิวดวงจันทร์ คอลลินส์รออยู่ตามลำพังที่อีกด้านซึ่งไกลออกไปของดวงจันทร์ เขาขาดการติดต่อกับทั้งนีล บัซซ์และทุกคนบนโลก ศูนย์ควบควบขององค์การนาซ่ากล่าวว่า “ตั้งแต่อาดัมมาก็ไม่มีมนุษย์คนไหนรู้จักความโดดเดี่ยวเท่าไมค์ คอลลินส์เลย”

หลายครั้งเรารู้สึกโดดเดี่ยวอย่างมาก ลองนึกถึงความรู้สึกของโยเซฟบุตรชายของยาโคบดู เมื่อเขาถูกนำตัวจากอิสราเอลไปยังอียิปต์หลังจากที่ถูกพวกพี่ชายขาย (ปฐก.37:23-28) จากนั้นเขายิ่งถูกผลักสู่ความโดดเดี่ยวมากขึ้นไปอีกโดยการถูกขังในคุกด้วยข้อกล่าวหาเท็จ (39:19-20)

โยเซฟมีชีวิตรอดในคุกต่างแดนโดยไม่มีครอบครัวอยู่ใกล้เลยได้อย่างไร จงฟังข้อนี้ “ขณะที่โยเซฟจำคุกอยู่ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา” (ข้อ 20-21) เราถูกย้ำเตือนถึงความจริงที่ปลอบประโลมนี้ถึงสี่ครั้งในปฐมกาล 39

คุณรู้สึกโดดเดี่ยวและถูกแยกจากผู้อื่นหรือไม่ จงยึดมั่นในความจริงที่ว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ด้วย ตามที่พระเยซูเองได้ทรงสัญญาไว้ว่า “นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป” (มธ.28:20) คุณไม่เคยอยู่คนเดียว เมื่อคุณมีพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เจ็ดนาทีแห่งความหวาดหวั่น

เมื่อยานสำรวจดาวอังคาร เพอร์เซเวียแรนส์ ลงจอดบนดาวเคราะห์สีแดงดวงนั้นในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2021 บรรดาผู้ที่เฝ้าดูการมาถึงของมันต้องอดกลั้นใจต่อ “เจ็ดนาทีแห่งความหวาดหวั่น” เมื่อยานอวกาศสิ้นสุดการเดินทางด้วยระยะทาง 467 ล้านกิโลเมตร มันต้องผ่านขั้นตอนการลงจอดที่ซับซ้อนซึ่งต้องทำด้วยตัวเอง สัญญาณจากดาวอังคารสู่โลกใช้เวลาหลายนาที ดังนั้นนาซ่าจึงไม่ได้ยินเสียงจากเพอร์เซเวียแรนส์ในระหว่างการลงจอด การติดต่อกันไม่ได้เป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับทีมที่ใช้ความพยายามและทรัพยากรอย่างมากในภารกิจนี้

บางครั้งเราอาจพบกับช่วงเวลาแห่งความกลัวเมื่อเรารู้สึกว่าเราไม่ได้ยินจากพระเจ้า เราอธิษฐานแต่ไม่ได้รับคำตอบ ในพระคัมภีร์เราพบคนที่ได้รับคำตอบของคำอธิษฐานอย่างรวดเร็ว (ดู ดนล.9:20-23) และคนที่ไม่ได้รับคำตอบเป็นเวลานาน (ดูเรื่องราวของฮันนาห์ใน 1 ซมอ.1:10-20) บางทีตัวอย่างที่สะเทือนอารมณ์ที่สุดของคำตอบที่ล่าช้า คือเรื่องที่สร้างความหวาดหวั่นในใจของมารีย์และมารธา เมื่อพวกเขาขอให้พระเยซูช่วยลาซารัสน้องชายที่กำลังป่วยอยู่ (ยน.11:3) พระเยซูทรงมาช้าและน้องชายของพวกเขาเสียชีวิต (ข้อ 6-7, 14-15) แต่สี่วันต่อมาพระคริสต์ประทานคำตอบโดยให้ลาซารัสฟื้นขึ้นจากความตาย (ข้อ 43-44)

การรอคอยคำตอบของคำอธิษฐานอาจเป็นเรื่องยาก แต่พระเจ้าทรงสามารถปลอบโยนและช่วยเหลือเมื่อเรา “มีใจกล้าเข้าใกล้พระที่นั่งแห่งพระคุณ [ของพระองค์] ...เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ” (ฮบ.4:16)

วิ่งไปยังที่กำบัง

การแข่งขันบาสเก็ตบอลของนักเรียนชั้นป.6 ผ่านไปด้วยดี พ่อแม่และปู่ย่าตายายพากันส่งเสียงเชียร์ผู้เล่น ขณะที่น้องๆของเด็กที่อยู่ในทีมพากันมาเล่นสนุกสนานอยู่ที่ห้องโถงด้านหน้าของโรงเรียน ทันใดนั้นสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นและมีไฟส่องสว่างในโรงยิม มีคนไปสะดุดโดนสัญญาณเตือนอัคคีภัย จากนั้นไม่นานพวกเด็กๆก็พากันวิ่งกรูกลับเข้ามาในโรงยิมด้วยอาการตื่นตระหนกเพื่อตามหาผู้ปกครอง

ไม่มีไฟไหม้ใดๆ สัญญาณเตือนเพียงถูกสั่งให้ทำงานโดยไม่ตั้งใจ แต่ขณะที่ผมดูอยู่ ผมรู้สึกประทับใจกับการที่เด็กๆเมื่อรู้สึกถึงภาวะวิกฤตแล้ววิ่งเข้ามากอดผู้ปกครองโดยไม่รู้สึกอาย ช่างเป็นภาพของความมั่นใจในผู้ที่สามารถมอบความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจให้ในเวลาที่พวกเด็กๆเกิดความกลัว!

พระคัมภีร์แสดงภาพในเวลาที่ดาวิดประสบกับความกลัวอย่างใหญ่หลวง จากการถูกไล่ล่าโดยซาอูลและศัตรูอีกมากมาย (2 ซมอ.22:1) หลังจากที่พระเจ้าทรงช่วยดาวิดให้ปลอดภัยแล้ว ดาวิดที่เต็มไปด้วยใจขอบพระคุณได้ร้องบทเพลงสรรเสริญอันน่าประทับใจถึงการช่วยเหลือของพระเจ้า ท่านกล่าวถึงพระเจ้าว่า “พระศิลา ป้อมปราการ และผู้ช่วยกู้ของข้าพเจ้า” (ข้อ 2) เมื่อ “สายใยของแดนคนตาย” และ “บ่วงมัจจุราช” (ข้อ 6) ไล่ล่าท่าน ดาวิด “ร้องทูล” ต่อพระเจ้า และ “เสียงร้องของท่านมาถึงพระกรรณของพระองค์” (ข้อ 7) ในตอนสุดท้าย ดาวิดประกาศว่าพระองค์ทรง “ช่วยกู้ข้าพเจ้า” (ข้อ 18, 20, 49)

ในเวลาแห่งความกลัวและความรู้สึกไม่มั่นคง เราสามารถวิ่งไปยัง “พระศิลา” (ข้อ 32) เมื่อเราร้องเรียกพระนามพระเจ้า พระองค์ผู้เดียวทรงเป็นที่ลี้ภัยและที่กำบังที่เราต้องการ (ข้อ 2-3)

มรดกของการเป็นเพื่อน

ผมพบเขาในช่วงทศวรรษ 1970 ตอนที่ผมเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและครูฝึกบาสเกตบอลในโรงเรียนมัธยมปลาย เขาเป็นนักเรียนใหม่ที่รูปร่างผอมสูง ไม่นานเขาก็ได้เข้ามาอยู่ในทีมบาสและชั้นเรียนของผม และมิตรภาพก็ก่อตัวขึ้น เพื่อนคนเดียวกันนี้รับใช้ในฐานะบรรณาธิการร่วมกับผมเป็นเวลาหลายปี เขายืนอยู่ต่อหน้าผมในงานเลี้ยงเกษียณอายุของผมและแบ่งปันถึงมรดกแห่งมิตรภาพอันยาวนานของเรา

เพื่อนที่ผูกพันกันด้วยความรักของพระเจ้าซึ่งหนุนใจและนำเราให้ใกล้ชิดพระเยซูนั้นมีลักษณะเช่นไร ผู้เขียนพระธรรมสุภาษิตเข้าใจว่ามิตรภาพมีสององค์ประกอบที่เกื้อหนุนกัน ประการแรก เพื่อนแท้จะให้คำแนะนำที่มีค่า ถึงแม้การให้และรับนั้นจะไม่ง่ายเลย (27:6) ผู้เขียนอธิบายว่า “บาดแผลที่มิตรทำก็สุจริต” ประการที่สอง เพื่อนที่อยู่ใกล้และไปมาหาสู่ได้เป็นสิ่งสำคัญในยามวิกฤต “เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องที่อยู่ห่างไกล” (ข้อ 10)

การใช้ชีวิตเพียงลำพังไม่ดีสำหรับเรา เช่นที่ซาโลมอนบอกว่า “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับผลของงานดี” (ปญจ.4:9) ชีวิตเราจำเป็นต้องมีเพื่อนและต้องเป็นเพื่อนด้วย ขอพระเจ้าทรงช่วยให้เรา “รักกันฉันพี่น้อง” (รม.12:10) และ “ช่วยรับภาระของกันและกัน” (กท.6:2) โดยการเป็นเพื่อนในแบบที่สามารถหนุนใจผู้อื่นและนำพวกเขาเข้าใกล้ความรักของพระเยซูยิ่งขึ้น

ชามใส่เมล็ดกาแฟ

ผมไม่ใช่คอกาแฟ แต่การสูดดมกลิ่นเมล็ดกาแฟทำให้ผมรู้สึกอบอุ่นใจและหวนคิดถึงความทรงจำที่ดี เมื่อเมลิสสาลูกสาววัยรุ่นของเราแต่งห้องนอนในแบบของเธอ เธอใส่เมล็ดกาแฟไว้ในชามเพื่อให้ห้องนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมอันอบอุ่น

เกือบยี่สิบปีแล้วที่ชีวิตบนโลกของเมลิสสาจบลงจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุได้ 17 ปี แต่เรายังคงมีชามใส่เมล็ดกาแฟใบนั้นอยู่ มันทำให้เรามีความทรงจำอันหอมหวานถึงชีวิตของเธอขณะเมื่อยังอยู่กับเรา

พระคัมภีร์ใช้เครื่องหอมเป็นเครื่องเตือนใจเราด้วยเช่นกัน เพลงซาโลมอนพูดถึงกลิ่นหอมว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักระหว่างชายหญิง (ดู 1:3; 4:11,16) ส่วนพระธรรมโฮเชยากล่าวว่าการยกโทษของพระเจ้าต่ออิสราเอลเป็น “กลิ่นหอมเหมือนสนซีดาร์แห่งเลบานอน” (ฮชย.14:6 TNCV) และการที่มารีย์ชโลมพระบาทของพระเยซู ซึ่งทำให้เรือนของเธอและพี่น้อง “หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นหอมน้ำมันนั้น” (ยน.12:3) ชี้ให้เห็นล่วงหน้าถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู (ดูข้อ 7)

แนวคิดเรื่องกลิ่นหอมยังช่วยให้เราระมัดระวังในคำพยานเรื่องความเชื่อที่เราสำแดงต่อผู้คนรอบข้าง เปาโลอธิบายไว้ว่า “เราเป็นกลิ่นอันหอมหวานที่พระคริสต์ถวายพระเจ้าในหมู่คนที่กำลังจะรอด และคนที่กำลังประสบความพินาศ” (2 คร.2:15)

เช่นเดียวกับที่กลิ่นหอมของเมล็ดกาแฟทำให้ผมคิดถึงเมลิสสา ขอให้ชีวิตของเราเองส่งกลิ่นหอมของพระเยซูและความรักของพระองค์ ซึ่งจะเตือนให้ผู้อื่นรู้ถึงความจำเป็นที่พวกเขาต้องมีพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา