ควรทำหรือไม่
เมื่อฉันยังเป็นเด็ก รถถังในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ปลดระวางแล้วถูกนำไปจัดแสดงในสวนสาธารณะใกล้บ้าน มีป้ายเตือนจำนวนมากที่เตือนถึงอันตรายจากการปีนป่ายขึ้นไปบนรถนั้น แต่เพื่อนของฉันสองคนก็ปีนขึ้นไปทันที พวกเราบางคนลังเลอยู่บ้างแต่ในที่สุดเราก็ทำแบบเดียวกัน เด็กชายคนหนึ่งปฏิเสธโดยชี้ไปที่ป้ายที่ติดไว้ อีกคนกระโดดลงมาอย่างรวดเร็วเมื่อมีผู้ใหญ่เข้ามาใกล้ การล่อลวงที่ให้ความสนุกเพลิดเพลินนั้นมีน้ำหนักจูงใจมากกว่าความปรารถนาของเราที่จะปฏิบัติตามกฎ
เราทุกคนมีหัวใจที่ขบถแบบเด็กๆซุ่มซ่อนอยู่ภายใน เราไม่ชอบถูกบอกว่าต้องทำหรือห้ามทำอะไร แต่เมื่อเราอ่านพระธรรมยากอบและรู้ว่าอะไรเป็นความดีและไม่ได้กระทำ นั่นคือบาป (4:17) ในพระธรรมโรม อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ข้าพเจ้ายังทำอยู่ ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่ปรารถนาจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาปซึ่งอยู่ในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ” (7:19-20)
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราอาจมีปัญหายุ่งยากในการต่อสู้กับความบาปแต่บ่อยครั้งที่เรามักพึ่งพากำลังของตัวเองเพียงอย่างเดียวในการทำสิ่งที่ถูกต้อง วันหนึ่งเมื่อชีวิตนี้จบสิ้นลง เราจะตายจากแรงกระตุ้นที่เป็นบาปอย่างแท้จริงแต่อย่างไรก็ตามก่อนจะถึงเวลานั้น เราสามารถพึ่งพาในฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ผู้ซึ่งการสิ้นพระชนม์และฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ได้ทรงมีชัยชนะเหนือความบาปแล้ว
มองเห็นความต้องการ
ช่วงไม่กี่วันสุดท้ายในชีวิตของพ่อ พยาบาลคนหนึ่งแวะมาที่ห้องของท่านและถามฉันว่าเธอจะขอโกนหนวดให้ท่านได้ไหม ขณะที่ราเชลค่อยๆปาดมีดโกนไปบนใบหน้าของท่าน เธออธิบายว่า “ชายชราวัยเดียวกับท่านมักชอบโกนหนวดอย่างประณีตทุกวัน” ราเชลมองเห็นความต้องการและทำตามสัญชาตญาณของเธอในการแสดงความมีน้ำใจ ให้เกียรติ และเคารพผู้อื่น การปรนนิบัติอย่างอ่อนโยนของเธอทำให้ฉันนึกถึงจูลี่เพื่อนของฉันที่ยังคงทาเล็บให้กับแม่ผู้ชรา เพราะสิ่งที่สำคัญสำหรับแม่คือ “การดูดี”
กิจการบทที่ 9 บอกเราถึงสาวกคนหนึ่งที่ชื่อโดรคัส (หรือทาบิธา) ซึ่งมักแสดงน้ำใจโดยการตัดเย็บเสื้อผ้าให้กับคนยากจน (ข้อ 36, 39) เมื่อเธอเสียชีวิต ห้องของเธอเต็มไปด้วยเพื่อนฝูงที่พากันร้องไห้คร่ำครวญถึงหญิงใจดีที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่นคนนี้
แต่เรื่องราวของโดรคัสไม่ได้จบเท่านี้ เมื่อเปโตรถูกเชิญมายังที่ซึ่งศพของเธอตั้งอยู่ ท่านได้คุกเข่าลงอธิษฐาน และเรียกชื่อเธอโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” (ข้อ 40) โดรคัสลืมตาและลุกขึ้นยืนอย่างอัศจรรย์เมื่อพวกเพื่อนเห็นว่าเธอกลับมามีชีวิตก็เล่าต่อกันไปอย่างรวดเร็วจนทั่วเมือง และ “คนเป็นอันมากพากันมาเชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 42)
แล้วโดรคัสใช้ชีวิตในวันต่อๆมาของเธออย่างไรน่ะหรือ บางทีอาจจะเหมือนกับที่เธอเคยทำมาตลอด คือการมองเห็นความต้องการของผู้คนและตอบสนองแก่พวกเขา
แสนงดงาม
ตอนนั้นฉันยังเด็กมากเมื่อมองผ่านหน้าต่างห้องเด็กอ่อนของโรงพยาบาลและเห็นเด็กทารกแรกเกิดเป็นครั้งแรก ด้วยความไม่ประสา ฉันรู้สึกตกใจที่ได้เห็นทารกตัวน้อยที่ผิวย่นหัวแหลมๆแต่ไม่มีผม แม่ของเด็กยืนอยู่ใกล้พวกเราเธอเอาแต่พูดกับทุกคนว่า “เขาช่างงดงามจริงๆว่าไหม” ฉันคิดถึงช่วงเวลานั้นเมื่อได้ดูคลิปวิดีโอของคุณพ่อวัยหนุ่มร้องเพลง “คุณช่างแสนงดงาม (You Are So Beautiful)” อย่างอ่อนโยนให้กับลูกสาวของเขา สำหรับคุณพ่อผู้ปลาบปลื้ม ทารกหญิงตัวน้อยเป็นสิ่งที่งดงามที่สุด
พระเจ้าทรงมองดูเราเช่นนั้นด้วยไหม พระธรรมเอเฟซัส 2:10 บอกว่าเราเป็น “ฝีพระหัตถ์ของพระองค์” เป็นผลงานชิ้นเอกของพระองค์ เพราะเรารู้ตัวว่ามีข้อผิดพลาด จึงอาจเป็นเรื่องยากที่เราจะยอมรับว่าพระองค์ทรงรักเรามาก หรือที่จะเชื่อว่าเรามีค่าสำหรับพระองค์ แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงรักเราเพราะเราสมควรได้รับความรัก (ข้อ 3-4) พระองค์ทรงรักเราเพราะพระองค์ทรงเป็นความรัก (1 ยน.4:8) ความรักของพระองค์เป็นพระคุณ และพระองค์ทรงสำแดงถึงความล้ำลึกแห่งความรักนั้นผ่านการเสียสละของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรามีชีวิตในพระองค์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในความบาปของเรา (อฟ.2:5, 8)
ความรักของพระเจ้าไม่แปรปรวน แต่หนักแน่นมั่นคง พระองค์ทรงรักคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่แตกสลาย อ่อนแอและเหลวแหลก เมื่อเราล้มลง พระองค์ทรงพร้อมที่จะพยุงเราขึ้น เราเป็นสิ่งล้ำค่าและแสนงดงามสำหรับพระองค์
เวลาพอ
เมื่อฉันเห็นหนังสือสงครามและสันติภาพเล่มโตของลีโอ ตอลสตอยบนชั้นหนังสือของเพื่อน ฉันสารภาพว่า “ฉันไม่เคยอ่านมันจบเลยจริงๆ” มาร์ตี้หัวเราะเบาๆ “อืม...ตอนที่เกษียณจากงานสอน ผมได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่บอกว่า ‘ตอนนี้คุณก็จะมีเวลาอ่านมันแล้ว’ ”
ในแปดข้อแรกของปัญญาจารย์บทที่ 3 กล่าวถึงวาระตามธรรมชาติของกิจกรรมชีวิตกับทางเลือกที่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ว่าเราจะอยู่ในช่วงชีวิตใด มักเป็นเรื่องยากที่จะหาเวลาทำทุกอย่างที่อยากทำ และที่จะตัดสินใจอย่างฉลาดในเรื่องการบริหารเวลาของเรา การวางแผนจะช่วยได้มาก (สดด.90:12)
เวลาที่ใช้กับพระเจ้าในแต่ละวันเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับสุขภาพฝ่ายวิญญาณ การทำงานให้เกิดผลนั้นเป็นที่น่าพอใจต่อวิญญาณของเรา (ปญจ.3:13) การรับใช้พระเจ้าและช่วยเหลือผู้อื่นนั่นเป็นสิ่งสำคัญเพื่อจะบรรลุพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเรา (อฟ.2:10) และเวลาของการพักผ่อนหรือยามที่ว่างจากงานนั้นไม่สูญเปล่าแต่ทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณสดชื่น
แน่นอนว่าเป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจ่ออยู่กับปัจจุบันมากเกินไป โดยการหาเวลาเพื่อทำสิ่งที่มีความหมายที่สุดสำหรับเรา แต่ปัญญาจารย์ 3:11 กล่าวว่าพระเจ้าทรง “บรรจุนิรันดร์กาล” ไว้ในใจเรา เพื่อเตือนเราที่จะให้ความสำคัญลำดับแรกกับสิ่งที่เป็นนิรันดร์ การทำเช่นนั้นจะทำให้เราได้พบกับสิ่งที่มีความสำคัญที่สุด นั่นคือมุมมองแห่งนิรันดร์กาลของพระเจ้าที่มีมา “ตั้งแต่เดิมจนกาลสุดปลาย”
หูดและตำหนิทั้งหมด
โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ หรือที่รู้จักกันในนาม “ผู้พิทักษ์แห่งอังกฤษ” เป็นผู้บัญชาการทหารในศตวรรษที่ 17 เป็นเรื่องปกติที่บุคคลสำคัญในสมัยนั้นจะมีภาพเหมือนของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องแปลกที่ศิลปินจะพยายามหลีกเลี่ยงการวาดภาพใบหน้าของบุคคลในมุมที่ดูไม่ดี แต่ครอมเวลล์ไม่ต้องการภาพที่วาดเพื่อเอาใจเขา เขาเตือนศิลปินว่า “คุณต้องวาดผมอย่างที่ผมเป็น คือทั้งหูดและตำหนิทั้งหมด มิฉะนั้นผมจะไม่จ่ายเงินให้คุณ”
เห็นได้ชัดว่าศิลปินปฏิบัติตาม ภาพที่ออกมาแสดงให้เห็นหูดที่เด่นชัดสองสามเม็ดบนใบหน้าของครอมเวลล์ ซึ่งถ้าเป็นในยุคนี้จะถูกลบหรือทำให้เรียบเนียนก่อนจะนำไปโพสต์บนสื่อสังคมออนไลน์
คำพูดที่ว่า “หูดและตำหนิทั้งหมด” มีความหมายว่าผู้คนควรได้รับการยอมรับอย่างที่พวกเขาเป็น พร้อมด้วยความผิดพลาด ทัศนคติ และปัญหาที่น่ารำคาญทั้งหมดของพวกเขา สำหรับบางคนเรารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องยากเกินไป แต่เมื่อเราพินิจพิจารณาตัวเองอย่างถี่ถ้วน เราอาจพบนิสัยที่ไม่น่ารักบางอย่างในตัวของเราเองก็เป็นได้
เรารู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงให้อภัย “หูด” หรือข้อเสียของเรา และในโคโลสีบทที่ 3 สอนเราให้ส่งต่อพระคุณไปยังผู้อื่น อัครทูตเปาโลหนุนใจให้เราอดทน มีใจเมตตา และมีความเห็นอกเห็นใจมากขึ้น แม้กับคนที่ไม่น่ารัก ท่านเรียกร้องให้เรามีวิญญาณแห่งการให้อภัยเหมือนกับที่พระเจ้าทรงให้อภัยเรา (ข้อ 12-13) จากแบบอย่างของพระองค์ เราได้รับการสอนให้รักผู้อื่นอย่างที่พระเจ้าทรงรักเรา ซึ่งรวมถึงหูดและตำหนิทั้งหมดด้วย
หลับอย่างผาสุก
เมื่อฟลอสเพื่อนของฉันนอนไม่หลับในยามค่ำคืน เธอครุ่นคิดถึงเนื้อเพลงนมัสการ “ข้ารักพระเยซู” เธอเรียกมันว่าบทเพลง “ยามดึก” เพราะเพลงนี้ช่วยให้เธอจดจำพระสัญญาของพระเจ้าและเหตุผลมากมายที่ทำให้เธอรักพระองค์
การนอนหลับเป็นสิ่งจำเป็นแต่บางครั้งก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทำได้ยาก บางครั้งเราอาจสัมผัสได้ถึงเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงนำให้เราคิดถึงบาปที่ยังไม่ได้สารภาพ หรือเราเริ่มที่จะกังวลเกี่ยวกับงาน ความสัมพันธ์ การเงิน สุขภาพ หรือลูกๆของเรา ไม่นานภาพของอนาคตที่น่ากลัวก็วิ่งวนอยู่ในสมองของเรา เราคิดว่าเราเผลอหลับไปพักหนึ่ง แต่เมื่อมองไปที่นาฬิกาก็พบว่าเวลาเพิ่งผ่านไปไม่กี่นาทีจากที่ดูครั้งก่อน
ในสุภาษิต 3:19-24 กษัตริย์ซาโลมอนแนะนำว่าเราจะรับประโยชน์จากการนอนหลับได้ก็ต่อเมื่อเรายอมรับปัญญา ความเข้าใจ และความรู้จากพระเจ้า อันที่จริงพระองค์อ้างว่า “ทั้งสองจะเป็นชีวิตแก่เจ้า...ถ้าเจ้านั่ง เจ้าจะไม่กลัว เมื่อเจ้านอน ก็จะหลับไปอย่างผาสุกสดชื่น” (ข้อ 22, 24)
บางทีเราทุกคนก็อาจต้องการบทเพลง “ยามดึก” คำอธิษฐาน หรือข้อพระคัมภีร์ ที่กระซิบแผ่วเบาเพื่อช่วยเราเปลี่ยนความคิดอันวุ่นวายให้เป็นจิตใจที่จดจ่อที่พระเจ้าและพระลักษณะของพระองค์ สมองที่ปลอดโปร่งและหัวใจที่เต็มด้วยการขอบพระคุณในความรักและความสัตย์ซื่อของพระเจ้าจะทำให้เราหลับได้อย่างผาสุก
รักการเรียนรู้
เมื่อชายคนหนึ่งถูกถามถึงความเป็นมาของการมาเป็นนักข่าว เขาเล่าเรื่องความทุ่มเทของแม่ต่อการศึกษาของเขาว่า ในแต่ละวันที่แม่เดินทางด้วยรถใต้ดิน แม่จะเก็บรวบรวมหนังสือพิมพ์ที่ถูกทิ้งไว้ตามที่นั่งแล้วเอามาให้เขา แม้เขาจะชอบอ่านเรื่องกีฬาเป็นพิเศษ แต่หนังสือพิมพ์เหล่านั้นทำให้เขาได้ความรู้เกี่ยวกับโลก ซึ่งในที่สุดได้เปิดใจของเขาสู่ความสนใจที่หลากหลาย
เด็กๆมีความอยากรู้อยากเห็นตามธรรมชาติและรักการเรียนรู้ ดังนั้น การสอนเรื่องพระวจนะให้ตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อยจึงมีคุณค่าอย่างยิ่ง พวกเขาจะรู้สึกทึ่งในพระสัญญาที่สุดแสนพิเศษของพระเจ้า และเรื่องราวน่าตื่นเต้นของวีรบุรุษในพระคัมภีร์ เมื่อความรู้ของพวกเขาหยั่งรากลึก พวกเขาจะได้เริ่มเข้าใจในผลของบาป ความจำเป็นของการกลับใจใหม่ และความปีติยินดีที่พบในการวางใจพระเจ้า ตัวอย่างเช่น บทแรกของหนังสือสุภาษิตเป็นบทที่ดีมากๆที่พูดถึงประโยชน์ของปัญญา (สภษ.1:1-7) ขุมทรัพย์แห่งปัญญาที่พบที่นี่ฉายแสงแห่งความเข้าใจถึงสถานการณ์จริงของชีวิต
การพัฒนาความรักในการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความจริงฝ่ายวิญญาณจะช่วยเราให้เติบโตในความเชื่อ ผู้ที่ดำเนินในความเชื่อมาเป็นเวลาหลายสิบปีสามารถเสาะแสวงหาความรู้เรื่องพระเจ้าได้ตลอดชีวิต สุภาษิต 1:5 สอนว่า “ปราชญ์จะได้ยินและเพิ่มพูนการเรียนรู้” พระเจ้าจะไม่ทรงหยุดสอนเรา ถ้าเรายอมเปิดใจและความคิดต่อการทรงนำและคำสอนของพระองค์
การอธิบายพระคัมภีร์
แผ่นกระเบื้องตกแต่งสีน้ำเงินและสีขาวที่มักพบเห็นได้ตามบ้านของชาวดัตช์นั้นมีต้นกำเนิดมาจากเมืองเดลฟ์ พวกเขามักตกแต่งเป็นภาพวิวของเนเธอร์แลนด์ ทั้งทิวทัศน์ที่สวยงาม กังหันลมที่เห็นทั่วไปและผู้คนที่กำลังทำงานและสนุกสนาน
ในศตวรรษที่ 19 ชาร์ลส์ ดิกเกนส์เขียนไว้ในหนังสือมหัศจรรย์วันคริสต์มาส ถึงการที่แผ่นกระเบื้องถูกใช้เพื่ออธิบายพระคัมภีร์ เขาบรรยายถึงเตาผิงเก่าที่สร้างโดยคนดัตช์ ปูด้วยกระเบื้องเมืองเดลฟ์ที่ดูแปลกตาว่า “มีภาพคาอินและ
อาเบล พระธิดาของฟาโรห์ ราชินีแห่งชีบา...และอัครทูตกำลังออกทะเล” หลายบ้านใช้กระเบื้องเหล่านี้เป็นเครื่องมือในการสอนเมื่อครอบครัวมารวมตัวกันหน้าเตาผิงอันอบอุ่นและแบ่งปันเรื่องราวในพระคัมภีร์ พวกเขาเรียนรู้ถึงพระลักษณะของพระเจ้า ทั้งความยุติธรรมและพระเมตตากรุณาของพระองค์
ความจริงแห่งพระคัมภีร์ยังคงนำมาปรับใช้ได้ในปัจจุบัน สดุดี 78 หนุนใจให้เราสอน “คำลับลึกของโบราณกาล ถึงสิ่งที่เราทั้งหลายได้ยินได้ทราบ ที่บรรพบุรุษของเราได้บอกเรา” (ข้อ 2-3) และบอกเราให้ “บอกแก่ชาติพันธุ์ที่กำลังเกิดมา ถึงพระราชกิจอันควรสรรเสริญของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระองค์และการอัศจรรย์ซึ่งพระองค์ได้ทรงกระทำ” และพวกเขา “จะลุกขึ้นบอกลูกหลานของเขา” (ข้อ 4, 6)
ด้วยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราจะพบวิธีที่สร้างสรรค์และมีประสิทธิภาพในการอธิบายความจริงแห่งพระคัมภีร์ต่อคนในแต่ละรุ่น เมื่อเรามุ่งมั่นในการถวายพระเกียรติสูงสุดและคำสรรเสริญตามที่พระเจ้าทรงสมควรได้รับต่อพระองค์
ในยามขัดสน
เมื่อกิจการเล็กๆหลายแห่งในรัฐเทนเนสซีต้องถูกปิดลงเพื่อช่วยลดการระบาดของโควิด 19 เจ้าของร้านต่างเป็นกังวลว่าจะดูแลลูกจ้างของตนอย่างไร จะหาเงินจากไหนมาจ่ายค่าเช่า และจะรอดพ้นช่วงวิกฤตนี้ได้อย่างไร เพื่อช่วยลดความกังวลเหล่านั้น ศิษยาภิบาลของคริสตจักรแห่งหนึ่งใกล้ๆเมืองแนชวิลล์ได้ริเริ่มกองทุนเงินสดเพื่อช่วยเหลือเจ้าของกิจการที่กำลังดิ้นรนต่อสู้
“พวกเรารู้สึกทนไม่ได้ที่จะเก็บเงินสะสมสำหรับยามจำเป็นไว้เฉยๆ ขณะที่คนอื่นๆกำลังเผชิญกับความขัดสน” ศิษยาภิบาลอธิบายขณะที่เขาหนุนใจคริสต-จักรอื่นในพื้นที่ให้เข้าร่วมโครงการนี้
เงินสะสมสำหรับยามจำเป็นเป็นเงินที่แยกเก็บไว้เพื่อใช้เมื่อรายได้ประจำลดลงในขณะที่กิจการงานตามปกติยังคงต้องขับเคลื่อนไป เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะห่วงตัวเราเองก่อน แต่พระคัมภีร์หนุนใจเราให้มองข้ามความจำเป็นของตัวเอง และหาหนทางที่จะรับใช้ผู้อื่น และฝึกที่จะให้ด้วยใจกว้างขวาง พระธรรมสุภาษิต 11 เตือนเราว่า “บางคนยิ่งจำหน่ายยิ่งมั่งคั่ง” “บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง” และ “บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะได้รับการรดน้ำ” (ข้อ 24-25)
ในวันนี้ดวงอาทิตย์สาดแสงเจิดจ้าเป็นพิเศษเหนือชีวิตคุณหรือไม่ จงมองดูรอบๆว่ามีใครกำลังเผชิญกับพายุใหญ่ในชีวิต พระพรที่พระเจ้าประทานแก่คุณจะทวีคูณเมื่อคุณยินดีที่จะแบ่งปันกับผู้อื่น การให้ด้วยใจกว้างขวางเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการมอบความหวังแก่ผู้อื่น และเพื่อย้ำเตือนกับผู้ที่เจ็บปวดว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา