ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Cindy Hess Kasper

เลือกที่จะเชื่อฟัง

ฤดูหนาวในประเทศเนเธอร์แลนด์ไม่ค่อยมีหิมะมากนัก แต่ก็อาจหนาวมากพอที่จะทำให้น้ำในคลองเป็นน้ำแข็งได้ เมื่อตอนที่ทอมสามีของฉันเติบโตขึ้นที่นั่น พ่อแม่ของเขามีกฎครอบครัวอยู่ข้อหนึ่งคือ “อยู่ให้ห่างจากน้ำแข็งจนกว่ามันจะหนาพอที่จะรับน้ำหนักของม้าได้” เนื่องจากม้าจะทิ้งร่องรอยการปรากฏตัวของพวกมันไว้เบื้องหลัง ทอมและเพื่อนๆของเขาจึงตัดสินใจเอามูลของม้าจากถนน มาโยนลงไปบนแผ่นน้ำแข็งบางๆ แล้วก้าวลงไปยืนบนแผ่นน้ำแข็งนั้น ไม่มีอันตรายใดเกิดขึ้นกับพวกเขาและพวกเขาก็ไม่ถูกจับได้ แต่พวกเขารู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อฟัง

การเชื่อฟังไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติเสมอไป การเลือกที่จะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังอาจเกิดจากการมีสำนึกในหน้าที่หรือเพราะกลัวการถูกลงโทษ แต่เราก็ยังเลือกได้เช่นกันที่จะเชื่อฟังด้วยความรักและเคารพต่อผู้ที่มีอำนาจเหนือเรา

ในยอห์น 14 พระเยซูทรงท้าทายเหล่าสาวกของพระองค์โดยตรัสว่า “ถ้า​ผู้ใด​รัก​เรา ผู้​นั้น​จะ​ประพฤติ​ตาม​คำ​ของ​เรา...ผู้​ที่​ไม่​รัก​เรา ​ก็​ไม่​ประพฤติ​ตาม​คำ​ของ​เรา” (ข้อ 23-24) การเชื่อฟังไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป แต่ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเราทำให้เรามีใจปรารถนาและสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้ (ข้อ 15-17) โดยการทรงช่วยเหลือจากพระเจ้าเราจะสามารถปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ผู้ทรงรักเรามากที่สุด ไม่ใช่เพราะกลัวถูกลงโทษแต่เพราะความรัก

สะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์

มีสองใบหน้าบนโต๊ะนั้นที่เห็นเด่นชัด ใบหน้าหนึ่งบิดเบี้ยวด้วยความโกรธจัด อีกใบหน้าหนึ่งเป็นความรู้สึกเจ็บปวด การกลับมาพบกันของเพื่อนเก่าได้กลายมาเป็นเสียงตะโกนที่ระเบิดใส่กัน โดยผู้หญิงคนหนึ่งตำหนิอีกคนในเรื่องความเชื่อของเธออย่างรุนแรง การโต้เถียงกันดำเนินต่อไปจนกระทั่งหญิงคนแรกเดินกระทืบเท้าออกไปจากร้าน ทิ้งอีกคนหนึ่งที่รู้สึกสะเทือนใจและอับอายเอาไว้

เรากำลังอยู่ในยุคที่ไม่สามารถยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างของผู้อื่นได้จริงๆน่ะหรือ เพียงเพราะคนสองคนเห็นไม่ตรงกันไม่ได้หมายความว่าฝ่ายใดจะชั่วร้าย คำพูดที่รุนแรงหรือไม่ยอมใครนั้นไม่เคยโน้มน้าวใจใครได้ และทัศนคติที่แข็งกร้าวไม่ควรมีชัยชนะเหนือความสุภาพและความเมตตา

พระธรรมโรม 12 เป็นแนวทางที่ดีเยี่ยมในการ “ให้เกียรติแก่กันและกัน” และ “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” กับผู้อื่น (ข้อ 10, 16) พระเยซูทรงชี้ให้เห็นว่าคุณลักษณะเฉพาะของผู้เชื่อในพระองค์ คือความรักที่เรามีต่อกัน (ยน.13:35) แม้ว่าความเย่อหยิ่งและความโกรธจะทำให้เราออกนอกทางได้โดยง่าย แต่สิ่งเหล่านี้ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับความรักที่พระเจ้าต้องการให้เราแสดงต่อผู้อื่น

เป็นเรื่องท้าทายที่เราจะไม่โทษผู้อื่นเมื่อเราไม่อาจควบคุมอารมณ์ของตนได้ แต่ถ้อยคำที่ว่า “เท่าที่เรื่องขึ้นอยู่กับท่าน จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน” แสดงให้เราเห็นว่าเราไม่อาจโยนความรับผิดชอบในการดำเนินชีวิตที่สะท้อนพระลักษณะของพระคริสต์ไปให้ผู้อื่นได้ (รม.12:18) สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบของเราแต่ละคนซึ่งเป็นผู้ที่จะถ่ายทอดพระนามของพระองค์

คาดหวังว่าพระเยซูจะกลับมา

พอลเพื่อนของฉันกำลังรอช่างที่จะมาซ่อมตู้เย็น ในเวลานั้นเขาเห็นข้อความบนโทรศัพท์จากบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้าว่า “เยซูกำลังเดินทางมาและคาดว่าจะถึงประมาณ 11:35 น.” ในไม่ช้าพอลก็พบว่าช่างคนนั้นมีชื่อว่าเยซูจริงๆ

แต่เราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าพระเยซูพระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จมาในเวลาใด เมื่อพระองค์เสด็จมาในฐานะชายคนหนึ่งเมื่อสองพันปีที่แล้วและได้ทรงทนทุกข์จากโทษแห่งความบาปของเรา พระองค์ตรัสว่าจะเสด็จกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมีเพียงพระบิดาเท่านั้นที่รู้แน่ชัดถึง “วันนั้นหรือโมงนั้น” ที่พระองค์จะเสด็จมา (มธ.24:36) จะมีอะไรแตกต่างจากเดิมในแต่ละวันของเราหรือไม่หากเรารู้เวลาที่องค์พระผู้ช่วยให้รอดของเรากำลังเสด็จกลับมายังโลกนี้ (ยน.14:1-3)

พระเยซูทรงเตือนให้เราเตรียมพร้อมเพื่อการเสด็จกลับมาของพระองค์ “เพราะในโมงที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มธ.24:44) พระองค์ทรงเตือนเราให้ “เฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านไม่รู้ว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านจะเสด็จมาเวลาไหน” (ข้อ 42)

ในวันที่พระคริสต์เสด็จกลับมา เราจะไม่ได้รับการแจ้งเตือนทางโทรศัพท์ล่วงหน้า ดังนั้นด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานผ่านตัวเรา ให้เราใช้ชีวิตในแต่ละวันด้วยมุมมองแห่งนิรันดร์ รับใช้พระเจ้าและฉวยทุกโอกาสที่มีเพื่อแบ่งปันเรื่องราวแห่งความรักและความหวังของพระองค์ให้กับผู้อื่น

การล้างเท้า...และล้างจาน

ในวันครบรอบแต่งงานปีที่ห้าสิบของชาร์ลีย์และแจน พวกเขาทานอาหารเช้าที่ร้านกาแฟกับลูกชายชื่อจอน วันนั้นร้านอาหารมีพนักงานไม่พอ มีเพียงผู้จัดการ แม่ครัว และเด็กสาววัยรุ่นหนึ่งคนซึ่งทำหน้าที่เป็นพนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ และพนักงานเก็บโต๊ะ เมื่อพวกเขารับประทานอาหารเช้าเสร็จ ชาร์ลีย์หันไปหาภรรยาและลูกชายแล้วพูดว่า “ภายในอีกสองสามชั่วโมงนี้ ทั้งสองคนมีอะไรสำคัญที่ต้องไปทำหรือเปล่า” พวกเขาไม่มีอะไรต้องไปทำ

ดังนั้นเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้จัดการ ชาร์ลีย์และแจนจึงเริ่มล้างจานที่ด้านหลังของร้าน ในขณะที่จอนเริ่มเก็บกวาดโต๊ะที่เลอะเทอะ จอนบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่ใช่เรื่องผิดวิสัยแต่อย่างใด พ่อแม่ของเขามักปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างเหมือนพระเยซูผู้ “มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา” (มก.10:45)

ในยอห์น 13 เราได้อ่านเรื่องอาหารมื้อสุดท้ายที่พระคริสต์ทรงรับประทานร่วมกับสาวกของพระองค์ ในคืนนั้นพระอาจารย์ทรงสอนหลักแห่งการปรนนิบัติโดยการล้างเท้าที่สกปรกให้พวกเขา (ข้อ 14-15) หากพระองค์เต็มพระทัยที่จะทำงานต่ำต้อยโดยการล้างเท้าของชายสิบสองคน พวกเขาก็ควรปรนนิบัติผู้อื่นด้วยความชื่นชมยินดีเช่นกัน

ช่องทางของการรับใช้ที่เราพบอาจดูแตกต่างกันออกไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือความสุขในการรับใช้ จุดประสงค์ที่อยู่เบื้องหลังการรับใช้ไม่ใช่เพื่อให้ผู้ที่รับใช้นั้นได้รับการยกย่อง แต่คือการรับใช้ผู้อื่นด้วยความรัก โดยมอบถวายคำสรรเสริญทั้งสิ้นแด่พระเจ้าของเราผู้ทรงอ่อนน้อมและยอมเสียสละพระองค์เอง

เงามืดและแสงสว่างของพระเจ้า

เมื่อเอเลนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะลุกลาม เธอและชัคสามีต่างรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่นานก่อนที่เธอจะได้ไปอยู่กับพระเยซู ทั้งคู่ยึดมั่นพระสัญญาในสดุดี 23 ที่ว่า พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่ด้วยในขณะที่พวกเขาเดินไปตามหุบเขาที่ลึกและยากลำบากที่สุดในช่วงห้าสิบสี่ปีที่อยู่ด้วยกัน พวกเขายึดความหวังในความจริงที่ว่าเอเลนพร้อมแล้วที่จะได้พบกับพระเยซู เพราะเธอได้เชื่อวางใจในพระองค์เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว

ในพิธีไว้อาลัยของภรรยา ชัคแบ่งปันว่าเขายังคงเดิน “ไปตามหุบเขาเงามัจจุราช” (สดด.23:4) ชีวิตในสวรรค์ของภรรยาเขาได้เริ่มขึ้นแล้ว แต่ “เงามัจจุราช” ยังคงอยู่กับเขาและกับคนอื่นๆที่รักเอเลนอย่างยิ่ง

ขณะที่เราเดินไปตามหุบเขาแห่งเงามืดทั้งหลายนั้น เราจะหาแหล่งแห่งแสงสว่างได้จากที่ใด อัครทูตยอห์นประกาศว่า “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย” (1 ยน.1:5) และในยอห์น 8:12 พระเยซูประกาศว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรา “เดินในสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์” (สดด.89:15) พระเจ้าของเราทรงสัญญาว่าจะสถิตกับเราและเป็นแหล่งแห่งแสงสว่างให้กับเรา แม้ขณะที่เราเดินทางผ่านเงาที่มืดมิดที่สุด

ไม่ย่อท้อ

ฉันจำช่วงเวลาที่โดโรธีแม่ของฉันมีสุขภาพแข็งแรงไม่ได้เลย ตลอดหลายปีในฐานะผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมได้ยาก ระดับน้ำตาลในเลือดของแม่ไม่คงที่อย่างรุนแรง เกิดภาวะแทรกซ้อนขึ้นและไตที่เสียหายของแม่จำเป็นต้องได้รับการฟอกไตอย่างถาวร โรคระบบประสาทและกระดูกที่หักทำให้ต้องใช้รถเข็น สายตาของแม่เริ่มเสื่อมลงจนบอดสนิท

แต่ขณะที่ร่างกายของแม่ล้มเหลว ชีวิตการอธิษฐานของท่านก็เข้มแข็งขึ้นอย่างมาก แม่ใช้เวลาหลายชั่วโมงในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่นที่จะได้รู้จักและสัมผัสถึงความรักของพระเจ้า ถ้อยคำแสนประเสริฐในพระคัมภีร์ยิ่งหวานชื่นขึ้นสำหรับท่าน ก่อนที่การมองเห็นจะเลือนหายไป แม่เขียนจดหมายถึงมาร์จอรีน้องสาวของแม่ พร้อมกับข้อพระคำจาก 2 โครินธ์ 4 ว่า “เราจึงไม่ย่อท้อ ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน” (ข้อ 16)

อัครทูตเปาโลรู้ว่าการ “ย่อท้อ” นั้นง่ายเพียงใด ใน 2 โครินธ์ 11 ท่านบรรยายชีวิตตนเองว่า เป็นชีวิตที่มีอันตราย มีความทุกข์ทรมานและการสูญเสีย (ข้อ 23-29) แต่ท่านมองว่า “ปัญหาต่างๆ” เหล่านั้นเป็นเพียงชั่วคราว และท่านหนุนใจให้เราคิดไม่เพียงแค่ในสิ่งที่เราเห็น แต่ในสิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วย นั่นคือสิ่งซึ่ง ถาวรนิรันดร์ (4:17-18)

ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับเรา พระบิดาที่รักของเรายังคงให้จิตใจภายในเราจำเริญขึ้นใหม่ทุกวัน พระองค์สถิตกับเราแน่นอน พระองค์ทรงอยู่ใกล้แค่เพียงลมหายใจโดยผ่านของประทานแห่งการอธิษฐาน และพระสัญญาของพระองค์ที่จะประทานกำลัง ความหวังและความชื่นชมยินดีแก่เรานั้นยังคงเป็นจริงเสมอ

พระสัญญาที่สำเร็จ

ในช่วงฤดูร้อนตอนที่ยังเป็นเด็ก ฉันจะเดินทางกว่า 300 กิโลเมตรเพื่อไปพักกับคุณปู่คุณย่าเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉันมาตระหนักในภายหลังว่าฉันได้รับถ่ายทอดสติปัญญาจากทั้งสองท่านที่ฉันรักไว้อย่างมากมาย ประสบการณ์ชีวิตของท่านและการเดินกับพระเจ้าทำให้ท่านมีมุมมองที่ความคิดในวัยเยาว์ของฉันยังไม่อาจจินตนาการได้ การสนทนากับท่านในเรื่องความสัตย์ซื่อของพระเจ้าทำให้ฉันมั่นใจว่าพระเจ้านั้นทรงคู่ควรที่เราจะไว้วางใจและพระองค์จะทรงทำให้พระสัญญาที่ให้ไว้สำเร็จทั้งสิ้น

มารีย์มารดาของพระเยซูยังเป็นเพียงหญิงสาวเมื่อทูตสวรรค์มาเยี่ยมเยียน ข่าวอันน่าเหลือเชื่อที่กาเบรียลมาคงเป็นที่ตกตะลึงมาก กระนั้นเธอก็เต็มใจรับเรื่องที่ยากนี้โดยพระคุณ (ลก.1:38) แต่บางทีการที่มารีย์ไปเยี่ยมนางเอลีซาเบธญาติของเธอที่ชราแล้วซึ่งมีครรภ์อย่างน่าอัศจรรย์เช่นกัน (นักวิชาการบางคนเชื่อว่านางอาจอายุถึงหกสิบปี) คงทำให้เธอได้รับการปลอบโยนเมื่อนางเอลีซาเบธยืนยันคำพูดของกาเบรียลอย่างกระตือรือร้นว่า เธอคือมารดาของพระเมสสิยาห์ผู้ซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้ (ข้อ 39-45)

เมื่อเราเติบโตขึ้นและเป็นผู้ใหญ่ในพระคริสต์เหมือนอย่างคุณปู่คุณย่าของฉัน เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงรักษาบรรดาพระสัญญาของพระองค์ พระองค์ทรงทำตามพระสัญญาที่จะประทานบุตรคนหนึ่งแก่นางเอลีซาเบธและเศคาริยาห์สามีของนาง (ข้อ 57-58) และบุตรนั้นคือยอห์นผู้ให้บัพติศมา ที่ได้กลายมาเป็นผู้เตรียมทางแห่งพันธสัญญาที่ประทานให้ไว้หลายร้อยปีก่อนหน้า เป็นพระสัญญาที่จะเปลี่ยนวิถีแห่งอนาคตของมนุษยชาติ พระเมสสิยาห์ที่ทรงสัญญาไว้ คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนั้นกำลังเสด็จมาแล้ว! (มธ.1:21-23)

ห้องที่สงบเงียบ

ถ้าคุณชอบความเงียบสงบ คุณจะหลงรักห้องพักในเมืองมินนิอาโปลิส รัฐมินนิโซต้า ที่สามารถดูดซับเสียงได้ถึง 99.99 เปอร์เซ็นต์! ห้องไร้เสียงสะท้อน ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกของออร์ฟิลด์ แล็บบอราทอรี่ส์ ได้รับการขนานนามว่าเป็น “สถานที่ที่เงียบที่สุดในโลก” ผู้ที่ต้องการสัมผัสพื้นที่ไร้เสียงแห่งนี้จะต้องนั่งลงเพื่อป้องกันความไม่คุ้นชินจากการที่ไม่มีเสียงรบกวน และไม่มีใครสามารถอยู่ในห้องนี้ได้นานเกินสี่สิบห้านาที

มีพวกเราน้อยคนนักที่ต้องการความเงียบขนาดนั้น แต่บางครั้งเราก็อยากจะอยู่เงียบๆในท่ามกลางโลกที่วุ่นวายสับสน แม้แต่ข่าวที่เราดูและสื่อสังคมออนไลน์ที่เราเสพก็ทำให้เกิด “เสียง” ที่ดังแข่งกันเพื่อเรียกร้องความสนใจจากเรา โดยส่วนใหญ่จะเป็นคำพูดและภาพที่กระตุ้นอารมณ์ในด้านลบ การหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านั้นสามารถกลบเสียงของพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย

เมื่อผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ไปเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาโฮเรบ ท่านไม่ได้พบพระองค์ท่ามกลางพายุที่ดังสนั่นหวั่นไหว หรือแผ่นดินไหว หรือไฟ (1 พกษ.19:11-12) แต่เมื่อเอลียาห์ได้ยิน “เสียงเบาๆ” ท่านจึงเอาผ้ามาคลุมหน้าและออกมายืนที่ปากถ้ำเพื่อพบกับ “พระเจ้าจอมโยธา” (ข้อ 12-14)

จิตวิญญาณของคุณอาจโหยหาความเงียบ แต่ยิ่งไปกว่านั้น จิตวิญญาณคุณอาจจะอยากได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า จงหาห้องที่สงบเงียบในชีวิตของคุณเพื่อที่คุณจะได้ไม่พลาด “เสียงเบาๆ” ของพระเจ้า (ข้อ 12)

ทุกสิ่งแด่พระเยซู

ตอนที่เจฟฟ์อายุสิบสี่ปี แม่พาเขาไปฟังนักร้องชื่อดังบี.เจ.โธมัส ซึ่งขณะออกทัวร์แสดงดนตรี เขาใช้ชีวิตแบบทำลายตัวเองเหมือนนักดนตรีหลายคนในยุคของเขา แต่นั่นก็ก่อนที่เขาและภรรยาจะได้รับการแนะนำให้รู้จักพระเยซู เมื่อพวกเขาเป็นผู้เชื่อในพระคริสต์ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในคืนที่แสดงคอนเสิร์ต นักร้องผู้นี้เริ่มสร้างความบันเทิงให้กับฝูงชนที่กระตือรือร้น แต่หลังจากที่ร้องเพลงได้ไม่กี่เพลง ซึ่งเป็นเพลงของเขาที่รู้จักกันดีมีชายคนหนึ่งตะโกนจากกลุ่มคนดูว่า “เฮ้ ร้องเพลงหนึ่งแด่พระเยซูสิ!” บี.เจ.ตอบโดยไม่ลังเลว่า “ผมเพิ่งร้องไปสี่เพลงแด่พระเยซู”

เวลาผ่านไปสองสามทศวรรษ แต่เจฟฟ์ยังจำช่วงเวลานั้นได้ เมื่อเขาตระหนักว่าทุกสิ่งที่เราทำควรทำเพื่อพระเยซู แม้ในเรื่องที่บางคนอาจถือว่า “ไม่เกี่ยวกับศาสนา”

บางครั้งเราถูกทดลองให้แบ่งแยกสิ่งที่เราทำในชีวิต เช่น อ่านพระคัมภีร์ แบ่งปันเรื่องราวการมาเชื่อของเรา ร้องเพลงนมัสการ เหล่านี้คือ เรื่องทางศาสนา ตัดหญ้าในสนาม ออกไปวิ่ง ร้องเพลงคันทรี่สักเพลง เหล่านี้คือ เรื่องทางโลก

โคโลสี 3:16 ทำให้เราระลึกว่าข่าวสารของพระคริสต์นั้นอยู่ในตัวเรา ในกิจกรรมต่างๆ เช่น การสอน การร้องเพลงและการขอบคุณ แต่ข้อ 17 ให้ความชัดเจนยิ่งไปกว่านั้นอีก โดนย้ำว่าในฐานะบุตรของพระเจ้า “เมื่อท่านจะกระทำสิ่งใดด้วยวาจาหรือด้วยกายก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในพระนามของพระเยซูเจ้า”เรากระทำทุกสิ่งถวายแด่พระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา