หัวใจสำคัญของการอธิษฐาน
เมื่ออับราฮัม ลินคอล์นขึ้นเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เขามีภารกิจในการนำประเทศที่กำลังแตกแยก ลินคอล์นถูกมองว่าเป็นผู้นำที่ฉลาดและมีคุณธรรม แต่มีอีกปัจจัยหนึ่งของภาพลักษณ์ภายนอกนี้ ซึ่งอาจเป็นที่มาของทุกอย่างคือ ลินคอล์นรู้ว่าเขาไม่มีความสามารถพอกับงานที่อยู่ตรงหน้า แล้วเขาตอบสนองอย่างไรกับความไม่ดีพอนั้น ลินคอล์นกล่าวว่า “ผมถูกผลักดันให้ต้องคุกเข่าลงหลายครั้งด้วยความแน่ใจอันท่วมท้นว่าผมไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว สติปัญญาและทุกอย่างที่ผมมีดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับเวลานั้น”
เมื่อเรามาถึงจุดที่ตระหนักว่าปัญหาในชีวิตนั้นช่างหนักหนา และพบว่าสติปัญญา ความรู้หรือกำลังของเรานั้นจำกัดเหลือเกิน เราจะได้พบเหมือนกับลินคอล์นว่า เราต้องพึ่งพาพระเยซูในทุกทาง พระองค์ทรงไร้ซึ่งขีดจำกัดใดๆ เปโตรเตือนเราถึงการพึ่งพานี้เมื่อท่านเขียนว่า “จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย” (1 ปต.5:7)
ความรักที่พระบิดาทรงมีต่อลูกๆของพระองค์ ผนวกเข้ากับฤทธิ์อำนาจที่ไร้ขีดจำกัดทำให้พระองค์เป็นผู้ทรงสมควรที่สุดที่เราจะเข้าไปหาพร้อมด้วยความอ่อนแอที่มี และนี่คือหัวใจสำคัญของการอธิษฐาน คือการที่เราเข้าหาพระเยซูโดยยอมรับต่อพระองค์ (และต่อตนเอง) ว่าเราไม่มีความสามารถพอ และพระองค์ทรงสามารถมากพอไปตลอดนิรันดร์กาล ลินคอล์นพูดว่าเขารู้สึกเหมือน “ไม่มีที่อื่นใดให้ไปอีกแล้ว” แต่เมื่อเราเริ่มเข้าใจถึงความห่วงใยที่พระเจ้าทรงมีต่อเราอย่างมากมาย นั่นก็เป็นข่าวดีที่ยอดเยี่ยม เราเข้าไปหาพระเจ้าได้!
ไม่ถูกลืม
เมื่อเราคิดถึงมิชชันนารีรุ่นบุกเบิกในประวัติศาสตร์ ชื่อของจอร์จ ไลเอล (1750-1820) มักไม่ผ่านเข้ามาในความคิด แต่บางทีเราควรคิดถึงเขา จอร์จเกิดมาเป็นทาส เขารู้จักพระคริสต์ที่รัฐจอร์เจียและได้รับอิสรภาพก่อนสงครามปฏิวัติอเมริกา เขานำข่าวประเสริฐไปที่ประเทศจาไมก้า ทำพันธกิจกับทาสในพื้นที่เพาะปลูกที่นั่น และรับใช้เป็นศิษยาภิบาลผู้ก่อตั้งคริสตจักรสองแห่งเพื่อชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่เมืองซาวานนาห์ รัฐจอร์เจีย หนึ่งในนั้นถูกเรียกว่า “คริสตจักรแม่ของชาวแบ๊บติสต์ผิวดำ”
อาจมีคนลืมชีวิตการรับใช้พระเจ้าอันโดดเด่นของจอร์จ แต่พระเจ้าไม่เคยทรงลืมการรับใช้ในฝ่ายวิญญาณของเขา และจะไม่ทรงลืมการงานที่คุณทำเพื่อพระองค์ด้วย จดหมายถึงชาวฮีบรูหนุนใจเราด้วยถ้อยคำเหล่านี้ “เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงอธรรม ที่จะทรงลืมการงานซึ่งท่านได้กระทำ เพราะความรักที่ท่านมีต่อพระนามของพระองค์ คือการรับใช้ธรรมิกชนนั้น ดังที่ท่านยังรับใช้อยู่” (6:10) ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าไม่ควรถูกมองข้าม เพราะพระองค์ทรงทราบดีและทรงจดจำทุกสิ่งที่กระทำในพระนามของพระองค์ พระธรรมฮีบรูยังหนุนใจเราอีกว่า “ให้ตามเยี่ยงอย่างแห่งคนเหล่านั้นที่อาศัยความเชื่อและความเพียร จึงได้รับตามพระสัญญาเป็นมรดก” (ข้อ 12)
หากเรารับใช้อยู่เบื้องหลังในคริสตจักรหรือในชุมชน เป็นการง่ายที่เราจะรู้สึกว่าไม่ได้รับการชื่นชม อย่าท้อใจ เพราะไม่ว่าผู้คนรอบข้างจะจดจำหรือตอบแทนการงานของเราหรือไม่ แต่พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่มีวันลืมเรา
ความหวังที่แท้จริง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1960 สหรัฐอเมริกาเต็มไปด้วยความคาดหวังถึงอนาคตอันสดใส ประธานาธิบดีหนุ่มจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ได้บุกเบิกดินแดนใหม่ ก่อตั้งกองกำลังอาสาสมัครเพื่อสันติภาพ และริเริ่มภารกิจพิชิตดวงจันทร์ เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูทำให้คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าอนาคตจะ “มีแต่ช่วงเวลาดีๆ” แต่ต่อมาสงครามเวียดนามทวีความรุนแรง ความไม่สงบในชาติเริ่มแผ่ขยาย เคนเนดี้ถูกลอบสังหาร และบรรทัดฐานทางสังคมที่คาดหวังไว้ก็ถูกทำลาย การมองโลกในแง่ดีอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ และเมื่อความเป็นจริงนี้ปรากฏ ความสิ้นหวังก็ได้เข้าครอบงำ
ต่อมาในปี 1967 นักศาสนศาตร์เจอร์เกน มอลท์แมนชี้ให้เห็นมุมมองที่ชัดเจนกว่าในหนังสือศาสนศาสตร์แห่งความหวัง ของเขาว่า เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางของการมองโลกในแง่ดีแต่เป็นทางแห่งความหวัง ทั้งสองทางนี้ไม่เหมือนกัน เขายืนยันว่าการมองโลกในแง่ดีขึ้นอยู่กับสภาวการณ์ในขณะนั้น แต่ความหวังหยั่งรากอยู่ในความสัตย์ซื่อของพระเจ้า ไม่ว่าสถานการณ์ของเราจะเป็นเช่นไร
อะไรคือแหล่งกำเนิดของความหวังนี้ เปโตรเขียนว่า “สาธุการแด่พระเจ้าพระบิดาแห่งพระเยซูคริสตเจ้าของเรา ผู้ได้ทรงพระมหากรุณาแก่เรา ทรงโปรดให้เราบังเกิดใหม่เข้าสู่ความหวังใจอันมีชีวิตอยู่ โดยการคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (1 ปต.1:3) พระเจ้าผู้ทรงสัตย์ซื่อทรงมีชัยเหนือความตายโดยทางพระเยซูองค์พระบุตร! ความจริงแห่งชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ยกชูเราไว้เหนือการมองโลกในแง่ดีไปสู่ความหวังที่มั่นคงแข็งแรง ในทุกวันและในทุกสถานการณ์
แตกหักอย่างงดงาม
ในที่สุดรถโดยสารของเราก็มาถึงจุดหมายปลายทางที่เราตั้งหน้าตั้งตาคอยคือที่แหล่งขุดค้นทางโบราณคดีในอิสราเอล ที่ซึ่งเราจะได้ลองทำการขุดค้นดูจริงๆ ผู้ควบคุมหลุมขุดค้นอธิบายว่า ทุกสิ่งที่เราอาจขุดเจอนั้นไม่มีใครแตะต้องมานานนับพันปี การขุดพบเศษเครื่องปั้นดินเผาที่แตกหักทำให้เรารู้สึกราวกับได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์ หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง เราก็ถูกพาไปยังจุดซึ่งใช้ประกอบชิ้นส่วนของแจกันเก่าแก่ใบใหญ่เข้าด้วยกัน
นี่เป็นภาพที่ชัดเจน ช่างฝีมือที่นำชิ้นส่วนแตกหักของเครื่องปั้นดินเผาอายุหลายร้อยปีมาประกอบเข้าด้วยกันนั้น เป็นภาพที่งดงามของพระเจ้าผู้ทรงรักที่จะซ่อมแซมสิ่งที่แตกหักขึ้นมาใหม่ ในสดุดี 31:12 ดาวิดกล่าวว่า “เขาลืม
ข้าพระองค์เสียประหนึ่งว่าเป็นคนตายแล้ว ข้าพระองค์เหมือนอย่างภาชนะที่แตก” แม้จะไม่ได้บอกถึงช่วงเหตุการณ์ที่เขียนเพลงสดุดีบทนี้ แต่ความยากลำบากในชีวิตของดาวิดมักถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเพลงคร่ำครวญเช่นเดียวกับเพลงบทนี้ ซึ่งบรรยายถึงการที่ท่านถูกทำให้แตกสลายด้วยภยันตราย ศัตรู และความสิ้นหวัง
แล้วท่านหันไปขอความช่วยเหลือจากที่ใด ในข้อ 16 ดาวิดร้องทูลพระเจ้าว่า “ขอพระพักตร์พระองค์ทอแสงบนผู้รับใช้ของพระองค์ ขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดด้วยความรักมั่นคงของพระองค์”
พระเจ้าผู้ซึ่งดาวิดไว้วางใจ คือองค์เดียวกันกับผู้ที่ยังคงซ่อมแซมสิ่งที่แตกหักในปัจจุบัน ขอเพียงเราเรียกหาพระองค์และวางใจในความรักมั่นคงของพระองค์
ใจขอบพระคุณ
ครั้งหนึ่งเซเนกา นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโรมัน (ก่อน ค.ศ.4-ค.ศ.65) ถูกจักรพรรดินีเมซซาลิน่ากล่าวหาว่าล่วงประเวณี สภาตัดสินโทษประหารชีวิต แต่จักรพรรดิคลอดิอุสกลับเนรเทศเขาไปที่คอร์ซิกา อาจเพราะพระองค์สงสัยว่าข้อกล่าวหานั้นไม่จริง การลดโทษครั้งนี้อาจหล่อหลอมมุมมองของการสำนึกในบุญคุณของเซเนกา เมื่อเขาเขียนว่า “ฆาตกร ทรราชย์ ขโมย คนล่วงประเวณี โจร คนไร้ศีลธรรม และคนทรยศนั้นมีอยู่เสมอ แต่สิ่งที่เลวร้ายกว่าคนเหล่านี้คือ อาชญากรรมแห่งการไม่สำนึกบุญคุณ”
อัครทูตเปาโลซึ่งอยู่ในยุคเดียวกับเซเนกาอาจเห็นด้วย ในโรม 1:21 ท่านเขียนว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มนุษยชาติล่มสลาย คือพวกเขาปฏิเสธที่จะขอบคุณพระเจ้า ในจดหมายที่เขียนถึงคริสตจักรในโคโลสี ท่านท้าทายเพื่อนผู้เชื่อให้ขอบพระคุณถึงสามครั้ง โดยบอกว่าเราจะต้อง “บริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ” (คส.2:7) ขณะที่เราให้สันติสุขของพระเจ้า “ครองจิตใจของ[เรา]” เราต้องตอบสนองด้วยใจขอบพระคุณ (3:15 TNCV) ที่จริงแล้ว การขอบพระคุณควรเป็นคุณลักษณะของคำอธิษฐานของเรา (4:2)
พระเมตตายิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีต่อเราเตือนเราถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ของชีวิต พระองค์ไม่เพียงสมควรได้รับความรักและการนมัสการจากเรา แต่ยังสมควรได้รับใจขอบพระคุณจากเราด้วย สิ่งดีในชีวิตทุกอย่างมาจากพระองค์ (ยก.1:17)
เพราะสิ่งสารพัดที่เราได้รับในพระคริสต์ การสำนึกในพระคุณจึงควรเป็นธรรมชาติเหมือนกับการหายใจ ขอให้เราตอบสนองต่อของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าด้วยการแสดงออกถึงใจขอบพระคุณต่อพระองค์
รู้แจ้งได้โดยพระวิญญาณ
เมื่อทหารฝรั่งเศสนายหนึ่งขุดหลุมในทะเลทรายเพื่อเสริมแนวป้องกันของค่ายทหาร เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นการค้นพบครั้งสำคัญ ขณะกดพลั่วเข้าไปในทราย เขาพบหินก้อนหนึ่ง ที่ไม่ใช่ก้อนหินทั่วไป แต่มันคือศิลาจารึกโรเซตต้า ซึ่งจารึกกฎหมายและการปกครองของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 5 ไว้ถึงสามภาษา ศิลานั้น (ปัจจุบันเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์อังกฤษ) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 19 ซึ่งช่วยไขความลึกลับของอักษรอียิปต์โบราณที่เรียกว่า อักษรเฮียโรกลิฟฟิค
สำหรับพวกเราหลายคน เนื้อหาส่วนใหญ่ของพระคัมภีร์ยังคงเป็นปริศนาเช่นกัน แม้กระนั้นในคืนก่อนการถูกตรึงที่กางเขน พระเยซูสัญญากับผู้ที่ติดตามพระองค์ว่าจะทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มา พระองค์ตรัสว่า “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำท่านทั้งหลายไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” (ยน.16:13) อีกนัยหนึ่งคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นศิลาจารึกโรเซตต้าอันศักดิ์สิทธิ์ของเรา ที่ส่องสว่างให้เห็นความจริงรวมถึงความจริงที่อยู่ภายใต้ความล้ำลึกของพระคัมภีร์
แม้จะไม่ได้ทรงสัญญาว่าจะให้เราเข้าใจทุกสิ่งที่ทรงมอบไว้ให้กับเราในพระคัมภีร์ แต่เราก็มั่นใจได้ว่าโดยพระวิญญาณเราสามารถรู้อย่างชัดแจ้งถึงสิ่งที่จำเป็นสำหรับเราในการติดตามพระเยซู พระองค์จะทรงนำเราไปสู่ความจริงที่สำคัญเหล่านั้น
จดจำและเฉลิมฉลอง
วันที่ 6 ธันวาคม 1907 แรงระเบิดสั่นสะเทือนชุมชนเล็กๆในรัฐเวสต์เวอร์จิเนียเป็นหายนะร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมเหมืองถ่านหิน ชาวเหมือง 360 คนเสียชีวิต และประมาณการว่าโศกนาฏกรรมนี้ทำให้มีหญิงม่ายประมาณ 250 คนและเด็กนับพันที่ไร้พ่อ นักประวัติศาสตร์กล่าวว่างานไว้อาลัยครั้งนั้นคือที่มาของการเฉลิมฉลองวันพ่อในสหรัฐในเวลาต่อมา ความสูญเสียครั้งใหญ่ก่อให้เกิดการจดจำและการเฉลิมฉลองในที่สุด
โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อมนุษย์ตรึงองค์พระผู้สร้างของพวกเขาที่กางเขน กระนั้น ช่วงเวลาที่มืดมนนั้นก็นำมาซึ่งการจดจำและการเฉลิมฉลอง คืนก่อนที่จะทรงถูกตรึง พระเยซูหยิบของในเทศกาลปัสกาของอิสราเอลมาและจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึกถึงพระองค์เอง บันทึกของลูกาบรรยายไว้อย่างนี้ว่า “พระองค์ทรงหยิบขนมปัง โมทนาพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลาย ตรัสว่า “นี่เป็นกายของเราซึ่งได้ให้สำหรับท่านทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา” (ลก.22:19)
จนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เรารับศีลมหาสนิท เราก็ได้ถวายเกียรติให้กับความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีต่อเรา โดยการระลึกถึงราคาที่ทรงจ่ายเพื่อช่วยกู้เราและเฉลิมฉลองของประทานแห่งชีวิตจากการเสียสละของพระองค์ ตามที่ชาร์ลส์ เวสลีย์เขียนไว้ในเพลงนมัสการว่า “ความรักประหลาดเป็นได้อย่างไร ที่ผู้ไถ่วายพระชนม์เพื่อข้า”
ความหวังในความเศร้าโศก
ในขณะที่คนขับแท็กซี่พาเราไปสนามบินฮีทโธรว์ของลอนดอน เขาเล่าเรื่องของตัวเองว่าเขาย้ายมาสหราชอาณาจักรตอนอายุสิบห้าเพื่อหนีจากสงครามและความยากไร้ สิบเอ็ดปีผ่านไปตอนนี้เขามีครอบครัวแล้วและสามารถเลี้ยงดูพวกเขาได้อย่างที่ไม่อาจทำได้ในประเทศบ้านเกิด แต่เขาเสียใจที่ยังคงแยกจากพ่อแม่และพี่น้อง เขาบอกเราว่าเขามีเส้นทางชีวิตที่ยากลำบากซึ่งจะไม่สิ้นสุดลงจนกว่าเขาจะได้อยู่พร้อมหน้ากับครอบครัวอีกครั้ง
การต้องแยกจากคนที่รักเมื่อยังมีชีวิตเป็นเรื่องที่ยาก แต่การสูญเสียคนที่รักไปเพราะความตายเป็นสิ่งที่ยากกว่ามาก และทำให้เกิดความรู้สึกสูญเสียที่ไม่มีวันแก้ไขได้จนกว่าเราจะได้อยู่กับพวกเขาอีกครั้ง เมื่อผู้เชื่อใหม่ในเมืองเธสะโลนิกาสงสัยเรื่องความสูญเสียนี้ เปาโลจึงเขียนถึงพวกเขาว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย เราไม่อยากให้ท่านไม่ทราบความจริงเรื่องคนที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้าอย่างคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง” (1 ธส.4:13) ท่านอธิบายว่าในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เรามีชีวิตอยู่โดยความคาดหวังถึงการพบกันอันแสนวิเศษอีกครั้ง และอยู่ร่วมกันต่อพระพักตร์พระคริสต์ตลอดไปเป็นนิตย์ (ข้อ 17)
มีเพียงไม่กี่ประสบการณ์ที่สร้างความเจ็บปวดได้เท่ากับการจากลาที่เราเผชิญ แต่เรามีความหวังในพระเยซูที่จะพบกันอีก และในท่ามกลางความเจ็บปวดและสูญเสีย เราจะพบการปลอบโยนที่เราต้องการจากพระสัญญาอันเป็นนิรันดร์ (ข้อ 18)
ชีวิตแห่งสันติสุข
ในเมืองเพิร์ท ออสเตรเลียมีสถานที่หนึ่งชื่อบ้านชาโลมที่ให้การช่วยเหลือผู้ชายที่มีอาการเสพติด ที่บ้านนี้พวกเขาจะได้พบเจ้าหน้าที่ดูแลซึ่งจะแนะนำพวกเขาให้รู้จักกับพระเจ้าแห่ง ชาโลม (ภาษาฮีบรู แปลว่า สันติสุข) ชีวิตที่ถูกทำลายจากการเสพติดยา เหล้า การพนัน และพฤติกรรมอื่นๆที่ทำลายชีวิต จะได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยความรักของพระเจ้า
ศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงนี้คือข่าวสารแห่งไม้กางเขน ผู้คนที่แตกสลายในบ้านชาโลมค้นพบว่า การฟื้นพระชนม์ของพระเยซูทำให้ชีวิตของพวกเขารับการฟื้นฟูได้ ในพระคริสต์นั้นพวกเราได้รับสันติสุขและการรักษาที่แท้จริง
การมีสันติสุขไม่ใช่เพียงแค่การไร้ซึ่งความขัดแย้ง แต่คือการทรงสถิตอยู่อย่างสมบูรณ์ของพระเจ้า เราทุกคนต้องการ ชาโลม นี้ ซึ่งจะพบได้ในพระคริสต์และพระวิญญาณของพระองค์เท่านั้น นี่คือเหตุผลที่เปาโลชี้ให้ชาวกาลาเทียเห็นถึงงานแห่งการเปลี่ยนแปลงของพระวิญญาณ ขณะที่พระวิญญาณทรงทำงานในชีวิตเรา พระองค์ทรงทำให้เกิดผลซึ่งรวมถึงความรัก ความชื่นชมยินดี ความอดทนและอื่นๆ (กท.5:22-23) พระองค์ทรงประทานองค์ประกอบสำคัญของสันติสุขที่แท้จริงและยั่งยืนแก่เรา
ขณะที่พระวิญญาณทรงทำให้เราสามารถมีชีวิตในชาโลมของพระเจ้า เราก็ได้เรียนรู้ที่จะวางความต้องการและความกังวลของเราต่อพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ และเราจะได้รับ “สันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเกินความเข้าใจ” ซึ่ง “จะคุ้มครองจิตใจ และความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์” (ฟป.4:7)
ในพระวิญญาณของพระคริสต์ หัวใจของเราสามารถสัมผัส ชาโลม ที่แท้จริง