เหมาะสมสำหรับพระเยซู
ในบรรดาเรื่องท้าทายในวัยเด็กของเอริคนั้นมีทั้งโรคผื่นผิวหนังขั้นรุนแรง สร้างปัญหาในโรงเรียน และการเมาเหล้าหรือยาเสพติดทุกวันตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงกระนั้น คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “ราชาแห่งความชั่วร้าย” ยังค้นพบว่าตัวเองเก่งกีฬาเบสบอล จนกระทั่งเขาเลิกเล่นเบสบอลเมื่อรู้สึกท้อแท้จากการถูกเลือกปฏิบัติ ซึ่งทำให้เขายิ่งมีเวลามากขึ้นเพื่อไปใช้ยาและขายยา
แต่สถานการณ์ของเอริคเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้มีประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตกับพระเยซูขณะนมัสการที่คริสตจักรแห่งหนึ่ง เมื่อไปทำงานในวันต่อมา มีผู้เชื่อที่อุทิศตัวคนหนึ่งชวนเอริคไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรอีกแห่งหนึ่ง ที่ซึ่งเขาได้ยินถ้อยคำหนุนใจในความเชื่อใหม่ที่เขาพบ “ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 คร.5:17) ชีวิตของเอริคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
เซาโลแห่งเมืองทาร์ซัส(ที่รู้จักในชื่อเปาโล) ก็ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพวก “ตัวตึง” เช่นเดียวกับเอริค ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” ในพวกคนบาป (1ทธ.1:15) ท่านเคยเป็น “คนหลู่พระเกียรติ ข่มเหง และทำการหมิ่นประมาทพระองค์” (ข้อ13) เอริคก็เป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู เช่นเดียวกับเซาโล และพวกเราก็เช่นกัน แม้เราจะไม่คิดว่าตัวเองเหมือนเซาโลหรือเอริค แต่เพราะ “ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (รม.3:23) พวกเราทุกคนจึงเป็นคนที่เหมาะสมสำหรับพระเยซู
การดูแลในพระคริสต์
ดเวย์นเพื่อนของผมมีคุณแม่ชื่อชาร์ลีน เธออายุเก้าสิบสี่ปี สูงไม่เกินหนึ่งร้อยห้าสิบสองเซนติเมตรและหนักไม่ถึงสี่สิบห้ากิโลกรัม แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการดูแลลูกชายของเธอผู้ซึ่งมีสภาพร่างกายที่ไม่เอื้อต่อการดูแลตนเอง ผู้ที่ไปเยี่ยมบ้านสองชั้นของพวกเขามักจะพบว่าชาร์ลีนอาศัยอยู่บนชั้นสอง และจะค่อยๆลงบันไดสิบหกขั้นมายังชั้นหนึ่งเพื่อต้อนรับแขก เช่นเดียวกับที่เธอทำในการดูแลลูกชายที่เธอรัก
ความมุ่งมั่นอย่างไม่เห็นแก่ตัวของชาร์ลีนทำให้ผมประทับใจ ผมได้รับการท้าทายและแรงบันดาลใจจากการที่เธอให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของลูกชายมากกว่าของตัวเธอเอง เธอเป็นแบบอย่างในสิ่งที่เปาโลหนุนใจไว้ในฟีลิปปี 2 ว่า “จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย” (ข้อ 3-4)
การดูแลผู้ที่มีปัญหาด้านสุขภาพหรือความต้องการอื่นๆอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูง ความจำเป็นต่างๆในชีวิตอาจทำให้เรารู้สึกเครียดและกดดัน และแม้แต่คนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก็อาจต้องรับผลกระทบหากเราไม่ได้ตั้งใจมุ่งมั่นที่จะมองข้ามความต้องการของตัวเราเอง แต่การเอาใจใส่ดูแลอย่างถ่อมใจคือสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูถูกเรียกให้ทำ (ดูข้อ 1-4) เมื่อเราอุทิศตนเอง เราก็ได้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูและได้ช่วยเหลือผู้อื่นไปด้วย อัครทูตท่านนี้เตือนเราว่า “ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ข้อ 5)
จำเป็นที่จะต้องเล่า
“รู้ไหมว่าพระเยซูรักคุณ พระองค์รักคุณจริงๆ” นั่นคือคำพูดสุดท้ายของจอห์น ดาเนียลส์ เพียงไม่กี่วินาทีหลังจากที่เขาให้เงินแก่ชายจรจัดคนหนึ่งและกล่าวคำพูดนั้น เขาถูกรถชนและเสียชีวิตทันที ในระเบียบการสำหรับพิธีรำลึกถึงชีวิตของจอห์นมีข้อความเขียนไว้ว่า “เขาต้องการรู้ว่าจะเข้าถึงผู้คนให้มากขึ้นได้อย่างไร ดังนั้นในบ่ายวันอาทิตย์ขณะพยายามช่วยเหลือชายคนหนึ่งที่ขัดสน พระเจ้าก็ได้ประทานหนทางให้เขาเข้าถึงคนทั่วโลก ทีวีท้องถิ่นทุกช่องนำเสนอข่าวนี้ และข่าวนี้ไปถึงเพื่อนๆ ครอบครัว และคนอื่นๆ มากมายทั่วประเทศ”
แม้ว่าจอห์น ดาเนียลส์จะไม่ใช่นักเทศน์ แต่เขารู้สึกถึงความจำเป็นที่ต้องเล่าเรื่องพระเยซูให้คนอื่นฟัง เปาโลก็เช่นกัน ในกิจการ 20 อัครทูตเปาโลแสดงออกถึงความร้อนรนในข่าวประเสริฐในคำกล่าวอำลาผู้นำคริสตจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า “ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จก็แล้วกัน และทำการปรนนิบัติที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูเจ้า คือที่จะเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ ซึ่งสำแดงพระคุณของพระเจ้านั้น” (ข้อ 24)
ข่าวประเสริฐเรื่องการอภัยโทษและชีวิตใหม่ในพระเยซูนั้นเป็นข่าวดีเกินกว่าจะเก็บไว้และไม่บอกคนอื่น ผู้เชื่อบางคนมีทักษะในการอธิบายพระกิตติคุณได้ดีกว่าผู้เชื่อบางคน แต่ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทุกคนที่เคยประสบกับฤทธิ์เดชแห่งข่าวประเสริฐซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตต่างก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวความรักของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขาได้
พูดคุยต่อพระพักตร์พระเจ้า
ปี2022 เป็นปีที่พิเศษมากสำหรับผมและภรรยา นั่นคือปีที่โซเฟีย แอชลีย์หลานสาวของเราเกิด เธอเป็นหลานสาวคนเดียวในบรรดาหลานแปดคน ปู่ย่าของโซเฟียยิ้มไม่หยุด! เมื่อลูกชายของเราโทรผ่านวิดีโอคอล ความตื่นเต้นก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก ผมกับภรรยาอาจอยู่คนละห้องกัน แต่เสียงร้องดังด้วยความสุขของเธอบอกให้รู้ว่าเธอได้เห็นหน้าโซเฟียแล้ว ในปัจจุบันนี้แค่โทรหรือกดเพียงปุ่มเดียวเท่านั้น เราก็ได้เห็นคนที่รักซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปแล้ว
การที่เราได้เห็นหน้าคนที่เรากำลังคุยโทรศัพท์ด้วยนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่ แต่การพูดคุยต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วยการอธิษฐานโดยตระหนักถึงการทรงสถิตของพระองค์นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่เลย ในสดุดี 27 ดาวิดอธิษฐานท่ามกลางศัตรู เพื่อทูลขอความช่วยเหลือซึ่งเกินความสามารถที่คนใกล้ชิดที่สุดจะช่วยได้ (ข้อ 10-12) โดยรวมถึงถ้อยคำต่อไปนี้ “พระองค์ตรัสแล้วว่า ‘จงหาหน้าของเรา’ จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงพระพักตร์ของพระองค์’” (ข้อ 8)
ช่วงเวลาที่ยากลำบากจะบังคับเราให้ “แสวงพระพักตร์พระองค์” (ข้อ 8) แต่นั่นไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวที่เราควรจะร่วมสามัคคีธรรมหน้าต่อหน้ากับผู้ซึ่ง “พระพักตร์พระองค์มีความชื่นบานอย่างเปี่ยมล้น” ที่ “ในพระหัตถ์ขวาของพระองค์มีความเพลิดเพลินอยู่เป็นนิตย์” (16:11) หากคุณตั้งใจฟังอย่างใกล้ชิด คุณอาจได้ยินพระองค์ตรัสในเวลาใดก็ได้ว่า “จงหาหน้าของเรา”
สมรรถภาพฝ่ายวิญญาณ
เทรเข้าฟิตเนสเป็นประจำและนั่นทำให้เห็นผลที่เกิดขึ้น ไหล่ของเขากว้าง มัดกล้ามของเขาเด่นชัด และต้นแขนของเขามีขนาดใกล้เคียงกับต้นขาของผม สภาพร่างกายของเขาทำให้ผมอยากชวนเขาคุยในเรื่องฝ่ายวิญญาณ ผมถามเขาว่าความมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อจะมีร่างกายที่แข็งแรงสะท้อนถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างเขากับพระเจ้าด้วยหรือไม่ ถึงแม้เราจะไม่ได้คุยเจาะลึกมากนัก แต่เทรรับรู้ถึง “พระเจ้าในชีวิตของเขา” เราคุยกันนานพอที่เขาจะให้ผมดูรูปตอนที่เขาหนักร้อยแปดสิบกว่ากิโลกรัม ไม่แข็งแรงและสุขภาพย่ำแย่ การเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายอย่างมหัศจรรย์
1 ทิโมธี 4:6-10 เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนทางร่างกายและจิตวิญญาณ “จงฝึกตนในทางธรรม เพราะถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะทรงไว้ซึ่งประโยชน์สำหรับชีวิตปัจจุบันและชีวิตอนาคตด้วย” (ข้อ 7-8) สมรรถภาพฝ่ายร่างกายภายนอกของเราไม่ได้ทำให้สถานภาพระหว่างเรากับพระเจ้าเปลี่ยนไป สมรรถภาพฝ่ายวิญญาณนั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ซึ่งเริ่มต้นด้วยการตัดสินใจที่จะเชื่อในพระเยซูผู้ทรงทำให้เราได้รับการยกโทษ จากจุดนั้นการฝึกฝนเพื่อดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมจึงเริ่มต้นขึ้น ซึ่งรวมถึงการ “เจริญด้วยคำสอนแห่งความเชื่อ และด้วยหลักธรรมอันดี...” (ข้อ 6) และการดำเนินชีวิตโดยพระกำลังของพระเจ้าเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระบิดาในสวรรค์ของเรา
บนเส้นทางที่อันตราย
ระหว่างที่เดินออกกำลังในยามเช้า ผมสังเกตเห็นว่ามีรถจอดอยู่บนถนนในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง คนขับไม่ทราบถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับตนเองและผู้อื่น เนื่องจากเธอกำลังหลับและดูเหมือนจะเมาด้วย สถานการณ์นี้เป็นอันตรายจนผมต้องทำอะไรบางอย่าง ผมพยายามปลุกเธอให้ตื่นและย้ายเธอไปนั่งในฝั่งของผู้โดยสาร เพื่อผมจะเข้าไปยังที่นั่งคนขับและขับรถพาเธอไปยังที่ปลอดภัย
เราไม่ได้เผชิญกับอันตรายทางด้านร่างกายเท่านั้น ที่กรุงเอเธนส์เมื่อเปาโลเห็นคนที่มีปัญญาของโลกตกอยู่ในอันตรายฝ่ายวิญญาณเพราะ “รูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง” ท่านรู้สึก “เดือดร้อนวุ่นวายใจ” (กจ.17:16) ท่านตอบสนองต่อผู้คนที่หลงไปกับแนวคิดที่ไม่นับถือพระคริสต์ โดยการเล่าถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ทรงมีในพระเยซูและผ่านทางพระเยซู (ข้อ18,30-31) และบางคนที่ได้ยินก็เชื่อ (ข้อ 34)
การแสวงหาความหมายสูงสุดของชีวิตที่นอกเหนือไปจากความเชื่อในพระคริสต์เป็นสิ่งที่อันตราย คนเหล่านั้นที่ได้พบกับการอภัยและการเติมเต็มอย่างแท้จริงในพระเยซูล้วนได้รับการช่วยกู้ให้หลุดพ้นจากการแสวงหาที่นำไปสู่ทางตัน และต่างได้รับมอบข่าวประเสริฐเรื่องการคืนดี (ดู 2 คร.5:18-21) การแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูแก่ผู้ที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของความมัวเมาในชีวิต ยังคงเป็นหนทางที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อดึงผู้คนให้หลุดพ้นจากเส้นทางที่อันตราย
สุขภาพของหัวใจ
หัวใจมนุษย์เป็นอวัยวะที่น่าทึ่ง สถานีสูบน้ำขนาดเท่ากำปั้นนี้มีน้ำหนักราว 200 ถึง 425 กรัม ในแต่ละวันจะเต้นประมาณ 100,000 ครั้งและสูบฉีดเลือดราว 7,600 ลิตรผ่านหลอดเลือดในร่างกายที่ยาวประมาณ 97,000 กิโลเมตร! ด้วยภาระหน้าที่ที่มีความสำคัญและเป็นงานที่หนัก เราจึงเข้าใจได้ว่าทำไมสุขภาพของหัวใจจึงเป็นศูนย์กลางของความเป็นอยู่ที่ดีของร่างกายทุกส่วน วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์สนับสนุนให้เราสร้างนิสัยที่ดีต่อสุขภาพเพราะสถานภาพของหัวใจเรานั้นขึ้นอยู่กับสุขภาพร่างกายของเรา
แม้ว่าวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์จะให้ข้อมูลที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับหัวใจในร่างกายของเรา แต่พระเจ้าตรัสด้วยสิทธิอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าเกี่ยวกับ “หัวใจ”อีกประเภทหนึ่ง พระองค์ทรงกล่าวถึง “ศูนย์กลาง” ด้านความคิด อารมณ์ วิญญาณและศีลธรรมของความเป็นเรา เนื่องจากหัวใจเป็นหน่วยประมวลผลกลางของชีวิต จึงจำเป็นต้องได้รับการปกป้อง “จงรักษาใจของเจ้าด้วยความระวังระไวรอบด้าน เพราะชีวิตเริ่มต้นออกมาจากใจ” (สภษ.4:23) การรักษาใจจะช่วยเราในการพูด (ข้อ 24) ทำให้เรามองสิ่งต่างๆอย่างพินิจพิเคราะห์ (ข้อ 25) และเลือกทางที่ดีที่สุดสำหรับย่างเท้าของเรา (ข้อ 27) ไม่ว่าจะอยู่ในวัยใดหรือช่วงชีวิตใด เมื่อเรารักษาใจของเรา ชีวิตของเราจะได้รับการสงวนรักษา ความสัมพันธ์ของเราได้รับการปกป้อง และพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติ
คนรักพระคัมภีร์
เจ้าสาวแสนสวยคล้องแขนพ่อที่ภาคภูมิใจเอาไว้และเตรียมเดินไปยังแท่นประกอบพิธี แต่ผู้ที่เดินนำหน้าคือหลานชายวัยสิบสามเดือนของเธอ แทนที่เขาจะถือ “แหวน” อย่างที่ปฏิบัติกัน เขากลับเป็น “ผู้ถือพระคัมภีร์” ด้วยวิธีนี้เองเจ้าสาวและเจ้าบ่าวผู้เชื่อที่อุทิศตัวในพระเยซู ต้องการเป็นพยานถึงความรักที่พวกเขามีต่อพระคัมภีร์ เด็กน้อยเดินไปยังด้านหน้าคริสตจักรโดยวอกแวกเพียงเล็กน้อย บนปกหนังของพระคัมภีร์นั้นมีรอยฟันของเด็กน้อยอยู่ ซึ่งเป็นภาพประกอบที่ชัดเจนเล็งถึงผู้เชื่อในพระคริสต์หรือผู้ที่ปรารถนาจะรู้จักกับพระองค์ ที่จะชิมและรับเอาพระวจนะนั้นเข้าไปภายใน
สดุดี 119 ยกย่องคุณค่าอันถ้วนทั่วของพระคัมภีร์ เมื่อประกาศถึงความสุขของผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระธรรมของพระเจ้าแล้ว (ข้อ 1) ผู้เขียนร่ายบทกวียกย่องชื่นชมพระคัมภีร์ รวมถึงความรักที่ท่านมีต่อพระวจนะนั้น “ขอทรงพิเคราะห์ว่าข้าพระองค์รักข้อบังคับของพระองค์มากเท่าใด” (ข้อ 159) “ข้าพระองค์เกลียดและสะอิดสะเอียนต่อความเท็จ แต่ข้าพระองค์รักพระธรรมของพระองค์” (ข้อ 163) “จิตใจของข้าพระองค์ปฏิบัติตาม บรรดาพระโอวาทของพระองค์ ข้าพระองค์รักพระโอวาทนั้นมากยิ่ง” (ข้อ 167)
เราจะกล่าวถึงความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์ผ่านวิถีชีวิตของเราอย่างไร วิธีหนึ่งที่จะทดสอบความรักที่เรามีต่อพระองค์ คือการถามว่า ฉันกำลังมีส่วนกับอะไร ฉันเคย “ลิ้มรส” ความหวานชื่นของถ้อยคำเหล่านั้นไหม จากนั้นให้ตอบรับคำเชิญนี้ที่จะ “ชิมดูแล้วจะเห็นว่าพระเจ้าประเสริฐ” (34:8)
การแตกสลายที่เป็นพร
เขาหลังค่อมและต้องเดินโดยใช้ไม้เท้า แต่การเป็นผู้เลี้ยงฝ่ายวิญญาณในตลอดหลายปีที่ผ่านมาคือหลักฐานที่บอกว่า เขาพึ่งพาในพระเจ้าผู้ทรงเป็นแหล่งแห่งกำลังของเขา ในปี ค.ศ. 1993 ศาสนาจารย์วิลเลียม บาร์เบอร์ ที่ 2 ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคที่ทำให้อ่อนเพลียซึ่งส่งผลให้ข้อกระดูกสันหลังอักเสบยึดติดเข้าด้วยกัน เขาได้รับคำพูดที่ไม่ค่อยถนอมน้ำใจนักว่า “บาร์เบอร์ คุณอาจต้องคิดที่จะทำอย่างอื่นนอกจากการเป็นศิษยาภิบาล เพราะคริสตจักรคงจะไม่ต้องการ[คนพิการ]มาเป็นศิษยาภิบาล” แต่บาร์เบอร์เอาชนะคำพูดที่น่าเจ็บปวดนี้ พระเจ้าไม่เพียงใช้เขาเป็นศิษยาภิบาล แต่เขายังเป็นกระบอกเสียงที่ทรงพลังและน่าเคารพให้กับคนด้อยโอกาสและคนชายขอบด้วย
แม้ผู้คนในโลกนี้อาจจะไม่รู้ทั้งหมดว่าควรปฏิบัติเช่นไรต่อคนพิการ แต่พระเจ้าทรงรู้ ผู้คนที่ให้คุณค่ากับความงาม ความแข็งแรง และสิ่งต่างๆที่ใช้เงินซื้อหามาได้ก็อาจพลาดสิ่งดีที่มาพร้อมกับการแตกสลายซึ่งไม่เป็นที่ต้องการ คำถามชวนคิดของยากอบและหลักการที่แฝงอยู่นั้นควรค่าอย่างยิ่งที่จะนำมาพิจารณา “พระเจ้าได้ทรงเลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนมั่งมีในความเชื่อ และให้เป็นผู้รับมรดกแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงสัญญาไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ” (ยก.2:5) เมื่อสุขภาพ เรี่ยวแรง หรือสิ่งอื่นๆเสื่อมถอยลง ความเชื่อของคนคนหนึ่งไม่จำเป็นต้องเสื่อมถอยตามไปด้วย แต่อาจตรงกันข้ามด้วยพระกำลังจากพระเจ้า สิ่งที่เราขาดแคลนจะเป็นตัวเร่งที่ทำให้เราไว้วางใจพระองค์มากขึ้น พระองค์ทรงสามารถใช้การแตกสลายของเราเช่นเดียวกับในกรณีของพระเยซู เพื่อนำสิ่งดีมาสู่โลกของเรา