วันที่ 1- พระคุณสำหรับวันนี้ | อุ้งพระหัตถ์ที่ปลอดภัย
อุ้งพระหัตถ์ที่ปลอดภัย
ชีวิตของดั๊ก เมอร์คีย์เป็นเหมือนกับเกลียวเชือกที่กำลังขาดลงทีละเส้น “แม่ของผมพ่ายแพ้ให้กับโรคมะเร็งที่เธอต่อสู้มายาวนาน ความสัมพันธ์กับคนรักที่คบกันมานานได้พังทลายลง สถานการณ์ทางการเงินที่ย่ำแย่ อาชีพการงานที่ดูไร้อนาคต… ความมืดมิดทางอารมณ์และจิตวิญญาณภายในและรอบตัวผมนั้นฝังลึก ทำให้ผมอ่อนกำลังและดูเหมือนจะก้าวผ่านมันไปไม่ได้” ดั๊กผู้เป็นศิษยาภิบาลและประติมากรได้บันทึกไว้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้รวมเข้ากับการใช้ชีวิตในห้องใต้หลังคาที่คับแคบ ได้กลายเป็นที่มาของประติมากรรมชื่อที่หลบภัย ของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอุ้งพระหัตถ์อันแข็งแรงและมีรอยตะปูของพระคริสต์ที่โอบอุ้มเราไว้เหมือนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย
ดั๊กอธิบายถึงรูปแบบงานศิลปะของเขาว่า “ประติมากรรมชิ้นนี้คือการเชื้อเชิญของพระคริสต์ให้เราเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพระองค์”
ดาวิดเขียนสดุดี 32 ในฐานะผู้ที่ได้พบที่ปลอดภัยอันสูงสุด นั่นคือในพระเจ้า พระองค์ประทานการภัยโทษจากบาปให้กับเรา (ข้อ 1-5) และหนุนใจให้เราอธิษฐานในท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย (ข้อ 6) ในข้อ 7 ผู้เขียนสดุดีประกาศความไว้วางใจในพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้”
เมื่อมีปัญหาคุณหันไปทางใด เป็นการดีที่ได้รู้ว่าเมื่อเชือกที่เปราะบางแห่งการดำรงอยู่บนโลกนี้ของเรากำลังจะขาดลง เราสามารถวิ่งไปหาพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมความปลอดภัยนิรันดร์ผ่านราชกิจแห่งการยกโทษของพระเยซูได้
เขียนโดย อาเธอร์ แจคสัน
คิดใคร่ครวญ :
การได้พบที่พักพิง ที่ปลอดภัย และการอภัยในพระเยซูมีความหมายกับชีวิตที่ผ่านมาหรือชีวิตในวันข้างหน้าของคุณอย่างไร พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในเรื่องที่คุณห่วงใย กลัว และเป็นภาระสำหรับคุณอย่างไร
อธิษฐาน :
พระบิดา พระองค์ทรงรู้ถึงช่วงเวลาที่เราพยายามต่อชิ้นส่วนของชีวิตเข้าด้วยกันโดยไม่มีพระองค์ ขอช่วยให้เราละทิ้งแผนการความปลอดภัยที่ผิดพลาดและรีบกลับไปหาพระองค์
วันที่ 5 - พระคุณสำหรับวันนี้ | ยามมืดมนกับคำอธิษฐานจากใจ
ยามมืดมนกับคำอธิษฐานจากใจ
เมื่อพบความยากลำบากของการปรับตัวเข้ากับความปกติใหม่ สตรีที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งถึงกับกล่าวออกมาว่า “ฉันอยู่ในมุมมืด” ซึ่งห้าคำนี้บ่งบอกถึงความเจ็บปวดสาหัสที่อยู่ภายในของเธอ และท่ามกลางความท้าทายนั้น เธอยอมรับว่าเธอต้องต่อสู้กับความสิ้นหวังและหมดกำลังใจ แต่สิ่งหนึ่งที่ช่วยดึงเธอออกจากความรู้สึกดำดิ่ง คือการแบ่งปันความทุกข์กับเพื่อนที่ห่วงใย
เราทุกคนล้วนมีช่วงเวลาที่อ่อนแอ ซึ่งอาจกินเวลายาวนานเป็นชั่วโมง วัน หรือหลายเดือน การต่อสู้ในช่วงเวลาเหล่านี้เปรียบเหมือนการเดินผ่านหุบเขาและทางทุรกันดารซึ่งไม่ใช่สิ่งแปลก แต่การจะผ่านไปได้ด้วยดีเป็นเรื่องที่ท้าทาย และการขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตอาจเป็นสิ่งที่จำเป็น
เราได้เรียนรู้ผ่านคำอธิษฐานของดาวิดในสดุดี 143 ซึ่งเป็นช่วงมืดมนในชีวิตของเขา เราไม่ทราบถึงสถานการณ์ที่เขาเผชิญอย่างแน่ชัด แต่คำอธิษฐานของเขาสอนเราให้ อธิษฐานอย่างตรงไปตรงมาและเต็มไปด้วยความหวัง “เพราะศัตรูไล่กวดข้าพระองค์ มันขยี้ชีวิตข้าพระองค์ลงถึงดิน มันได้กระทำให้ข้าพระองค์นั่งในที่มืด เหมือนคนที่ตายนานแล้ว เพราะฉะนั้นใจของข้าพระองค์อ่อนระอาอยู่ในข้าพระองค์จิตใจภายในข้าพระองค์ก็กลัวลาน” (ข้อ 3-4) สำหรับผู้เชื่อในพระเยซู การยอมรับถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายในใจกับตัวเอง กับเพื่อนสนิท หรือกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนั้นยังไม่เพียงพอ แต่ขอให้เราเข้าหาพระเจ้า (ทั้งความคิดและทั้งหมดของเรา) ด้วยการอธิษฐานอ้อนวอนอย่างจริงใจเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในข้อ 7-10 แล้วช่วงเวลาที่มืดมนจะกลับกลายเป็นเวลาแห่งการอธิษฐานที่ลึกซึ้ง ด้วยการแสวงหาทางสว่างแห่งชีวิตที่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานให้ได้
เขียนโดย อาเธอร์ แจคสัน
คิดใคร่ครวญ :
ท่ามกลางเวลามืดมิดที่สุด คุณมักตอบสนองอย่างไร? เหตุใดจึงยากที่จะยอมรับปัญหาของเราอย่างตรงไปตรงมา ทั้งต่อตัวเอง ต่อคนรอบข้าง และต่อพระเจ้า?
อธิษฐาน :
พระบิดา ขอทรงฟื้นฟูข้าพระองค์และให้ความหวังในพระองค์นั้นคงอยู่ และเมื่อข้าพระองค์รู้สึกดำดิ่ง เพราะความมืดมิดคืบคลานเข้ามาในชีวิตทั้งภายในและภายนอก โปรดช่วยข้าพระองค์เข้าหาพระองค์ด้วยการอธิษฐาน
วันที่ 1- พระคุณสำหรับวันนี้ | อุ้งพระหัตถ์ที่ปลอดภัย
อุ้งพระหัตถ์ที่ปลอดภัย
ชีวิตของดั๊ก เมอร์คีย์เป็นเหมือนกับเกลียวเชือกที่กำลังขาดลงทีละเส้น “แม่ของผมพ่ายแพ้ให้กับโรคมะเร็งที่เธอต่อสู้มายาวนาน ความสัมพันธ์กับคนรักที่คบกันมานานได้พังทลายลง สถานการณ์ทางการเงินที่ย่ำแย่ อาชีพการงานที่ดูไร้อนาคต… ความมืดมิดทางอารมณ์และจิตวิญญาณภายในและรอบตัวผมนั้นฝังลึก ทำให้ผมอ่อนกำลังและดูเหมือนจะก้าวผ่านมันไปไม่ได้” ดั๊กผู้เป็นศิษยาภิบาลและประติมากรได้บันทึกไว้ เหตุการณ์ทั้งหมดนี้รวมเข้ากับการใช้ชีวิตในห้องใต้หลังคาที่คับแคบ ได้กลายเป็นที่มาของประติมากรรมชื่อที่หลบภัย ของเขา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงอุ้งพระหัตถ์อันแข็งแรงและมีรอยตะปูของพระคริสต์ที่โอบอุ้มเราไว้เหมือนเป็นสถานที่ที่ปลอดภัย
ดั๊กอธิบายถึงรูปแบบงานศิลปะของเขาว่า “ประติมากรรมชิ้นนี้คือการเชื้อเชิญของพระคริสต์ให้เราเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในพระองค์”
ดาวิดเขียนสดุดี 32 ในฐานะผู้ที่ได้พบที่ปลอดภัยอันสูงสุด นั่นคือในพระเจ้า พระองค์ประทานการภัยโทษจากบาปให้กับเรา (ข้อ 1-5) และหนุนใจให้เราอธิษฐานในท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย (ข้อ 6) ในข้อ 7 ผู้เขียนสดุดีประกาศความไว้วางใจในพระเจ้าว่า “พระองค์ทรงเป็นที่ซ่อนของข้าพระองค์ พระองค์ทรงสงวนข้าพระองค์ไว้จากความยากลำบาก พระองค์ทรงล้อมข้าพระองค์ไว้ด้วยเพลงฉลองการช่วยกู้”
เมื่อมีปัญหาคุณหันไปทางใด เป็นการดีที่ได้รู้ว่าเมื่อเชือกที่เปราะบางแห่งการดำรงอยู่บนโลกนี้ของเรากำลังจะขาดลง เราสามารถวิ่งไปหาพระเจ้าผู้ทรงจัดเตรียมความปลอดภัยนิรันดร์ผ่านราชกิจแห่งการยกโทษของพระเยซูได้
เขียนโดย อาเธอร์ แจคสัน
คิดใคร่ครวญ :
การได้พบที่พักพิง ที่ปลอดภัย และการอภัยในพระเยซูมีความหมายกับชีวิตที่ผ่านมาหรือชีวิตในวันข้างหน้าของคุณอย่างไร พระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในเรื่องที่คุณห่วงใย กลัว และเป็นภาระสำหรับคุณอย่างไร
อธิษฐาน :
พระบิดา พระองค์ทรงรู้ถึงช่วงเวลาที่เราพยายามต่อชิ้นส่วนของชีวิตเข้าด้วยกันโดยไม่มีพระองค์ ขอช่วยให้เราละทิ้งแผนการความปลอดภัยที่ผิดพลาดและรีบกลับไปหาพระองค์
ชัยชนะแห่งความเชื่อ
การตรวจสุขภาพตามปกติของคาลวินน้อยวัยสี่ขวบ เผยให้เห็นจุดที่ไม่คาดคิดสองสามจุดบนร่างกายของเขา ขณะไปพบแพทย์เขาได้รับการฉีดยาและบริเวณที่ฉีดยาถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดแผล เมื่อถึงเวลาต้องแกะพลาสเตอร์เล็กๆออก คาลวินร้องไห้กระซิกด้วยความกลัว พ่อพยายามปลอบลูกชายว่า “คาลวิน ลูกรู้ว่าพ่อไม่มีวันทำให้ลูกเจ็บ” พ่อต้องการให้ลูกชายไว้ใจเขามากกว่าที่จะกลัวการแกะผ้าปิดแผล
ไม่ใช่แค่เด็กอายุสี่ขวบที่รู้สึกกลัวเมื่อเผชิญกับความรู้สึกไม่สบายใจ ทั้งการผ่าตัด การพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก เรื่องที่เป็นอุปสรรคทางความคิดหรือจิตใจ และอื่นๆอีกมากที่กระตุ้นให้เรากลัว ทอดถอนใจ ร้องไห้ และคร่ำครวญ
ช่วงเวลาหนึ่งที่ดาวิดเต็มไปด้วยความกลัว คือตอนที่พบว่าตัวท่านอยู่ในดินแดนฟิลิสเตียขณะหลบหนีกษัตริย์ซาอูลที่อิจฉาริษยา เมื่อมีคนจำดาวิดได้ ท่านจึงหวาดวิตกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน (ดู 1 ซมอ.21:10-11) “ดาวิด...กลัวอาคีช กษัตริย์เมืองกัท” (ข้อ 12) เมื่อครุ่นคิดถึงสถานการณ์ที่ไม่สบายใจนี้ ดาวิดประพันธ์ว่า “เมื่อข้าพระองค์กลัว ข้าพระองค์วางใจในพระองค์...ในพระเจ้า ข้าพระองค์วางใจอย่างปราศจากความกลัว” (สดด.56:3-4)
เราจะทำอย่างไรเมื่อความไม่สบายใจในชีวิตกระตุ้นความกลัวของเรา เราสามารถไว้วางใจพระบิดาในสวรรค์ของเราได้
พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า
ราเล่ย์ เพื่อนของผมกำลังพุ่งทะยานเข้าสู่วันครบรอบวันเกิดปีที่แปดสิบห้า! เขาเป็นแรงบันดาลใจให้กับผมตั้งแต่เราได้คุยกันครั้งแรกเมื่อกว่าสามสิบห้าปีก่อน เมื่อเร็วๆนี้เขาเล่าว่าตั้งแต่เกษียณ เขาเขียนต้นฉบับหนังสือเสร็จหนึ่งเล่ม และเริ่มต้นงานพันธกิจอื่นอีก ผมรู้สึกทึ่งแต่ไม่แปลกใจ
ในพระคัมภีร์ คาเลบในวัยแปดสิบห้าก็ยังไม่พร้อมที่จะหยุดเช่นกัน ความเชื่อและการอุทิศตนต่อพระเจ้าค้ำจุนท่านตลอดหลายสิบปีของการใช้ชีวิตในถิ่นทุรกันดาร และในการสู้รบเพื่อรักษามรดกที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับอิสราเอล ท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้ายังมีกำลังแข็งแรง เช่นเดียวกับวันที่โมเสสใช้ให้ข้าพเจ้าไป กำลังของข้าพเจ้าในการทำศึกสงคราม หรือออกไปและเข้ามาเดี๋ยวนี้ก็เป็นเหมือนครั้งนั้น” (ยชว.14:11) ท่านจะเอาชนะด้วยวิธีใด คาเลบประกาศว่า “พระเจ้าจะทรงสถิตกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะขับไล่เขาออกไปได้ ดังที่พระเจ้าตรัสไว้แล้ว” (ข้อ 12)
พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์อย่างสุดใจโดยไม่เกี่ยงเรื่องอายุ สถานะในชีวิต หรือสถานการณ์ เราเห็นพระเจ้าได้ในองค์พระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดของเรา หนังสือพระกิตติคุณทำให้เราเกิดความเชื่อในพระเจ้าผ่านสิ่งที่เรามองเห็นในพระคริสต์ พระเยซูทรงสำแดงความห่วงใยและพระเมตตาของพระเจ้าต่อทุกคนที่ขอความช่วยเหลือจากพระองค์ ดังที่ผู้เขียนฮีบรูยอมรับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว” (ฮบ.13:6) ไม่ว่าเราจะเป็นเด็กหรือคนชรา คนอ่อนแอหรือแข็งแรง ถูกพันธนาการหรือเป็นอิสระ กระฉับกระเฉงหรือเดินกะเผลก แล้วจะมีอะไรที่ขัดขวางไม่ให้เราขอความช่วยเหลือจากพระองค์ในวันนี้ได้
การเลือกนั้นสำคัญ
ศิษยาภิบาลดาเมียนวางแผนที่จะไปโรงพยาบาลเพื่อเยี่ยมผู้ป่วยหนักสองคนซึ่งเลือกเส้นทางชีวิตที่แตกต่างกัน ที่โรงพยาบาลแห่งแรกเป็นผู้หญิงซึ่งได้รับความรักจากครอบครัว การบริการชุมชนอย่างไม่เห็นแก่ตัวทำให้เธอเป็นที่รักของคนมากมาย ผู้เชื่อในพระเยซูคนอื่นๆพากันมาอยู่รายล้อมเธอ และนมัสการ อธิษฐาน และห้องนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่ง ญาติของสมาชิกในคริสตจักรของดาเมียนก็กำลังจะเสียชีวิตเช่นกัน จิตใจที่แข็งกระด้างของเขาทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบาก และครอบครัวที่ยุ่งเหยิงของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับผลจากการตัดสินใจที่แย่และการกระทำที่ไม่ถูกต้องของเขา ความแตกต่างในบรรยากาศทั้งสองแบบสะท้อนให้เห็นถึงความแตกต่างในการใช้ชีวิตของคนทั้งสอง
ผู้ที่ไม่ได้พิจารณาว่าชีวิตของตนกำลังมุ่งหน้าไปทางไหนมักจะพบว่าพวกเขาติดอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัด ไม่พึงประสงค์ และโดดเดี่ยว สุภาษิต 14:12 บันทึกไว้ว่า “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราดูเหมือนถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” ไม่ว่าเด็กหรือคนชรา คนป่วยหรือสุขภาพดี คนรวยหรือยากจน ล้วนยังไม่สายเกินไปที่จะทบทวนการดำเนินชีวิตของเราใหม่ เส้นทางนี้จะนำเราไปสู่ที่ใด พระเจ้าทรงได้รับเกียรติหรือไม่ คนอื่นได้รับการช่วยเหลือหรือได้รับความวุ่นวาย เป็นเส้นทางที่ดีที่สุดสำหรับผู้เชื่อในพระเยซูหรือไม่
การเลือกมีความสำคัญ และพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงช่วยเราเลือกสิ่งที่ดีที่สุด เมื่อเราหันไปหาพระองค์ผ่านทางองค์พระบุตร คือพระเยซูผู้ตรัสว่า “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลาย หายเหนื่อยเป็นสุข” (มธ.11:28)
ทำดีเพื่อพระเจ้า
แม้ว่าปกติแพทริคจะไม่ค่อยพกเงินติดตัว แต่เขาสัมผัสได้ว่าพระเจ้าทรงนำให้เขาหยิบแบงค์ห้าดอลล่าร์ใส่กระเป๋าก่อนออกจากบ้าน ในช่วงพักรับประทานอาหารกลางวันที่โรงเรียนซึ่งเขาทำงานอยู่ เขาจึงเข้าใจว่าพระเจ้าทรงเตรียมเขาเพื่อตอบสนองความต้องการที่จำเป็นเร่งด่วนอย่างไร ท่ามกลางเสียงอื้ออึงภายในโรงอาหาร เขาได้ยินคำพูดที่บอกว่า “สก๊อตตี้ [เด็กยากจนคนหนึ่ง] ต้องการเงินห้าดอลล่าร์เข้าบัญชี เขาจะมีอาหารกลางวันรับประทานตลอดสัปดาห์นี้” ลองนึกหน้าแพทริคขณะที่เขาให้เงินช่วยเหลือสก๊อตตี้ดูสิว่าจะมีความสุขเพียงใด!
ในพระธรรมทิตัส เปาโลเตือนผู้เชื่อพระเยซูว่า พวกเขาไม่ได้รับความรอด “ด้วยการกระทำที่ชอบธรรมของ[พวกเขา]เอง” (3:5) แต่พวกเขาควร “อุตส่าห์กระทำการดี” (ข้อ 8; ดูข้อ 14) ชีวิตอาจเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิงวุ่นวาย เราอาจใส่ใจกับความเป็นอยู่ที่ดีของเรามากจนเกินไป แต่ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราต้อง “พร้อมที่จะกระทำการดี” แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งที่เราไม่มีและทำไม่ได้ ให้เราคิดถึงสิ่งที่เรามีและสามารถทำได้
โดยความช่วยเหลือของพระเจ้า เมื่อเราคิดเช่นนั้น เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นในยามที่พวกเขาต้องการ และพระเจ้าก็ได้รับเกียรติ “จงให้ความสว่างของท่านกระจ่างแจ้งต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อเขาจะเห็นการดีทีของท่านและสรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มธ.5:16)
พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟูจากพระเจ้า
ภาพต่างๆที่ส่งมาจากข้อความของเพื่อนนั้นน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ภาพที่เขามอบของขวัญเซอร์ไพรส์ให้ภรรยาเป็นรถฟอร์ดมัสแตงปี 1965 ซึ่งได้รับการฟื้นฟูสภาพใหม่ ภายนอกเป็นสีน้ำเงินเข้มสดใส ขอบโครเมี่ยมแวววาวส่วนภายในหุ้มเบาะใหม่สีดำ และเครื่องยนต์ที่เข้ากันได้กับชิ้นส่วนใหม่อื่นๆ และยังมีภาพรถ “ก่อน” การซ่อมที่เป็นสีเหลืองเก่าๆ ทรุดโทรมและไม่น่าประทับใจ แม้จะนึกภาพย้อนไปได้ยาก แต่ดูเหมือนตอนที่รถคันนี้ถูกผลิตและปล่อยออกจากโรงงาน ก็น่าจะดึงดูดสายตาของผู้คนเช่นกัน แต่กาลเวลา การสึกหรอ และปัจจัยอื่นๆทำให้มันพร้อมแล้วที่จะได้รับการฟื้นฟูสภาพขึ้นใหม่
พร้อมแล้วสำหรับการฟื้นฟู! นี่คือสภาพประชากรของพระเจ้าในสดุดี 80 และคำอธิษฐานซ้ำๆว่า “ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้กลับสู่สภาพดี ขอพระพักตร์ของพระองค์ทอแสง เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะรอด” (ข้อ 3, ดูข้อ 7,19) แม้ประวัติศาสตร์ของพวกเขาจะมีทั้งการช่วยกู้จากอียิปต์และการมีถิ่นที่อยู่ใหม่ในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ (ข้อ 8-11) แต่เวลาดีๆเหล่านั้นได้จากไปแล้ว เนื่องจากการกบฎ พวกเขาจึงพบกับพระหัตถ์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า (ข้อ 12-13) ดังนั้นพวกเขาจึงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าจอมโยธา ขอทรงหันกลับเถิดพระเจ้าข้า ขอทรงมองจาก ฟ้าสวรรค์และทรงเห็น” (ข้อ 14)
คุณเคยรู้สึกเบื่อหน่าย ห่างเหินหรือถูกตัดขาดจากพระเจ้าไหม ความชื่นบานอิ่มเอมในจิตใจขาดหายไปหรือไม่ เป็นเพราะเราไม่ได้เข้าส่วนกับพระเยซูและพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ พระเจ้าทรงสดับฟังคำทูลขอการฟื้นฟูให้กลับสู่สภาพดีของเรา (ข้อ 1) แล้วจะมีสิ่งใดที่ทำให้คุณไม่ทูลขอต่อพระองค์
จิตใจเป็นทุกข์ คำอธิษฐานที่ซื่อตรง
สามวันก่อนจะมีการระเบิดที่บ้านของเขาในเดือนมกราคม ค.ศ.1957 ดร.มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ได้พบกับประสบการณ์ที่ประทับในใจเขาไปตลอดชีวิต หลังจากได้รับโทรศัพท์ข่มขู่ คิงจึงครุ่นคิดถึงวิธีที่จะออกจากขบวนการเรียกร้องสิทธิพลเมือง แล้วคำอธิษฐานก็หลั่งไหลออกมาจากใจของเขา “ผมอยู่ที่นี่เพื่อยืนหยัดในสิ่งที่ผมเชื่อว่าถูกต้อง แต่เวลานี้ผมกลัว ผมไม่เหลืออะไรแล้ว ผมมาถึงจุดที่ผมเผชิญคนเดียวไม่ได้” เมื่ออธิษฐานจบ คิงมีความรู้สึกมั่นใจอย่างเงียบๆ เขาบันทึกว่า “ความกลัวของผมเริ่มหมดไปเกือบจะในทันที ความไม่แน่ใจของผมหายไป ผมพร้อมที่จะเผชิญทุกสิ่ง”
ในพระธรรมยอห์นบทที่ 12 พระเยซูทรงรู้ว่า “จิตใจของเราเป็นทุกข์” (ข้อ 27) พระองค์ทรงเปิดเผยอย่างซื่อตรงถึงความรู้สึกภายในของพระองค์ และยังทรงมีพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในคำอธิษฐานของพระองค์ “ข้าแต่พระบิดา ขอให้พระนามของพระองค์จงได้รับเกียรติ” (ข้อ 28) คำอธิษฐานของพระเยซูเป็นการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระเจ้า
แล้วเราผู้เป็นมนุษย์เล่าจะรู้สึกเจ็บปวดจากความกลัวและความรู้สึกยากลำบากสักเพียงใด เมื่อเราต้องเจอกับทางเลือกว่าจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าหรือไม่ คือเมื่อเราต้องการสติปัญญาเพื่อตัดสินใจในเรื่องที่ยากเกี่ยวกับความสัมพันธ์ อุปนิสัยความเคยชินหรือแบบแผนอื่นๆ(ดีและไม่ดี) ไม่ว่าเราจะต้องเผชิญกับสิ่งใด เมื่อเราอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยใจกล้า พระองค์จะประทานกำลังให้เราเอาชนะความกลัว ความรู้สึกยากลำบากและทำสิ่งที่ถวายเกียรติแด่พระองค์ เพื่อเป็นผลดีต่อตัวเราและต่อผู้อื่น