ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Arthur Jackson

ความสนิทสนมกับพระเจ้า

ในหนังสือ บุรุษผู้ทรงเกียรติ (Man of Honor) เรย์ พริตชาร์ดเล่าเรื่องที่เขาเดินเที่ยวในสุสาน และพบป้ายหลุมศพของชายคนหนึ่งพร้อมคำไว้อาลัยที่ยาวเหยียด จากนั้นเขาก็ได้บรรยายถึงคำจารึกบนหลุมศพลูกชายของชายคนดังกล่าวที่สะดุดตามากกว่าว่า “ชายผู้ซื่อตรงอย่างไร้ข้อกังขา” พริตชาร์ดเขียนไว้ว่า “คำห้าคำที่สรุปทั้งชีวิต เวลากว่าหกสิบปีถูกกลั่นออกมาเป็นคำห้าคำ แต่บอกเล่าความจริงได้อย่างน่าทึ่ง”

ในสดุดี 15:1 เราพบคำถามที่ถามถึงบุคคลประเภทหนึ่งว่า “ผู้ใด​จะ​อาศัย​อยู่​ใน​พลับพลา​ของ​พระ​องค์ ผู้ใด​จะ​อยู่​บน​ภูเขา​ศักดิ์สิทธิ์​ของ​พระ​องค์” (ข้อ 1) คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับความ​ซื่อตรง โดยตีความจากคำว่า “​หา​ที่​ติ​มิได้” ในข้อ 2 ที่บอกว่า “​ผู้​ที่​ดำเนิน​ชีวิต​อย่าง​หา​ที่​ติ​มิได้​และ​ปฏิบัติ​ให้​ถูกต้อง​ตาม​ธรรม และ​พูด​ความ​จริง​จาก​จิตใจ​ของ​ตน” (ข้อ 2) คำถาม (ข้อ 1) และคำตอบ (ข้อ 2) เมื่อรวมกันแล้วหมายถึงการสนิทสนมกับพระเจ้า ส่วนที่เหลือของสดุดีบทนี้เป็นการสรุปทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี ว่าชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามีลักษณะอย่างไร

เมื่อเรามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้า เราจะสำแดงชีวิตที่มีความซื่อตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา (ดู มธ.22:34-40; 1ยน.3:16-18) นี่เป็นลักษณะของชีวิตที่เราถือปฏิบัติเมื่อเราเชื่อและติดตามพระเยซู ผู้ทรงดำเนินชีวิตในความสนิทสนมอย่างสมบูรณ์กับพระบิดาของพระองค์

หมดกำลังแต่ไม่หมดคำอธิษฐาน

อนิต้า เบลเลย์รู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อเธอได้รับข้อความทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจาเล็นลูกชายของเธอว่า “ฉันเป็นฝ่ายต้อนรับที่โบสถ์วันนี้และชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมเด็กน้อยในอ้อมแขนเดินเข้ามาหาฉันและโอบกอดฉัน... ฉันจ้องมองอยู่ชั่วขณะ แล้วฉันก็จำเขาได้และพูดว่า ‘จาเล็น!’ เราสวมกอดกันและพูดคุยสั้นๆช่างเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ!” ฝ่ายต้อนรับคนนี้รู้จักจาเล็นในวัยกบฏเมื่ออนิต้าและเอ๊ดผู้เป็นสามีรู้สึกหมดกำลังที่จะช่วยลูกชายของพวกเขาให้พ้นจากผลของการกระทำที่โง่เขลา ซึ่งนำไปสู่ชีวิตในเรือนจำถึงสิบสองปี

แม้ครอบครัวเบลเลย์จะรู้สึกหมดกำลัง แต่พวกเขาไม่หมดคำอธิษฐาน กษัตริย์เยโฮชาฟัทใน 2 พงศาวดาร 20 ก็เช่นกัน เมื่อพระองค์ถูกตามราวีจากกองทัพศัตรูที่มาข่มขู่ พระองค์ทรงเรียกให้มีการประชุมอธิษฐาน (ข้อ 1-4) “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ” พระองค์อธิษฐาน “เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์” (ข้อ 12)

คุณเคยรู้สึกหมดกำลังหรือไร้หนทางในสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณหรือไม่ ทำไมคุณไม่ลองจัดการประชุมอธิษฐาน ไม่ว่าจะด้วยตัวเองหรือกับคนอื่น นี่คือสิ่งที่พระเยซูทำเมื่อทรงเผชิญกับการตรึงกางเขนที่ใกล้เข้ามา (ลก.22:39-44) ที่แห่งการอธิษฐานนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ไร้ซึ่งกำลังได้ถวายคำทูลขอต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในพระนามของพระเยซู

พระกำลังที่เหนือกว่าของพระเจ้า

ในหนังสือ จากหลุมลึกสู่ธรรมาสน์ จอห์น สตรูปเล่าถึงความทุกข์ยากที่รุนแรงและไร้ความปรานีในชีวิตที่โจมตีและทารุณเขาทั้งทางร่างกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ เขาเล่าว่า “ผมเริ่มใช้ยาเสพติดก่อนที่ผมจะขับรถเป็น…ผมออกจากโรงเรียนและเริ่มถลำลึกลงในวิถีชีวิตของอาชญากร” ในที่สุด อาชญากรรมที่จอห์นก่อก็ทำให้เขาต้องติดคุก ในระหว่างการรับโทษจำคุกห้าปี พระคัมภีร์กลายเป็นจริงสำหรับเขา และเขาได้ยอมถ่อมใจลงต่อพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ เขาหลุดพ้นจากนิสัยที่เคยแข็งแกร่งกว่าเขา

ประสบการณ์ของอิสราเอลในสมัยโบราณมักเป็นการถูกกดขี่และบางครั้งก็ถูกจับเป็นเชลย “จากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา” (ยรม.31:11) ถึงแม้ว่าสถาน-การณ์ที่ยากลำบากเหล่านั้นจะเกิดจากความโง่เขลาของพวกเขาเอง แต่พระเจ้ายังทรงสำแดงพระเมตตาและพระกำลังของพระองค์เพื่อประชาชนที่หลงผิด การสร้างใหม่อันหมายรวมถึงการร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ และการเฉลิมฉลอง (ข้อ 12-14) เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงสำแดงพระกำลังที่เหนือกว่าของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพวกเขา

ชีวิตของจอห์น สตรูปเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อผู้ที่ไว้วางใจในพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า หนังสือพระกิตติคุณเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ในการเอาชนะความชั่วร้ายอันน่ารังเกียจในชีวิตของมนุษย์ และ “ทุก​คน​ซึ่ง​ได้​ออก​พระ​นาม​” ของพระองค์ (กจ.2:21) จะสามารถเข้าถึงพระกำลังและฤทธิ์อำนาจของพระเยซูได้ในวันนี้ ผ่านทางการอธิษฐานอย่างจริงใจและเปี่ยมด้วยความเชื่อ และการยอมจำนนที่แท้จริง

เป็นเหมือนพระคริสต์

ในฐานะที่เป็นเด็กยุคฟิฟตี้และซิกตี้ (ทศวรรษ 1950 และ 1960) ผมเติบโตมาในช่วงเวลาที่ “สิ่งบันเทิงยามว่างของอเมริกา” คือ เบสบอล ผมแทบรอไม่ได้ที่จะออกไปที่สนามเพื่อเล่นเบสบอล และหนึ่งในความตื่นเต้นที่สุดของผมคือตอนที่ได้รับเสื้อเบสบอลของตัวเองที่มีตราของทีมเราติดอยู่ ทีมไจแอนท์! แม้ว่าเลข 9 ด้านหลังจะทำให้ผมแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่น แต่ชุดที่เหมือนกันแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน

คำสอนในมัทธิว 5:3-10 ที่รู้จักกันในชื่อว่า ผู้เป็นสุข พระเยซูทรงระบุถึงคนเหล่านั้นที่เป็นของแผ่นดินสวรรค์ว่าเป็นผู้ที่ “สวมใส่เสื้อ” ของการเป็นเหมือนพระคริสต์ แผ่นดินสวรรค์เต็มไปด้วยคนเหล่านั้นที่สวมความคิดและคุณลักษณะเช่นเดียวกับกษัตริย์ของพวกเขา พระเยซูตรัสว่า “ผู้เป็นสุข” นั้นไม่สามารถจำแนกได้จากรูปร่างภายนอก สุขภาพ หรือทรัพย์สมบัติ แต่สิ่งที่อยู่ภายในหรือจิตใจของผู้นั้นต่างหากที่สำคัญ “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 3) คือคนเหล่านั้นที่รู้ว่าตนเองมีความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณ “บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 6) คือคนเหล่านั้นที่จิตวิญญาณของพวกเขากระหายที่จะถวายเกียรติและทำให้พระเจ้าพอพระทัย “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 9) คือคนเหล่านั้นที่ร่วมกับพระเยซูในการแสวงหาความปรองดอง

ขณะที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา เราสามารถสวมใส่อาภรณ์แห่งการเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระเยซูและเป็นสมาชิกในทีมของพระองค์ เพราะเราได้รับการอวยพรจริงๆ!

คำอธิษฐานของพระเยซู

พระเยซู พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อผมอย่างไร ผมไม่เคยคิดถึงคำถามนี้จนกระทั่งลูเพื่อนของผมเล่าประสบการณ์ที่เขาร้องไห้จนหมดหัวใจต่อพระคริสต์ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้สติปัญญาและความเข้มแข็งเกินกำลังที่เขามีอยู่ การได้ยินเขาถามคำถามสำคัญนี้ในการอธิษฐานช่วยเปิดความเข้าใจและฝึกฝนผมให้อธิษฐานในมิติใหม่

ในลูกา 22 ไม่มีความลึกลับใดๆ เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อซีโมนเปโตรว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด” (ข้อ 31-32) เมื่อเปโตรถูกโจมตีผ่านการทดลอง ความเชื่อของท่านก็สั่นคลอน แต่เพราะพระคุณของพระคริสต์ ท่านจึงไม่ล้มลง

พระธรรมกิจการบอกเราว่า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูที่อธิษฐานเผื่อเปโตรสาวกที่กระตือรือร้นแต่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงใช้ท่านไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ทั้งแก่ชาวยิวและคนต่างชาติ และพันธกิจอธิษฐานของพระเยซูยังไม่จบสิ้น เปาโลย้ำเตือนเราว่า “พระเยซูคริสต์...ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเรา
ทั้งหลายด้วย” (รม.8:34) เมื่อคุณพบว่าตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ยากจากการทดลองหรือการล่อลวง จงจำไว้ว่าพระเยซูผู้ทรงอธิษฐานเผื่อบรรดาสาวกของพระองค์ ก็ยังคงอธิษฐานเผื่อผู้ที่เชื่อในพระองค์ผ่านถ้อยคำที่พวกสาวกประกาศด้วยเช่นกัน (ดู ยน.17:13-20)

ของประทานแห่งการให้

ในปี 2024 นักธุรกิจพันล้านโรเบิร์ต เฮล จูเนียร์ กล่าวกับผู้สำเร็จการศึกษา 1,200 คนจากมหาวิทยาลัยว่า “ในช่วงเวลายากลำบากเช่นนี้ เราจำเป็นต้องมีการแบ่งปัน การดูแลและการให้ที่มากขึ้น[ผมกับภรรยา ]อยากมอบของขวัญสองชิ้นแก่พวกคุณ ชิ้นแรกเป็นของขวัญที่เรามอบให้คุณ และชิ้นที่สองคือของขวัญเพื่อการให้” จากนั้นตามมาด้วยการแจกซองจดหมายสองซองให้กับบัณฑิตผู้ซึ่งไม่ได้คาดหวังมาก่อน โดยแต่ละซองมีเงินห้าร้อยดอลล่าร์เพื่อเก็บไว้เอง และอีกห้าร้อยดอลล่าร์เพื่อมอบให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ

แม้ว่าความมั่งคั่งของโรเบิร์ต เฮล ทำให้เขาแบ่งปันแบบนี้ได้มากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ความเอื้อเฟื้อไม่ได้สงวนไว้สำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินมหาศาลเท่านั้น ในอดีตผู้เชื่อพระเยซูในเมืองมาซิโดเนียได้ถวายจากความยากจนของตนเพื่อผู้เชื่อในกรุงเยรูซาเล็มจะมีในสิ่งที่ต้องการ เปาโลกล่าวถึงชาวมาซิโดเนียว่า “เมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขาและความลำบากยากจนอย่างที่สุดของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจศรัทธาอย่างยิ่ง” (2 คร.8:2) ท่านชมเชยพวกเขาเพราะ “เขาศรัทธาถวายโดยสุดความสามารถของเขา ที่จริงก็เกินความสามารถของเขาเสียอีก และเขายังวิงวอนเรามากมาย ขอให้เขามีส่วนในการช่วยธรรมิกชนด้วย” (ข้อ 3-4)

ผู้ที่ตระหนักว่าตนได้รับพระคุณมากมายจากพระเจ้าโดยทางพระเยซู จะตอบสนองด้วยการให้กับผู้อื่นที่มีความต้องการด้วยใจเอื้อเฟื้อ โดยการช่วยเหลือจากพระเจ้า ขอให้เราถวายตามแบบอย่างของพระองค์ผู้ทรงตรัสว่า “การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ” (กจ.20:35)

โอ้โห!

“โอ้โห!” คือปฏิกิริยาของสมาชิกในทีมของเราที่ได้เยี่ยมชมศูนย์พักฟื้นและฝึกอบรมที่ถูกซื้อมาในราคาสูง โดยผู้ที่มีนิมิตที่อยากจะหนุนใจและให้บรรดาผู้รับใช้ในพันธกิจได้ใช้เพื่อการฟื้นใจ พวกเราตื่นตาตื่นใจกับรถบัสสองชั้น เตียงสองชั้นขนาดห้าฟุต และห้องชุดพร้อมเตียงขนาดหกฟุต นอกจากนี้ห้องครัวและพื้นที่รับประทานอาหารที่ตกแต่งอย่างงดงามยังทำให้พวกเราตาโต และเมื่อคุณคิดว่าได้เห็นทุกอย่างแล้ว ก็จะยังมีสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจอีกมากมาย รวมถึงสนามบาสเกตบอลในร่มขนาดมาตรฐาน ทุกอย่างทำให้ต้องร้องว่า “โอ้โห”

​พระ​ราชินี​แห่งเช​บารู้สึก “โอ้โห” ในแบบที่คล้ายกันนี้เมื่อเสด็จไปเยี่ยมกษัตริย์ซาโลมอนในกรุงเยรูซาเล็มยุคโบราณ เมื่อพระองค์ “ท​รง​เห็น​พระ​สติปัญญา​ทั้งสิ้น​ของ​ซาโลมอน และ​พระ​ราชวัง​ที่​พระ​องค์​ทรง​สร้าง​... ​พระ​ทัย​ของ​พระ​นาง​ก็​ตื่นตะลึงอย่างยิ่ง” (1 พกษ.10:4-5 THSV11) หลายศตวรรษต่อมา ผู้สืบเชื้อสายจากกษัตริย์ดาวิดอีกผู้หนึ่งคือพระเยซูได้ปรากฏขึ้น และพระองค์ทรงทำให้ผู้คนประหลาดใจในแบบที่แตกต่างออกไป ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จไป ผู้คนต่างรับรู้ถึงความอัศจรรย์ในพระปัญญาและพระราชกิจของพระองค์ (ลก.4:36) และพระองค์ทรงเร้าใจให้พวกเขาเห็นว่า “ซึ่ง​ใหญ่​กว่า​ซาโลมอน” ได้มาปรากฏแล้ว (11:31) พระราชกิจอันน่าตื่นตะลึงของพระเยซูนำมาซึ่งการอภัยโทษบาปที่พระองค์ทรงจ่ายด้วยราคาแพงโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์เอง พระองค์ทรงต้อนรับทุกคนที่จะเข้ามาหาพระองค์ และผู้ที่ทำเช่นนั้นจะได้สัมผัสกับความงามและพระคุณของพระองค์ และจะร้องเพลงสรรเสริญพระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร์ โอ้โห!

การแบ่งปันทรัพยากรในเรื่องข่าวประเสริฐ

สถานที่จัดงานและที่พักสำหรับการประชุมผู้นำของเราในย่านใจกลางเมืองชิคาโกนั้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความขาดแคลนที่ผมเห็นระหว่างทางไปที่นั่น ความขาดแคลนเหล่านี้รวมไปถึงคนที่ขาดแคลนอาหารและที่พักพิงขั้นพื้นฐาน ความแตกต่างนี้ช่วยให้ผมสามารถนึกภาพและระบุสิ่งที่เราจำเป็นต้องรวบรวมไว้ในการวางแผนงานเพื่อรับใช้ทั้งในเมืองและที่อื่นๆได้อย่างชัดเจน เพื่อรวบรวมทรัพยากรในเรื่องข่าวประเสริฐ (คือทุกสิ่งที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยเผยแพร่ข่าวแห่งความรักและความรอดของพระเจ้า) ไปยังสถานที่ซึ่งมีความต้องการที่สุด

ขณะที่เปาโลเขียนจดหมายถึงผู้เชื่อชาวโรมัน ท่านยังไม่เคยไปเยี่ยมพวกเขา แต่ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะไปโดยกล่าวว่า “ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้พบท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้นำของประทานฝ่ายวิญญาณจิตมาให้...เพื่อเสริมกำลังท่าน...และ...ได้หนุนใจซึ่งกันและกัน โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย” (รม.1:11-12) อัครทูตมุ่งหวังการ “แลกเปลี่ยนของประทาน” ที่จะเป็นประโยชน์ต่อท่านและผู้อื่นขณะที่พวกเขาต่างมีชีวิตเพื่อพระเยซูและรับใช้ผู้อื่น

ทรัพยากรที่เรามีนั้นรวมถึงของประทานฝ่ายวิญญาณและทรัพยากรที่เป็นวัตถุซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา ขอให้เรายอมที่พระองค์จะทรงใช้เราในการเผยแพร่ข่าวประเสริฐแก่ผู้คนด้วยความรักเมตตา และเมื่อพระเจ้าทรงเสริมกำลังเรา ขอให้เราเปิดใจ เปิดปาก และเตรียมมือของเราในการรับใช้ผู้อื่น ขอให้เราทำโดย “ไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด”(ข้อ 16)

ชัยชนะของความเมตตาในพระคริสต์

เมื่อแจ็คกี้ โรบินสันนักเบสบอลผิวดำคนแรกลงเล่นในเมเจอร์ลีกที่สนามไชบ์ปาร์คเมืองฟิลาเดลเฟีย ในวันที่ 9 พฤษาคม ค.ศ. 1947 ดอริสวัยสิบขวบนั่งอยู่ที่อัฒจันทร์ชั้นบนกับพ่อของเธอ ต่อมามีชายผิวดำสูงวัยคนหนึ่งเดินมาตามช่องทางเดินและนั่งลงข้างพวกเขา พ่อของเธอเป็นคนเริ่มชวนเขาพูดคุย ดอริสเล่าว่าบทสนทนาเรื่องการเก็บแต้มของพวกเขานั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับว่า “โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว” เธอพูดเพิ่มเติมว่า “ฉันไม่เคยลืมชายคนนั้นและใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเขา” ปฏิสัมพันธ์ที่น่ายินดีระหว่างเด็กผู้หญิงผิวขาวกับชายสูงวัยใจดีที่เคยมีพ่อเป็นทาสได้จุดประกายความสว่างในวันนั้น

แต่โรบินสันต้องพบเจอกับพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิงในการแข่งขันนัดอื่นๆในฤดูกาลเดียวกัน เขาเล่าว่า “ในแง่ของเชื้อชาติ พวกเขาตะคอกใส่ผมในทุกๆเรื่อง มันเลวร้ายมาก”

การประพฤติที่ชั่วร้ายไม่ได้ถูกจำกัดอยู่เพียงในสนามกีฬาเท่านั้น ในบ้าน ชุมชน ที่ทำงาน หรือแม้แต่คริสตจักรก็อาจเป็นพื้นที่ซึ่งความน่าเกลียดน่าชังมีชัยชนะได้ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสำแดงความเมตตาผ่านพระบุตรของพระองค์ (ทต.3:4) ได้รับการทรงเรียกให้แสดงความเมตตาเช่นเดียวกับพระองค์ เปโตรเขียนไว้ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า” (1 ปต.3:8-9) ความเมตตาจะมีชัยชนะ เมื่อผู้ที่ได้รับความเมตตาจากพระเจ้า จะแบ่งปันความเมตตานั้นแก่ผู้อื่นด้วยใจกว้างขวางตามการช่วยเหลือของพระวิญญาณ

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา