บทเรียนที่ไม่อาจลืม
คอรี่ บรู๊คส์ หรือ “ศิษยาภิบาลบนดาดฟ้า” ได้อาศัยอยู่บนดาดฟ้าของคริสตจักรที่อยู่ทางตอนใต้ของชิคาโกเป็นเวลา 343 วัน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชุมชน บรู๊คส์ได้โพสต์ข้อความ “ขอบคุณ” ทางออนไลน์ถึงโจ สโตกส์ ครูชั้นประถมซึ่งได้สอนบทเรียนที่ไม่อาจลืมสี่ประการให้กับเขา นั่นคือพลังแห่งความบากบั่น ความสำคัญของความซื่อตรง คุณค่าของการมีส่วนร่วมในชุมชน และอิทธิพลของการศึกษา
เมื่อเรานำคำสอนแห่งปัญญาของซาโลมอนในสุภาษิต 3 มาใช้ เราก็จะสามารถบากบั่นเพื่อดำเนินชีวิตที่สร้างผลกระทบต่อชุมชนได้เช่นกัน ซาโลมอนได้สอนบทเรียนสี่ประการที่เหมาะสำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าและถูกเรียกให้เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจในทางบวก คือ “จงวางใจในพระเจ้า” (ข้อ 5) “จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย” (ข้อ 7) “จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยทรัพย์สินของตน” (ข้อ 9) “อย่าดูหมิ่นพระดำรัสสอนของพระเจ้า” (ข้อ 11) แม้คำสอนแห่งปัญญาเหล่านี้จะผลักดันให้เราเพ่งความสนใจไปที่พระเจ้า แต่ความเชื่อของเราก็ยังมีด้านที่ส่งผลกระทบกับผู้คนด้วยเช่นกัน
ในมัทธิว 5:3-12 พระเยซูผู้ทรงเป็นพระปัญญาสูงสุดได้ทรงอธิบายถึงลักษณะภายในของผู้เชื่อในพระเยซูไว้อย่างน่าฟัง นอกจากนี้พระองค์ยังเตือนสติว่าพวกเขาเป็นคนที่มีอิทธิพลอย่างมาก “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก” (ข้อ 13) “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก” (ข้อ 14) ดังนั้นเราจึงถือเป็นเกียรติที่ได้ “ส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ [เรา ]ทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของ[เรา ]ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์” (ข้อ 16)
ผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้า
งานฉลองวันเกิดของโรซี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจลืมได้ ทั้งอาหารที่อร่อย การพูดคุยบนโต๊ะอาหารอย่างสนุกสนาน และการที่หลานชายคนแรกมาอยู่ด้วยยิ่งทำให้ทุกอย่างดีขึ้นไปอีก แต่สิ่งดีเหล่านี้ดูจืดจางไปเมื่อเทียบกับคำยกย่องที่ลูกชายทั้งสองมีต่อเธอ แม้การแต่งงานของโรซี่จะล้มเหลว แต่ทักษะของเธอในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวสร้างความแตกต่างให้ลูกชายของเธอ คำชื่นชมของพวกเขาสะท้อนถึงการที่เธอทำทุกอย่างเพื่อเลี้ยงดูพวกเขา คำพูดของลูกชายคนเล็กอธิบายสิ่งที่เธอเป็นได้ดีที่สุด “เธอเป็นผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้า”
ในสุภาษิต 31:10-31 ผู้อ่านได้เห็นภาพของสติปัญญาที่มาจากความยำเกรงในบริบทภายในบ้าน ความยำเกรงพระเจ้า (ข้อ 30) ซึ่งก็คือการเคารพต่อพระเจ้าด้วยความถ่อมใจ จะทำให้คนนั้นเป็นคนที่เชื่อถือได้ (ข้อ 11-12) เป็นคนที่ขยันบากบั่นและมัธยัสถ์ (ข้อ 13-19) และแม้ว่าหญิงที่มีปัญญาจะยกให้ “ครอบครัวมาก่อน” (ข้อ 21-28) ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเธอใส่ใจ “แค่ในบ้านเท่านั้น” เธอยังนึกถึงการช่วยเหลือผู้อื่นด้วย (ข้อ 20)
เช่นเดียวกับโรซี่ วิถีชีวิตของผู้หญิงที่ยำเกรงพระเจ้าจะไม่ถูกมองข้าม โดยเฉพาะจากคนที่อาศัยอยู่กับพวกเธอ (ข้อ 28) ไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อคนเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ชิดที่สุดจะยกย่องพวกเธอ หากคุณอยากเป็นผู้ติดตามพระเยซูที่ยำเกรงพระเจ้า จงทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ และอย่าแปลกใจเมื่อคำอธิษฐานเหล่านั้นได้รับการตอบ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
พระเยซูผู้ชนะ
ในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 1973 ขณะมีการแข่งเกมซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 7 ซึ่งมีความสมบูรณ์แบบเป็นเดิมพัน ในฤดูกาลนั้นของการแข่งขันอเมริกันฟุตบอล ทีมไมอามี่ดอลฟินทำผลงานได้ดีที่สุดด้วยการแข่งสิบหกครั้งโดยไม่แพ้เลย และเมื่อการแข่งซูเปอร์โบวล์สิ้นสุดลง ทีมดอลฟินที่ได้ชัยชนะจะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การกีฬาว่าเป็นเพียงทีมเดียวในการเล่นอเมริกันฟุตบอลอาชีพที่มีประวัติสมบูรณ์แบบ
ชัยชนะ นี่คือคำที่เหมาะสมกับพระเยซูเช่นกัน การใคร่ครวญพระราชกิจของพระองค์ทำให้เห็นถึงชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่า บันทึกของมัทธิวเกี่ยวกับพันธกิจของพระคริสต์ในกาลิลี (มธ.4:23-9:38) รวมถึงบทสรุปตอนต้นและท้ายว่า “พระเยซูได้เสด็จไปทั่วแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ทรงประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า และทรงรักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หาย” (4:23; ดู 9:35) พระคริสต์ทรงมีชัยเหนือผีร้าย โรคภัย และความตาย (มก.5:1-43) และสิ่งที่ดูเหมือนความพ่ายแพ้ยับเยิน คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน ได้กลับกลายเป็นชัยชนะครั้งสุดท้าย พระองค์ทรงชนะศัตรูที่ใหญ่ที่สุดคือความตาย โดยการทรงฟื้นคืนพระชนม์ (กจ.2:24)
ชัยชนะ ไม่ว่าจะในเกมกีฬาหรือในความมานะบากบั่นอื่นใด ล้วนแต่จะได้รับรางวัลและของขวัญตอบแทน สิ่งใดหรือที่จะเหมาะสมต่อพระเยซูผู้ซึ่งชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการคืนพระชนม์ได้มอบการอภัยและความสัมพันธ์ที่ถูกต้องกับพระเจ้าให้แก่คนที่เชื่อในพระองค์ สิ่งนั้นคือการอุทิศตัวแด่พระองค์ด้วยความเทิดทูน!
รากฐานอันมั่นคงในพระคริสต์
ซี . เจ. สตราวด์ ควอเตอร์แบ็กทีมอเมริกันฟุตบอลเป็นคนหนุ่มที่มีพรสวรรค์ และเป็นผู้เชื่อที่ปราศจากความละอายในพระเยซู ในอาชีพที่มีอายุการทำงานเฉลี่ยเพียง 3.3 ปี สตราวด์เปิดเผยอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาไว้วางใจในสิ่งใด “ฟุตบอลมี...จุดเปลี่ยนและพลิกผันมากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับรากฐานของคุณ และสิ่งที่วางรากฐานให้กับผมก็คือความเชื่อ”
นักฟุตบอลหรืออาชีพใดก็ตาม ไม่ได้เป็นด้านเดียวของชีวิตที่มีทั้งขึ้นและลง มีจุดเปลี่ยนและพลิกผัน เรื่องราวของพระเยซูในมัทธิว 7:24-27 กล่าวถึงบ้านสองหลังที่ถูกพัดกระหน่ำโดยฝน น้ำท่วม และลมพายุ แต่มีเพียงหลังเดียวที่รอดจากพายุ “เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา” (ข้อ 25) พระคริสต์ทรงเปรียบถึงคำสอนของพระองค์ (ข้อ 24, 26)
ใช่แล้ว พายุเกิดขึ้นในชีวิตนี้เช่นกัน ความเจ็บป่วยและความยากลำบากต่างๆ ที่เกินจะนับได้นั้นสามารถทำให้เราสับสนวุ่นวาย ชีวิตไม่ได้ “ทนทานต่อพายุ” แต่การสร้างชีวิตของเราบนพระเยซูและคำสอนของพระองค์ซึ่งเป็น “รากฐาน” อันมั่นคงของเรา (ดู 1คร.3:11) จะทำให้เกิดความแตกต่าง ผู้ที่ไม่ยอมรับพระคริสต์จะยิ่งอ่อนแอเมื่อต้องเผชิญกับพายุแห่งชีวิต แต่ผู้ที่ฟังพระวจนะของพระองค์จะพบความมั่นคง “ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา” (มธ.7:25) แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับรากฐานของเรา
ความสนิทสนมกับพระเจ้า
ในหนังสือ บุรุษผู้ทรงเกียรติ (Man of Honor) เรย์ พริตชาร์ดเล่าเรื่องที่เขาเดินเที่ยวในสุสาน และพบป้ายหลุมศพของชายคนหนึ่งพร้อมคำไว้อาลัยที่ยาวเหยียด จากนั้นเขาก็ได้บรรยายถึงคำจารึกบนหลุมศพลูกชายของชายคนดังกล่าวที่สะดุดตามากกว่าว่า “ชายผู้ซื่อตรงอย่างไร้ข้อกังขา” พริตชาร์ดเขียนไว้ว่า “คำห้าคำที่สรุปทั้งชีวิต เวลากว่าหกสิบปีถูกกลั่นออกมาเป็นคำห้าคำ แต่บอกเล่าความจริงได้อย่างน่าทึ่ง”
ในสดุดี 15:1 เราพบคำถามที่ถามถึงบุคคลประเภทหนึ่งว่า “ผู้ใดจะอาศัยอยู่ในพลับพลาของพระองค์ ผู้ใดจะอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์” (ข้อ 1) คำตอบนั้นเกี่ยวข้องกับความซื่อตรง โดยตีความจากคำว่า “หาที่ติมิได้” ในข้อ 2 ที่บอกว่า “ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างหาที่ติมิได้และปฏิบัติให้ถูกต้องตามธรรม และพูดความจริงจากจิตใจของตน” (ข้อ 2) คำถาม (ข้อ 1) และคำตอบ (ข้อ 2) เมื่อรวมกันแล้วหมายถึงการสนิทสนมกับพระเจ้า ส่วนที่เหลือของสดุดีบทนี้เป็นการสรุปทั้งในแง่ที่ดีและไม่ดี ว่าชีวิตที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้ามีลักษณะอย่างไร
เมื่อเรามีความสนิทสนมใกล้ชิดกับพระเจ้า เราจะสำแดงชีวิตที่มีความซื่อตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิธีการที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นตามที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา (ดู มธ.22:34-40; 1ยน.3:16-18) นี่เป็นลักษณะของชีวิตที่เราถือปฏิบัติเมื่อเราเชื่อและติดตามพระเยซู ผู้ทรงดำเนินชีวิตในความสนิทสนมอย่างสมบูรณ์กับพระบิดาของพระองค์
หมดกำลังแต่ไม่หมดคำอธิษฐาน
อนิต้า เบลเลย์รู้สึกอบอุ่นหัวใจเมื่อเธอได้รับข้อความทางโซเชียลมีเดียเกี่ยวกับจาเล็นลูกชายของเธอว่า “ฉันเป็นฝ่ายต้อนรับที่โบสถ์วันนี้และชายหนุ่มคนหนึ่งพร้อมเด็กน้อยในอ้อมแขนเดินเข้ามาหาฉันและโอบกอดฉัน... ฉันจ้องมองอยู่ชั่วขณะ แล้วฉันก็จำเขาได้และพูดว่า ‘จาเล็น!’ เราสวมกอดกันและพูดคุยสั้นๆช่างเป็นชายหนุ่มที่ดีจริงๆ!” ฝ่ายต้อนรับคนนี้รู้จักจาเล็นในวัยกบฏเมื่ออนิต้าและเอ๊ดผู้เป็นสามีรู้สึกหมดกำลังที่จะช่วยลูกชายของพวกเขาให้พ้นจากผลของการกระทำที่โง่เขลา ซึ่งนำไปสู่ชีวิตในเรือนจำถึงสิบสองปี
แม้ครอบครัวเบลเลย์จะรู้สึกหมดกำลัง แต่พวกเขาไม่หมดคำอธิษฐาน กษัตริย์เยโฮชาฟัทใน 2 พงศาวดาร 20 ก็เช่นกัน เมื่อพระองค์ถูกตามราวีจากกองทัพศัตรูที่มาข่มขู่ พระองค์ทรงเรียกให้มีการประชุมอธิษฐาน (ข้อ 1-4) “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงกระทำการพิพากษาเหนือเขาหรือ” พระองค์อธิษฐาน “เพราะว่าข้าพระองค์ทั้งหลายไม่มีฤทธิ์ที่จะต่อสู้คนหมู่มหึมานี้ ซึ่งกำลังมาต่อสู้กับข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่ทราบว่าจะกระทำประการใด แต่ดวงตาของข้าพระองค์ทั้งหลายเพ่งที่พระองค์” (ข้อ 12)
คุณเคยรู้สึกหมดกำลังหรือไร้หนทางในสถานการณ์ที่อยู่เหนือการควบคุมของคุณหรือไม่ ทำไมคุณไม่ลองจัดการประชุมอธิษฐาน ไม่ว่าจะด้วยตัวเองหรือกับคนอื่น นี่คือสิ่งที่พระเยซูทำเมื่อทรงเผชิญกับการตรึงกางเขนที่ใกล้เข้ามา (ลก.22:39-44) ที่แห่งการอธิษฐานนั้นเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ผู้ไร้ซึ่งกำลังได้ถวายคำทูลขอต่อพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ในพระนามของพระเยซู
พระกำลังที่เหนือกว่าของพระเจ้า
ในหนังสือ จากหลุมลึกสู่ธรรมาสน์ จอห์น สตรูปเล่าถึงความทุกข์ยากที่รุนแรงและไร้ความปรานีในชีวิตที่โจมตีและทารุณเขาทั้งทางร่างกาย ทางเพศ และทางอารมณ์ เขาเล่าว่า “ผมเริ่มใช้ยาเสพติดก่อนที่ผมจะขับรถเป็น…ผมออกจากโรงเรียนและเริ่มถลำลึกลงในวิถีชีวิตของอาชญากร” ในที่สุด อาชญากรรมที่จอห์นก่อก็ทำให้เขาต้องติดคุก ในระหว่างการรับโทษจำคุกห้าปี พระคัมภีร์กลายเป็นจริงสำหรับเขา และเขาได้ยอมถ่อมใจลงต่อพระเจ้า โดยพระคุณของพระองค์ เขาหลุดพ้นจากนิสัยที่เคยแข็งแกร่งกว่าเขา
ประสบการณ์ของอิสราเอลในสมัยโบราณมักเป็นการถูกกดขี่และบางครั้งก็ถูกจับเป็นเชลย “จากมือที่แข็งแรงเกินกว่าเขา” (ยรม.31:11) ถึงแม้ว่าสถาน-การณ์ที่ยากลำบากเหล่านั้นจะเกิดจากความโง่เขลาของพวกเขาเอง แต่พระเจ้ายังทรงสำแดงพระเมตตาและพระกำลังของพระองค์เพื่อประชาชนที่หลงผิด การสร้างใหม่อันหมายรวมถึงการร้องเพลงด้วยความชื่นชมยินดี ผลผลิตที่อุดมสมบูรณ์ และการเฉลิมฉลอง (ข้อ 12-14) เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงสำแดงพระกำลังที่เหนือกว่าของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพวกเขา
ชีวิตของจอห์น สตรูปเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อผู้ที่ไว้วางใจในพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า หนังสือพระกิตติคุณเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจของพระเยซูคริสต์ในการเอาชนะความชั่วร้ายอันน่ารังเกียจในชีวิตของมนุษย์ และ “ทุกคนซึ่งได้ออกพระนาม” ของพระองค์ (กจ.2:21) จะสามารถเข้าถึงพระกำลังและฤทธิ์อำนาจของพระเยซูได้ในวันนี้ ผ่านทางการอธิษฐานอย่างจริงใจและเปี่ยมด้วยความเชื่อ และการยอมจำนนที่แท้จริง
เป็นเหมือนพระคริสต์
ในฐานะที่เป็นเด็กยุคฟิฟตี้และซิกตี้ (ทศวรรษ 1950 และ 1960) ผมเติบโตมาในช่วงเวลาที่ “สิ่งบันเทิงยามว่างของอเมริกา” คือ เบสบอล ผมแทบรอไม่ได้ที่จะออกไปที่สนามเพื่อเล่นเบสบอล และหนึ่งในความตื่นเต้นที่สุดของผมคือตอนที่ได้รับเสื้อเบสบอลของตัวเองที่มีตราของทีมเราติดอยู่ ทีมไจแอนท์! แม้ว่าเลข 9 ด้านหลังจะทำให้ผมแตกต่างจากผู้เล่นคนอื่น แต่ชุดที่เหมือนกันแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน
คำสอนในมัทธิว 5:3-10 ที่รู้จักกันในชื่อว่า ผู้เป็นสุข พระเยซูทรงระบุถึงคนเหล่านั้นที่เป็นของแผ่นดินสวรรค์ว่าเป็นผู้ที่ “สวมใส่เสื้อ” ของการเป็นเหมือนพระคริสต์ แผ่นดินสวรรค์เต็มไปด้วยคนเหล่านั้นที่สวมความคิดและคุณลักษณะเช่นเดียวกับกษัตริย์ของพวกเขา พระเยซูตรัสว่า “ผู้เป็นสุข” นั้นไม่สามารถจำแนกได้จากรูปร่างภายนอก สุขภาพ หรือทรัพย์สมบัติ แต่สิ่งที่อยู่ภายในหรือจิตใจของผู้นั้นต่างหากที่สำคัญ “บุคคลผู้ใดรู้สึกบกพร่องฝ่ายวิญญาณผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 3) คือคนเหล่านั้นที่รู้ว่าตนเองมีความต้องการฝ่ายจิตวิญญาณ “บุคคลผู้ใดหิวกระหายความชอบธรรมผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 6) คือคนเหล่านั้นที่จิตวิญญาณของพวกเขากระหายที่จะถวายเกียรติและทำให้พระเจ้าพอพระทัย “บุคคลผู้ใดสร้างสันติ ผู้นั้นเป็นสุข” (ข้อ 9) คือคนเหล่านั้นที่ร่วมกับพระเยซูในการแสวงหาความปรองดอง
ขณะที่พระวิญญาณทรงช่วยเรา เราสามารถสวมใส่อาภรณ์แห่งการเป็นเหมือนพระคริสต์ได้ ซึ่งจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้เชื่อในพระเยซูและเป็นสมาชิกในทีมของพระองค์ เพราะเราได้รับการอวยพรจริงๆ!
คำอธิษฐานของพระเยซู
พระเยซู พระองค์ทรงอธิษฐานเผื่อผมอย่างไร ผมไม่เคยคิดถึงคำถามนี้จนกระทั่งลูเพื่อนของผมเล่าประสบการณ์ที่เขาร้องไห้จนหมดหัวใจต่อพระคริสต์ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ต้องใช้สติปัญญาและความเข้มแข็งเกินกำลังที่เขามีอยู่ การได้ยินเขาถามคำถามสำคัญนี้ในการอธิษฐานช่วยเปิดความเข้าใจและฝึกฝนผมให้อธิษฐานในมิติใหม่
ในลูกา 22 ไม่มีความลึกลับใดๆ เมื่อพระเยซูทรงอธิษฐานเผื่อซีโมนเปโตรว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด” (ข้อ 31-32) เมื่อเปโตรถูกโจมตีผ่านการทดลอง ความเชื่อของท่านก็สั่นคลอน แต่เพราะพระคุณของพระคริสต์ ท่านจึงไม่ล้มลง
พระธรรมกิจการบอกเราว่า พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของพระเยซูที่อธิษฐานเผื่อเปโตรสาวกที่กระตือรือร้นแต่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าทรงใช้ท่านไปประกาศข่าวประเสริฐเรื่องพระคริสต์ทั้งแก่ชาวยิวและคนต่างชาติ และพันธกิจอธิษฐานของพระเยซูยังไม่จบสิ้น เปาโลย้ำเตือนเราว่า “พระเยซูคริสต์...ผู้ทรงสิ้นพระชนม์แล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทรงสถิต ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงอธิษฐานขอเพื่อเรา
ทั้งหลายด้วย” (รม.8:34) เมื่อคุณพบว่าตัวเองตกอยู่ในความทุกข์ยากจากการทดลองหรือการล่อลวง จงจำไว้ว่าพระเยซูผู้ทรงอธิษฐานเผื่อบรรดาสาวกของพระองค์ ก็ยังคงอธิษฐานเผื่อผู้ที่เชื่อในพระองค์ผ่านถ้อยคำที่พวกสาวกประกาศด้วยเช่นกัน (ดู ยน.17:13-20)