ชุมชนในพระคริสต์
ทางตอนใต้ของหมู่เกาะบาฮามาสมีผืนดินเล็กๆที่เรียกว่าเกาะเรกเก็ตในศตวรรษที่ 19 เกาะแห่งนี้มีอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่คึกคัก แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าวตกต่ำลง ผู้คนจำนวนมากจึงอพยพไปยังเกาะใกล้เคียง ในปี 2016 ขณะที่มีประชากรไม่ถึงแปดสิบคนอาศัยอยู่แต่เกาะก็มีลักษณะเด่นของผู้เชื่อจาก 3 คณะนิกาย กระนั้นผู้คนก็มารวมตัวกันในที่แห่งเดียวเพื่อนมัสการและสามัคคีธรรมกันในแต่ละสัปดาห์ เนื่องจากมีผู้อยู่อาศัยเพียงไม่กี่คน ความรู้สึกของความเป็นชุมชนจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพวกเขา
ผู้คนในคริสตจักรยุคแรกรู้สึกถึงความจำเป็นและความต้องการอย่างยิ่งยวดในการมีชุมชนเช่นกัน พวกเขาตื่นเต้นกับความเชื่อใหม่ที่ก่อร่างขึ้น ซึ่งเกิดขึ้นได้โดยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระเยซู แต่ก็รู้ด้วยว่าในทางกายภาพพระองค์ไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาจึงรู้ว่าจำเป็นจะต้องมีกันและกัน พวกเขาอุทิศตัวฟังคำสอนของอัครทูต ร่วมสามัคคีธรรมและรับมหาสนิท (กจ. 2:42) พวกเขารวมตัวกันในบ้านเพื่อนมัสการและร่วมรับประทานอาหารตลอดจนดูแลความต้องการของผู้อื่น มีการบรรยายภาพของคริสตจักรเอาไว้ว่า “คนทั้งปวงที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” (4:32) พวกเขาประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสรรเสริญพระเจ้าอย่างขะมักเขม้น และนำความต้องการของคริสตจักรทูลต่อพระองค์ด้วยการอธิษฐาน
ชุมชนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตและให้ความช่วยเหลือแก่เรา อย่าพยายามดำเนินชีวิตเพียงลำพัง พระเจ้าจะพัฒนาความรู้สึกมีส่วนร่วมในชุมชนขณะที่คุณแบ่งปันความทุกข์และความสุขของคุณกับผู้อื่น และเข้าใกล้พระองค์ร่วมกัน
การผจญภัย
“ศาสนาคริสต์ไม่เหมาะกับฉัน มันน่าเบื่อ หนึ่งในสิ่งมีค่าที่ฉันยึดถือคือการผจญภัย มันคือชีวิตสำหรับฉัน” เด็กสาวคนหนึ่งบอกกับฉัน ฉันเศร้าใจที่เธอยังไม่ได้รู้จักความสุขและความตื่นเต้นอันเหลือเชื่อที่มาพร้อมกับการติดตามพระเยซู ซึ่งเป็นการผจญภัยที่ยอดเยี่ยมไม่เหมือนใคร ฉันเล่าให้เธอฟังด้วยความตื่นเต้นเกี่ยวกับพระเยซูและการค้นพบชีวิตที่แท้จริงในพระองค์
คำพูดเพียงอย่างเดียวไม่พอที่จะอธิบายถึงการผจญภัยไปในการได้รู้จักและเดินกับพระเยซูผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ในเอเฟซัสบทที่ 1 อัครทูตเปาโลได้ทำให้เราเห็นภาพเพียงส่วนเสี้ยวหนึ่งแต่ทรงพลังของการมีชีวิตกับพระเยซู พระเจ้าประทานพระพรฝ่ายวิญญาณจากสวรรคสถานแก่เรา (ข้อ 3) ให้บริสุทธิ์และปราศจากตำหนิในสายพระเนตรของพระเจ้า (ข้อ 4) ทรงกำหนดเราไว้ด้วยความรักให้เป็นบุตรในราชวงศ์ของพระเจ้า (ข้อ 5) พระเจ้าทรงอวยพระพรเราด้วยของประทานอย่างเหลือล้นแห่งพระกรุณาและการอภัยโทษบาป (ข้อ 7-8) ให้มีความรู้ถึงความล้ำลึกในพระทัยของพระองค์ (ข้อ 9) และมีเป้าหมายใหม่ในการดำเนินชีวิตคือ “เป็นที่ถวายสรรเสริญแด่พระสิริของพระองค์” (ข้อ 12) พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาอยู่ในเราเพื่อประทานฤทธิ์อำนาจและทรงนำเรา (ข้อ 13) และเป็นมัดจำของการมีชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้าตลอดไป (ข้อ 14)
เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในชีวิตของเรา เราค้นพบว่าการได้เรียนรู้จักพระองค์มากยิ่งขึ้นและการติดตามพระองค์อย่างใกล้ชิดคือการผจญภัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุด จงแสวงหาพระองค์ในวันนี้และทุกๆวันเพื่อจะมีชีวิตที่แท้จริง
จะมีอะไรที่ดีไปกว่านี้
เอริคได้ยินเรื่องความรักของพระเยซูที่มีต่อเขาเมื่อตอนอายุยี่สิบต้นๆ เขาเริ่มไปคริสตจักรซึ่งที่นั่นเขาได้พบคนที่ช่วยให้เขารู้จักพระคริสต์ดียิ่งขึ้น ไม่นานหลังจากนั้นพี่เลี้ยงของเอริคจึงมอบหมายให้เขาสอนเด็กชายกลุ่มเล็กๆที่คริสตจักร ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาพระเจ้าทรงนำให้เอริคมีใจที่จะช่วยคนหนุ่มสาวที่มีความเสี่ยงในเมืองของเขา ไปเยี่ยมเยียนผู้สูงอายุ และมีน้ำใจไมตรีต่อเพื่อนบ้าน โดยทุกอย่างนี้เพื่อพระเกียรติแด่พระเจ้า ตอนนี้เอริคในวัยห้าสิบปลายๆ ได้เล่าว่าเขารู้สึกขอบพระคุณที่ได้เรียนรู้ถึงการรับใช้ตั้งแต่ช่วงแรกๆ “ใจของผมท่วมท้นไปด้วยความต้องการที่จะแบ่งปันความหวังที่ผมพบในพระเยซู จะมีอะไรดีไปกว่าการได้รับใช้พระองค์เล่า”
ทิโมธียังเป็นเด็กตอนที่แม่และยายมีอิทธิพลต่อความเชื่อของเขา (2 ทธ.1:5) และเขาน่าจะเพิ่งเริ่มเป็นหนุ่มตอนที่พบกับอัครทูตเปาโล ผู้เห็นศักยภาพในการรับใช้พระเจ้าของทิโมธีและได้เชิญให้เขามาร่วมการเดินทางเพื่อทำพันธกิจ (กจ.16:1-3) เปาโลกลายเป็นพี่เลี้ยงของเขาในงานรับใช้และในการดำเนินชีวิต ท่านหนุนใจทิโมธีให้ศึกษา ให้มีความกล้าเมื่อเผชิญกับคำสอนเท็จ และให้ใช้ความสามารถของเขาเพื่อรับใช้พระเจ้า (1ทธ.4:6-16)
เพราะอะไรเปาโลจึงต้องการให้ทิโมธีสัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า ท่านเขียนไว้ว่า “เพราะว่าเรามีความหวังใจในพระเจ้าผู้ดำรงพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดของคนทั้งปวง” (ข้อ 10) พระเยซูทรงเป็นความหวังของเราและเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลกนี้ แล้วจะมีอะไรดีไปกว่าการรับใช้พระองค์
อิสรภาพบนเส้นทาง
ในการเล่นเบสบอลแบบมีเสียง ผู้เล่นที่พิการทางสายตาจะฟังเสียงดังติ๊ดๆ จากลูกบอลเพื่อจะรู้ว่าเขาต้องทำอะไรและไปทางไหน ผู้ตีที่มีผ้าปิดตา (เพื่อความเท่าเทียมในระดับของความพิการที่แตกต่างกัน) และพิชเชอร์ที่มองเห็นอยู่ทีมเดียวกัน เมื่อผู้ตีหวดถูกลูกบอลที่มีเสียง เขาจะวิ่งไปทางเบสที่มีเสียงสั่นถี่ๆ ผู้ตีจะต้องออกจากการแข่งขันหากผู้เล่นฝ่ายรับ “เก็บ” บอลไว้ได้ก่อนที่ผู้ตีจะวิ่งไปถึงเบส มิเช่นนั้นคะแนนจะเป็นของผู้ตี ผู้เล่นคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่าส่วนที่ดีที่สุดคือการที่เขารู้สึกถึง “อิสรภาพในการวิ่ง” เพราะเขารู้ว่าทางที่เขาจะวิ่งไปนั้นโล่งและมีทิศทางที่แน่นอน
หนังสืออิสยาห์บอกเราว่าพระเจ้า “ผู้เที่ยงธรรมทรงกระทำให้วิถีของคนชอบธรรมราบรื่น” (26:7) ณ เวลาที่พระธรรมตอนนี้ถูกเขียนขึ้น การเดินทางของชนชาติอิสราเอลไม่ใกล้เคียงกับคำว่าราบรื่นเอาเสียเลย พวกเขาต้องรับการพิพากษาจากพระเจ้าเพราะการไม่เชื่อฟังของเขา อิสยาห์กระตุ้นเตือนพวกเขาให้ดำเนินในความเชื่อและการเชื่อฟัง ซึ่งเป็นเส้นทางที่ยากแต่ราบรื่น การรอคอย “พระนามอันเป็นที่ระลึกของพระองค์” (ข้อ 8) ควรเป็นความปรารถนาของพวกเขา
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราได้รู้จักพระเจ้ามากขึ้นและพัฒนาความไว้วางใจของเราในพระลักษณะอันสัตย์ซื่อของพระองค์เมื่อเราเดินตามวิถีของพระองค์ด้วยการเชื่อฟัง เส้นทางชีวิตของเราอาจไม่ได้ดูหรือรู้สึกราบรื่นเสมอไป แต่เราสามารถเชื่อมั่นเมื่อเราไว้วางใจว่า พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเราและทรงจัดเตรียมหนทางเพื่อเรา เราเองก็สามารถสัมผัสถึงอิสรภาพได้ เมื่อเราวิ่งด้วยการเชื่อฟังไปบนเส้นทางที่ดีที่สุดที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้เพื่อเรา
ใครสมควรได้รับคำยกย่อง
ตั้งแต่บันไดเวียนไปจนถึงห้องนอนที่กว้างขวาง จากพื้นไม้เนื้อแข็งไปจนถึงพรมหนานุ่ม จากห้องซักผ้าขนาดใหญ่ไปจนถึงห้องทำงานที่มีการจัดระเบียบอย่างดี นายหน้าได้เผยให้เห็นบ้านที่เหมาะกับสามีภรรยาวัยหนุ่มสาว พวกเขาชื่นชมความงามในทุกซอกมุมที่เดินไป “คุณเลือกที่ที่ดีที่สุดให้กับเรา บ้านหลังนี้น่าทึ่งมาก!” แล้วนายหน้าจึงตอบในสิ่งที่ฟังดูค่อนข้างแปลกในความคิดของพวกเขาแต่ก็เป็นความจริง “ฉันจะส่งต่อคำชมของคุณไปให้กับผู้สร้างบ้านหลังนี้ ผู้ที่สร้างสมควรได้รับคำยกย่อง ไม่ใช่ตัวบ้านหรือคนที่พามาดู”
คำพูดของนายหน้าสะท้อนคำกล่าวของผู้เขียนฮีบรูที่ว่า “ต้นตระกูลย่อมมีเกียรติมากกว่าครอบครัว” (3:3) ผู้เขียนกำลังเปรียบเทียบความสัตย์ซื่อของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้ากับผู้เผยพระวจนะโมเสส (ข้อ 1-6) แม้ว่าโมเสสจะได้รับสิทธิพิเศษให้พูดกับพระเจ้าหน้าต่อหน้าและเห็นสัณฐานของพระองค์ (กดว.12:8) แต่ท่านก็ยังเป็นเพียง “ผู้รับใช้” ในพระนิเวศของพระเจ้า (ฮบ.3:5) พระคริสต์ในฐานะพระผู้สร้าง (1:2,10) สมควรได้รับเกียรติในฐานะ “ผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งปวง” ของพระเจ้า และในฐานะพระบุตร “ที่ทรงอำนาจเหนือชุมชนอันเป็นครอบครัวของพระเจ้า” (3:4,6) ครอบครัวของพระเจ้าก็คือประชากรของพระองค์
เมื่อเรารับใช้พระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ ขอให้เราตระหนักว่าพระเยซูองค์พระผู้สร้างของพระเจ้าคือผู้ที่ทรงสมควรได้รับเกียรติ คำยกย่องใดๆที่เราซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้าได้รับนั้นล้วนเป็นของพระองค์
ตามหาการเยียวยาภายใน
คาร์สันเป็นคนที่ยุ่งอยู่เสมอ เขาล่าสัตว์ ตกปลา ขี่มอเตอร์ไซค์วิบาก และเล่นสเก็ตบอร์ด เขารักทุกกิจกรรมกลางแจ้ง แต่เขาประสบอุบัติเหตุจากมอเตอร์ไซค์และเป็นอัมพาตตั้งแต่ช่วงอกลงมา ไม่นานความซึมเศร้าเริ่มก่อตัวและเขามองไม่เห็นอนาคต แล้ววันหนึ่งเพื่อนพาเขาออกไปล่าสัตว์อีกครั้ง เป็นช่วงเวลาที่เขาลืมอาการบาดเจ็บไปพักหนึ่งเมื่อได้ชื่นชมความงดงามรอบตัว ประสบการณ์นั้นนำมาซึ่งการเยียวยาภายในแก่เขาและก่อให้เกิดเป้าหมายใหม่ในชีวิต คือการสร้างประสบการณ์เดียวกันนี้ให้แก่คนที่เป็นเหมือนกับเขาผ่านองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรชื่อว่า ฮันท์ทูฮีล เขากล่าวว่าอุบัติเหตุนั้นเป็น “พระพรที่ซ่อนอยู่... และตอนนี้ผมสามารถให้กลับคืนไป ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ผมอยากทำมาตลอด ผมมีความสุข” เขาตื่นเต้นกับการจัดเตรียมสถานที่ให้คนเหล่านั้นที่มีความบกพร่องด้านการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง และผู้ที่ดูแลพวกเขาให้ได้พบการเยียวยา
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ทำนายถึงการเสด็จมาของผู้ซึ่งจะนำการรักษาเยียวยามาสู่คนที่ชอกช้ำ (อสย.61) พระองค์จะ “เล้าโลมคนที่ชอกช้ำระกำใจ” และ “เล้าโลมบรรดาผู้ที่ไว้ทุกข์” (ข้อ 1-2) หลังจากพระเยซูทรงอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ที่ธรรมศาลาในบ้านเกิดของพระองค์แล้วก็ทรงตรัสว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่ท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” (ลก.4:21) พระเยซูเสด็จมาเพื่อช่วยเราให้รอดและทำให้เราสมบูรณ์
คุณกำลังต้องการการเยียวยาภายในหรือเปล่า จงหันไปหาพระเยซูและพระองค์จะประทาน “ผ้าห่มแห่งการสรรเสริญแทนจิตใจที่ท้อถอย” (อสย.61:3) ให้กับคุณ
ท้าทายให้รับใช้
แม้จะอายุเพียงสิบสามปี แต่ดิเอเวียนยอมรับการท้าทายที่จะรับใช้ผู้อื่น เขาและแม่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่เรียกร้องให้เด็กๆออกมาตัดหญ้าห้าสิบสนามโดยไม่คิดค่าจ้างในช่วงปิดภาคฤดูร้อน เป้าหมายของพวกเขาคือการช่วยเหลือเหล่าทหารผ่านศึก คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว คนพิการ หรือใครก็ตามที่ต้องการความช่วยเหลือ ผู้ริเริ่ม (คือผู้ที่เคยตัดหญ้าห้าสิบสนามในห้าสิบรัฐ) ได้สร้างความท้าทายนี้ขึ้นเพื่อสอนให้เห็นถึงความสำคัญของจรรยาบรรณในการทำงานและการตอบแทนสังคม ในท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุและกิจกรรมหลากหลายที่วัยรุ่นสามารถเลือกทำได้ในช่วงปิดภาคฤดูร้อน ดิเอเวียนเลือกที่จะรับใช้ผู้อื่นและทำสิ่งท้าทายให้สำเร็จ
การท้าทายให้รับใช้มีมาถึงผู้เชื่อในพระเยซูด้วยเช่นกัน ในตอนค่ำก่อนที่พระองค์จะทรงสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคน พระเยซูทรงรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อนๆของพระองค์ (ยน.13:1-2) โดยทรงทราบดีถึงการทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์ที่พระองค์ต้องเผชิญในเวลาอันใกล้นี้ แต่พระองค์ลุกจากโต๊ะอาหาร ทรงเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวและเริ่มล้างเท้าเหล่าสาวก (ข้อ 3-5) พระองค์ตรัสว่า “ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระอาจารย์ของท่านได้ล้างเท้าของพวกท่าน พวกท่านก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย” (ข้อ 14)
พระเยซูผู้เป็นแบบอย่างของการเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมใจของเรานั้นทรงห่วงใยผู้คน โดยทรงรักษาคนตาบอดและเจ็บป่วย ทรงสอนข่าวดีแห่งแผ่นดินของพระองค์ และประทานชีวิตเพื่อเพื่อนๆของพระองค์ เพราะพระคริสต์ทรงรักคุณ ขอให้คุณถามพระองค์ว่าทรงต้องการให้คุณรับใช้ใครในสัปดาห์นี้
อ้างว้างเพียงลำพังหรือ
ครอบครัวของซูได้พังทลายลงตรงหน้า สามีของเธอจู่ๆก็ออกจากบ้านไปทิ้งให้เธอและลูกๆรู้สึกสับสนและโกรธเคือง เธอเคยชวนสามีไปพบกับผู้ให้คำปรึกษาเรื่องครอบครัว แต่เขาปฏิเสธโดยอ้างว่าปัญหาทั้งหมดมาจากเธอ ความหวาดกลัวและสิ้นหวังประดังเข้ามาเมื่อเธอตระหนักว่าเขาคงไม่กลับมาอีกแล้ว เธอจะดูแลตัวเองและลูกๆตามลำพังได้ไหม
ฮาการ์คนรับใช้ของอับราฮัมและซาราห์ต้องเผชิญกับความคิดแบบเดียวกันนี้ พวกเขาหมดความอดทนที่จะรอคอยพระเจ้าให้ประทานลูกชายตามพระสัญญา (ปฐก.12, 15) ซาราห์จึงยกฮาการ์ให้อับราฮัม และฮาการ์ได้ให้กำเนิดอิชมาเอล (ปฐก.16:1-4, 15) อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเจ้าทรงทำตามพระสัญญาของพระองค์และซาราห์ให้กำเนิดอิสอัค ความตึงเครียดในครอบครัวปะทุขึ้นจนอับราฮัมต้องขับไล่ฮาการ์และอิชมาเอลลูกชายของพวกเขา โดยให้เพียงน้ำและอาหารติดตัวไป (ปฐก.21:8-21) คุณจินตนาการถึงความสิ้นหวังของเธอได้ไหม ไม่นานอาหารและน้ำก็หมดเมื่ออยู่ในทะเลทราย ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรและไม่อยากเห็นลูกชายตายต่อหน้า ฮาการ์วางลูกไว้ใต้พุ่มไม้และเดินห่างออกไปทั้งสองคนเริ่มร้องไห้ แต่ “พระเจ้าทรงสดับเสียงของเด็ก” (ข้อ 17) พระองค์ทรงได้ยินเสียงร้องไห้ของพวกเขา จึงได้ทรงประทานสิ่งจำเป็นและสถิตกับพวกเขา
ในเวลาที่สิ้นหวังเมื่อเรารู้สึกอ้างว้างนั่นเป็นเหตุให้เราร้องเรียกหาพระเจ้า ช่างเป็นความอุ่นใจที่ได้รู้ว่าในห้วงเวลาเหล่านั้นและในตลอดชีวิตของเรา พระเจ้าทรงได้ยินเสียงของเรา ทรงจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็น และสถิตอยู่ใกล้ๆเรา
เราเป็นคนแปลกถิ่น
ทุกอย่างให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงในประเทศใหม่ของพวกเขา ทั้งภาษา โรงเรียน วัฒนธรรม ระบบจราจร และสภาพอากาศที่แปลกใหม่ พวกเขานึกสงสัยว่าจะปรับตัวได้อย่างไร กลุ่มคนจากคริสตจักรใกล้เคียงมารวมตัวกันเพื่อช่วยพวกเขากับชีวิตใหม่ในดินแดนใหม่ แพ็ตตี้พาคู่สามีภรรยาไปซื้อของที่ตลาดในพื้นที่เพื่อให้พวกเขาดูว่ามีอะไรขายบ้างและจะซื้อของได้อย่างไร ขณะที่พวกเขาเดินไปทั่วตลาด พวกเขาตาโตและยิ้มกว้างเมื่อได้เห็นผลไม้โปรดคือทับทิมจากประเทศบ้านเกิด พวกเขาซื้อไปฝากลูกๆคนละผลและหยิบใส่มือแพ็ตตี้หนึ่งผลด้วยความขอบคุณ ผลไม้เล็กๆและเพื่อนใหม่นี้สร้างความอบอุ่นใจในดินแดนแปลกใหม่ของพวกเขา
พระเจ้าประทานกฎหมายแก่ประชากรของพระองค์ผ่านทางโมเสส ซึ่งรวมถึงบัญญัติที่ให้ปฏิบัติต่อคนต่างชาติในท่ามกลางพวกเขา “เหมือนกับชาวเมืองของเจ้า” (ลนต.19:34) “จงรักเขาเหมือนกับรักตัวเอง” พระเจ้าทรงสั่งเช่นนั้น พระเยซูทรงเรียกข้อนี้ว่าเป็นบัญญัติข้อใหญ่ข้อที่สองต่อจากการรักพระเจ้า (มธ.22:39) เพราะแม้แต่พระเจ้าเองยังทรง “เฝ้าดูคนต่างด้าว” (สดด.146:9)
นอกจากเราจะเชื่อฟังพระเจ้าด้วยการช่วยเหลือเพื่อนใหม่ของเราให้ปรับตัวกับชีวิตในประเทศของเราแล้ว ขอให้เราระลึกไว้เสมอว่าเราเองก็เป็น “คนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก” (ฮบ.11:13) แล้วเราจะยิ่งรอคอยด้วยความคาดหวังมากขึ้นในแดนสวรรค์แห่งใหม่ที่จะมาถึง