ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Anne Cetas

พระเจ้าได้ยินคำอธิษฐานของเรา

คริสทีนเพื่อนของฉันและสามีของเธอรับประทานอาหารเย็นที่บ้านลุงและป้าของพวกเขา ป้าของเธอเพิ่งตรวจพบมะเร็งที่ลุกลามอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ทุกคนจะเริ่มรับประทาน ลุงของเธอถามขึ้นว่า “มีใครอยากพูดอะไรไหม” คริสทีนยิ้มเพราะรู้ว่าลุงหมายถึง “มีใครอยากอธิษฐานไหม” ลุงไม่ใช่ผู้เชื่อในพระเยซูแต่เขารู้ว่าคริสทีนเชื่อ นี่จึงเป็นวิธีที่ลุงเชิญชวนให้มีการอธิษฐาน คริสทีนอธิษฐานจากใจโดยขอบคุณพระเจ้าสำหรับการดูแลของพระองค์ และทูลขอให้พระองค์ทำการอัศจรรย์ให้กับป้าของเธอ

กษัตริย์เฮเซคียาห์ล้มป่วยและทรงมีเรื่องในใจที่อยากทูลต่อพระเจ้าหลังจากที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์บอกว่าพระองค์กำลังจะสิ้นพระชนม์ (อสย.38:1) พระองค์ทรง “กันแสงมากยิ่ง” และร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงระลึกถึงว่า ข้าพระองค์ได้ดำเนินอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ด้วยความซื่อสัตย์และสิ้นสุดใจ” (ข้อ 3) นี่เป็นคำร้องขอการช่วยกู้ด้วยความสิ้นหวังและจริงใจ แม้ว่าการรักษาจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับ “ความดี” ของเรา และพระเจ้าไม่ได้ทรงรักษาทุกครั้งไป แต่พระองค์ก็เลือกที่จะต่อชีวิตกษัตริย์ออกไปอีกสิบห้าปี (ข้อ 5) หลังจากหายป่วยแล้ว เฮเซคียาห์ขอบพระคุณและสรรเสริญพระเจ้า (ข้อ 16)

พระเจ้าทรงเชิญชวนให้เราอธิษฐาน ไม่ว่าจะเป็นความต้องการเร่งด่วนหรือการขอบพระคุณพระองค์สำหรับสิ่งเล็กน้อยและสิ่งยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานและมองเห็นน้ำตาของเรา และจะทรงตอบตามแผนการของพระองค์ หน้าที่ของเราคือ “ดำเนินด้วยความถ่อมใจตลอดชีวิต” กับพระองค์ (ข้อ 15 TNCV)

ทางของพระเจ้าคือความรัก

เพราะมีเวลาว่างเหลือเฟือ แผนในเดือนถัดไปของฉันจึงเน้นที่การรับใช้ผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ในขณะที่ช่วยเพื่อนใหม่ ฉันสะดุดล้มจนแขนหักสามส่วน ทันใดนั้นฉันก็กลายเป็นผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือแทน คนของพระเจ้าดูแลฉันด้วยการเยี่ยมเยียน การ์ดของขวัญ ดอกไม้ โทรศัพท์ ข้อความ คำอธิษฐาน อาหาร (รวมทั้งช็อคโกแลตหนึ่งกล่อง) และไปทำธุระแทน ไม่น่าเชื่อว่าครอบครัว เพื่อน และสมาชิกคริสตจักรจะใจดีขนาดนี้! ราวกับพระเจ้ากำลังตรัสว่า “นั่งลงเถิด เจ้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าจะเห็นว่าการดูแลเอาใจใส่เป็นเช่นไร” เพราะพวกเขาฉันจึงรู้จักการรับใช้ด้วยหัวใจ และรู้สึกขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้อื่นมากขึ้น

เพื่อนผู้เชื่อช่วยเหลือฉันอย่างเต็มใจตามอย่างที่เปาโลสอนสมาชิกคริสตจักรในกรุงโรมให้ปฏิบัติตาม (รม.12) เปาโลหนุนใจพวกเขาหลายอย่าง ทั้งการรักด้วยใจจริง อุทิศตนต่อกันด้วยความรัก ให้เกียรติกันและกัน และแบ่งปันแก่ผู้ที่ขัดสน (ข้อ 9-13) เปาโลสอนหลักความเชื่อแก่พวกเขาในจดหมายทั้งฉบับ ท่านยังแบ่งปันด้วยว่าชีวิตในพระคริสต์ไม่ใช่ศาสนศาสตร์ที่จับต้องไม่ได้ แต่ปรากฏให้เห็นในชีวิตประจำวันของเรา (บทที่ 12-16) ทางของพระเจ้าคือความรัก การรับและส่งต่อความรักของพระองค์แก่ผู้อื่นเป็นหนึ่งในหลายวิธีที่สำแดงถึงความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา

ขณะที่เรามองหาและค้นพบวิธีการรับใช้ผู้คนในคริสตจักรหรือชุมชนในแต่ละวันนั้น พวกเขาจะได้รับการหนุนน้ำใจ เราจะได้รับพร และพระเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ

พระเจ้าจะทรงรักษาสัญญา

ผู้อุปถัมภ์ที่ร่ำรวยในชุมชนต่างๆ ทั่วสหรัฐอเมริกาได้ให้คำสัญญาที่สร้างแรงบันดาลใจแก่บรรดานักเรียนว่า หากพวกเขาเรียนได้เกรดดีตลอดสิบสามปีในโรงเรียนที่เขตของตน ผู้อุปถัมภ์จะจ่ายค่าเล่าเรียนให้สี่ปีในมหาวิทยาลัยท้องถิ่นหรือมหาวิทยาลัยของรัฐในรัฐของพวกเขา ในบางเมืองสถิติแสดงให้เห็นว่าสิ่งนี้เป็นแรงบันดาลใจแก่บรรดานักเรียนไม่ว่าจะรวยหรือจน ให้เริ่มทำคะแนนให้ดีทันทีที่ได้ทราบข่าว ครูคนหนึ่งกล่าวว่า “มันทำให้เกิดการเปลี่ยนทัศนคติอย่างสิ้นเชิง เด็กอนุบาลทุกคนจะบอกคุณว่าพวกเขาจะเข้าเรียนในมหาวิทยาลัย นี่เป็นเรื่องจริง” คำสัญญาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นทำให้พวกเขามีความปรารถนาและความหวังสำหรับอนาคตของตนมากขึ้น

อัครทูตยอห์นกล่าวถึงคำสัญญาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นซึ่งช่วยกระตุ้นผู้เชื่อในยุคแรกให้มีความเชื่อ พระเยซูทรงสัญญาว่าจะเสด็จกลับมา และเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา ยอห์นกล่าวว่า “เรา​ทั้ง​หลาย​จะ​เป็น​เหมือน​พระ​องค์ เพราะ​ว่า​เรา​จะ​เห็น​พระ​องค์​อย่าง​ที่​พระ​องค์​ทรง​เป็นอยู่​นั้น​” (1 ยน.3:2) ท่านหนุนใจผู้อ่านว่า “ทุก​คน​ที่​มี​ความ​หวัง​อย่าง​นี้ ​ก็​ชำระ​ตน​ให้​บริสุทธิ์​ดังที่​พระ​องค์​ทรง​บริสุทธิ์” (ข้อ 3) เรามีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าสักวันหนึ่งเราจะได้เห็นพระเยซู และเพราะคำสัญญานั้น ความปรารถนาของเราที่จะเป็นเหมือนพระองค์จึงเพิ่มมากขึ้น เพราะพระองค์ทรงรักเราและเรารักตอบพระองค์

เวลาที่เราได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้าจะเป็นช่วงเวลาที่แสนวิเศษ! แต่จนกว่าเวลานั้นจะมาถึง ให้เรายังคงติดตามพระองค์ เติบโตขึ้นในความเชื่อ และรอคอยการเสด็จมาของพระองค์ พระเจ้าจะทรงรักษาพระสัญญาของพระองค์

วิ่งแข่งไปกับพระคริสต์

ทอมวัยเจ็ดขวบ รู้สึกชื่นชมกับถ้วยรางวัลแวววาวมากมายของพ่อที่วางอยู่บนหิ้ง ซึ่งได้มาจากการวิ่งแข่งต่างๆของโรงเรียน เขาคิดว่าผมอยากได้ถ้วยแบบนี้สักอันไว้ในห้องนอนของผม จึงถามว่า “พ่อครับ ผมขอถ้วยรางวัลของพ่อสักอันได้มั้ยครับ” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยความประหลาดใจว่า “ไม่ได้หรอกทอม นั่นเป็นถ้วยของพ่อ พ่อได้รับมันมา ลูกต้องได้มันมาด้วยตัวเอง” จากนั้นพวกเขาก็วางแผนด้วยกันว่า หากทอมสามารถวิ่งไปรอบตึกได้ภายในเวลาที่กำหนด (เขารู้ว่าลูกชายของเขาทำได้) พ่อจะเป็นคนมอบถ้วยรางวัลให้เอง ทอมฝึกซ้อมตามคำแนะนำของพ่อ และหนึ่งสัปดาห์ต่อมาพ่อของเขาก็ส่งเสียงเชียร์ในขณะที่เขาวิ่งมาถึงจุดหมายได้ภายในเวลาที่กำหนด ทอมเรียนรู้บทเรียนในเรื่องการมีวินัยในตนเองและการฝึกอย่างหนัก และพ่อของเขาแสดงความยินดีกับเขาด้วยการให้รางวัล

สุภาษิต 1:8 หนุนใจให้เด็กๆ “ฟังคำเตือนของพ่อเจ้า” พ่อของทอมยังสอนถึงการวิ่งแข่งของชีวิตไปกับพระเยซูและฟังการทรงนำของพระองค์ เขาสอนทอมให้เลือก “ความชอบธรรม ความยุติธรรมและความเที่ยงธรรม” (ข้อ 3) ตามที่ผู้เป็นบิดาในสุภาษิตสอนไว้ คำสอนของพ่อนั้นเป็น “มงคลงามสวมศีรษะ...เป็นจี้ห้อยคอ” (ข้อ 9) ที่ล้ำค่า

คุณอาจไม่มีพ่อฝ่ายโลกที่คอยสั่งสอนคุณเรื่องการวิ่งแข่งไปด้วยกันกับพระคริสต์ แต่พระเจ้าสามารถนำคุณไปหาพี่เลี้ยงที่สามารถส่งต่อสติปัญญาของพวกเขาให้กับคุณได้ หรือบางทีพระเจ้าอาจจะกำลังเรียกคุณให้เลี้ยงดูใครสักคน พระองค์จะนำทางคุณเมื่อคุณมีใจกระตือรือร้นต่อผู้อื่นในการวิ่งแข่งของชีวิต

เตรียมพร้อม

เบ็ตตี้พร้อมแล้ว เธอเริ่มติดตามพระเยซูตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และใช้โอกาสทั้งชีวิตเพื่อรับใช้และทำให้พระองค์พอพระทัย เธอเข้าเรียนพระคัมภีร์ ร่วมนมัสการและประชุมอธิษฐาน เธอสอนชั้นเรียนต่างๆ ไปเยี่ยมงานพันธกิจ ทำงานในสถานเลี้ยงเด็ก รับใช้เคียงข้างศิษยาภิบาลผู้เป็นสามี และเธอชอบที่จะอยู่กับคนของพระเจ้าในทุกครั้งที่มีโอกาส และที่น่าทึ่งคือเธออายุ 102 ปีและยังคงพร้อมที่จะทำทุกอย่างที่พระเจ้าพอพระทัย เธอเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆคนที่บางครั้งอาจรู้สึกไม่อยากพบปะกับผู้เชื่อคนอื่นๆ แล้วพวกเขาก็คิดขึ้นได้ว่า เบ็ตตี้จะอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าฉันจะไปที่นั่นได้! เวลานี้เบ็ตตี้บอกว่าเธออยากไปสวรรค์เพื่ออยู่กับองค์พระผู้ช่วยให้รอด เธอบอกว่า “ฉันพร้อมแล้วที่จะพบพระเยซู เพราะฉันรักพระองค์”

อัครทูตเปาโลกล่าวว่าท่าน “ปรารถนาจะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่าอยู่ในร่างกายนี้” (2 คร.5:8) แต่เปาโลรู้ว่าพระเจ้าทรงมีงานให้ท่านทำเพื่อหนุนใจผู้เชื่อในคริสตจักรหลายแห่ง (ฟป.1:23-24) ดังนั้นท่านจึงยังคงรับใช้และดำเนินชีวิตต่อไป “โดยความเชื่อ” และ “มิใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 คร.5:7) เปาโลยังคงเตรียมพร้อมอยู่เสมอและรับใช้ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าต่อไปไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่หรืออยู่ในช่วงใดของชีวิต ให้เราทูลต่อพระเจ้าขอทรงช่วยให้เรามีเป้าหมายในใจ “ให้เป็นที่พอพระทัย[พระคริสต์ ]” (ข้อ 9) และเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เบ็ตตี้พร้อมแล้ว และถ้ามีวันใดที่เธอไม่พร้อม นั่นก็เป็นเพราะเธอได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้าแล้ว

ก้าวแห่งความเชื่อ

พวกเราสี่คนเดินป่าผ่านเข้าไปในช่องเขาวัตกิ้นส์ เกล็นอันงดงามในนิวยอร์ก บางครั้งเราหยุดยืนด้วยความตกตะลึงขณะจ้องมองน้ำตกและหน้าผาสูงหกสิบเมตรด้วยความอัศจรรย์ใจ และบางเวลาเราต้องหยุดพักหายใจและพักขาที่เมื่อยล้าขณะปีนขึ้นไปบนหินที่เปียกและขั้นบันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อเราใกล้ถึงยอดเขา นักปีนเขาคนหนึ่งที่กำลังเดินลงมาพูดว่า “อีกเพียง 10 ขั้นเท่านั้นก็จะครบ 832 ขั้น” บางทีอาจเป็นการดีที่สุดที่เราไม่รู้ว่าการเดินทางจะยากแค่ไหน เพราะเราอาจถอยกลับและพลาดความงดงามทั้งหมดของมันไป

การเดินทางชีวิตก็มีก้าวที่ยากลำบากเช่นกัน พระเยซูและเปาโลเตือนผู้เชื่อถึงอุปสรรคและการข่มเหง (ยน.16:33; 2 ทธ.3:12) และเราต้องมีมุมมองที่ถูกต้อง ยากอบกล่าวว่า “เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี” (ยก.1:2) เหตุใดจึงเกิดความยินดีแทนที่ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าทรงทราบและเรา “รู้ว่าการทดลองความเชื่อของ[เรา]นั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง” (ข้อ 3) แต่จุดประสงค์คืออะไร ก็เพื่อเราจะได้ “เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย” (ข้อ 4)

ถ้าหากเราจะหยุดและมองดู แม้ในความเจ็บปวดนั้นเราก็อาจได้เห็นคุณ-ลักษณะนิสัยที่เข้มแข็งงดงามซึ่งพระเจ้าทรงสร้างในเราและในผู้คนรอบข้าง และเราจะเรียนรู้ในการซาบซึ้งถึงความจริงที่ว่าวันหนึ่งเราจะ “ได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แก่คนทั้งหลายที่รักพระองค์” (ข้อ 12) ขอให้เรายังคงก้าวต่อไปด้วยกัน

คุณจะถามพระเยซูว่าอะไร

“ถ้าเช้านี้พระเยซูนั่งอยู่ที่โต๊ะกับพวกเรา ลูกอยากจะถามอะไรพระองค์” โจถามลูกๆของเขาตอนรับประทานอาหารเช้า เด็กๆคิดคำถามที่ยากที่สุด พวกเขาตัดสินใจว่าอยากจะถามพระเยซูถึงโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากที่สุด และให้พระองค์บอกพวกเขาว่าจริงๆแล้วจักรวาลนั้นใหญ่แค่ไหน แล้วลูกสาวของเขาก็ตอบว่า “หนูจะขอกอดพระองค์”

คุณนึกภาพความรักในสายพระเนตรของพระเยซูต่อเด็กเหล่านี้ออกไหม ฉันคิดว่าพระองค์คงจะยินดีทำตามคำขอเหล่านั้น คุณว่าไหม ฉันจินตนาการเห็นพระองค์หยอกล้อกับพวกเด็กผู้ชายและอ้าแขนให้เด็กหญิงตัวเล็ก พระองค์อาจจะชอบเป็นพิเศษที่ลูกสาวของโจอยากได้อ้อมกอด เพราะมันแสดงถึงหัวใจแห่งความรักต่อพระองค์และความปรารถนาในความรักของพระองค์

เด็กๆรู้สึกได้ว่าพวกเขาต้องการการพึ่งพาอาศัย และพวกเขารู้ว่าพระเยซูทรงแข็งแกร่งและเปี่ยมด้วยความรัก พระองค์ตรัสว่า “ผู้​หนึ่ง​ผู้ใด​มิได้​รับ​แผ่นดิน​ของ​พระ​เจ้า​เหมือน​เด็ก​เล็กๆ ผู้​นั้น​จะ​เข้า​ใน​แผ่นดิน​นั้น​ไม่ได้” (ลก.18:17) พระคริสต์ทรงปรารถนาให้เราตระหนักถึงความจำเป็นต้องได้รับพระคุณ การอภัยโทษ และความรอดของพระองค์ พระองค์พอพระทัยในจิตใจถ่อมที่ปรารถนาจะอยู่ใกล้กับพระองค์

มีอะไรที่คุณอยากจะถามพระเยซูไหม เราทุกคนต่างมีคำถามที่เราอยากถามแน่นอน! หรือบางทีคุณแค่อยากอยู่ใกล้ๆพระองค์ใช่ไหม จงวิ่งไปหาพระองค์ตอนนี้เพื่อรับอ้อมกอดนั้นและสิ่งอื่นๆที่คุณต้องการอีกมากมาย

รับใช้พระเจ้าเพื่อสิ่งดี

แบรดย้ายไปอยู่ที่อีกเมืองหนึ่งและพบคริสตจักรที่เขาจะไปร่วมนมัสการอย่างรวดเร็ว เขาไปร่วมนมัสการอยู่หลายสัปดาห์ และในวันอาทิตย์หนึ่งเขาพูดคุยกับศิษยาภิบาลถึงความปรารถนาที่จะได้รับใช้ในด้านใดก็ตามที่ต้องการให้ช่วย เขาพูดว่า “ผมแค่อยากจะกวาดพื้น” เขาเริ่มด้วยการช่วยจัดเก้าอี้สำหรับการนมัสการและทำความสะอาดห้องน้ำ คริสตจักรได้ค้นพบในภายหลังว่าของประทานของแบรดคือการสอน แต่เขาเต็มใจที่จะทำทุกอย่าง

พระเยซูทรงสอนสาวกสองคนของพระองค์คือ ยากอบกับยอห์นและมารดาของพวกเขาในเรื่องการปรนนิบัติ ผู้เป็นแม่ทูลขอให้ลูกทั้งสองได้ที่นั่งทรงเกียรติขนาบอยู่คนละข้างของพระคริสต์เมื่อพระองค์ไปยังอาณาจักรของพระองค์ (มธ.20:20-21) สาวกคนอื่นได้ยินและโกรธเขาทั้งสอง บางทีพวกสาวกอาจต้องการตำแหน่งนั้นไว้สำหรับตนเองก็เป็นได้ พระเยซูบอกพวกเขาว่าการวางอำนาจเหนือผู้อื่นไม่ใช่หนทางในการดำเนินชีวิต (ข้อ 25-26) แต่คือการรับใช้ต่างหากที่สำคัญที่สุด “ผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่าน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย” (ข้อ 26)

คำพูดของแบรดที่ว่า “แค่อยากจะกวาดพื้น” เป็นภาพของสิ่งที่เราทุกคนสามารถลงมือทำได้ในชุมชนและในคริสตจักรของเราเพื่อรับใช้พระเจ้า แบรดอธิบายถึงภาระใจที่เขามีเพื่อพระเจ้าว่า “ผมอยากรับใช้เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพื่อสิ่งดีในโลกนี้ และเพื่อความชื่นชมยินดีของผมเอง” คุณและฉันจะ “กวาดพื้น” ตามที่พระเจ้าทรงนำได้อย่างไรบ้าง

ความเมตตาในเวลานี้

เรารีบไปที่ร้านอาหารจานด่วนเพื่อรับประทานอาหารเที่ยงระหว่างช่วงพักสั้นๆของเจอร์รี่เพื่อนของฉัน เราไปถึงหน้าร้านพร้อมๆกับชายหนุ่มหกคนที่เพิ่งเดินเข้าไปในร้านก่อนเรา พวกเราบ่นในใจเพราะรู้ว่าเราไม่มีเวลามากนัก พวกเขายืนเป็นกลุ่มอยู่ที่จุดสั่งอาหารทั้งสองจุดเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในกลุ่มได้สั่งก่อน แล้วฉันก็ได้ยินเจอร์รี่พึมพำบอกตัวเองว่า “จงแสดงความเมตตาในเวลานี้” โอ้! แน่นอนว่าการให้เราสั่งก่อนจะเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่นี่ช่างเป็นการเตือนที่ดี จริงๆให้นึกถึงความต้องการและความปรารถนาของคนอื่นที่ไม่ใช่แค่ของฉันเอง

พระคัมภีร์สอนว่าความรักนั้นอดทนนาน กระทำคุณให้ และไม่เห็นแก่ตัว ความรัก “ไม่ฉุนเฉียว” (1คร.13:5) นักวิชาการแมทธิว เฮนรี่เขียนอธิบายความรักนี้ว่า “ความรักนั้นมักจะ...เห็นแก่ความสุข ความพอใจและประโยชน์ (ของผู้อื่น) มากกว่าของตัวเอง” ความรักในแบบของพระเจ้านั้นจะคิดถึงผู้อื่นก่อน

ในโลกนี้ที่หลายคนรู้สึกฉุนเฉียวได้ง่าย เราจึงมีโอกาสอยู่บ่อยครั้งที่จะได้ขอความช่วยเหลือและขอพระเมตตาจากพระเจ้าให้เราเลือกที่จะอดทนและมีใจปรานีต่อผู้อื่น (ข้อ 4) พระธรรมสุภาษิต 19:11 (TNCV) เสริมว่า “ความสุขุมรอบคอบจะทำให้คนเราอดทน และเกียรติยศของเขาคือการให้อภัยความผิดของคนอื่น”

นี่คือการกระทำของความรักที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า และพระองค์อาจใช้สิ่งนี้เพื่อนำเรื่องราวความรักของพระองค์ไปสู่ผู้อื่นด้วย

ด้วยกำลังที่มาจากพระเจ้า ขอให้เราใช้ทุกโอกาสเพื่อแสดงความเมตตาในเวลานี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา