พระเจ้าแห่งความประหลาดใจ
ห้องประชุมมืดลงและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยหลายพันคนก้มศีรษะขณะที่นักเทศน์นำเราอธิษฐานถวายตัว ขณะเขาเรียกคนเหล่านั้นที่รู้สึกถึงการทรงเรียกให้ไปรับใช้ในการประกาศยังต่างแดน ฉันรู้สึกได้ว่าลินเนตต์เพื่อนของฉันลุกจากที่นั่งและรู้ว่าเธอให้คำมั่นว่าจะใช้ชีวิตและรับใช้ในฟิลิปปินส์ แต่ฉันไม่รู้สึกถึงการเร้าใจให้ลุกขึ้น ฉันเห็นความต้องการในสหรัฐอเมริกา จึงอยากแบ่งปันความรักของพระเจ้าที่ดินแดนบ้านเกิดของฉัน แต่ในอีกสิบปีหลังจากนั้น ฉันอยากจะไปสร้างครอบครัวที่อังกฤษ โดยหาทางรับใช้พระเจ้าในหมู่เพื่อนบ้านที่พระองค์จะประทานให้ ความคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของฉันเปลี่ยนไปเมื่อฉันตระหนักว่า พระเจ้าทรงเชื้อเชิญฉันไปในการผจญภัยที่แตกต่างไปจากที่ฉันคาดไว้
พระเยซูมักจะทำให้ผู้คนที่พบพระองค์ประหลาดใจ รวมทั้งชาวประมงที่ทรงเรียกให้ติดตามพระองค์ เมื่อพระคริสต์ประทานภารกิจใหม่แก่พวกเขาในการจับคน เปโตรและอันดรูว์ละแห “ทันที” และตามพระองค์ไป (มธ.4:20) ส่วนยากอบและยอห์น ก็ละเรือ “ในทันใดนั้น” (ข้อ 22) พวกเขาออกเดินทางผจญภัยครั้งใหม่ไปกับพระเยซู ไว้วางใจในพระองค์แม้ไม่รู้ว่าตนเองกำลังจะไปที่ใด
แน่นอนว่า พระเจ้าทรงเรียกผู้คนจำนวนมากให้รับใช้พระองค์ ณ ที่ซึ่งพวกเขาอยู่! แต่ไม่ว่าจะอยู่กับที่หรือออกเดินทางไป เราทุกคนล้วนมองไปที่พระองค์ด้วยความคาดหวังว่าจะทรงทำให้เราประหลาดใจ ด้วยประสบการณ์และโอกาสที่ยอดเยี่ยมที่จะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ในแบบที่เราอาจไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นไปได้
ปลดปล่อยจากการเป็นทาส
“ท่านเป็นเหมือนโมเสส ผู้นำเราออกจากการเป็นทาส” จามิล่าร้องออกมาเสียงดัง เธอเป็นคนงานเตาเผาอิฐที่ต้องอยู่ทำงานเพื่อใช้หนี้ในประเทศปากีสถาน เธอและครอบครัวทุกข์ทรมานเนื่องจากเป็นหนี้เจ้าของเตาเผาในจำนวนที่มากเกินไป เงินที่ได้มาจากการทำงานส่วนใหญ่ก็แค่พอสำหรับจ่ายค่าดอกเบี้ยเท่านั้น แต่เมื่อพวกเขาได้รับของขวัญจากหน่วยงานที่ไม่แสวงกำไรที่ช่วยปลดหนี้ให้พวกเขา พวกเขารู้สึกว่าได้รับการปลดปล่อยครั้งยิ่งใหญ่ เพื่อเป็นการขอบคุณตัวแทนของหน่วยงานสำหรับอิสรภาพนี้ จามิล่าซึ่งเป็นผู้เชื่อในพระเยซู ได้ชี้ไปที่ตัวอย่างที่พระเจ้าปลดปล่อยโมเสสและคนอิสราเอลจากการเป็นทาส
คนอิสราเอลถูกชาวอียิปต์กดขี่ข่มเหงเป็นเวลาหลายร้อยปี ถูกใช้แรงงานในสภาพที่โหดร้าย พวกเขาร้องหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ (อพย.2:23) แต่พวกเขากลับถูกใช้งานหนักกว่าเดิม เพราะฟาโรห์องค์ใหม่ไม่ได้สั่งให้พวกเขาทำอิฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องไปเก็บฟางสำหรับใช้ทำอิฐด้วย (5:6-8) เมื่อคนอิสราเอลไม่หยุดที่จะร้องขอเพื่อให้พ้นจากการถูกกดขี่ข่มเหง พระเจ้าจึงทรงย้ำถึงคำสัญญาที่จะทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขา (6:7) พวกเขาจะไม่เป็นทาสอีกต่อไป เพราะพระองค์จะช่วยกู้พวกเขาด้วย “แขนที่เหยียดออก” (ข้อ 6 TNCV)
ภายใต้ข้อปฏิบัติจากพระเจ้า โมเสสก็ได้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ (ดูบทที่ 14) วันนี้ พระเจ้ายังทรงช่วยกู้เราด้วยแขนที่เหยียดออกของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ที่บนไม้กางเขน เราเป็นอิสระจากการตกเป็นทาสต่อบาปที่ครั้งหนึ่งเคยควบคุมเราไว้ ขณะนี้เราไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นอิสระแล้ว!
เต็มล้นด้วยพระวิญญาณ
นักเขียนชื่อ สก็อต แมคไนท์ ได้เล่าให้ฟังถึงประสบการณ์ “การเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ” สมัยที่เขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ขณะที่อยู่ในค่าย ผู้เทศนาได้ท้าทายให้เขายอมให้พระคริสต์มาครอบครองชีวิตโดยการยอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเวลาต่อมาขณะที่เขานั่งอยู่ใต้ต้นไม้และอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า โปรดยกโทษบาปของข้าพระองค์ และขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาเติมเต็มข้าพระองค์” บางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้น เขาบอกว่า “นับตั้งแต่วินาทีนั้นเอง ชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง มันไม่ได้สมบูรณ์แบบแต่มันแตกต่าง” จู่ๆเขาก็มีความปรารถนาที่จะอ่านพระคัมภีร์ อธิษฐาน พบกับผู้เชื่อคนอื่นๆ และปรนนิบัติพระเจ้า
ก่อนที่พระเยซูผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์จะเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์กำชับสหายของพระองค์ “มิให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามพระสัญญาของพระบิดา” (กจ.1:4) พวกเขาจะ “ได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช” เพื่อ “เป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (ข้อ 8) พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้สถิตอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระเยซู สิ่งนี้เกิดขึ้นครั้งแรกในวันเพ็นเทคอสต์ (ดู กจ.2) แต่ในปัจจุบันสิ่งนี้จะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ตามที่มีคนวางใจในพระคริสต์
พระวิญญาณของพระเจ้ายังคงเติมเต็มผู้ที่เชื่อในพระเยซู โดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณ เราเองก็สามารถเกิดผลได้โดยมีอุปนิสัยและความปรารถนาที่เปลี่ยนไป (กท.5:22-23) ให้เราสรรเสริญและขอบคุณพระเจ้าที่ทรงปลอบโยน โน้มน้าว เป็นหุ้นส่วน และรักเรา
ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน
เมื่อศิษยาภิบาลบ็อบได้รับบาดเจ็บซึ่งส่งผลต่อเสียงของเขา เขาตกอยู่ในภาวะวิกฤติและซึมเศร้าเป็นเวลาสิบห้าปี เขาสงสัยว่าศิษยาภิบาลที่พูดไม่ได้จะทำอะไรได้ เขาต่อสู้กับคำถามนี้ ระบายความทุกข์ระทมและความสับสนต่อพระเจ้า เขาเล่าว่า “ผมรู้เพียงอย่างเดียวที่ต้องทำ นั่นคือทำตามพระคำของพระเจ้า” เมื่อเขาใช้เวลาอ่านพระคัมภีร์ ความรักที่เขามีต่อพระเจ้าเพิ่มมากขึ้น “ผมทุ่มเทชีวิตกับการซึมซับและใคร่ครวญพระวจนะ เพราะความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน คือได้ยินพระคำของพระเจ้า”
เราพบประโยคที่บอกว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน” ในจดหมายของเปาโลถึงชาวกรุงโรม ท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะให้คนร่วมเชื้อสายยิวกับท่านเชื่อในพระคริสต์และได้รับความรอด (รม.10:9) พวกเขาจะเชื่อได้อย่างไร โดยทางความเชื่อที่ “เกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน...เพราะการประกาศพระคริสต์” (ข้อ 17)
ศิษยาภิบาลบ็อบพยายามทำความเข้าใจและเชื่อในคำสอนของพระคริสต์โดยเฉพาะในขณะที่เขาอ่านพระคัมภีร์ เขาสามารถพูดได้เพียงวันละหนึ่งชั่วโมงและรู้สึกเจ็บตลอดเวลาที่พูด แต่เขาก็ได้พบกับสันติสุขและความพึงพอใจที่มาจากพระเจ้าอย่างต่อเนื่องผ่านทางการใคร่ครวญพระวจนะ เราเองก็สามารถเชื่อวางใจได้ว่าพระเยซูจะทรงสำแดงพระองค์เองแก่เราในความทุกข์ยากของเรา พระองค์จะทรงเพิ่มพูนความเชื่อของเราเมื่อเราได้ยินพระวจนะของพระองค์ไม่ว่าเราจะกำลังเผชิญกับปัญหาใด
เข้มแข็งขึ้นผ่านการทดลอง
ความทรงจำหวนคืนกลับมาเมื่อฉันได้ยินเสียงกรอบแกรบผ่านพวกซองจดหมายและเหลือบไปเห็นสติ๊กเกอร์ที่มีข้อความว่า “ฉันเคยทดสอบสายตา” ในห้วงความคิดฉันเห็นลูกชายวัยสี่ขวบติดสติ๊กเกอร์อย่างภาคภูมิใจหลังอดทนต่อการระคายเคืองจากยาหยอดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาที่อ่อนแรงทำให้เขาต้องใส่ที่ปิดตาบนตาข้างที่ปกติเป็นเวลาหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อทำให้ตาข้างที่อ่อนแอมีการพัฒนาและยังต้องรับการผ่าตัดด้วย เขาเผชิญความท้าทายเหล่านี้ไปทีละขั้น โดยมองมาที่เราซึ่งเป็นพ่อแม่เพื่อแสวงหาการปลอบโยนและพึ่งพาพระเจ้าด้วยความเชื่อแบบเด็กๆ ความท้าทายเหล่านี้ทำให้เขามีความสามารถในการฟื้นตัวได้เร็ว
คนที่อดทนต่อการทดลองและความทุกข์ยากมักถูกเปลี่ยนแปลงผ่านประสบการณ์เหล่านั้น แต่อัครทูตเปาโลกล่าวถึงสิ่งที่ยิ่งกว่านั้นคือการ “ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยาก” เพราะมันทำให้เกิดความอดทน และความอดทนทำให้เราเป็นคนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ และนั่นทำให้เกิดความหวังใจ (รม.5:3-4) เปาโลรู้จักการทดลองเป็นอย่างดี ไม่เพียงแค่เรือแตกแต่ถูกจำคุกเพราะความเชื่อด้วย กระนั้นท่านยังเขียนถึงผู้เชื่อในโรมว่า “ความหวังใจมิได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะเหตุว่าความรักของพระเจ้าได้หลั่งเข้าสู่จิตใจของเรา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ข้อ 5) อัครทูตระลึกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทำให้เรายังคงมีความหวังใจในพระเยซูเมื่อเราวางใจในพระองค์
ไม่ว่าคุณจะเผชิญกับความยากลำบากใด ขอให้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงเทพระคุณและพระเมตตาของพระองค์มาเหนือคุณ พระองค์ทรงรักคุณ
ความเศร้าโศกและความชื่นบาน
ครอบครัวของแองเจล่าต้องพบกับความโศกเศร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากการสูญเสียญาติใกล้ชิดสามคนในเวลาเพียงสี่สัปดาห์ หลังจากที่หนึ่งในพวกเธอไปเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของหลานชาย แองเจล่าและพี่สาวสองคนนั่งอยู่ด้วยกันที่โต๊ะในครัวเป็นเวลาสามวัน โดยออกไปแค่ซื้อโกศซื้ออาหาร และร่วมงานศพเท่านั้น ขณะที่พวกเธอร้องไห้กับการเสียชีวิตของหลานชาย พวกเธอก็ได้ชื่นชมยินดีกับภาพถ่ายอัลตราซาวนด์ของชีวิตใหม่ที่เติบโตขึ้นในตัวของน้องสาวคนสุดท้อง
ต่อมาแองเจล่าพบการปลอบโยนและความหวังจากพระธรรมเอสราในพันธสัญญาเดิม ซึ่งบรรยายถึงประชากรของพระเจ้าที่กลับมายังเยรูซาเล็ม ภายหลังจากที่พวกบาบิโลนทำลายพระวิหารและเนรเทศพวกเขาออกจากเมืองอันเป็นที่รัก (ดู อสร.1) ขณะเอสราเฝ้ามองการสร้างพระวิหารขึ้นใหม่ ท่านได้ยินเสียงสรรเสริญพระเจ้าด้วยความชื่นบาน (3:10-11) แต่ท่านก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของบรรดาผู้ที่ระลึกถึงชีวิตก่อนการเนรเทศด้วย (ข้อ 12)
พระวจนะข้อหนึ่งปลอบโยนเธอเป็นพิเศษ “ประชาชนจึงสังเกตไม่ได้ว่าไหนเป็นเสียงร้องด้วยความชื่นบาน และไหนเป็นเสียงประชาชนร้องไห้ เพราะประชาชนโห่ร้องเสียงดังมาก” (ข้อ 13) เธอตระหนักว่าแม้เธอจะจมอยู่ในความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง ความชื่นบานก็ยังปรากฏได้
เราเองก็อาจโศกเศร้ากับความตายของผู้เป็นที่รัก หรือคร่ำครวญกับการสูญเสียที่ต่างออกไป หากเป็นเช่นนั้น เราก็สามารถร้องไห้ด้วยความปวดร้าวไปพร้อมๆกับช่วงเวลาที่เราชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้ โดยรู้ว่าพระองค์ทรงได้ยินเราและทรงโอบกอดเราไว้ในอ้อมแขนของพระองค์
รักที่ยิ่งใหญ่กว่า
เพียงไม่กี่วันก่อนสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่คริสเตียนทั่วโลกระลึกถึงการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูและเฉลิมฉลองการเป็นขึ้นจากตายของพระองค์ ผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งบุกเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ตทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศสและกราดยิงทำให้มีผู้เสียชีวิตสองศพ หลังการเจรจาคนร้ายปล่อยตัวประกันทั้งหมดยกเว้นหนึ่งคนที่เขาใช้เป็นโล่มนุษย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจอาร์โนด์ เบลทรัมตระหนักถึงอันตรายจึงทำสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด นั่นคือเขาอาสาที่จะเป็นตัวประกันแทนผู้หญิงคนนั้น คนร้ายจึงปล่อยตัวเธอ แต่ในการชุลมุนที่เกิดขึ้นตามมาเบลทรัมบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา
ผู้รับใช้คนหนึ่งที่รู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นี้เชื่อว่าการเสียสละของเขามาจากความเชื่อในพระเยซู โดยอ้างถึงพระคำของพระองค์ในยอห์น 15:13 ว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” นี่คือสิ่งที่พระเยซูตรัสกับพวกสาวกหลังจากอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์บอกสหายเหล่านี้ว่า “ให้ท่านทั้งหลายรักกัน เหมือนดังที่เราได้รักท่าน” (ข้อ 12) และความรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือการสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น (ข้อ 13) แล้วพระองค์ก็กระทำสิ่งนี้ในวันถัดมาเมื่อทรงถูกตรึงที่กางเขนเพื่อช่วยเราทั้งหลายให้รอดจากบาป เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่สามารถกระทำได้
เราอาจไม่มีวันถูกเรียกให้ทำวีรกรรมตามอย่างอาร์โนด์ เบลทรัม แต่เมื่อเราคงอยู่ในความรักของพระเจ้า เราก็สามารถรับใช้ผู้อื่นอย่างเสียสละได้ โดยการปล่อยวางแผนการและความต้องการของเราลง และหาโอกาสแบ่งปันเรื่องราวแห่งความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า
แหล่งน้ำแห่งความสดชื่น
เมื่อแอนดรูว์และครอบครัวของเขาได้ไปเที่ยวซาฟารีในประเทศเคนย่า พวกเขามีความสุขกับการเฝ้าดูสัตว์หลากหลายชนิดแวะเวียนมายังทะเลสาบเล็กๆท่ามกลางทุ่งหญ้าที่แห้งแล้ง ทั้งยีราฟ วิลเดอบีสต์ ฮิบโปโปเตมัสและนกน้ำหลายสายพันธุ์ต่างมุ่งหน้ามายังแหล่งน้ำที่ให้ชีวิตนี้ ขณะที่แอนดรูว์สังเกตการไปมาของสัตว์ต่างๆ เขาได้คิดว่า “พระคัมภีร์ก็เหมือนกับแหล่งน้ำที่มาจากพระเจ้า” ที่ไม่ได้เป็นเพียงแหล่งแห่งการทรงนำและสติปัญญา แต่ยังเป็นแหล่งน้ำแห่งความสดชื่น ที่ช่วยดับความกระหายของมนุษย์จากทุกเส้นทางเดินของชีวิตได้
ข้อสังเกตของแอนดรูว์สะท้อนสิ่งที่ผู้เขียนพระธรรมสดุดีได้เรียกบางคนว่า “ผู้ได้รับพร” เมื่อเขาเหล่านั้นปีติยินดีและภาวนาพระธรรมของพระเจ้า ซึ่งเป็นคำที่ใช้ในพันธสัญญาเดิมเพื่ออธิบายคำสอนและพระบัญชาของพระเจ้า ผู้ที่ภาวนาพระคำเปรียบเหมือนกับ “ต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมธารน้ำ ซึ่งเกิดผลตามฤดูกาล” (สดด.1:3) เช่นเดียวกับรากของต้นไม้ที่หยั่งลึกลงไปในดินเพื่อพบแหล่งแห่งความสดชื่น ผู้ที่เชื่อและรักพระเจ้าอย่างแท้จริงจะหยั่งรากของเขาลึกลงไปในพระวจนะของพระองค์เพื่อจะพบกำลังที่พวกเขาต้องการ
การยอมมอบตัวเราไว้ในพระปัญญาของพระเจ้าจะทำให้รากฐานของเราฝังแน่นอยู่ในพระองค์ เราจะไม่เป็นเหมือน “แกลบซึ่งลมพัดกระจายไป” (ข้อ 4) เมื่อเราใคร่ครวญถึงสิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เราในพระคัมภีร์ เราจะได้รับการเลี้ยงดูให้อิ่มหนำซึ่งนำไปสู่การเกิดผลที่ยั่งยืน
น้ำแห่งชีวิต
ชีวิตในบ้านของแอนเดรียง่อนแง่นเต็มที เธอจึงออกจากบ้านตอนอายุ 14 ปีหางานทำและอาศัยกับเพื่อนๆ เพราะโหยหาความรักและการยอมรับ เธอจึงย้ายไปอยู่กับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งแนะนำให้เธอใช้ยาเสพติดเพิ่มจากการดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งเธอดื่มประจำอยู่แล้ว แต่ความสัมพันธ์และการยอมรับไม่ได้เติมเต็มความปรารถนาของเธอ เธอยังคงแสวงหา จนกระทั่งหลายปีต่อมาเธอได้พบกับผู้เชื่อพระเยซูบางคนที่หยิบยื่นความช่วยเหลือและเสนอตัวที่จะอธิษฐานกับเธอ ผ่านไปไม่กี่เดือน ในที่สุดเธอก็ได้พบกับพระเยซูผู้ทรงดับความกระหายหาความรักของเธอ
หญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำซึ่งพระเยซูทรงขอน้ำจากนางได้พบผู้ที่เติมเต็มความกระหายของนางเช่นกัน นางอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาร้อนจัดของวัน (ยน.4:5-7) อาจเพราะต้องการหลีกเลี่ยงสายตาและคำนินทาจากผู้หญิงคนอื่นที่รู้ประวัติว่านางมีสามีหลายคนและคบชู้ในปัจจุบัน (ข้อ 17-18) เมื่อพระเยซูทรงเข้ามาหาและขอน้ำดื่มจากนาง พระองค์ทรงทำสิ่งที่ขัดต่อแบบแผนสังคมในเวลานั้น เพราะปกติแล้วพระองค์ซึ่งเป็นอาจารย์ชาวยิว ไม่ควรจะยุ่งเกี่ยวกับหญิงชาวสะมาเรีย แต่พระองค์ปรารถนาจะประทานน้ำธำรงชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์เป็นของขวัญแก่นาง (ข้อ 10) พระองค์ประสงค์จะดับความกระหายของนาง
เมื่อเราต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้ดื่มน้ำธำรงชีวิตนี้เช่นกัน ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งปันถ้วยนี้กับผู้อื่นเมื่อเราเชื้อเชิญพวกเขาให้มาติดตามพระองค์