พระหัตถ์พระเจ้า
ในปีค.ศ. 1939 เมื่อสงครามปะทุขึ้นในอังกฤษ พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงออกรายการวิทยุในวันคริสต์มาสเพื่อหนุนใจพลเมืองในสหราชอาณาจักรและในเครือจักรภพให้ไว้วางใจพระเจ้า โดยตรัสถึงบทกวีที่พระมารดาของพระองค์ทรงรักมาก “จงออกไปในความมืด และวางมือของเจ้าไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า นั่นจะเป็นยิ่งกว่าแสงสว่างแก่เจ้า และเป็นความปลอดภัยยิ่งกว่าทางที่เจ้ารู้จัก” พระองค์ไม่รู้ว่าปีใหม่จะนำสิ่งใดมา แต่ทรงไว้วางใจพระเจ้าที่จะ “ทรงนำและทรงค้ำจุน” เขาทั้งหลายในวันอันน่าวิตกที่อยู่ข้างหน้า
ภาพพระหัตถ์พระเจ้าปรากฏในพระคัมภีร์หลายตอน รวมถึงพระธรรมอิสยาห์ โดยผู้เผยพระวจนะท่านนี้ พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้วางใจพระองค์ในฐานะพระผู้สร้างของพวกเขา ผู้ทรง “เป็นต้นและ...เป็นปลาย” (อสย.48:12) และจะยังคงมีส่วนในชีวิตพวกเขา ดังที่ตรัสว่า “เออ มือของเราได้วางรากฐานแผ่นดินโลก และมือของเราได้กางฟ้าสวรรค์ออก” (ข้อ 13) พวกเขาควรไว้วางใจในพระองค์และไม่พึ่งพาผู้ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจน้อยกว่า เพราะในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว พระองค์ทรงเป็น “พระผู้ไถ่ของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล” (ข้อ 17)
ไม่ว่าเราจะเผชิญอะไรเมื่อมองไปสู่ปีใหม่นี้ เราสามารถเชื่อคำหนุนใจของพระเจ้าจอร์จและผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ โดยมอบความหวังและความวางใจของเราไว้ในพระเจ้า และสำหรับเราเช่นกันที่ความสุขสมบูรณ์ของเราจะเป็นเหมือนแม่น้ำ “ความชอบธรรมของ[เรา ]จะเป็นเหมือนคลื่นทะเล” (ข้อ 18)
ความรักที่จับต้องได้
ขณะฉันนั่งข้างๆมาร์กาเร็ตเพื่อนซึ่งนอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันเห็นความวุ่นวายและกิจกรรมของผู้ป่วยคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และผู้คนที่มาเยี่ยม หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้แม่ที่ไม่สบายถามมาร์กาเร็ตว่า “ทุกคนที่ผลัดกันมาเยี่ยมคุณเป็นใคร” เธอตอบว่า “พวกเขาเป็นสมาชิกในคริสตจักรของฉัน!” หญิงสาวตั้งข้อสังเกตว่าเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เธอรู้สึกว่าผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมนั้น “เป็นเหมือนความรักที่จับต้องได้” มาร์กาเร็ตตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ทั้งหมดนี้เกิดจากความรักที่เรามีต่อพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์!”
จากคำตอบของมาร์กาเร็ต เธอสะท้อนให้เห็นถึงอัครทูตยอห์น ซึ่งในบั้น-ปลายชีวิตของท่านได้เขียนจดหมายสามฉบับที่เปี่ยมด้วยความรัก ในจดหมายฉบับแรก ท่านกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น” (1 ยน.4:16) นั่นคือผู้ใดที่ยอมรับว่า “พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 15) พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในพวกเขาผ่าน “พระวิญญาณของพระองค์” (ข้อ 13) เราจะดูแลผู้อื่นด้วยความรักได้อย่างไร “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (ข้อ 19)
เพราะของประทานแห่งความรักจากพระเจ้า การมาเยี่ยมมาร์กาเร็ตจึงไม่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับฉันหรือคนอื่นๆในคริสตจักรของเรา ฉันได้รับมากกว่าที่ให้ ไม่เพียงแต่จากมาร์กาเร็ตเท่านั้น แต่ผ่านการสังเกตคำพยานอันอ่อนโยนถึงพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ วันนี้พระเจ้าจะทรงรักผู้อื่นผ่านทางคุณได้อย่างไร
ชีวิตใหม่ในพระเยซู
บาเฮียร์และเมเด็ตเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเติบโตมาด้วยกันในแถบเอเชียกลาง แต่เมื่อบาเฮียร์มาเป็นผู้เชื่อในพระเยซูทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เมเด็ตแจ้งความต่อหน่วยงานของรัฐ บาเฮียร์ก็ต้องทนทุกข์กับการถูกทรมานอย่างเจ็บปวด ผู้คุมตะคอกใส่เขาว่า “ปากนี้จะไม่พูดถึงพระนามของพระเยซูอีกต่อไป” แม้ว่าบาเฮียร์จะเลือดออกมาก แต่เขาก็พูดออกมาจนได้ว่า พวกผู้คุมอาจหยุดเขาไม่ให้พูดถึงพระคริสต์ แต่จะไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในใจของผม”
คำพูดนั้นยังคงอยู่กับเมเด็ต ไม่กี่เดือนต่อมาเมเด็ตทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและความสูญเสีย เขาจึงเดินทางไปตามหาบาเฮียร์ที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว เขาเปลี่ยนจากความเย่อหยิ่งและขอให้เพื่อนแนะนำเขาให้รู้จักกับพระเยซู
เมเด็ตแสดงออกตามความรู้สึกผิดที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแบบเดียวกับผู้คนที่มารวมตัวกันรอบๆเปโตรในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ พวกเขารู้สึก “แปลบปลาบใจ” เมื่อเห็นพระคุณของพระเจ้าที่หลั่งไหลมาและได้ยินคำพยานของเปโตรเกี่ยวกับพระคริสต์ (กจ.2:37) เปโตรเรียกร้องผู้คนให้กลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู และมีประมาณสามพันคนที่ทำตาม พวกเขาละทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่า เช่นเดียวกับที่เมเด็ตเองก็กลับใจและติดตามองค์พระผู้ช่วยให้รอด
ของขวัญแห่งชีวิตใหม่ในพระเยซูนั้นมีให้สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ไม่ว่าเราจะเคยทำอะไรมาก่อน เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีในการที่บาปของเราได้รับการอภัยเมื่อเราวางใจในพระองค์
ทาเนย
ในหนังสือของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน เรื่องอภินิหารแหวนครองพิภพ บิลโบ แบ๊กกินส์ เริ่มแสดงอาการที่เกิดจากการครอบครองแหวนมนตราที่มีพลังความมืดมาเป็นเวลาหกทศวรรษ ด้วยวิตกว่าแหวนกำลังทำลายเขาลงอย่างช้าๆ เขาจึงพูดกับพ่อมดแกนดัล์ฟว่า “ทำไมข้าจึงรู้สึกเปราะบางเหมือนถูกยืดขยายออกจนตึง ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าข้าหมายความว่ายังไง เหมือนเนยที่ถูกทาลงบนขนมปังจำนวนมากเกินไปจนบาง” เขาตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อแสวงหาที่ซึ่งเขาจะได้พัก “อย่างสงบสุขโดยไม่มีพวกญาติๆคอยสอดรู้สอดเห็น”
แง่มุมจากเรื่องราวของโทลคีนทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ของผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม ขณะหนีจากเยเซเบลและถูกบีบคั้นหลังการต่อสู้กับผู้เผยพระวจนะเท็จ เอลียาห์ต้องการพักผ่อนอย่างยิ่ง ท่านรู้สึกหมดแรงและทูลขอให้พระเจ้าเอาชีวิตของท่านไปว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า” (1 พกษ.19:4) หลังจากนอนหลับไป ทูตของพระเจ้าได้มาปลุกให้ท่านรับประทานและดื่ม ท่านนอนลงอีก แล้วก็รับประทานอาหารที่ทูตสวรรค์จัดเตรียมให้ท่านอีก เมื่อฟื้นกำลังขึ้นแล้ว ท่านก็มีแรงพอจะเดินเป็นเวลาสี่สิบวันไปยังภูเขาของพระเจ้า
เมื่อเรารู้สึกเปราะบาง เราสามารถแสวงหาการฟื้นฟูกำลังอย่างแท้จริงจากพระเจ้าได้เช่นกัน เราอาจจำเป็นต้องดูแลร่างกายของเรา ขณะทูลขอให้พระองค์ทรงเติมเราด้วยความหวัง สันติสุข และการพักสงบของพระองค์ เช่นที่ทูตสวรรค์ดูแลเอลียาห์ เราก็วางใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานการสถิตอยู่เพื่อฟื้นฟูกำลังแก่เราเช่นกัน (ดู มธ.11:28)
พระลักษณะของพระคริสต์
หลังจากการไปปฏิบัติหน้าที่ที่ท้าทายในอัฟกานิสถาน ชีวิตของจ่าสิบเอกสก็อตต์แห่งกองทัพอังกฤษก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาจำได้ว่า “ผมอยู่ในความมืดมิด” แต่เมื่อเขา “พบพระเยซูและเริ่มติดตามพระองค์” ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาพยายามแบ่งปันความรักของพระคริสต์กับผู้อื่น โดยเฉพาะกับบรรดาทหารผ่านศึกที่ลงแข่งในการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติที่จัดขึ้นสำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
สำหรับสก็อตต์ การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการฟังเพลงนมัสการ ช่วยเตรียมชีวิตของเขาก่อนจะไปเข้าร่วมการแข่งขัน จากนั้นพระเจ้าทรงช่วยเขาให้สามารถ “สะท้อนพระลักษณะของพระเยซูและสำแดงความเมตตา ความอ่อนสุภาพ และพระคุณ” ต่อเพื่อนทหารผ่านศึกที่ลงแข่งขันด้วยกัน
สก็อตต์ได้เอ่ยถึงผลของพระวิญญาณบางประการที่อัครทูตเปาโลเขียนถึงผู้เชื่อในกาลาเทีย พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้อิทธิพลของผู้สอนเท็จ ดังนั้น เปาโลจึงพยายามหนุนใจพวกเขาให้ยืนหยัดในความจริงต่อพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ โดยให้ “พระวิญญาณทรงนำ” (กท.5:18) เมื่อทำดังนั้น พวกเขาจะบังเกิดผลของพระวิญญาณ คือ “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน” (ข้อ 22-23)
เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา เราจะเปี่ยมล้นด้วยความดีงามและความรักของพระองค์ และจะแสดงความอ่อนโยนและความเมตตาต่อคนรอบข้างเช่นกัน
เสาะหาและช่วยกู้
เพื่อนของฉันบางคนไปล่องเรือในช่องแคบอังกฤษโดยหวังว่าพยากรณ์อากาศจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ลมพัดแรงขึ้นและคลื่นแปรปรวนซึ่งทำให้เรือไม่ปลอดภัย พวกเขาจึงวิทยุขอความช่วยเหลือไปยัง RNLI (องค์กรกู้ภัยทางทะเล) หลังจากช่วงเวลาที่ตึงเครียด พวกเขาก็มองเห็นผู้ช่วยเหลืออยู่แต่ไกลและตระหนักด้วยความโล่งใจว่าพวกเขาจะปลอดภัยในไม่ช้า เพื่อนของฉันเล่าด้วยความซาบซึ้งใจในภายหลังว่า “ไม่ว่าผู้คนจะเพิกเฉยต่อข้อปฏิบัติทางทะเลอย่างไรก็ตาม แต่ RNLI ก็ยังคงมาช่วยกู้”
ขณะที่เขาเล่าเรื่องนี้ ฉันก็นึกถึงวิธีที่พระเยซูทรงนำในพันธกิจการเสาะหาและการช่วยกู้ของพระเจ้า พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อมาเป็นมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตเหมือนกับเรา โดยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระองค์ พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมแผนการช่วยกู้เราจากบาปและการไม่เชื่อฟังที่ได้แยกเราจากพระเจ้า เปาโลเน้นย้ำความจริงนี้เมื่อท่านเขียนถึงคริสตจักรที่กาลาเทีย “พระเยซูคริสตเจ้าของเรา...ทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย” (กท.1:3-4) เปาโลเตือนชาวกาลาเทียให้คิดถึงของขวัญแห่งชีวิตใหม่ที่พวกเขาได้รับโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เพื่อพวกเขาจะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆวัน
พระเยซูผู้ช่วยกู้ชีวิตของเราทั้งหลาย ทรงเต็มพระทัยสละพระชนม์เพื่อช่วยเราจากการหลงหาย เพราะพระองค์ทรงทำเช่นนั้น เราจึงมีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า และด้วยใจสำนึกขอบพระคุณเราจึงสามารถแบ่งปันข่าวเรื่องการช่วยกู้กับคนในชุมนุมชนของเราได้
ยึดติดกับพระเจ้า
เมื่อจอนนี่ เอียเรคสัน ทาดาพูดถึงริก้านั้น เธอเน้นย้ำถึง “ความเชื่อในพระเจ้าที่ลึกซึ้งและผ่านการทดสอบมายาวนาน” ของเพื่อนคนนี้ และความอดทนที่พัฒนาเพิ่มขึ้นขณะเธอมีชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เป็นเวลากว่าสิบห้าปีที่ริก้าต้องนอนบนเตียง ไม่อาจแม้แต่จะมองเห็นดวงจันทร์จากหน้าต่างเล็กๆในห้องของเธอได้ แต่เธอไม่ได้หมดหวัง เธอวางใจในพระเจ้า อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ และตามที่จอนนี่บรรยาย เธอ “รู้วิธีที่จะยืนหยัดมั่นคงในระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือดกับความท้อแท้”
จอนนี่เปรียบการยืนหยัดและความพากเพียรของริก้ากับเอเลอาซาร์ทหารในสมัยของกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะหนีคนฟีลิสเตีย แทนที่เขาจะร่วมกับกองทหารที่ถอยทัพ “[เอเลอาซาร์ ]ได้ลุกขึ้นฆ่าฟัน...จนมือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ” (2 ซมอ.23:10) โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า “ในวันนั้นพระเจ้าทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง” (ข้อ 10) จอนนี่สังเกตเห็นว่าเหมือนเช่นที่เอเลอาซาร์ได้ยึดติดกับดาบด้วยความมุ่งมั่น ริก้าก็ยึดติดกับ “พระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า” (อฟ.6:17) และที่นั่น เธอพบกำลังของเธอในพระเจ้า
ไม่ว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงดีหรือต่อสู้กับความท้อแท้จากโรคเรื้อรัง เราเองก็สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้เช่นกัน เพื่อให้ความหวังของเราที่สะสมไว้หยั่งรากลงลึกมั่นคงขึ้นและช่วยให้เราอดทนได้ เราจะพบกำลังของเราได้ในพระคริสต์
ปรนนิบัติพระเยซู
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1800 เอลิซาเบธ ฟรายรู้สึกตกใจกับสภาพเรือนจำหญิงในกรุงลอนดอน ผู้หญิงและลูกๆต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียดและต้องนอนบนพื้นหินที่เย็นเฉียบ แม้พวกเขาจะไม่มีเครื่องนอนแต่ก็มีเหล้าจินจากก๊อกที่ช่วยคลายหนาว เธอไปเยี่ยมเรือนจำอยู่หลายปีและเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยการจัดหาเสื้อผ้า เปิดโรงเรียน และสอนพระคัมภีร์ แต่หลายคนมองว่าอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือ การปรากฏตัวด้วยความรักพร้อมกับข้อความแห่งความหวังที่ชัดเจน
สิ่งที่เธอทำนั้นเป็นการปฏิบัติตามคำเชิญของพระเยซูให้รับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น ขณะอยู่บนภูเขามะกอกเทศพระคริสต์ทรงเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับยุคสุดท้าย รวมถึงการต้อนรับ “ผู้ชอบธรรม...เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” (มธ.25:46) ในเรื่องนี้องค์กษัตริย์บอกกับผู้ชอบธรรมว่า พวกเขาจัดหาน้ำให้พระองค์ดื่ม ต้อนรับพระองค์ และไปเยี่ยมพระองค์ในคุก (ข้อ 35-36) เมื่อพวกเขานึกไม่ออก องค์กษัตริย์ตอบพวกเขาว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)
ช่างน่าอัศจรรย์ที่เมื่อเรารับใช้ผู้อื่นโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็คือการที่เราได้รับใช้พระเยซู! เราสามารถทำเช่นเดียวกับเอลิซาเบธ ฟราย และอาจรับใช้ผู้อื่นจากที่บ้านได้โดยการอธิษฐานวิงวอนหรือการส่งข้อความหนุนใจ พระเยซูทรงยินดีเมื่อเรารักพระองค์ด้วยการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและตะลันต์ (ความสามารถ) ของเราเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
ยอร์นผู้ถ่อมตน
พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักจากยอร์นซึ่งเป็นคนเช่าที่ดินทำไร่ แม้จะสายตาไม่ดีและมีข้อจำกัดทางร่างกายอื่นๆ แต่ยอร์นก็อุทิศตนเองให้กับคนในหมู่บ้านของเขาในนอร์เวย์โดยการอธิษฐานในยามค่ำคืนที่เขานอนไม่หลับเพราะความเจ็บปวด ในคำอธิษฐานเขาจะเอ่ยชื่อของแต่ละคนที่อาศัยอยู่ในบ้านแต่ละหลัง แม้แต่เด็กๆที่เขายังไม่เคยพบ ชาวบ้านรักที่เขามีจิตใจอ่อนสุภาพและมักขอความรู้และคำแนะนำจากเขา แม้ถ้าเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆชาวบ้านจะยังคงรู้สึกดีที่ได้รับความรักจากเขา และเมื่อยอร์นเสียชีวิต งานศพของเขาถือเป็นงานศพที่ใหญ่ที่สุดในชุมชนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีครอบครัวอยู่ที่นั่นก็ตาม คำอธิษฐานของเขาเบ่งบานและเกิดผลเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้
ชายผู้ถ่อมตนนี้ดำเนินตามแบบอย่างของอัครสาวกเปาโลที่รักผู้คนที่ท่านได้ปรนนิบัติรับใช้และยังอธิษฐานเผื่อพวกเขาในระหว่างที่ท่านถูกคุมขัง ท่านเขียนถึงชาวเมืองเอเฟซัสขณะที่ท่านอาจถูกคุมขังในกรุงโรมและอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทาน “จิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความประจักษ์แจ้งในเรื่องความรู้ถึงพระองค์” แก่พวกเขา และขอให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” (อฟ.1:17-18) ท่านปรารถนาให้พวกเขาได้รู้จักพระเยซูและดำเนินชีวิตด้วยความรักและความสามัคคีโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ยอร์นและอัครสาวกเปาโลอุทิศตนเองแด่พระเจ้า และมอบถวายผู้คนที่พวกเขารักและรับใช้แด่พระองค์ในคำอธิษฐาน ขอให้เราพิจารณาแบบอย่างของพวกเขาว่าเราจะรักและรับใช้ผู้อื่นอย่างไรในวันนี้