ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

ชีวิตใหม่ในพระเยซู

บาเฮียร์และเมเด็ตเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเติบโตมาด้วยกันในแถบเอเชียกลาง แต่เมื่อบาเฮียร์มาเป็นผู้เชื่อในพระเยซูทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เมเด็ตแจ้งความต่อหน่วยงานของรัฐ บาเฮียร์ก็ต้องทนทุกข์กับการถูกทรมานอย่างเจ็บปวด ผู้คุมตะคอกใส่เขาว่า “ปากนี้จะไม่พูดถึงพระนามของพระเยซูอีกต่อไป” แม้ว่าบาเฮียร์จะเลือดออกมาก แต่เขาก็พูดออกมาจนได้ว่า พวกผู้คุมอาจหยุดเขาไม่ให้พูดถึงพระคริสต์ แต่จะไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในใจของผม”

คำพูดนั้นยังคงอยู่กับเมเด็ต ไม่กี่เดือนต่อมาเมเด็ตทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและความสูญเสีย เขาจึงเดินทางไปตามหาบาเฮียร์ที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว เขาเปลี่ยนจากความเย่อหยิ่งและขอให้เพื่อนแนะนำเขาให้รู้จักกับพระเยซู

เมเด็ตแสดงออกตามความรู้สึกผิดที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแบบเดียวกับผู้คนที่มารวมตัวกันรอบๆเปโตรในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ พวกเขารู้สึก “แปลบปลาบใจ” เมื่อเห็นพระคุณของพระเจ้าที่หลั่งไหลมาและได้ยินคำพยานของเปโตรเกี่ยวกับพระคริสต์ (กจ.2:37) เปโตรเรียกร้องผู้คนให้กลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู และมีประมาณสามพันคนที่ทำตาม พวกเขาละทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่า เช่นเดียวกับที่เมเด็ตเองก็กลับใจและติดตามองค์พระผู้ช่วยให้รอด

ของขวัญแห่งชีวิตใหม่ในพระเยซูนั้นมีให้สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ไม่ว่าเราจะเคยทำอะไรมาก่อน เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีในการที่บาปของเราได้รับการอภัยเมื่อเราวางใจในพระองค์

ทาเนย

ในหนังสือของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน เรื่องอภินิหารแหวนครองพิภพ บิลโบ แบ๊กกินส์ เริ่มแสดงอาการที่เกิดจากการครอบครองแหวนมนตราที่มีพลังความมืดมาเป็นเวลาหกทศวรรษ ด้วยวิตกว่าแหวนกำลังทำลายเขาลงอย่างช้าๆ เขาจึงพูดกับพ่อมดแกนดัล์ฟว่า “ทำไมข้าจึงรู้สึกเปราะบางเหมือนถูกยืดขยายออกจนตึง ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าข้าหมายความว่ายังไง เหมือนเนยที่ถูกทาลงบนขนมปังจำนวนมากเกินไปจนบาง” เขาตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อแสวงหาที่ซึ่งเขาจะได้พัก “อย่างสงบสุขโดยไม่มีพวกญาติๆคอยสอดรู้สอดเห็น”

แง่มุมจากเรื่องราวของโทลคีนทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ของผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม ขณะหนีจากเยเซเบลและถูกบีบคั้นหลังการต่อสู้กับผู้เผยพระวจนะเท็จ เอลียาห์ต้องการพักผ่อนอย่างยิ่ง ท่านรู้สึกหมดแรงและทูลขอให้พระเจ้าเอาชีวิตของท่านไปว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า” (1 พกษ.19:4) หลังจากนอนหลับไป ทูตของพระเจ้าได้มาปลุกให้ท่านรับประทานและดื่ม ท่านนอนลงอีก แล้วก็รับประทานอาหารที่ทูตสวรรค์จัดเตรียมให้ท่านอีก เมื่อฟื้นกำลังขึ้นแล้ว ท่านก็มีแรงพอจะเดินเป็นเวลาสี่สิบวันไปยังภูเขาของพระเจ้า

เมื่อเรารู้สึกเปราะบาง เราสามารถแสวงหาการฟื้นฟูกำลังอย่างแท้จริงจากพระเจ้าได้เช่นกัน เราอาจจำเป็นต้องดูแลร่างกายของเรา ขณะทูลขอให้พระองค์ทรงเติมเราด้วยความหวัง สันติสุข และการพักสงบของพระองค์ เช่นที่ทูตสวรรค์ดูแลเอลียาห์ เราก็วางใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานการสถิตอยู่เพื่อฟื้นฟูกำลังแก่เราเช่นกัน (ดู มธ.11:28)

พระลักษณะของพระคริสต์

หลังจากการไปปฏิบัติหน้าที่ที่ท้าทายในอัฟกานิสถาน ชีวิตของจ่าสิบเอกสก็อตต์แห่งกองทัพอังกฤษก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาจำได้ว่า “ผมอยู่ในความมืดมิด” แต่เมื่อเขา “พบพระเยซูและเริ่มติดตามพระองค์” ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาพยายามแบ่งปันความรักของพระคริสต์กับผู้อื่น โดยเฉพาะกับบรรดาทหารผ่านศึกที่ลงแข่งในการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติที่จัดขึ้นสำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม

สำหรับสก็อตต์ การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการฟังเพลงนมัสการ ช่วยเตรียมชีวิตของเขาก่อนจะไปเข้าร่วมการแข่งขัน จากนั้นพระเจ้าทรงช่วยเขาให้สามารถ “สะท้อนพระลักษณะของพระเยซูและสำแดงความเมตตา ความอ่อนสุภาพ และพระคุณ” ต่อเพื่อนทหารผ่านศึกที่ลงแข่งขันด้วยกัน

สก็อตต์ได้เอ่ยถึงผลของพระวิญญาณบางประการที่อัครทูตเปาโลเขียนถึงผู้เชื่อในกาลาเทีย พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้อิทธิพลของผู้สอนเท็จ ดังนั้น เปาโลจึงพยายามหนุนใจพวกเขาให้ยืนหยัดในความจริงต่อพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ โดยให้ “พระวิญญาณทรงนำ” (กท.5:18) เมื่อทำดังนั้น พวกเขาจะบังเกิดผลของพระวิญญาณ คือ “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน” (ข้อ 22-23)

เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา เราจะเปี่ยมล้นด้วยความดีงามและความรักของพระองค์ และจะแสดงความอ่อนโยนและความเมตตาต่อคนรอบข้างเช่นกัน

เสาะหาและช่วยกู้

เพื่อนของฉันบางคนไปล่องเรือในช่องแคบอังกฤษโดยหวังว่าพยากรณ์อากาศจะมีการเปลี่ยนแปลง แต่ลมพัดแรงขึ้นและคลื่นแปรปรวนซึ่งทำให้เรือไม่ปลอดภัย พวกเขาจึงวิทยุขอความช่วยเหลือไปยัง RNLI (องค์กรกู้ภัยทางทะเล) หลังจากช่วงเวลาที่ตึงเครียด พวกเขาก็มองเห็นผู้ช่วยเหลืออยู่แต่ไกลและตระหนักด้วยความโล่งใจว่าพวกเขาจะปลอดภัยในไม่ช้า เพื่อนของฉันเล่าด้วยความซาบซึ้งใจในภายหลังว่า “ไม่ว่าผู้คนจะเพิกเฉยต่อข้อปฏิบัติทางทะเลอย่างไรก็ตาม แต่ RNLI ก็ยังคงมาช่วยกู้”

ขณะที่เขาเล่าเรื่องนี้ ฉันก็นึกถึงวิธีที่พระเยซูทรงนำในพันธกิจการเสาะหาและการช่วยกู้ของพระเจ้า พระองค์เสด็จเข้ามาในโลกเพื่อมาเป็นมนุษย์ที่ดำเนินชีวิตเหมือนกับเรา โดยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นของพระองค์ พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมแผนการช่วยกู้เราจากบาปและการไม่เชื่อฟังที่ได้แยกเราจากพระเจ้า เปาโลเน้นย้ำความจริงนี้เมื่อท่านเขียนถึงคริสตจักรที่กาลาเทีย “พระเยซูคริสตเจ้าของเรา...ทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย” (กท.1:3-4) เปาโลเตือนชาวกาลาเทียให้คิดถึงของขวัญแห่งชีวิตใหม่ที่พวกเขาได้รับโดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู เพื่อพวกเขาจะได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าในทุกๆวัน

พระเยซูผู้ช่วยกู้ชีวิตของเราทั้งหลาย ทรงเต็มพระทัยสละพระชนม์เพื่อช่วยเราจากการหลงหาย เพราะพระองค์ทรงทำเช่นนั้น เราจึงมีชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้า และด้วยใจสำนึกขอบพระคุณเราจึงสามารถแบ่งปันข่าวเรื่องการช่วยกู้กับคนในชุมนุมชนของเราได้

ยึดติดกับพระเจ้า

เมื่อจอนนี่ เอียเรคสัน ทาดาพูดถึงริก้านั้น เธอเน้นย้ำถึง “ความเชื่อในพระเจ้าที่ลึกซึ้งและผ่านการทดสอบมายาวนาน” ของเพื่อนคนนี้ และความอดทนที่พัฒนาเพิ่มขึ้นขณะเธอมีชีวิตอยู่กับโรคเรื้อรังที่ทำให้ร่างกายอ่อนแอลง เป็นเวลากว่าสิบห้าปีที่ริก้าต้องนอนบนเตียง ไม่อาจแม้แต่จะมองเห็นดวงจันทร์จากหน้าต่างเล็กๆในห้องของเธอได้ แต่เธอไม่ได้หมดหวัง เธอวางใจในพระเจ้า อ่านและศึกษาพระคัมภีร์ และตามที่จอนนี่บรรยาย เธอ “รู้วิธีที่จะยืนหยัดมั่นคงในระหว่างการต่อสู้อย่างดุเดือดกับความท้อแท้”

จอนนี่เปรียบการยืนหยัดและความพากเพียรของริก้ากับเอเลอาซาร์ทหารในสมัยของกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่งปฏิเสธที่จะหนีคนฟีลิสเตีย แทนที่เขาจะร่วมกับกองทหารที่ถอยทัพ “[เอเลอาซาร์ ]ได้ลุกขึ้นฆ่าฟัน...จนมือของท่านเป็นเหน็บแข็งติดดาบ” (2 ซมอ.23:10) โดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า “ในวันนั้นพระเจ้าทรงกระทำให้ได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง” (ข้อ 10) จอนนี่สังเกตเห็นว่าเหมือนเช่นที่เอเลอาซาร์ได้ยึดติดกับดาบด้วยความมุ่งมั่น ริก้าก็ยึดติดกับ “พระแสงของพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า” (อฟ.6:17) และที่นั่น เธอพบกำลังของเธอในพระเจ้า

ไม่ว่าจะมีสุขภาพแข็งแรงดีหรือต่อสู้กับความท้อแท้จากโรคเรื้อรัง เราเองก็สามารถพึ่งพาพระเจ้าได้เช่นกัน เพื่อให้ความหวังของเราที่สะสมไว้หยั่งรากลงลึกมั่นคงขึ้นและช่วยให้เราอดทนได้ เราจะพบกำลังของเราได้ในพระคริสต์

ปรนนิบัติพระเยซู

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1800 เอลิซาเบธ ฟรายรู้สึกตกใจกับสภาพเรือนจำหญิงในกรุงลอนดอน ผู้หญิงและลูกๆต้องอยู่กันอย่างเบียดเสียดและต้องนอนบนพื้นหินที่เย็นเฉียบ แม้พวกเขาจะไม่มีเครื่องนอนแต่ก็มีเหล้าจินจากก๊อกที่ช่วยคลายหนาว เธอไปเยี่ยมเรือนจำอยู่หลายปีและเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงโดยการจัดหาเสื้อผ้า เปิดโรงเรียน และสอนพระคัมภีร์ แต่หลายคนมองว่าอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเธอคือ การปรากฏตัวด้วยความรักพร้อมกับข้อความแห่งความหวังที่ชัดเจน

สิ่งที่เธอทำนั้นเป็นการปฏิบัติตามคำเชิญของพระเยซูให้รับใช้ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ตัวอย่างเช่น ขณะอยู่บนภูเขามะกอกเทศพระคริสต์ทรงเล่าเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับยุคสุดท้าย รวมถึงการต้อนรับ “ผู้ชอบธรรม...เข้าสู่ชีวิตนิรันดร์” (มธ.25:46) ในเรื่องนี้องค์กษัตริย์บอกกับผู้ชอบธรรมว่า พวกเขาจัดหาน้ำให้พระองค์ดื่ม ต้อนรับพระองค์ และไปเยี่ยมพระองค์ในคุก (ข้อ 35-36) เมื่อพวกเขานึกไม่ออก องค์กษัตริย์ตอบพวกเขาว่า “ซึ่งท่านได้กระทำแก่คนใดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้ ถึงแม้จะต่ำต้อยเพียงไร ก็เหมือนได้กระทำแก่เราด้วย” (ข้อ 40)

ช่างน่าอัศจรรย์ที่เมื่อเรารับใช้ผู้อื่นโดยความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นั่นก็คือการที่เราได้รับใช้พระเยซู! เราสามารถทำเช่นเดียวกับเอลิซาเบธ ฟราย และอาจรับใช้ผู้อื่นจากที่บ้านได้โดยการอธิษฐานวิงวอนหรือการส่งข้อความหนุนใจ พระเยซูทรงยินดีเมื่อเรารักพระองค์ด้วยการใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณและตะลันต์ (ความสามารถ) ของเราเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ยอร์นผู้ถ่อมตน

พวกเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักจากยอร์นซึ่งเป็นคนเช่าที่ดินทำไร่ แม้จะสายตาไม่ดีและมีข้อจำกัดทางร่างกายอื่นๆ แต่ยอร์นก็อุทิศตนเองให้กับคนในหมู่บ้านของเขาในนอร์เวย์โดยการอธิษฐานในยามค่ำคืนที่เขานอนไม่หลับเพราะความเจ็บปวด ในคำอธิษฐานเขาจะเอ่ยชื่อของแต่ละคนที่อาศัยอยู่ในบ้านแต่ละหลัง แม้แต่เด็กๆที่เขายังไม่เคยพบ ชาวบ้านรักที่เขามีจิตใจอ่อนสุภาพและมักขอความรู้และคำแนะนำจากเขา แม้ถ้าเขาไม่สามารถช่วยเหลือได้จริงๆชาวบ้านจะยังคงรู้สึกดีที่ได้รับความรักจากเขา และเมื่อยอร์นเสียชีวิต งานศพของเขาถือเป็นงานศพที่ใหญ่ที่สุดในชุมชนนั้น แม้ว่าเขาจะไม่มีครอบครัวอยู่ที่นั่นก็ตาม คำอธิษฐานของเขาเบ่งบานและเกิดผลเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการได้

ชายผู้ถ่อมตนนี้ดำเนินตามแบบอย่างของอัครสาวกเปาโลที่รักผู้คนที่ท่านได้ปรนนิบัติรับใช้และยังอธิษฐานเผื่อพวกเขาในระหว่างที่ท่านถูกคุมขัง ท่านเขียนถึงชาวเมืองเอเฟซัสขณะที่ท่านอาจถูกคุมขังในกรุงโรมและอธิษฐานขอให้พระเจ้าประทาน “จิตใจ​อัน​ประกอบด้วย​สติปัญญา และ​ความ​ประจักษ์​แจ้ง​ใน​เรื่อง​ความ​รู้​ถึง​พระ​องค์​” แก่พวกเขา และขอให้ตาใจของพวกเขา “สว่างขึ้น” (อฟ.1:17-18) ท่านปรารถนาให้พวกเขาได้รู้จักพระเยซูและดำเนินชีวิตด้วยความรักและความสามัคคีโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ยอร์นและอัครสาวกเปาโลอุทิศตนเองแด่พระเจ้า และมอบถวายผู้คนที่พวกเขารักและรับใช้แด่พระองค์ในคำอธิษฐาน ขอให้เราพิจารณาแบบอย่างของพวกเขาว่าเราจะรักและรับใช้ผู้อื่นอย่างไรในวันนี้

ทำให้พระเจ้าเป็นที่รู้จัก

ความรักที่มีต่อพระเจ้าและผู้คนเป็นรากฐานงานแปลพระคัมภีร์ของแคธริน เธอปีติยินดีเมื่อสตรีในอินเดียเข้าใจพระคัมภีร์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากการอ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตน เธอสังเกตเห็นว่าเมื่อพวกเขาเข้าใจ “พวกเขามักจะส่งเสียงแสดงความยินดีหรือปรบมือ และเมื่ออ่านเรื่องราวของพระเยซู พวกเขาก็จะพูดว่า ‘โอ้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ’”

แคธรินอยากให้คนจำนวนมากขึ้นได้อ่านพระคัมภีร์ในภาษาของตนเอง ด้วยความปรารถนานี้เธอจึงเก็บรักษานิมิตของยอห์นสาวกผู้ชราแล้วที่เกาะปัทมอสไว้ในใจของเธอ พระเจ้าทรงนำยอห์นไปยังพระที่นั่งที่ตั้งอยู่ในสวรรค์โดยทางพระวิญญาณ ที่ซึ่งท่านได้เห็น “คนมากมายเหลือคณนามาจากทุกเผ่าพันธุ์ ทุกชาติทุกภาษา...ยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดก” (วว.7:9) พวกเขาร่วมกันนมัสการพระเจ้าและร้องว่า “ความรอดขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเรา” (ข้อ 10)

พระเจ้ายังทรงให้ผู้คนมากมายที่สรรเสริญพระองค์เพิ่มจำนวนขึ้น พระองค์ทรงใช้ไม่เพียงแต่งานของผู้แปลพระคัมภีร์และผู้ที่อธิษฐานเผื่อพวกเขาเท่านั้น แต่ยังทรงใช้คนเหล่านั้นที่ออกไปบอกข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูด้วยความรักที่มีต่อเพื่อนบ้าน เราชื่นชมยินดีในภารกิจอันน่ายินดีนี้ และอัศจรรย์ใจกับการที่พระเจ้าจะทรงจุดประกายผู้คนจำนวนมากขึ้นให้เข้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์โดยกล่าวว่า “อาเมน ความสรรเสริญ พระสิริ ปัญญา คำโมทนา พระเกียรติ อำนาจ และฤทธิ์เดชจงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” (ข้อ 12)

วันที่ 8 – พระคุณสำหรับวันนี้ | ด้วยปีกนกอินทรี

ด้วยปีกนกอินทรี

โทนี่และแชรอนนิ่งอึ้งด้วยความตกใจเมื่อรู้ว่าอาการป่วยต่อเนื่องของโทนี่มีผลต่อสมองและระบบประสาท ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่การเสียชีวิต หลังการวินิจฉัย แชรอนถามโทนี่ว่าเขากำลังคิดอะไร เขาตอบว่า “นกอินทรี” เธอพยักหน้ารับทราบ

ตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตแต่งงาน พวกเขาให้คำมั่นว่าจะวางใจพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลายากลำบาก เพื่อจะสามารถ “บินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี” (อิสยาห์ 40:31) พวกเขาได้เรียนรู้ว่านกอินทรีใช้ลมและกระแสอากาศที่พัดมาจากเนินเขาและภูเขาเพื่อช่วยยกพวกมันให้บินได้สูงขึ้นในขณะที่ทะยานขึ้นไป และในขณะที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับโรคร้ายที่ทำให้อ่อนกำลัง แชรอนกล่าวว่า “โทนี่และฉันเลือกที่จะบินขึ้นสูงเหนือพายุ” ในแต่ละวันพวกเขาพึ่งพากำลังจากพระเจ้าเพื่อยกพวกเขาขึ้นเหนือความรู้สึกสิ้นหวัง

ในขณะที่อิสยาห์เปิดเผยถ้อยคำจากพระเจ้า ชาวอิสราเอลก็กำลังหมดหวังเช่นเดียวกัน เพราะเขาอาศัยอยู่ห่างไกลจากบ้านในดินแดนแห่งพันธสัญญา พระเจ้าทรงเตือนว่าพระองค์มิได้ทรงอ่อนเปลี้ยหรือเหน็ดเหนื่อย (ข้อ 28) และพระองค์ทรงเพิ่มแรงแก่ผู้ที่ไม่มีกำลัง (ข้อ 29) พวกเขาเพียงมุ่งมองไปที่พระองค์เท่านั้น

โทนี่เสียชีวิตหลังการวินิจฉัยโรค 8 ปี แต่เขาและแชรอนไม่เคยรู้สึกว่าพระเจ้าทอดทิ้ง เพราะพวกเขาพึ่งพาพระองค์วันต่อวัน เมื่อเราต้องเผชิญกับความท้าทายทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ หรือจิตวิญญาณ ขอให้เรามุ่งมองที่พระเจ้าเพื่อขอกำลังในการบินขึ้นสูงด้วยปีกเหมือนนกอินทรีเช่นกัน

เขียนโดย เอมี่ บูเช พายam

คิดใคร่ครวญ :
อะไรที่จะช่วยคุณได้เมื่อเผชิญกับความยากลำบากในชีวิต? คุณจะสามารถรับการเสริมเรี่ยวแรงจากพระเจ้าได้อย่างไร?

อธิษฐาน :
องค์พระเยซู เมื่อข้าพระองค์รู้สึกกังวลและกลัว ขอทรงโปรดเติมความหวังและกำลังเมื่อข้าพระองค์ร้องทูลพระองค์

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา