ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Amy Boucher Pye

คร่ำครวญต่อพระเจ้า

ฉันเข้าชมงานแสดงเปิดตัวพิพิธภัณฑ์และอนุสรณ์สถานจากเหตุการณ์ 11 กันยายน ในเมืองนิวยอร์กด้วยความอยากรู้ แต่ก็คอยควบคุมความรู้สึกของตัวเองไว้ด้วย แต่เมื่อเข้าไปในส่วนจัดแสดงด้านในซึ่งผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์ได้ปิดกั้นไว้อย่างชาญฉลาดไม่ให้เด็กๆและคนที่ไม่พร้อมจะเห็นภาพที่สะเทือนใจความรู้สึกก็เปลี่ยนไป เมื่อฉันเห็นเรื่องราวแห่งความสูญเสียและโศกเศร้าซ้ำๆ คลื่นแห่งการคร่ำครวญก่อตัวขึ้นในตัวฉัน

เมื่อเราเห็นหรือนึกถึงการทำลายล้างและความเจ็บปวดเช่นนั้น เราก็สามารถคร่ำครวญร่วมกับคนเหล่านั้นที่ระบายความทุกข์ใจต่อพระเจ้า สิ่งนี้รวมถึงถ้อยคำแห่งการทนทุกข์ที่พบในพระธรรมเพลงคร่ำครวญ ซึ่งนักวิชาการหลายคนเชื่อว่าผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เขียนขึ้นหลังกรุงเยรูซาเล็มล่มสลาย ในบทกวีที่เขียนอย่างกระชับนี้ ท่านได้ระบายความเสียใจและความโศกเศร้าจากความเจ็บปวดของประชากรของพระเจ้า “ข้าแต่พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรเพราะข้าพระองค์มีความทุกข์ จิตใจของข้าพระองค์มีความทุรนทุราย จิตใจของข้าพระองค์ยุ่งเหยิง” (พคค.1:20) แต่ท่านยังมองว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษาสูงสุด และรู้ว่าพระองค์เท่านั้นสามารถจัดการกับความบาปและการทำลายล้าง “ขอให้บรรดาการชั่วของเขาทั้งหลาย มาปรากฏต่อพระพักตร์พระองค์” (ข้อ 22)

การร้องต่อพระเจ้าด้วยความจริงใจเช่นนี้ช่วยให้เราต่อสู้กับความเจ็บปวดอันโหดร้าย ดังเช่นสิ่งที่เกิดขึ้นในเหตุการณ์ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 หรือความชั่วร้ายใดๆในปัจจุบัน เรามุ่งมองไปที่พระเจ้าเพื่อทูลขอความช่วยเหลือ ความหวัง การปลอบประโลม และความยุติธรรม

ดูแลผู้ที่ถูกข่มเหง

โจเซฟิน บัตเลอร์ ภรรยาของผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงได้กลายมาเป็นนักรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีที่มักถูกกล่าวหาอย่างไม่ยุติธรรมว่าเป็น “ผู้หญิงกลางคืน” ซึ่งสังคมมองว่าเป็น “คนที่ไม่มีใครต้องการ” ด้วยแรงกระตุ้นจากความเชื่ออันเข้มแข็งในพระเจ้า เธอต่อสู้เป็นเวลาหลายปีเพื่อต่อต้านกฎหมายโรคติดต่อของอังกฤษในช่วงทศวรรษ 1860 ที่บังคับให้ผู้หญิงต้องเข้ารับการตรวจ “ทางการแพทย์” ที่เจ็บปวดและเป็นการรุกล้ำทางร่างกาย

ในปีค.ศ. 1883 ระหว่างการอภิปรายร่างกฎหมายในรัฐสภาเพื่อจะยกเลิกกฎหมายฉบับนี้ เธอได้ร่วมอธิษฐานกับกลุ่มสตรีในเวสต์มินสเตอร์ เธอรู้สึกตื้นตันใจเมื่อเห็น “สตรีที่แต่งตัวซอมซ่อและน่าสงสารที่สุดจากสลัม” เคียงข้างกับ “สตรีชั้นสูง” ทุกคนร้องไห้และทูลขอการปกป้องจากพระเจ้าในความเสี่ยงนี้ และพวกเธอก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่รัฐสภาผ่านร่างกฎหมายนั้น

การเรียกร้องของโจเซฟินเพื่อให้มีการปฏิบัติอย่างยุติธรรมนั้นสะท้อนคำพูดของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ ผู้สื่อสารข้อความพระเจ้าไปยังกษัตริย์ที่ชั่วร้าย เยเรมีย์กล่าวว่า “จงกระทำความยุติธรรมและความชอบธรรม จงช่วยกู้ผู้ที่ถูกปล้นให้พ้นมือของผู้ที่บีบบังคับ” และ “อย่าได้กระทำความผิดหรือความทารุณแก่ชนต่างด้าว ลูกกำพร้าพ่อ และหญิงม่าย” (ยรม.22:3) พระเจ้าทรงต้องการปกป้องผู้ที่ไม่สามารถปกป้องตนเองจากผู้มีอำนาจ

พระเจ้าทรงกระตุ้นเราให้กระทำการบางอย่างได้เช่นกัน ทรงช่วยให้เรามองเห็นถึงความไม่เท่าเทียม เป็นปากเป็นเสียงและต่อต้านความไม่เท่าเทียมนั้น พระองค์ผู้ทรงเกลียดการข่มเหงจะเสริมกำลังเราให้สนับสนุนความยุติธรรมและปกป้องผู้ที่อ่อนแอ

ยืนหยัดในคำอธิษฐาน

เมื่อฮันนาห์ลูกสาวของรอยสตันมีภาวะเลือดออกในสมองที่ส่งผลให้เธอไม่รู้สึกตัว เขาและครอบครัวอธิษฐานแสวงหาพระเจ้าหลายครั้ง ในช่วงเวลาหลายเดือนแห่งการรอคอย พวกเขายึดกันและกันและยึดพระเจ้าไว้ ความเชื่อของครอบครัวได้ถูกปลุกขึ้นดังที่รอยสตันสะท้อนว่า “ผมไม่เคยรู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ใกล้ขนาดนี้มาก่อน” ในการทดสอบอันทรหดนั้น พวกเขาได้รับ “ความเชื่อที่ฟื้นฟูขึ้นใหม่เพื่อจะยืนหยัดในการอธิษฐาน” ดังเช่น “หญิงม่ายในลูกา 18”

รอยสตันพูดถึงเรื่องเล่าของพระเยซูเกี่ยวกับหญิงม่ายผู้แสวงหาความยุติธรรมจากผู้พิพากษา ซึ่งพระองค์ต้องการจะบอกว่า “คนทั้งหลายควรอธิษฐานอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ” (ลก.18:1) หญิงคนนี้ไปพบผู้พิพากษาบ่อยครั้งจนเขารำคาญใจและยอมในที่สุด พระองค์เปรียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับผู้พิพากษาที่ไม่ใส่ใจว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ” (ข้อ7)

แม้เรื่องที่พระคริสต์เล่าจะเกี่ยวกับผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรม แต่สมาชิกครอบครัวรู้สึกถึงการกระตุ้นให้อธิษฐานเผื่อฮันนาห์ ทูลขอต่อพระเจ้าผู้ทรงห่วงใยและยุติธรรมอย่างแท้จริงให้ทรงช่วยเหลือและปลดปล่อย พวกเขาพบว่าตัวเองถูกนำเข้าใกล้พระเจ้ามากยิ่งกว่าครั้งใด “ขณะที่เราแสวงหาพระเจ้า...มันเหมือนกับว่าเป็นเราเองที่กำลังตื่นขึ้นจากการนอนหลับ” หลายเดือนผ่านไป ฮันนาห์ฟื้นขึ้นจากอาการโคม่าและกำลังฟื้นฟูอย่างช้าๆ

เมื่อเราเข้าใกล้พระเจ้า พระองค์ทรงได้ยินคำทูลขอของเราและทรงตอบเราตามพระคุณของพระองค์ พระองค์เชื้อเชิญให้เราร้องทูลต่อพระองค์ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน

ผ่าตัดหัวใจ

หลายปีก่อนหลังจากตอบโต้กันด้วยคำพูดอันเผ็ดร้อน แคโรลินกับฉันได้แก้ไขความบาดหมางของเราด้วยความเห็นอกเห็นใจและความรักที่มีต่อกัน ฉันสารภาพผิด และเธอก็อธิษฐานเผื่อฉันโดยใช้ เอเสเคียล 36:26 “เราจะให้ใจใหม่แก่เจ้า และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในตัวเจ้า เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเจ้า และให้ใจเนื้อแก่เจ้า” ฉันสัมผัสได้ว่าพระเจ้าทรงผ่าตัดหัวใจฝ่ายวิญญาณให้กับฉัน โดยขจัดความกลัวและใจขมขื่นออกไปในขณะที่ทรงโอบกอดฉันไว้ในความรักของพระองค์

พระเจ้าทรงพอพระทัยที่เราให้พระวจนะเข้ามามีส่วนเหมือนกับที่ฉันได้ทำในตอนนั้น แต่สิ่งสำคัญคือต้องสังเกตบริบทดั้งเดิมของพระธรรมตอนนี้ เอเสเคียลพูดแทนพระเจ้ากับประชากรของพระองค์ ด้วยพระสัญญาที่ว่าพระเจ้าจะทรงชำระพวกเขาให้สะอาดเพราะ “เรากำลังจะกระทำอยู่แล้ว ไม่ใช่เพื่อเห็นแก่เจ้า แต่เพื่อเห็นแก่นามบริสุทธิ์ของเรา” (ข้อ 22) พระเจ้าจะทรงกระทำกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์ท่ามกลางประชากรของพระองค์ เพื่อประชาชาติทั้งสิ้นจะยำเกรงและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

พระเจ้าทรงทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา ไม่เพียงเพื่อช่วยเราให้เติบโตและจำเริญขึ้น แต่เพื่อให้เรานำเกียรติมาสู่พระองค์ด้วย ดังที่พระองค์ได้มอบใจใหม่และจิตวิญญาณใหม่แก่คนอิสราเอลตามพระสัญญา โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่กระทำกิจภายใน พระเจ้าก็จะทรงแทนที่จิตใจที่เย็นชาและแข็งกระด้างของเรา ด้วยหัวใจที่จะตอบรับและแบ่งปันความรักและชีวิตของพระองค์ออกไป

หยั่งรากลึกลงในพระคริสต์

ศิษยาภิบาลผู้เป็นที่รักของพวกเรา แอนดรูว์ เมอร์เรย์ (ค.ศ.1828-1917) เล่าว่า ในแอฟริกาใต้บ้านเกิดของเขา โรคต่างๆส่งผลต่อต้นส้มที่นั่นอย่างไร หากมองด้วยสายตาที่ไม่เคยผ่านการฝึกฝนมาก่อน ทุกอย่างอาจจะดูปกติดี แต่รุกขกรหรือหมอต้นไม้สามารถมองเห็นความเน่าเปื่อยที่บ่งบอกว่าต้นไม้กำลังตายลงอย่างช้าๆ วิธีเดียวที่จะช่วยชีวิตต้นไม้ที่เป็นโรคคือ ตัดกิ่งก้านและแขนงออกจากราก แล้วต่อเข้ากับต้นใหม่ ต้นไม้จึงจะสามารถเจริญเติบโตและออกผลได้

เมอร์เรย์เชื่อมโยงภาพดังกล่าวกับจดหมายที่อัครทูตเปาโลเขียนถึงชาวเอเฟซัสจากคุกในกรุงโรม โดยเปาโลได้สรุปพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์ หัวใจของผู้อภิบาลได้ส่องประกายเจิดจ้าเมื่อท่านอธิษฐานขอให้ผู้เชื่อมีกำลังเรี่ยวแรงขึ้น โดยฤทธิ์เดชผ่านทางพระวิญญาณของพระคริสต์ที่อยู่ภายในพวกเขา เพื่อว่าพระองค์จะสถิตในใจของพวกเขาโดยทางความเชื่อ (อฟ.3:16-17) เปาโลปรารถนาให้พวกเขา “วางรากลงมั่นคงในความรัก” และสามารถหยั่งรู้ถึงความรักอันบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มขนาด (ข้อ 17-18)

ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู รากของเราจะหยั่งลึกลงไปในดินอันอุดมสมบูรณ์แห่งความรักของพระเจ้า ซึ่งมีสารอาหารที่ช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับเราและช่วยให้เราเติบโต และเมื่อเราถูกต่อเข้ากับพระเยซู พระวิญญาณของพระองค์จะช่วยเราให้เกิดผล เราอาจต้องฟันฝ่าพายุที่โน้มเราลงไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่เราสามารถยืนหยัดอยู่ได้เมื่อเราหยั่งรากลงในพระองค์ผู้เป็นแหล่งแห่งชีวิตและความรัก

ทรงลืมความบาปของเรา

จูลี่และสามีของเธอรู้สึกเศร้าและเสียใจเมื่อรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาชอบขโมยของในร้านค้า แต่โดยการทรงช่วยของพระเจ้า เมื่อลูกสาวมาหาพวกเขาด้วยความสำนึกผิดและเสียใจ พวกเขายกโทษให้เธอ ทั้งยังช่วยชดใช้ค่าเสียหายและช่วยให้เธอเข้ารับการบำบัด หลายเดือนต่อมาเมื่อจู่ๆลูกสาวของพวกเขาก็พูดขึ้นมาว่าพ่อแม่คงจะไม่ไว้วางใจเธออีกต่อไป จูลี่สงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร จูลี่ไม่ได้คิดถึงความผิดของลูกสาวในทันทีเพราะพระเจ้าได้ทรงขจัดความเจ็บปวดออกไปจากใจของเธอแล้ว เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับอดีตและทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเธอที่จะให้อภัย

ในช่วงเวลานั้นพระเจ้าทรงให้จูลี่ได้ลิ้มรสถึงความประเสริฐและพระคุณของพระองค์ เมื่อเธอได้สัมผัสถึงความรักที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้แก่ประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ให้เลิก “จดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น” เพราะพระองค์ทรง “กำลังกระทำสิ่งใหม่” (อสย.43:18-19) พระองค์ยังทรงประกาศถ้อยคำอันงดงามด้วยว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเองและเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (ข้อ 25) พระองค์ทรงเลือกที่จะถือโทษความบาปของเราเอาไว้ได้ แต่เพราะความรักและความเมตตาของพระองค์ พระองค์จึงไม่ทำเช่นนั้น เมื่อเราสารภาพบาป พระองค์จะทรงลบล้างประวัติของเราให้ขาวสะอาด

แม้ว่าความผิดที่เรากระทำและได้รับการอภัยนั้นอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเราและผู้อื่น แต่พระเจ้าไม่ถือโทษเราอีกต่อไป พระองค์จะทรงโอบอุ้มเราด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์

หัวใจดวงใหม่ในพระคริสต์

บร็อคและเดนนิสเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก แต่ขณะที่พวกเขาเติบโตขึ้น บร็อคไม่ได้สนใจเรื่องความเชื่อในพระเยซูของเดนนิสมากนัก เดนนิสรักเพื่อนและอธิษฐานเผื่อเขาเพราะรู้ว่าเส้นทางที่เพื่อนเดินไปนั้นดิ่งลงในความมืดและเศร้าหมอง ในคำอธิษฐานเผื่อบร็อค เดนนิสได้ประยุกต์ใช้ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่า “โปรดเถิดพระเจ้า โปรดนำใจหินออกจากบร็อค และให้ใจเนื้อแก่เขาแทน” (ดูอสค.11:19) เขาปรารถนาให้บร็อคเดินในทางของพระเจ้าเพื่อจะจำเริญขึ้น

สิบปีต่อมาเดนนิสยังคงอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ แล้วเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากบร็อคว่า “ฉันเพิ่งมอบชีวิตให้พระเยซู” เดนนิสดีใจมาก น้ำตาเอ่อล้นที่ได้ยินเพื่อนของเขาประกาศว่า ในที่สุดเขายอมรับในความจำกัดของตัวเองและวางใจมอบชีวิตไว้กับพระเจ้า

ในคำอธิษฐานของเดนนิส เขาจดจ่อที่พระสัญญาที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ผ่านเอเสเคียล แม้ว่าพวกเขาจะหันออกจากพระเจ้าและกระทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนใจพวกเขา “เราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเขา เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขา” (ข้อ 19) ด้วยใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะติดตามพระเจ้าของพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อ (ข้อ 20)

ไม่ว่าเราจะหลีกหนีจากพระเจ้าไปไกลเพียงใด พระองค์ทรงยินดีที่จะประทานหัวใจที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักแก่เรา เพียงเราหันกลับมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อและการกลับใจ เมื่อเราวางใจให้พระเยซูทรงช่วยเราจากความบาปของเรา

ที่กว้างขวางของพระเจ้า

เมื่อนักศาสนศาสตร์ท็อดด์ บิลลิงส์ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดที่ไม่มีทางรักษา เขาบรรยายถึงความตายที่ใกล้เข้ามาว่าเป็นเหมือนแสงไฟที่กำลังริบหรี่หรือกำลังจะดับในห้องที่ไกลออกไป “ในฐานะพ่อของลูกวัย 1 และ 3 ขวบ ผมมักจะคิดว่าเวลา 2-3 ทศวรรษข้างหน้าเป็นเหมือนพื้นที่โล่งที่เปิดกว้าง และผมคงจะได้เห็นเนติและนาธานีเอลเติบโตเป็นผู้ใหญ่...แต่เมื่อทราบผลการวินิจฉัย...สิ่งที่เกิดขึ้นคือความตีบตัน”

เมื่อคิดถึงข้อจำกัดเหล่านี้ บิลลิงส์ใคร่ครวญพระธรรมสดุดี 31 ที่พระเจ้าได้ทรงวางดาวิดไว้ใน “ที่กว้างขวาง” (ข้อ 8) แม้ว่าดาวิดจะพูดถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดจากศัตรู แต่ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและที่ปลอดภัยสำหรับท่าน (ข้อ 2) ผู้แต่งเพลงสดุดีท่านนี้กล่าวถึงความไว้วางใจที่มีในพระเจ้าผ่านบทเพลงนี้ว่า “วัน​เวลา​ของ​ข้า​พระ​องค์​อยู่​ใน​พระ​หัตถ์​ของ​พระ​องค์” (ข้อ 15)

บิลลิงส์ทำตามดาวิดโดยฝากความหวังไว้ในพระเจ้า แม้ว่านักศาสนศาสตร์ สามี และพ่อคนนี้ต้องเผชิญกับทางแคบในชีวิต แต่เขาก็เห็นพ้องว่าเขาอาศัยอยู่ในสถานที่กว้างขวางด้วย เพราะชัยชนะของพระเจ้าเหนือความตายโดยการเสียสละของพระคริสต์หมายความว่าเราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็น “สถานที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้” เขาอธิบายอีกว่า “จะมีอะไรกว้างใหญ่ไปกว่าการได้มีส่วนในชีวิตของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์”

เราอาจร้องไห้คร่ำครวญเช่นกัน แต่เราลี้ภัยอยู่ในพระเจ้าได้โดยขอให้ทรงพาและนำเราไป (ข้อ 1, 3) เรายืนยันร่วมกับดาวิดได้ว่าเราอาศัยอยู่ในสถานที่กว้างขวาง

ความเกรงกลัว

เจเรมี่เขียนว่า “ผมรู้จักเรื่องความกลัวตายเป็นอย่างดี เจ็ดปีที่แล้ว...ผมรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง พะอืดพะอม วิงเวียนศีรษะ และรู้สึกกดดันอย่างไม่อาจต้านทานเมื่อมีคนบอกว่าผมเป็นมะเร็งที่ไม่มีทางรักษา” แต่เขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัวโดยพึ่งพิงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า และเปลี่ยนความกลัวตายมาเป็นการโอบรับความเกรงกลัวในพระองค์ สำหรับเจเรมี่ นี่หมายถึงความยำเกรงต่อองค์ผู้ทรงสร้างจักรวาลผู้จะทรง “​กลืน​ความ​ตายเสีย” (อสย.25:8) ในขณะเดียวกันก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพระเจ้าทรงรู้จักและรักเขา

ความยำเกรงพระเจ้า คือ ความเคารพและความเกรงกลัวพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ของเราจากส่วนลึก เป็นสาระสำคัญของพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม กษัตริย์ซาโล-มอนเตือนสติบุตรชายของพระองค์ให้ยำเกรงพระเจ้าในชุดถ้อยคำแห่งสติปัญญาของพระองค์คือพระธรรมสุภาษิต พระองค์กล่าวว่าถ้าบุตรชายของพระองค์กระทำ “หู​ของ​เจ้า​ให้​ผึ่ง​เพื่อ​รับ​ปัญญา” และ “​เสาะหา​ปัญญา​อย่าง​หา​ขุมทรัพย์​ที่​ซ่อน​ไว้” เขาก็จะ “​เข้า​ใจความ​ยำเกรง​พระ​เจ้า และ​พบ​ความ​รู้​ของ​พระ​เจ้า” (สภษ. 2:2, 4 -5) นอกเหนือจากสติปัญญาและความรู้แล้ว เขาจะพบความเฉลียวฉลาดและความเข้าใจด้วย (ข้อ 10-11)

เมื่อเราเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบและประสบกับความรู้สึกหวาดหวั่นและกลัว เราจะคิดถึงข้อจำกัดของตนเอง แต่เมื่อเราหันไปหาพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยเราถ่อมใจต่อพระพักตร์พระองค์และนมัสการพระองค์ด้วยความยำเกรง เราจะพบว่าพระองค์ทรงช่วยให้เราเปลี่ยนจากความรู้สึกหวาดกลัวไปเป็นการโอบรับความเกรงกลัวในพระองค์ซึ่งจะส่งผลดีต่อเรา

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา