ทรงลืมความบาปของเรา
จูลี่และสามีของเธอรู้สึกเศร้าและเสียใจเมื่อรู้ว่าลูกสาวของพวกเขาชอบขโมยของในร้านค้า แต่โดยการทรงช่วยของพระเจ้า เมื่อลูกสาวมาหาพวกเขาด้วยความสำนึกผิดและเสียใจ พวกเขายกโทษให้เธอ ทั้งยังช่วยชดใช้ค่าเสียหายและช่วยให้เธอเข้ารับการบำบัด หลายเดือนต่อมาเมื่อจู่ๆลูกสาวของพวกเขาก็พูดขึ้นมาว่าพ่อแม่คงจะไม่ไว้วางใจเธออีกต่อไป จูลี่สงสัยว่าเธอหมายถึงอะไร จูลี่ไม่ได้คิดถึงความผิดของลูกสาวในทันทีเพราะพระเจ้าได้ทรงขจัดความเจ็บปวดออกไปจากใจของเธอแล้ว เธอตัดสินใจที่จะไม่จมอยู่กับอดีตและทูลขอพระเจ้าทรงช่วยเธอที่จะให้อภัย
ในช่วงเวลานั้นพระเจ้าทรงให้จูลี่ได้ลิ้มรสถึงความประเสริฐและพระคุณของพระองค์ เมื่อเธอได้สัมผัสถึงความรักที่พระองค์ทรงหยิบยื่นให้แก่ประชากรของพระองค์ พระเจ้าทรงบอกประชากรของพระองค์ให้เลิก “จดจำสิ่งล่วงแล้วนั้น” เพราะพระองค์ทรง “กำลังกระทำสิ่งใหม่” (อสย.43:18-19) พระองค์ยังทรงประกาศถ้อยคำอันงดงามด้วยว่า “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเองและเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้” (ข้อ 25) พระองค์ทรงเลือกที่จะถือโทษความบาปของเราเอาไว้ได้ แต่เพราะความรักและความเมตตาของพระองค์ พระองค์จึงไม่ทำเช่นนั้น เมื่อเราสารภาพบาป พระองค์จะทรงลบล้างประวัติของเราให้ขาวสะอาด
แม้ว่าความผิดที่เรากระทำและได้รับการอภัยนั้นอาจส่งผลกระทบในแง่ลบต่อเราและผู้อื่น แต่พระเจ้าไม่ถือโทษเราอีกต่อไป พระองค์จะทรงโอบอุ้มเราด้วยพระเมตตาและพระคุณของพระองค์
หัวใจดวงใหม่ในพระคริสต์
บร็อคและเดนนิสเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก แต่ขณะที่พวกเขาเติบโตขึ้น บร็อคไม่ได้สนใจเรื่องความเชื่อในพระเยซูของเดนนิสมากนัก เดนนิสรักเพื่อนและอธิษฐานเผื่อเขาเพราะรู้ว่าเส้นทางที่เพื่อนเดินไปนั้นดิ่งลงในความมืดและเศร้าหมอง ในคำอธิษฐานเผื่อบร็อค เดนนิสได้ประยุกต์ใช้ถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเอเสเคียลว่า “โปรดเถิดพระเจ้า โปรดนำใจหินออกจากบร็อค และให้ใจเนื้อแก่เขาแทน” (ดูอสค.11:19) เขาปรารถนาให้บร็อคเดินในทางของพระเจ้าเพื่อจะจำเริญขึ้น
สิบปีต่อมาเดนนิสยังคงอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ แล้วเขาก็ได้รับโทรศัพท์จากบร็อคว่า “ฉันเพิ่งมอบชีวิตให้พระเยซู” เดนนิสดีใจมาก น้ำตาเอ่อล้นที่ได้ยินเพื่อนของเขาประกาศว่า ในที่สุดเขายอมรับในความจำกัดของตัวเองและวางใจมอบชีวิตไว้กับพระเจ้า
ในคำอธิษฐานของเดนนิส เขาจดจ่อที่พระสัญญาที่พระเจ้ามีต่อประชากรของพระองค์ผ่านเอเสเคียล แม้ว่าพวกเขาจะหันออกจากพระเจ้าและกระทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชัง แต่พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนใจพวกเขา “เราจะให้จิตใจเดียวแก่เขา และเราจะบรรจุจิตวิญญาณใหม่ไว้ในเขา เราจะนำใจหินออกไปเสียจากเนื้อของเขา และให้ใจเนื้อแก่เขา” (ข้อ 19) ด้วยใจที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง พวกเขาจะติดตามพระเจ้าของพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อ (ข้อ 20)
ไม่ว่าเราจะหลีกหนีจากพระเจ้าไปไกลเพียงใด พระองค์ทรงยินดีที่จะประทานหัวใจที่อบอุ่นและเปี่ยมด้วยความรักแก่เรา เพียงเราหันกลับมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อและการกลับใจ เมื่อเราวางใจให้พระเยซูทรงช่วยเราจากความบาปของเรา
ที่กว้างขวางของพระเจ้า
เมื่อนักศาสนศาสตร์ท็อดด์ บิลลิงส์ ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเม็ดเลือดที่ไม่มีทางรักษา เขาบรรยายถึงความตายที่ใกล้เข้ามาว่าเป็นเหมือนแสงไฟที่กำลังริบหรี่หรือกำลังจะดับในห้องที่ไกลออกไป “ในฐานะพ่อของลูกวัย 1 และ 3 ขวบ ผมมักจะคิดว่าเวลา 2-3 ทศวรรษข้างหน้าเป็นเหมือนพื้นที่โล่งที่เปิดกว้าง และผมคงจะได้เห็นเนติและนาธานีเอลเติบโตเป็นผู้ใหญ่...แต่เมื่อทราบผลการวินิจฉัย...สิ่งที่เกิดขึ้นคือความตีบตัน”
เมื่อคิดถึงข้อจำกัดเหล่านี้ บิลลิงส์ใคร่ครวญพระธรรมสดุดี 31 ที่พระเจ้าได้ทรงวางดาวิดไว้ใน “ที่กว้างขวาง” (ข้อ 8) แม้ว่าดาวิดจะพูดถึงความทุกข์ทรมานที่เกิดจากศัตรู แต่ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นที่ลี้ภัยและที่ปลอดภัยสำหรับท่าน (ข้อ 2) ผู้แต่งเพลงสดุดีท่านนี้กล่าวถึงความไว้วางใจที่มีในพระเจ้าผ่านบทเพลงนี้ว่า “วันเวลาของข้าพระองค์อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 15)
บิลลิงส์ทำตามดาวิดโดยฝากความหวังไว้ในพระเจ้า แม้ว่านักศาสนศาสตร์ สามี และพ่อคนนี้ต้องเผชิญกับทางแคบในชีวิต แต่เขาก็เห็นพ้องว่าเขาอาศัยอยู่ในสถานที่กว้างขวางด้วย เพราะชัยชนะของพระเจ้าเหนือความตายโดยการเสียสละของพระคริสต์หมายความว่าเราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเป็น “สถานที่กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะจินตนาการได้” เขาอธิบายอีกว่า “จะมีอะไรกว้างใหญ่ไปกว่าการได้มีส่วนในชีวิตของพระองค์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์”
เราอาจร้องไห้คร่ำครวญเช่นกัน แต่เราลี้ภัยอยู่ในพระเจ้าได้โดยขอให้ทรงพาและนำเราไป (ข้อ 1, 3) เรายืนยันร่วมกับดาวิดได้ว่าเราอาศัยอยู่ในสถานที่กว้างขวาง
ความเกรงกลัว
เจเรมี่เขียนว่า “ผมรู้จักเรื่องความกลัวตายเป็นอย่างดี เจ็ดปีที่แล้ว...ผมรู้สึกหวาดกลัวอย่างรุนแรง พะอืดพะอม วิงเวียนศีรษะ และรู้สึกกดดันอย่างไม่อาจต้านทานเมื่อมีคนบอกว่าผมเป็นมะเร็งที่ไม่มีทางรักษา” แต่เขาเรียนรู้ที่จะจัดการกับความกลัวโดยพึ่งพิงการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า และเปลี่ยนความกลัวตายมาเป็นการโอบรับความเกรงกลัวในพระองค์ สำหรับเจเรมี่ นี่หมายถึงความยำเกรงต่อองค์ผู้ทรงสร้างจักรวาลผู้จะทรง “กลืนความตายเสีย” (อสย.25:8) ในขณะเดียวกันก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าพระเจ้าทรงรู้จักและรักเขา
ความยำเกรงพระเจ้า คือ ความเคารพและความเกรงกลัวพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ของเราจากส่วนลึก เป็นสาระสำคัญของพระคัมภีร์ตลอดทั้งเล่ม กษัตริย์ซาโล-มอนเตือนสติบุตรชายของพระองค์ให้ยำเกรงพระเจ้าในชุดถ้อยคำแห่งสติปัญญาของพระองค์คือพระธรรมสุภาษิต พระองค์กล่าวว่าถ้าบุตรชายของพระองค์กระทำ “หูของเจ้าให้ผึ่งเพื่อรับปัญญา” และ “เสาะหาปัญญาอย่างหาขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้” เขาก็จะ “เข้าใจความยำเกรงพระเจ้า และพบความรู้ของพระเจ้า” (สภษ. 2:2, 4 -5) นอกเหนือจากสติปัญญาและความรู้แล้ว เขาจะพบความเฉลียวฉลาดและความเข้าใจด้วย (ข้อ 10-11)
เมื่อเราเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบและประสบกับความรู้สึกหวาดหวั่นและกลัว เราจะคิดถึงข้อจำกัดของตนเอง แต่เมื่อเราหันไปหาพระเจ้า ขอให้พระองค์ช่วยเราถ่อมใจต่อพระพักตร์พระองค์และนมัสการพระองค์ด้วยความยำเกรง เราจะพบว่าพระองค์ทรงช่วยให้เราเปลี่ยนจากความรู้สึกหวาดกลัวไปเป็นการโอบรับความเกรงกลัวในพระองค์ซึ่งจะส่งผลดีต่อเรา
พระหัตถ์พระเจ้า
ในปีค.ศ. 1939 เมื่อสงครามปะทุขึ้นในอังกฤษ พระเจ้าจอร์จที่ 6 ทรงออกรายการวิทยุในวันคริสต์มาสเพื่อหนุนใจพลเมืองในสหราชอาณาจักรและในเครือจักรภพให้ไว้วางใจพระเจ้า โดยตรัสถึงบทกวีที่พระมารดาของพระองค์ทรงรักมาก “จงออกไปในความมืด และวางมือของเจ้าไว้ในพระหัตถ์พระเจ้า นั่นจะเป็นยิ่งกว่าแสงสว่างแก่เจ้า และเป็นความปลอดภัยยิ่งกว่าทางที่เจ้ารู้จัก” พระองค์ไม่รู้ว่าปีใหม่จะนำสิ่งใดมา แต่ทรงไว้วางใจพระเจ้าที่จะ “ทรงนำและทรงค้ำจุน” เขาทั้งหลายในวันอันน่าวิตกที่อยู่ข้างหน้า
ภาพพระหัตถ์พระเจ้าปรากฏในพระคัมภีร์หลายตอน รวมถึงพระธรรมอิสยาห์ โดยผู้เผยพระวจนะท่านนี้ พระเจ้าทรงเรียกประชากรของพระองค์ให้วางใจพระองค์ในฐานะพระผู้สร้างของพวกเขา ผู้ทรง “เป็นต้นและ...เป็นปลาย” (อสย.48:12) และจะยังคงมีส่วนในชีวิตพวกเขา ดังที่ตรัสว่า “เออ มือของเราได้วางรากฐานแผ่นดินโลก และมือของเราได้กางฟ้าสวรรค์ออก” (ข้อ 13) พวกเขาควรไว้วางใจในพระองค์และไม่พึ่งพาผู้ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจน้อยกว่า เพราะในท้ายที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว พระองค์ทรงเป็น “พระผู้ไถ่ของเจ้า องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล” (ข้อ 17)
ไม่ว่าเราจะเผชิญอะไรเมื่อมองไปสู่ปีใหม่นี้ เราสามารถเชื่อคำหนุนใจของพระเจ้าจอร์จและผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ได้ โดยมอบความหวังและความวางใจของเราไว้ในพระเจ้า และสำหรับเราเช่นกันที่ความสุขสมบูรณ์ของเราจะเป็นเหมือนแม่น้ำ “ความชอบธรรมของ[เรา ]จะเป็นเหมือนคลื่นทะเล” (ข้อ 18)
ความรักที่จับต้องได้
ขณะฉันนั่งข้างๆมาร์กาเร็ตเพื่อนซึ่งนอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันเห็นความวุ่นวายและกิจกรรมของผู้ป่วยคนอื่นๆ เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์และผู้คนที่มาเยี่ยม หญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้แม่ที่ไม่สบายถามมาร์กาเร็ตว่า “ทุกคนที่ผลัดกันมาเยี่ยมคุณเป็นใคร” เธอตอบว่า “พวกเขาเป็นสมาชิกในคริสตจักรของฉัน!” หญิงสาวตั้งข้อสังเกตว่าเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน เธอรู้สึกว่าผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมนั้น “เป็นเหมือนความรักที่จับต้องได้” มาร์กาเร็ตตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ทั้งหมดนี้เกิดจากความรักที่เรามีต่อพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์!”
จากคำตอบของมาร์กาเร็ต เธอสะท้อนให้เห็นถึงอัครทูตยอห์น ซึ่งในบั้น-ปลายชีวิตของท่านได้เขียนจดหมายสามฉบับที่เปี่ยมด้วยความรัก ในจดหมายฉบับแรก ท่านกล่าวว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น” (1 ยน.4:16) นั่นคือผู้ใดที่ยอมรับว่า “พระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (ข้อ 15) พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในพวกเขาผ่าน “พระวิญญาณของพระองค์” (ข้อ 13) เราจะดูแลผู้อื่นด้วยความรักได้อย่างไร “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (ข้อ 19)
เพราะของประทานแห่งความรักจากพระเจ้า การมาเยี่ยมมาร์กาเร็ตจึงไม่รู้สึกเหมือนเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับฉันหรือคนอื่นๆในคริสตจักรของเรา ฉันได้รับมากกว่าที่ให้ ไม่เพียงแต่จากมาร์กาเร็ตเท่านั้น แต่ผ่านการสังเกตคำพยานอันอ่อนโยนถึงพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของเธอ วันนี้พระเจ้าจะทรงรักผู้อื่นผ่านทางคุณได้อย่างไร
ชีวิตใหม่ในพระเยซู
บาเฮียร์และเมเด็ตเป็นเพื่อนสนิทที่สุด ซึ่งเติบโตมาด้วยกันในแถบเอเชียกลาง แต่เมื่อบาเฮียร์มาเป็นผู้เชื่อในพระเยซูทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หลังจากที่เมเด็ตแจ้งความต่อหน่วยงานของรัฐ บาเฮียร์ก็ต้องทนทุกข์กับการถูกทรมานอย่างเจ็บปวด ผู้คุมตะคอกใส่เขาว่า “ปากนี้จะไม่พูดถึงพระนามของพระเยซูอีกต่อไป” แม้ว่าบาเฮียร์จะเลือดออกมาก แต่เขาก็พูดออกมาจนได้ว่า พวกผู้คุมอาจหยุดเขาไม่ให้พูดถึงพระคริสต์ แต่จะไม่มีวัน “เปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำในใจของผม”
คำพูดนั้นยังคงอยู่กับเมเด็ต ไม่กี่เดือนต่อมาเมเด็ตทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและความสูญเสีย เขาจึงเดินทางไปตามหาบาเฮียร์ที่ได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว เขาเปลี่ยนจากความเย่อหยิ่งและขอให้เพื่อนแนะนำเขาให้รู้จักกับพระเยซู
เมเด็ตแสดงออกตามความรู้สึกผิดที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแบบเดียวกับผู้คนที่มารวมตัวกันรอบๆเปโตรในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ พวกเขารู้สึก “แปลบปลาบใจ” เมื่อเห็นพระคุณของพระเจ้าที่หลั่งไหลมาและได้ยินคำพยานของเปโตรเกี่ยวกับพระคริสต์ (กจ.2:37) เปโตรเรียกร้องผู้คนให้กลับใจและรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู และมีประมาณสามพันคนที่ทำตาม พวกเขาละทิ้งวิถีชีวิตแบบเก่า เช่นเดียวกับที่เมเด็ตเองก็กลับใจและติดตามองค์พระผู้ช่วยให้รอด
ของขวัญแห่งชีวิตใหม่ในพระเยซูนั้นมีให้สำหรับทุกคนที่เชื่อในพระองค์ ไม่ว่าเราจะเคยทำอะไรมาก่อน เราก็ยังสามารถชื่นชมยินดีในการที่บาปของเราได้รับการอภัยเมื่อเราวางใจในพระองค์
ทาเนย
ในหนังสือของ เจ.อาร์.อาร์.โทลคีน เรื่องอภินิหารแหวนครองพิภพ บิลโบ แบ๊กกินส์ เริ่มแสดงอาการที่เกิดจากการครอบครองแหวนมนตราที่มีพลังความมืดมาเป็นเวลาหกทศวรรษ ด้วยวิตกว่าแหวนกำลังทำลายเขาลงอย่างช้าๆ เขาจึงพูดกับพ่อมดแกนดัล์ฟว่า “ทำไมข้าจึงรู้สึกเปราะบางเหมือนถูกยืดขยายออกจนตึง ท่านคงรู้ใช่ไหมว่าข้าหมายความว่ายังไง เหมือนเนยที่ถูกทาลงบนขนมปังจำนวนมากเกินไปจนบาง” เขาตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อแสวงหาที่ซึ่งเขาจะได้พัก “อย่างสงบสุขโดยไม่มีพวกญาติๆคอยสอดรู้สอดเห็น”
แง่มุมจากเรื่องราวของโทลคีนทำให้ฉันนึกถึงประสบการณ์ของผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม ขณะหนีจากเยเซเบลและถูกบีบคั้นหลังการต่อสู้กับผู้เผยพระวจนะเท็จ เอลียาห์ต้องการพักผ่อนอย่างยิ่ง ท่านรู้สึกหมดแรงและทูลขอให้พระเจ้าเอาชีวิตของท่านไปว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า” (1 พกษ.19:4) หลังจากนอนหลับไป ทูตของพระเจ้าได้มาปลุกให้ท่านรับประทานและดื่ม ท่านนอนลงอีก แล้วก็รับประทานอาหารที่ทูตสวรรค์จัดเตรียมให้ท่านอีก เมื่อฟื้นกำลังขึ้นแล้ว ท่านก็มีแรงพอจะเดินเป็นเวลาสี่สิบวันไปยังภูเขาของพระเจ้า
เมื่อเรารู้สึกเปราะบาง เราสามารถแสวงหาการฟื้นฟูกำลังอย่างแท้จริงจากพระเจ้าได้เช่นกัน เราอาจจำเป็นต้องดูแลร่างกายของเรา ขณะทูลขอให้พระองค์ทรงเติมเราด้วยความหวัง สันติสุข และการพักสงบของพระองค์ เช่นที่ทูตสวรรค์ดูแลเอลียาห์ เราก็วางใจได้ว่าพระเจ้าจะประทานการสถิตอยู่เพื่อฟื้นฟูกำลังแก่เราเช่นกัน (ดู มธ.11:28)
พระลักษณะของพระคริสต์
หลังจากการไปปฏิบัติหน้าที่ที่ท้าทายในอัฟกานิสถาน ชีวิตของจ่าสิบเอกสก็อตต์แห่งกองทัพอังกฤษก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาจำได้ว่า “ผมอยู่ในความมืดมิด” แต่เมื่อเขา “พบพระเยซูและเริ่มติดตามพระองค์” ชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้เขาพยายามแบ่งปันความรักของพระคริสต์กับผู้อื่น โดยเฉพาะกับบรรดาทหารผ่านศึกที่ลงแข่งในการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติที่จัดขึ้นสำหรับทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากสงคราม
สำหรับสก็อตต์ การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน และการฟังเพลงนมัสการ ช่วยเตรียมชีวิตของเขาก่อนจะไปเข้าร่วมการแข่งขัน จากนั้นพระเจ้าทรงช่วยเขาให้สามารถ “สะท้อนพระลักษณะของพระเยซูและสำแดงความเมตตา ความอ่อนสุภาพ และพระคุณ” ต่อเพื่อนทหารผ่านศึกที่ลงแข่งขันด้วยกัน
สก็อตต์ได้เอ่ยถึงผลของพระวิญญาณบางประการที่อัครทูตเปาโลเขียนถึงผู้เชื่อในกาลาเทีย พวกเขาต้องต่อสู้ดิ้นรนภายใต้อิทธิพลของผู้สอนเท็จ ดังนั้น เปาโลจึงพยายามหนุนใจพวกเขาให้ยืนหยัดในความจริงต่อพระเจ้าและพระคุณของพระองค์ โดยให้ “พระวิญญาณทรงนำ” (กท.5:18) เมื่อทำดังนั้น พวกเขาจะบังเกิดผลของพระวิญญาณ คือ “ความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ ความสุภาพอ่อนน้อม และการรู้จักบังคับตน” (ข้อ 22-23)
เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา เราจะเปี่ยมล้นด้วยความดีงามและความรักของพระองค์ และจะแสดงความอ่อนโยนและความเมตตาต่อคนรอบข้างเช่นกัน