ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Alyson Kieda

สร้างมาเพื่อกันและกัน

“ฉันดูแลเขา เมื่อเขามีความสุข ฉันก็มีความสุข” สเตลล่ากล่าว เมิร์ลตอบว่า “ผมมีความสุขเมื่อเธออยู่ใกล้” เมิร์ลกับสเตลล่าแต่งงานกันมา 79 ปี เร็วๆนี้เมื่อเมิร์ลต้องเข้าไปอยู่บ้านพักคนชรา เขาหดหู่ สเตลล่าจึงยินดีพาเขากลับบ้าน เขาอายุ 101 ปีและเธออายุ 95 ปี แม้เธอต้องใช้เครื่องช่วยเดินเวลาไปไหนมาไหน แต่เธอก็ทำสิ่งที่ทำได้เพื่อสามีด้วยความรัก เช่นเตรียมอาหารที่เขาชอบ แต่เธอทำด้วยตัวเองลำพังไม่ได้ สเตลล่ามีหลานๆและเพื่อนบ้านคอยช่วยในสิ่งที่เธอไม่สามารถจัดการได้

ระลึกถึง

ในวันทหารผ่านศึก ฉันนึกถึงอดีตทหารหลายคน โดยเฉพาะพ่อและลุงของฉัน ซึ่งประจำการในกองทัพช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง พวกท่านรอดกลับมาบ้าน แต่ครอบครัวนับแสนต้องสูญเสียคนที่รักจากการรับใช้ชาติในสงคราม เมื่อถูกตั้งคำถาม พ่อและทหารส่วนใหญ่ในยุคนั้นบอกว่า พวกเขาเต็มใจสละชีพเพื่อปกป้องคนที่รัก และยืนหยัดในสิ่งที่เชื่อว่าถูกต้อง

เมื่อใครสักคนเสียชีวิตจากการปกป้องประเทศ ยอห์น 15:13 “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่ง ผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” มักถูกกล่าวในพิธีไว้อาลัยเพื่อเป็นเกียรติแก่การเสียสละของพวกเขา แต่อะไรคือเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องหลังพระธรรมข้อนี้

เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้กับสาวกระหว่างอาหารมื้อสุดท้าย ใกล้ถึงเวลาที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ ยูดาสหนึ่งในสาวกของพระองค์ได้ละทิ้งและทรยศพระองค์แล้ว (13:18-30) พระคริสต์ทรงทราบทุกสิ่ง แต่ยังทรงเลือกสละชีวิตเพื่อสหายและศัตรูของพระองค์

พระเยซูทรงเต็มพระทัยและพร้อมจะสิ้นพระชนม์เพื่อผู้ที่วันหนึ่งจะเชื่อในพระองค์ แม้กระทั่งผู้ที่ยังเป็นศัตรูกับพระองค์ (รม.5:10) ทรงขอให้สาวก (ในอดีตและปัจจุบัน) “รักซึ่งกันและกัน” เหมือนที่พระองค์ทรงรักพวกเขา (ยน.15:12) ความรักยิ่งใหญ่ของพระองค์ผลักดันให้เรามอบความรักที่เสียสละแก่ผู้อื่น ไม่ว่าเพื่อนหรือศัตรู

กำลังในยามทนทุกข์

ปี 1948 ฮาร์แลน โปปอฟศิษยาภิบาลคริสตจักรใต้ดินแห่งหนึ่งถูกพาตัวไปจากบ้านเพื่อ “ถามคำถามนิดหน่อย” สองสัปดาห์ถัดมาเขาถูกสอบสวนอย่างหนักและไม่ได้กินอาหารตลอด 10 วัน เขาจะถูกตีทุกครั้งที่เขาปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นสายลับ โปปอฟไม่เพียงรอดจากการทารุณกรรม แต่ยังนำนักโทษคนอื่นมาหาพระเยซู อีก 11 ปีต่อมาเขาได้รับการปล่อยตัวและยังคงเล่าเรื่องราวความเชื่ออย่างต่อเนื่อง สองปีหลังจากนั้นเขาเดินทางออกนอกประเทศ ได้ และได้กลับมาอยู่กับครอบครัวอีกครั้ง เขาใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นในการเทศนาและรวบรวมเงินเพื่อแจกจ่ายพระคัมภีร์ในประเทศที่ปิดกั้นเรื่องความเชื่อ

โปปอฟเป็นเหมือนกับผู้เชื่อในพระเยซูอีกมากมายในทุกยุคที่ถูกข่มเหงเพราะความเชื่อ พระคริสต์ได้ตรัสไว้ก่อนที่จะทรงถูกทรมานจนสิ้นพระชนม์ และเหล่าสาวกจะถูกข่มเหงว่า “บุคคลผู้ใดต้องถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขา” (มธ.5:10) “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข” (ข้อ 11)

“เป็นสุข” งั้นหรือ พระเยซูหมายถึงอะไร ทรงหมายถึงความครบบริบูรณ์ ความชื่นชมยินดี และการเล้าโลมใจที่เกิดจากความสัมพันธ์กับพระองค์ (ข้อ 4, 8-10) โปปอฟอดทนเพราะเขารู้สึกว่าการทรงสถิตของพระเจ้าประทานกำลังให้กับเขาแม้ในยามทนทุกข์ เมื่อเราเดินกับพระเจ้าไม่ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรเราก็มีสันติสุขในพระองค์ พระเจ้าทรงอยู่กับเรา

ได้พบกันอีก

เด็กชายตัวน้อยตื่นเต้นดีใจที่ได้แกะกล่องขนาดใหญ่จากพ่อที่ไปเป็นทหาร ซึ่งเขาคิดว่าไม่ได้อยู่บ้านฉลองวันเกิดของเขา ในกล่องมีกล่องของขวัญอีกใบหนึ่ง และในกล่องนั้นยังมีกล่องเล็กๆที่ภายในมีกระดาษเขียนไว้ว่า “น่าแปลกใจ” เด็กชายเงยหน้าขึ้นอย่างงุนงง พอดีกับที่พ่อเดินเข้ามา เด็กน้อยน้ำตาคลอโผเข้าสู่อ้อมกอดของพ่อร้องว่า “พ่อ ผมคิดถึงพ่อ” และ “ผมรักพ่อ”

การได้กลับมาพบกันแม้จะด้วยน้ำตาแต่ก็มีความสุขทำให้ฉันเห็นภาพที่พระธรรมวิวรณ์ 21 บรรยายถึงเวลาอันรุ่งโรจน์เมื่อลูกของพระเจ้าได้พบพระบิดาหน้าต่อหน้าในนครใหม่ ที่นั่น “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆหยดจากตาของเขา” เราจะไม่พบกับความเจ็บปวดหรือโศกเศร้าอีกเพราะเราจะได้อยู่กับพระบิดาแห่งฟ้าสวรรค์ เมื่อ “เสียงดัง” ในวิวรณ์ 21 ประกาศว่า “ดูเถิดพลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้วพระองค์จะทรงสถิตกับเขา” (ข้อ 3-4)

ผู้ที่ติดตามพระเยซูต่างได้รับความรักและความสุขแล้วดังที่ 1 เปโตร 1:8 กล่าวไว้ว่า “พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็นแต่ท่านยังรักพระองค์อยู่แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชมด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้” แต่ลองคิดดูว่า ความปีติยินดีของเราจะวิเศษและมากมายสักแค่ไหน เมื่อเราได้พบกับพระองค์ผู้ที่เรารักและรอคอย มาต้อนรับเราเข้าสู่อ้อมกอดของพระองค์!

ทุกคนต้องการความเห็นใจ

ตอนที่เจฟเริ่มเชื่อพระเยซูและเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ได้ทำงานในบริษัทน้ำมันรายใหญ่ เขาเป็นพนักงานขายจึงต้องเดินทาง ทำให้เขาได้ฟังเรื่องราวของผู้คน มีหลายเรื่องราวที่น่าปวดใจ เขาตระหนักว่าสิ่งจำเป็นที่สุดสำหรับลูกค้าไม่ใช่น้ำมัน แต่เป็นความเห็นใจ พวกเขาต้องการพระเจ้า เจฟจึงเข้าเรียนในโรงเรียนพระคริสตธรรมเพื่อเรียนรู้จักพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นและเป็นศิษยาภิบาลในที่สุด

ความเห็นใจของเจฟมาจากพระเยซู ใน มัทธิว 9:27-33 เราเห็นความสงสารของพระคริสต์เมื่อทรงรักษาชายตาบอดสองคนและคนที่มีผีสิงอย่างอัศจรรย์ ตลอดการทำพระราชกิจในโลก พระองค์ทรงประกาศข่าวประเสริฐและรักษาโรค “ตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ” (ข้อ 35) เพราะ“เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชนก็ทรงสงสารเขา ด้วยเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่งดุจฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง” (ข้อ 36)

โลกทุกวันนี้ยังเต็มไปด้วยปัญหาและผู้คนที่เจ็บปวดซึ่งต้องการการดูแลอย่างอ่อนโยนจากพระผู้ช่วยให้รอด เหมือนผู้เลี้ยงแกะที่นำหน้า ปกป้อง และดูแลแกะ พระเยซูทรงสำแดงพระเมตตาแก่ทุกคนที่มาหาพระองค์ (11:28) ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์ใดหรือเผชิญกับสิ่งใดในชีวิต เราพบพระทัยที่เปี่ยมด้วยความอ่อนสุภาพและห่วงใยได้ในพระองค์ และเมื่อเรารับประโยชน์จากความรักเมตตาของพระเจ้าแล้ว เราจึงอยากเผื่อแผ่ให้แก่ผู้อื่นด้วย

จากน้ำสู่ความหวัง

พันธกิจที่ทอมและมาร์คทำมอบความสดชื่นให้ชีวิต เห็นได้ชัดจากวีดิโอที่พวกเขาแชร์ซึ่งมีกลุ่มเด็กที่แต่งตัวเต็มที่กำลังหัวเราะและเต้นรำอยู่ท่ามกลางน้ำจากฝักบัว และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิต ชายกลุ่มนี้ทำงานกับโบสถ์ท้องถิ่นเพื่อติดตั้งระบบกรองน้ำที่บ่อน้ำในประเทศเฮติ ทำให้ชีวิตยากลำบากน้อยลงและชีวิตยืนยาวขึ้นโดยการป้องกันโรคที่เกิดจากน้ำปนเปื้อน การได้เข้าถึงน้ำที่สะอาดและสดชื่นทำให้ประชาชนมีอนาคตที่มีความหวัง

เพื่อนแท้

ตอนเรียนมัธยมต้น ฉันมีเพื่อน “เฉพาะกิจ” เราเป็น “คู่หู” กันที่โบสถ์ (ฉันแทบจะเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวที่อายุใกล้กับเธอ) และเราใช้เวลาด้วยกันนอกโรงเรียนบ้าง แต่เมื่ออยู่ที่โรงเรียนกลับไม่เป็นอย่างนั้น เธอจะทักทายฉันเฉพาะตอนที่ไม่มีใครอยู่ด้วย เมื่อรู้อย่างนั้น ฉันจึงเลิกพยายามเข้าหาเธอตอนอยู่โรงเรียน ฉันรู้ว่ามิตรภาพของเรามีขอบเขตอยู่ตรงไหน

กลับหลังหันแล้ววิ่งหนี

อาลีเป็นเด็กวัยรุ่นที่สวย ฉลาด เก่งและมีพ่อแม่ที่รักเธอ แต่หลังจบชั้นมัธยมมีบางอย่างที่ทำให้เธออยากลองเฮโรอีน พ่อแม่สังเกตเห็นว่าเธอเปลี่ยนไปและส่งเธอไปสถานบำบัด หลังจากที่อาลียอมรับว่ายาเสพติดส่งผลร้ายต่อเธอ หลังการรักษา มีคนถามเธอว่าจะบอกเพื่อนๆ อย่างไรเรื่องการลองยาเสพติด เธอตอบว่า “กลับหลังหันแล้ววิ่งหนี” เธอย้ำว่า “แค่พูดว่าไม่” นั้นไม่เพียงพอ

มรดกความเชื่อ

เป็นเวลานานก่อนบิลลี่ เกรแฮมตัดสินใจเชื่อพระคริสต์ตอนอายุ 16 ปี พ่อแม่ของเขามีชีวิตที่อุทิศเพื่อพระคริสต์อย่างชัดเจน ทั้งสองเติบโตมาในครอบครัวผู้เชื่อ หลังจากแต่งงาน ก็ได้ส่งต่อความเชื่อนั้นโดยการเลี้ยงดูเอาใจใส่ลูกๆ ด้วยความรัก ทั้งอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์และพาลูกไปโบสถ์สม่ำเสมอ รากฐานแข็งแรงที่พ่อแม่ของเกรแฮมวางไว้ เป็นส่วนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อนำเขามาเชื่อและเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐที่กล้าหาญในที่สุด

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา