Register
[rbc_profiles_registration]
ขับรถฝ่ายวิญญาณ
ผมจำรายละเอียดหลายอย่างในชั้นเรียนขับรถไม่ได้ แต่อักษร พ-ร-ค-ต-ป ยังฝังแน่นในความทรงจำ
อักษรพวกนี้แทนคำว่า พิจารณา ระบุ คาดการณ์ ตัดสินใจ และปฏิบัติ นี่คือขั้นตอนที่เราถูกสอนให้ฝึกเป็นประจำ เราต้องพิจารณาเส้นทาง ระบุอันตราย คาดการณ์ผลของอันตราย ตัดสินใจว่าจะตอบสนองอย่างไร และหากจำเป็น ให้ปฏิบัติตามแผน นี่คือกลยุทธ์ในการมุ่งมั่นหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ
ผมสงสัยว่าแนวคิดนี้จะนำมาใช้ในชีวิตฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร ในเอเฟซัส 5 เปาโลบอกผู้เชื่อในเอเฟซัสว่า “จงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไร้ปัญญา” (ข้อ 15) เปาโลทราบว่าอันตรายบางอย่างอาจทำให้ พวกเขาล้มลงสู่ชีวิตเก่าที่ขัดกับชีวิตใหม่ในพระเยซู (ข้อ 8, 10-11) จึงแนะนำคริสตจักรที่กำลังเติบโตให้ระมัดระวัง
คำที่แปลว่า “จงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี” นั้นความหมายตรงตัวคือ “ดูว่าคุณเดินอย่างไร” หรือหมายถึง มองไปรอบๆ สังเกตอันตราย และหลีกเลี่ยงความบาป เช่นการเมาเหล้าและใช้ชีวิตเสเพล (ข้อ 18) แทนที่จะทำอย่างนั้น อัครทูตบอกให้เราแสวงหาที่จะเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้าในชีวิต (ข้อ 17) ขณะที่เราร้องสรรเสริญและขอบพระคุณพระองค์ร่วมกับผู้เชื่อ (ข้อ 19-20)
ไม่ว่าเราจะเผชิญอันตรายใด และแม้จะสะดุดล้ม เรายังคงมีประสบการณ์กับชีวิตใหม่ในพระคริสต์ได้ในขณะที่เราเติบโตโดยพึ่งพากำลังและพระคุณอันไร้ขีดจำกัดของพระองค์
ต้นไม้ที่งอกงาม
ผมมีหัวใจของการเป็นนักสะสมมาตลอด ตอนเป็นเด็กผมสะสมแสตมป์ การ์ดเบสบอล หนังสือการ์ตูน และตอนนี้ผมเห็นลูกมีนิสัยแบบเดียวกัน บางครั้งผมก็สงสัยว่า “ลูกจำเป็นต้องมีตุ๊กตาหมีอีกตัวหรือ”
คำตอบไม่ใช่เรื่องของความจำเป็น แต่อยู่ที่เสน่ห์ของความใหม่ หรือบางทีสิ่งนั้นดึงดูดใจเพราะเป็นของเก่าและหายาก เป็นอะไรก็ตามที่ทำให้เราหลงใหลไปกับจินตนาการ และลวงให้เชื่อว่าการมี “สิ่งนี้” ชีวิตจะดีขึ้นและมีความสุข
แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยให้ประโยชน์อะไร ทำไมน่ะหรือ เพราะพระเจ้าทรงสร้างเราเพื่อจะได้รับการเติมเต็มโดยพระองค์ ไม่ใช่โดยสิ่งต่างๆที่โลกนี้เฝ้าบอกว่าจะสามารถเติมเต็มจิตใจที่โหยหาของเราได้
นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ สุภาษิตเปรียบเทียบชีวิตไว้สองแบบที่ตรงข้ามกัน คือชีวิตที่ไขว่คว้าความร่ำรวยและชีวิตที่ตั้งมั่นในพระเจ้าผู้ทรงรักและให้ด้วยใจกว้างขวาง ในพระคัมภีร์ฉบับ เดอะเมสเสจ ยูจีน ปีเตอร์สันได้แปลสุภาษิต 11:28 ว่า “ชีวิตที่ทุ่มเทให้กับสิ่งของคือชีวิตที่ตายแล้ว คือตอไม้ แต่ชีวิตที่พระเจ้าทรงจัดแต่งเป็นชีวิตที่เจริญงอกงาม”
เราเห็นภาพชีวิต 2 แบบคือต้นไม้ที่เจริญงอกงามเกิดผล กับภาพตอไม้ไร้ผล โลกนี้พยายามบอกเราว่าการมีข้าวของมากมายคือ “ชีวิตที่ดี” ตรงข้ามกับพระเจ้าที่ทรงเชื้อเชิญเราให้หยั่งรากในพระองค์ ให้มีประสบการณ์ในความดีของพระองค์และให้งอกงามเกิดผล และในขณะที่เราถูกปรับแต่งโดยการมีสัมพันธภาพกับพระองค์นั้น พระเจ้าจะปรับเปลี่ยนจิตใจและความปรารถนาของเราใหม่ โดยเปลี่ยนแปลงเราจากภายใน
การนำทางชีวิตที่ไหลเชี่ยว
“คนทางกาบซ้าย พายตรงไปข้างหน้าสามครั้ง” ผู้นำล่องแก่งของเราตะโกนสั่ง พวกที่อยู่กาบซ้ายจ้วงพายดึงเรือของพวกเราออกจากกระแสน้ำวน เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่พวกเราได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของการเชื่อฟังคำสั่งของผู้นำทาง เสียงที่หนักแน่นมั่นคงของเขาช่วยทั้งหกคนซึ่งมีประสบการณ์น้อยมากในการล่องแก่ง ให้สามารถทำงานร่วมกันเพื่อล่องแก่งฝ่าแม่น้ำที่โหมกระหน่ำมาได้อย่างปลอดภัยที่สุด
อยู่ระหว่างการก่อสร้าง
พวกเขาเพิ่งปูถนนสายนี้ไปไม่นาน ผมคิดในใจขณะที่การจราจรชะลอตัว ตอนนี้ก็กำลังรื้อมันอีก แล้วผมก็สงสัยว่า ทำไมถนนนี้สร้างไม่เสร็จเสียที คือผมไม่เคยเห็นป้ายที่แจ้งว่า “บริษัททำถนนเสร็จแล้ว ขอให้ทุกท่านเพลิดเพลินกับถนนที่สมบูรณ์แบบนี้”
เรื่องคล้ายกันนี้ก็เกิดกับชีวิตฝ่ายวิญญาณของผมเช่นกัน ในช่วงที่เชื่อใหม่ๆผมคิดถึงภาพที่ผมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เมื่อทุกสิ่งเป็นไปตามที่คิดและชีวิตผม “ดำเนินไปอย่างราบรื่น” สามสิบปีต่อมาผมยอมรับว่าผมยังคง “อยู่ระหว่างการก่อสร้าง” เหมือนถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่ออยู่ตลอด ชีวิตผมก็ดูจะไม่มีวัน “เสร็จ” เช่นกัน ซึ่งบางครั้งก็ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดพอๆกัน
แต่ฮีบรูบทที่ 10 มีพระสัญญาที่น่าทึ่งในข้อ 14 ที่ว่า “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้นถึงความสมบูรณ์เป็นนิตย์” งานของพระเยซูบนกางเขนได้ช่วยเราให้รอดแล้วอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ในสายพระเนตรพระเจ้าเราเสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่สิ่งที่ดูขัดแย้งก็คือ กระบวนการนั้นจะยังไม่เสร็จในโลกนี้เราจะยังคงถูกหล่อหลอมให้เป็นเหมือนพระองค์และรับการ “ชำระให้บริสุทธิ์”
วันหนึ่งเราจะได้พบกับพระองค์หน้าต่อหน้าและเราจะเป็นเหมือนพระองค์ (1 ยน.3:2) แต่ขณะนี้เราจะยังคง “อยู่ระหว่างการก่อสร้าง” และตั้งตารอวันแห่งสง่าราศีเมื่องานของพระองค์ในชีวิตเราเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
ห่านที่น่าสงสารที่สุด
ทำไมลูกฟุตบอลมาอยู่ในลานจอดรถได้ ผมสงสัย แต่เมื่อเข้าไปใกล้ ผมถึงรู้ว่าก้อนสีเทานั้นไม่ใช่ลูกบอลแต่เป็นห่าน ห่านที่น่าสงสารที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา
ในฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง ฝูงห่านมักจะรวมตัวกันที่สนามใกล้ที่ทำงานของผม แต่วันนี้มีห่านอยู่ตัวเดียว มันเอี้ยวคอเอาหัวซุกไว้ใต้ปีก เพื่อนของแกหายไปไหนหมด ผมคิด เจ้าห่านที่น่าสงสารดูโดดเดี่ยวมากจนผมอยากจะเข้าไปกอดมัน (คำเตือน: ห้ามลองทำ)
ผมแทบไม่เคยเห็นห่านอยู่ตามลำพังแบบนี้มาก่อน ห่านเป็นสัตว์สังคมอย่างชัดเจน มันบินเป็นฝูงรูปตัววีเพื่อลดแรงต้านของลม พวกมันถูกสร้างมาให้อยู่ด้วยกัน
มนุษย์เราก็ถูกสร้างมาให้อยู่รวมกันเป็นชุมชน (ดู ปฐก.2:18) ในปัญญาจารย์ 4:10 ซาโลมอนอธิบายไว้ว่า คนเราจะอ่อนแอหากอยู่คนเดียว “วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียว เมื่อเขาล้มลงและไม่มีผู้อื่นพะยุงยกเขาให้ลุกขึ้น” จำนวนที่มากขึ้นทำให้เกิดพลัง พระองค์กล่าวต่อว่า “แม้คนหนึ่งสู้คนเดียวได้ สองคนคงสู้เขาได้แน่เชือกสามเกลียวจะขาดง่ายก็หามิได้” (ข้อ 12)
คำพูดนี้เป็นจริงทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายร่างกาย พระเจ้าไม่เคยอยากให้เรา “บิน” ตามลำพัง โดดเดี่ยวและอ่อนแอ เราจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเพื่อจะมีกำลังใจ สดชื่น และเติบโต (ดูใน 1 คร.12:21)
เมื่อกระแสลมแห่งชีวิตพัดมาปะทะ เรายืดหยัดอยู่ได้ร่วมกัน
ทุกโอกาส
คุณเคยจับมังกรไหม ผมเคยจับเมื่อตอนที่ลูกชายชวนให้ดาวน์โหลดเกมในโทรศัพท์มือถือ เกมนี้สร้างแผนที่ซ้อนในโลกความจริง ทำให้คุณได้จับสัตว์ สีสันสดใสรอบตัวคุณ
เกมนี้ต่างจากเกมอื่นในโทรศัพท์มือถือตรงที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหว ทุกที่ที่คุณไปล้วนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ในเกม ผลลัพธ์คือ ผมได้เดินมากกว่าเดิม ทุกครั้งที่ผมและลูกชายเล่นเกม เราพยายามอย่างมากที่จะจับสัตว์ที่อยู่รอบตัวเราให้ได้มากที่สุด
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะจดจ่อหรือกระทั่งหมกมุ่นอยู่กับเกมที่สร้างมาเพื่อดึงดูดผู้คนเล่น แต่เมื่อผมเล่นเกม ผมได้คิดถึงคำถามว่า ผมตั้งใจมากเท่านี้หรือไม่ที่จะเพิ่มโอกาสฝ่ายจิตวิญญาณรอบตัวผม
เปาโลรู้ว่าเราจำเป็นต้องตื่นตัวต่องานของพระเจ้ารอบตัวเรา ในโคโลสี 4 ท่านขอให้อธิษฐานเผื่อโอกาสในการประกาศข่าวประเสริฐ (ข้อ 3) และท้าทายว่า “จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญา โดยฉวยโอกาส” (ข้อ 5) เปาโลไม่อยากให้ชาวโคโลสีพลาดโอกาสที่จะเป็นพยานถึงพระคริสต์ แต่การจะทำอย่างนั้น ต้องอาศัยการมองเห็นความต้องการและตัวตนของพวกเขาอย่างลึกซึ้ง แล้วเข้าหาโดย “ประกอบด้วยเมตตาคุณ” (ข้อ 6)
ในโลกเรามีสิ่งอื่นที่พยายามแย่งเวลาและความสนใจจากเรามากกว่าเกมมังกรในจินตนาการ แต่พระเจ้าเชื้อเชิญให้เราเดินทางผจญภัยในโลกความจริง เสาะหาโอกาสที่จะเป็นพยานถึงพระองค์ทุกวัน
ตั้งใจเต็มที่
เทคโนโลยีปัจจุบันดูจะเรียกร้องความสนใจจากเราอยู่ตลอด “ความมหัศจรรย์” ของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ ทำให้เราเข้าถึงความรู้ที่มนุษยชาติรวบรวมไว้ได้อย่างน่าทึ่ง แต่การเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้บ่อยๆทำให้หลายคนต้องสูญเสียบางอย่าง
ลินดา สโตนนักเขียนได้บัญญัติวลีว่า “การแบ่งความสนใจให้ตลอดเวลา” คือความรู้สึกในยุคใหม่ที่เรามักอยากรู้ตลอดเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้น “รอบตัว” เราจะได้ไม่พลาดอะไรไป ฟังดูเหมือนจะนำไปสู่โรควิตกกังวลเรื้อรัง แต่เป็นอย่างนั้นจริงๆ
แม้อัครทูตเปาโลจะต่อสู้กับความกังวลที่เกิดจากสาเหตุอื่น แต่ท่านรู้ว่าจิตวิญญาณของเราต้องแสวงหาสันติสุขในพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงผู้เชื่อใหม่ที่ต้องอดทนต่อการข่มเหง (1 ธส.2:14) เปาโลจึงลงท้ายจดหมายด้วยการหนุนใจว่า “จงชื่นบานอยู่เสมอ จงอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (5:16-18)
การอธิษฐาน “อย่างสม่ำเสมอ” อาจฟังดูแล้วเป็นไปได้ยาก แต่เราดูโทรศัพท์ของเราบ่อยแค่ไหน เราน่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นการพูดคุยกับพระเจ้าบ่อยๆแทน
ที่สำคัญกว่านั้น เราน่าจะเปลี่ยนความอยาก “รู้” ทุกสิ่งตลอดเวลา ให้เป็นการพักสงบด้วยใจอธิษฐานต่อพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่เสมอ เมื่อเราพึ่งพาองค์พระวิญญาณ เราจะได้เรียนรู้การให้ความสนใจทั้งหมดกับพระบิดาในสวรรค์ตลอดเวลาที่เราดำเนินชีวิตแต่ละวัน - ARH
หอเอน
คุณคงเคยได้ยินเรื่องหอเอนอันโด่งดังที่เมืองปิซาในอิตาลี แต่คุณเคยได้ยินเรื่องหอเอนในซานฟรานซิสโกหรือไม่ คืออาคารมิลเลเนียมทาวเวอร์ สร้างขึ้นในปี 2008 เป็นตึกระฟ้าสูง 58 ชั้นตั้งตระหง่านแต่เอียงเล็กน้อยอยู่ใจกลางเมืองซานฟรานซิสโก
ปัญหาคือวิศวกรไม่ได้ขุดดินให้ลึกลงไปมากพอเพื่อวางฐานราก ตอนนี้พวกเขาจึงถูกบังคับให้เสริมฐานรากด้วยการซ่อมแซมที่อาจมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าตอนที่เริ่มสร้างตึก เป็นการซ่อมที่หลายคนเชื่อว่าจำเป็นเพื่อป้องกันตึกถล่มจากแผ่นดินไหว
บทเรียนที่เจ็บปวดก็คือ รากฐานเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อรากฐานของคุณไม่มั่นคง หายนะก็เกิดขึ้นได้ พระเยซูทรงสอนบางสิ่งที่คล้ายกันนี้ในตอนท้ายคำเทศนาบนภูเขา ในมัทธิว 7:24-27 พระองค์เปรียบเทียบช่างก่อสร้างสองคน คนหนึ่งสร้างบนศิลา อีกคนหนึ่งสร้างบนทราย เมื่อพายุพัดมา มีเพียงบ้านที่มีรากฐานมั่นคงที่ยังตั้งอยู่ได้
สิ่งนี้มีความหมายอย่างไรต่อเรา พระเยซูตรัสอย่างชัดเจนว่าชีวิตของเราต้องสร้างขึ้นผ่านการเชื่อฟังและวางใจในพระองค์ (ข้อ 24) เมื่อเราพักพิงในพระองค์ ชีวิตของเราจะพบรากฐานอันมั่นคงผ่านฤทธานุภาพและพระคุณอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้า
พระคริสต์ไม่ได้สัญญาว่าเราจะไม่เผชิญกับพายุ แต่ตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นศิลาของเรา พายุจะไม่สามารถพัดให้รากฐานปราการแห่งความเชื่อของเราในพระองค์ทะลายลงได้