สัตย์ซื่ออย่างเงียบๆ
ผมไม่ทันสังเกตเห็นเขาในตอนแรก ผมลงมากินอาหารเช้าที่โรงแรม ทุกอย่างในห้องอาหารนั้นสะอาดสะอ้าน โต๊ะบุฟเฟ่ต์มีอาหารอยู่เต็ม ของในตู้เย็นมีพร้อม อุปกรณ์ที่จะต้องใช้จัดเรียงไว้อย่างเพียงพอ ทุกอย่างดูดีมาก
แล้วผมก็เห็นเขา ชายคนหนึ่งคอยเติมอาหารและคอยเช็ดนั่นเช็ดนี่อยู่อย่างเงียบๆ เขาไม่ได้ทำตัวให้เป็นที่สังเกตเลย แต่ยิ่งผมนั่งอยู่ตรงนั้นนานขึ้นผมก็ยิ่งประทับใจ ชายคนนี้ทำงานอย่างรวดเร็ว คอยดูทุกอย่างและคอยเติมอาหารก่อนที่จะมีใครถาม ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ด้านงานบริการอาหารคนหนึ่ง ผมสังเกตว่าเขาจะคอยใส่ใจในรายละเอียด ทุกอย่างสมบูรณ์แบบเพราะชายคนนี้ทำงานอย่างสัตย์ซื่อ แม้อาจมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สังเกตเห็น
การมองดูชายคนนี้ทำงานอย่างเอาใจใส่ ทำให้ผมคิดถึงคำพูดของเปาโลในเธสะโลนิกาที่ว่า “จงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตน และทำการงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว ...เพื่อท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก” (1 ธส.4:11-12) เปาโลเข้าใจว่าการเป็นคนงานที่สัตย์ซื่อจะเป็นที่นับถือของคนอื่นได้ จากการนำเสนอคำพยานแบบเงียบๆ ว่าพระกิตติคุณมีผลทำให้การบริการผู้อื่นที่ดูเหมือนเล็กน้อยนั้นกลายเป็นการกระทำที่มีศักดิ์ศรีและเป้าหมาย
ผมไม่รู้ว่าชายคนที่ผมเห็นวันนั้นเป็นผู้เชื่อในพระเยซูหรือไม่ แต่ผมรู้สึกซาบซึ้งใจในความขยันขันแข็งแบบเงียบๆ ของเขาที่เตือนผมให้พึ่งพาในพระเจ้า เพื่อจะใช้ชีวิตด้วยความสัตย์ซื่ออย่างเงียบๆที่สะท้อนพระลักษณะอันสัตย์ซื่อของ พระองค์
โหยหาสิ่งล่อใจ
ผมวางโทรศัพท์ลงด้วยความเบื่อหน่ายกับการระดมส่งรูปภาพ ความคิดเห็น และการแจ้งเตือนอย่างต่อเนื่องมาบนหน้าจอแสดงผลเล็กๆ แต่แล้วผมก็หยิบมันขึ้นมาและเปิดมันอีกครั้ง เพราะเหตุใดกัน
ในหนังสือชื่อ ความตื้นเขิน ของนิโคลัส คาร์ ได้อธิบายว่าอินเทอร์เน็ตปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับความสงบนิ่งไปอย่างไร “สิ่งที่อินเทอร์เน็ตกำลังทำคือบั่นทอนความสามารถในการจดจ่อและไตร่ตรองของผม ไม่ว่าผมจะออนไลน์อยู่หรือไม่ แต่ความคิดของผมในตอนนี้ก็คาดหวังที่จะรับข้อมูลด้วยวิธีที่อินเทอร์เน็ตนำเสนอ คือมาเป็นระลอกคลื่นแห่งสิ่งละอันพันละน้อยที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นนักดำน้ำในทะเลแห่งถ้อยคำ แต่ตอนนี้ผมแล่นไปบนผิวน้ำเหมือนชายที่ขับเจ็ตสกี”
การใช้ชีวิตบนเจ็ตสกีแห่งจิตใจที่เคลื่อนไปอย่างรวดเร็วฟังดูไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ แต่เราจะเริ่มลดความเร็วลงเพื่อดำดิ่งลงไปในผืนน้ำอันนิ่งสงบแห่งจิตวิญญาณได้อย่างไร
ในสดุดี 131 ดาวิดเขียนว่า “ข้าพระองค์ได้สงบและระงับจิตใจของข้าพระองค์” (ข้อ 2) ถ้อยคำของดาวิดเตือนสติว่าผมมีหน้าที่ที่ต้องทำ การเปลี่ยนแปลงนิสัยนั้นเริ่มด้วยการเลือกที่จะอยู่นิ่ง แม้จะต้องตัดสินใจเลือกเช่นนั้นซ้ำๆอีกหลายครั้ง แล้วเราจะค่อยๆได้พบกับความประเสริฐของพระเจ้าที่จุใจเรา เราจะเป็นเหมือนเด็กเล็กๆที่ได้พักสงบอยู่ในความพึงใจ โดยรู้ว่าพระองค์ผู้เดียวที่ทรงเป็นผู้ประทานความหวัง (ข้อ 3) ซึ่งเป็นความอิ่มเอมใจที่ไม่มีแอปใดในสมาร์ทโฟนจะทำได้ และไม่มีสื่อสังคมใดมอบให้ได้
ไม่จดจำความบาปอีกต่อไป
ผมไม่เคยเห็นน้ำแข็ง แต่ผมรู้สึกถึงมันได้ ด้านท้ายรถกระบะของคุณตาที่ผมกำลังขับมีอาการแกว่ง แฉลบครั้งที่หนึ่ง สอง สาม แล้วผมก็ลอยไปในอากาศ ข้ามกำแพงริมน้ำความสูงสิบห้าฟุต ผมจำได้ว่าตอนนั้นนึกในใจว่า นี่จะเป็นอะไรที่เจ๋งมากเลยถ้าผมไม่ได้กำลังจะตาย อีกสักพักต่อมารถบรรทุกชนโครมเข้ากับเนินเขาลาดชันและกลิ้งลงไปข้างล่าง ผมคลานออกจากที่นั่งที่ถูกบี้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
รถบรรทุกพังยับเยินในเช้าของเดือนธันวาคมปีค.ศ.1992 พระเจ้าทรงไว้ชีวิตผม แต่คุณตาของผมล่ะท่านจะว่าอย่างไร ที่จริงแล้วท่านไม่เคยพูดถึงรถบรรทุกแม้แต่คำเดียว ไม่เคยเลย ไม่มีการดุด่า ไม่ต้องจ่ายค่าเสียหาย ไม่มีเลย มีแต่การให้อภัยและรอยยิ้มของคุณตาที่ผมไม่เป็นอะไร
ความเมตตาของคุณตาของผมทำให้ผมระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าในเยเรมีย์ 31 แม้พวกเขาจะล้มเหลวครั้งยิ่งใหญ่ แต่พระเจ้ายังทรงสัญญาที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับประชากรของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป” (ข้อ 34)
ผมเชื่อว่าคุณตาของผมไม่เคยลืมว่าผมทำลายรถบรรทุกของท่าน แต่ท่านทำเหมือนที่พระเจ้าทรงทำ คือ ไม่จดจำสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำให้ผมอับอาย ไม่ให้ผมจ่ายราคาที่ผมติดค้าง คุณตาได้ทำเช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงตรัสว่าจะทำ คือเลือกที่จะไม่จดจำมันอีกต่อไป ราวกับว่าความผิดที่ผมทำนั้นไม่เคยเกิดขึ้น
อับดับแรกในรายการ
เช้านี้เริ่มต้นเหมือนออกสตาร์ท ผมแทบกระโจนลงจากเตียงเพื่อพุ่งชนกับเส้นตายของวัน ผมระเบิดความเร็วเต็มที่ในการเขียนรายการ “สิ่งที่ต้องทำ” ส่งเด็กๆไปโรงเรียน เสร็จ ไปทำงาน เสร็จ ทั้งหน้าที่ส่วนตัวและอาชีพการงานที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย
“…13.แก้ไขบทความ 14.เก็บกวาดสำนักงาน 15.วางกลยุทธ์ของทีม 16.เขียนบล็อกเรื่องเทคโนโลยี 17.เก็บกวาดห้องใต้ดิน 18.อธิษฐาน”
เมื่อมาถึงรายการที่ 18 ผมระลึกขึ้นได้ว่าต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า แต่ผมก็มาไกลแล้วก่อนที่จะฉุกคิดด้วยซ้ำว่าผมกำลังทำคนเดียวโดยพยายามผลักดันด้วยตัวเอง
พระเยซูทรงรู้ พระองค์ทรงรู้ว่าการงานในวันต่างๆของเราจะปะทะเข้ามา คลื่นลมในทะเลแห่งความเร่งรีบที่ไม่หยุดหย่อน พระองค์จึงตรัสสั่งว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้” (มธ.6:33)
เป็นเรื่องปกติที่จะได้ยินคำตรัสต่างๆของพระเยซูเป็นเสมือน คำบัญชา และก็เป็นเช่นนั้น แต่มีอีกหลายตอนที่เป็น คำเชิญชวน ในพระธรรมมัทธิวบทที่ 6 พระเยซูทรงเชิญชวนให้เราแลกความวิตกกังวลอันบ้าคลั่งของโลก (ข้อ 25-32) กับชีวิตแห่งการไว้วางใจในแต่ละวัน แม้ว่าเรามาถึงรายการที่ 18 ก่อนที่จะระลึกได้ว่าควรมองดูชีวิตจากมุมมองของพระองค์ แต่โดยพระคุณของพระเจ้านั้นพระองค์จะทรงช่วยเราในตลอดวันคืนแห่งการงานของเรา
ยิ่งกว่าทูตของแบรนด์
การแข่งขันในยุคอินเทอร์เน็ตมีความรุนแรงอย่างมาก บริษัทต่างๆพากันพัฒนาวิธีที่สร้างสรรค์เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างบริษัทรถซูบารุ เจ้าของรถซูบารุมีลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์เป็นจำนวนมาก ดังนั้นบริษัทจึงได้เชื้อเชิญ “แฟนตัวยง” ให้มาเป็น “ทูตของแบรนด์” สำหรับยานพาหะของบริษัท
เว็บไซต์ของบริษัทบอกไว้ว่า “ทูตของซูบารุเป็นกลุ่มบุคคลพิเศษที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ที่ใช้ความรักและความกระตือรือร้นของพวกเขามาอาสาเผยแพร่ข่าวสารเกี่ยวกับซูบารุ และช่วยกำหนดอนาคตของแบรนด์” บริษัทต้องการให้ความเป็นเจ้าของซูบารุกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของผู้คน เป็นสิ่งที่พวกเขาหลงใหลมากจนอดไม่ได้ที่จะพูดให้คนอื่นฟัง
ใน 2 โครินธ์ 5 เปาโลอธิบายถึงการเป็น “ทูต” ที่แตกต่างออกไป นั่นคือการชักชวนผู้อื่นให้มาติดตามพระเยซู “เพราะเหตุที่เราเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจับใจเราจึงชักชวนคนทั้งหลาย” (ข้อ 11) จากนั้นท่านได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระคริสต์โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ให้คืนดีกันกับพระเจ้า” (ข้อ 19-20)
ผลิตภัณฑ์มากมายสัญญาว่าจะตอบสนองความต้องการในส่วนลึกเพื่อให้เรารู้สึกถึงความสุข ความสมบูรณ์ และเป้าหมาย แต่มีข่าวสารเพียงหนึ่งเดียว เท่านั้นที่เป็นข่าวดีที่ แท้จริง คือข่าวการคืนดีที่ทรงมอบไว้ให้เราในฐานะผู้เชื่อของพระเยซู และเราได้รับสิทธิพิเศษที่จะนำส่งข่าวสารนั้นไปยังโลกนี้ที่สิ้นหวัง
แอบย่องเอาบาปออกไป
วินสตันรู้ดีว่ามันไม่ควรเคี้ยวสิ่งนั้น ดังนั้นมันจึงใช้เล่ห์เหลี่ยมที่เราเรียกว่ากลยุทธ์การเดินย่อง ถ้าวินสตันเห็นใครถอดรองเท้าทิ้งไว้โดยไม่ระวัง มันจะทำเป็นเดินไปทางนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ก้มไปคาบรองเท้า แล้วค่อยๆเดินย่องออกไปทางประตูถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น “แม่ครับ วินสตันคาบรองเท้าแม่และย่องออกไปทางประตูแล้วครับ”
เห็นได้ชัดว่าบางครั้งเราก็คิดว่าเราสามารถ “เดินย่อง” ผ่านพระเจ้าออกไปพร้อมกับบาปของเราได้ เราถูกล่อลวงให้คิดว่าพระองค์จะไม่ทันสังเกต มันไม่ใช่เรื่องใหญ่สักหน่อย ไม่ว่า “มัน” จะเป็นอะไรก็ตามเราจะหาเหตุผลเข้าข้างตนเองเสมอ ไม่ต่างกับวินสตัน เรารู้ดีว่าทางเลือกเหล่านั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
เช่นเดียวกับอาดัมและเอวาในสวนเอเดน เราอาจพยายามซ่อนตัวเพราะความละอายในเรื่องบาปของเรา (ปฐก.3:10) หรือแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่พระคัมภีร์เชื้อเชิญให้เราทำในสิ่งที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก นั่นก็คือวิ่งเข้าหาพระเมตตาและการอภัยจากพระเจ้า สุภาษิต 28:13 บอกเราว่า “บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา”
เราไม่ต้องพยายามเดินย่องออกไปพร้อมกับบาปและหวังว่าจะไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อเราบอกความจริงในสิ่งที่เราตัดสินใจเลือก ไม่ว่าจะบอกกับตัวเอง กับพระเจ้า หรือกับเพื่อนที่ไว้ใจได้ เราจะพบอิสรภาพจากความรู้สึกผิดและความละอายจากการแอบซ่อนความบาปไว้ (1 ยน.1:9)
พระกิตติคุณในที่ที่คาดไม่ถึง
เมื่อไม่นานมานี้ผมพบว่าตัวเองได้ไปในที่ที่ผมเคยเห็นแต่ในภาพยนตร์และทีวีนับครั้งไม่ถ้วน นั่นคือที่ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากหน้าต่างโรงแรมที่ผมพักอยู่ ผมมองเห็นตัวอักษรขนาดยักษ์เรียงเด่นเป็นสง่าไปตามเนินเขาชื่อดังของลอสแองเจลิส แล้วผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ด้านล่างซ้ายมีไม้กางเขนตั้งอยู่โดดเด่นผมไม่เคยเห็นสิ่งนั้นในภาพยนตร์เลย และทันทีที่ผมออกจากห้องพัก นักศึกษาจำนวนหนึ่งจากคริสตจักรท้องถิ่นได้แบ่งปันเรื่องของพระเยซูกับผม
บางครั้งเราอาจคิดถึงฮอลลีวูดว่าเป็นเพียงจุดศูนย์กลางของโลกนี้ ซึ่งตรงข้ามกับอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง แต่เห็นได้ชัดว่าพระคริสต์ทรงกระทำการอยู่ที่นั่น ทำให้ผมประหลาดใจกับการทรงสถิตอยู่ของพระองค์
พวกฟาริสีต้องประหลาดใจเสมอกับการปรากฏตัวของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ใช้เวลากับคนที่พวกเขาคาดเอาไว้ แต่ในมาระโก 2:13-17 บอกเราว่าพระองค์ทรงใช้เวลากับ “พวกเก็บภาษีและคนบาป” (ข้อ 15) คือคนที่ดำเนินชีวิตที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ไม่สะอาด” แต่พระเยซูทรงอยู่ที่นั่นท่ามกลางผู้ที่ต้องการพระองค์มากที่สุด (ข้อ 16-17)
กว่าสองพันปีต่อมา พระเยซูยังทรงปลูกเมล็ดพันธุ์คือถ้อยคำแห่งความหวังและความรอดในที่ที่ไม่คาดฝัน ในท่ามกลางผู้คนที่คาดไม่ถึงที่สุด และพระองค์ได้ทรงเรียกและเตรียมเราให้เป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจนั้น
ผมขับรถเป็นอย่างไร
“เฮ้ย!” ผมร้องตะโกนเมื่อรถบรรทุกซ่อมบำรุงขับตัดหน้าไปนั่นเป็นตอนที่ผมเห็นข้อความว่า “ผมขับรถเป็นอย่างไร” พร้อมด้วยเบอร์โทรศัพท์ ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสาย เสียงผู้หญิงถามถึงเหตุผลที่ผมโทรไป และผมระบายความไม่พอใจของผม เธอจดเลขรถบรรทุกและพูดอย่างอิดโรยว่า “คุณรู้ไหม คุณสามารถโทรมาแจ้งถึงคนที่ขับรถดีได้ตลอดเวลาเลยนะ”
คำพูดที่อ่อนล้าของเธอทำลายความมั่นใจในความชอบธรรมของผมไปทันที ความอับอายถาโถมเข้ามา ด้วยความรีบเร่งที่จะได้ “ความยุติธรรม” ผมไม่ได้หยุดคิดว่าน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธของผมจะส่งผลต่อผู้หญิงคนนี้กับงานที่ยากของเธออย่างไร ความเชื่อที่ไม่ได้เกิดผลเป็นการกระทำของผม ณ เวลานั้น ได้สร้างความเสียหายอย่างมาก
ช่องว่างระหว่างการกระทำและความเชื่อของเราคือสิ่งที่พระธรรมยากอบมุ่งเน้น เราได้อ่านในยากอบ 1:19-20 ว่า “ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้กระทำให้เกิดความชอบธรรมแห่งพระเจ้า” ท่านเสริมอีกว่า “จงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้นซึ่งเป็นการลวงตนเอง” (ข้อ 22)
ไม่มีใครในพวกเราที่สมบูรณ์แบบ บางครั้ง “การขับเคลื่อน” ของชีวิตเราก็ต้องการความช่วยเหลือ ในแบบที่ต้องเริ่มด้วยการสารภาพและทูลขอการช่วยเหลือจากพระเจ้า โดยวางใจให้พระองค์คอยขัดเกลาอุปนิสัยของเรา
รดน้ำวัชพืช
ฤดูใบไม้ผลินี้สวนหลังบ้านของเราถูกโจมตีโดยวัชพืชราวกับพวกมันหลุดออกมาจากหนังเรื่องจูราสสิค พาร์ค ต้นหญ้าต้นหนึ่งใหญ่มากขนาดที่ตอนถอนมันออกนั้นผมกลัวว่าอาจจะต้องเจ็บตัว ก่อนที่จะหาพลั่วมาขุดมันออกได้ ผมสังเกตเห็นว่าลูกสาวกำลังรดน้ำให้มันอยู่ ผมถามว่า “ทำไมถึงรดน้ำให้มันล่ะลูก” เธอตอบด้วยรอยยิ้มแสนซนว่า “หนูอยากดูว่ามันจะใหญ่ได้ขนาดไหน”
วัชพืชไม่ใช่สิ่งที่เราเลี้ยงดูด้วยความตั้งใจ แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ผมก็รู้สึกว่าบางครั้งเราก็เลี้ยงดู “วัชพืช” ในชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของเรา ด้วยการหล่อเลี้ยงความปรารถนาที่เหนี่ยวรั้งการเติบโตของเราไว้
เปาโลเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ในพระธรรมกาลาเทีย 5:13-26 ซึ่งท่านเปรียบเทียบการมีชีวิตโดยเนื้อหนังกับการมีชีวิตโดยพระวิญญาณ ท่านบอกว่าการพยายามทำตามบทบัญญัติเพียงอย่างเดียวไม่ได้ทำให้เกิดชีวิตแบบ “ปราศจากวัชพืช” ที่เราต้องการ แต่เปาโลสอนว่าเราจะหลีกเลี่ยงการรดน้ำให้แก่วัชพืชได้โดยการ “ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” ท่านเสริมว่าการก้าวเดินไปกับพระเจ้าเป็นประจำ คือการช่วยให้เราเป็นอิสระจากแรงกระตุ้นที่จะ “สนองความต้องการของเนื้อหนัง” (ข้อ 16)
การที่จะเข้าใจคำสอนของเปาโลอย่างถ่องแท้นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลาทั้งชีวิต แต่ผมชอบคำแนะนำง่ายๆของท่านที่ว่า แทนที่เราจะเลี้ยงดูวัชพืชที่เราไม่ต้องการโดยการทำตามความปรารถนาฝ่ายเนื้อหนังของเราเอง ให้เราใส่ใจดูแลความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า แล้วเราจะเกิดผลและเก็บเกี่ยวชีวิตที่พระเจ้าพอพระทัย (ข้อ 22-25)